ข้ามไปเนื้อหา

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
ถ้วยรางวัลแชมป์ยุโรป
ผู้จัดยูฟ่า
ก่อตั้ง1958; 66 ปีที่แล้ว (1958)
ภูมิภาคยุโรป
จำนวนทีม24 (รอบสุดท้าย)
54 (รอบคัดเลือก)
ผ่านเข้าไปเล่นในคอนเมบอล–ยูฟ่าคัพออฟแชมเปียนส์
ทีมชนะเลิศปัจจุบันธงชาติสเปน สเปน (สมัยที่ 4)
ทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดสเปน สเปน (4 สมัย)
เว็บไซต์uefa.com/uefaeuro

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (อังกฤษ: European Football Championship[1]) หรือที่นิยมเรียกทั่วไปว่า ฟุตบอลยูโร[2][3] เป็นการแข่งขันฟุตบอลที่จัดโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เป็นการแข่งขันของทีมชาติชายชุดใหญ่ของสมาชิกยูฟ่าเพื่อหาทีมผู้ชนะเลิศแห่งทวีปยุโรป[4][5] เป็นการแข่งขันฟุตบอลที่มีผู้ชมมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากฟุตบอลโลก ซึ่งยูโร 2016 รอบชิงชนะเลิศ มีผู้ชมทั่วโลกประมาณ 600 ล้านคน[6] การแข่งขันจัดขึ้นทุก ๆ สี่ปี นับตั้งแต่ปี 1960[7][8][9] ยกเว้นครั้งปี 2020 ที่ถูกเลื่อนไปจัดในปี 2021 สืบเนื่องจากการระบาดทั่วของโควิด-19 ในทวีปยุโรปแต่ยังคงใช้ชื่อว่า ยูโร 2020 มีกำหนดการแข่งขันเป็นในปีเลขคู่สลับระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลก เดิมเรียกว่า ยูโรเปียนเนชันส์คัพ (อังกฤษ: European Nations' Cup) ก่อนเปลี่ยนเป็น ยูโรเปียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบันตั้งแต่ครั้งปี 1968

ก่อนเข้าร่วมการแข่งขัน ทุกทีมนอกเหนือจากทีมเจ้าภาพ (เจ้าภาพผ่านการคัดเลือกโดยอัตโนมัติ) จะแข่งขันกันในรอบคัดเลือก จนถึงปี 2016 ผู้ชนะการแข่งขันสามารถแข่งขันฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพในปีถัดไปได้ แต่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น[10] ตั้งแต่ครั้งปี 2020 เป็นต้นไป ผู้ชนะจะได้แข่งขันในคอนเมบอล–ยูฟ่าคัพออฟแชมเปียนส์

การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 17 ครั้ง ชนะโดยทีมชาติ 10 ทีม ได้แก่ สเปน 4 สมัย เยอรมนี 3 สมัย อิตาลีและฝรั่งเศส 2 สมัย และสหภาพโซเวียต เชโกสโลวะเกีย เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก กรีซ และโปรตุเกส ชนะอย่างละหนึ่งสมัย จนถึงครั้งปัจจุบัน ทีมชาติสเปนเป็นทีมเดียวที่คว้าแชมป์ติดต่อกันได้ โดยทำได้ในปี 2008 และ 2012

ยูโร 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่เยอรมนี ทีมชนะเลิศตกเป็นของทีมชาติสเปนซึ่งคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 4 เป็นประวัติการณ์หลังจากเอาชนะทีมชาติอังกฤษ 2–1 ในรอบชิงชนะเลิศที่สนามโอลึมพีอาชตาดีอ็อนที่เบอร์ลิน[11]

ประวัติ

[แก้]
แผนที่ของทีมประเทศต่าง ๆ กับผลงานที่ดีที่สุด

ยุคแรกเริ่ม 4 ทีม

[แก้]

เริ่มมีการแข่งขันครั้งแรกขึ้นมาในปี 1960 ในชื่อว่า ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ โดยเริ่มต้นรูปแบบการแข่งขันยังเป็นระบบการเล่นเหย้า-เยือนในรอบต้นๆ ก่อนที่จะเล่นแบบน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ บุคคลที่ผลักดันให้มีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในชาติเป็นกลางขึ้นมาคือ อองรี เดอลาเน่ย์ จากสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส และ ทำให้การแข่งขันรอบสุดท้ายครั้งแรกมีขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1960 โดยเป็นการพบกันระหว่าง สหภาพโซเวียต กับ ยูโกสลาเวีย ซึ่งผลลงเอยด้วยชัยชนะของทีมจากแดนหลังม่านเหล็กในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 ในปี 1964 ได้มีปัญหาขัดแย้งทางการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวในเกมกีฬา เมื่อ กรีซ ปฏิเสธที่จะเล่นกับ แอลเบเนีย หลังมีสงครามระหว่างประเทศ โดยการเล่นรอบชิงชนะเลิศ จัดที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน และแชมป์ก็ตกเป็นของเจ้าภาพที่เอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-1

เพิ่มเป็น 8 ทีม

[แก้]

จากนั้นในปี 1968 ได้เปลี่ยนชื่อการแข่งขันจากฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ มาเป็น ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ พร้อมกับเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันเป็นแบบแบ่งกลุ่มโดยมี 8 สาย และแชมป์ของแต่ละกลุ่มจะเข้ามาเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ ที่ต้องแข่ง 2 นัด ก่อนเข้ารอบตัดเชือก โดยแชมป์ครั้งนี้เป็นของเจ้าภาพ อิตาลี ที่เอาชนะ ยูโกสลาเวีย 2-0 ในนัดรีเพลย์ หลังเกมแรกเสมอกัน 0-0 ฟุตบอลยูโร 1972 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเบลเยียม ยังคงใช้รูปแบบการแข่งขันเหมือนที่ผ่านมา โดยแชมป์ตกเป็นของ เยอรมัน ตะวันตก ที่ถล่ม สหภาพโซเวียต ไปอย่างขาดลอย 3-0 จากการทำประตูของ แกร์ด มุลเลอร์ คนเดียว 2 ลูก จากนั้นอีก 4 ปีต่อมา รอบชิงชนะเลิศมีขึ้นที่ยูโกสลาเวีย โดยที่ เชโกสโลวะเกีย เสมอ เยอรมัน 2-2 ก่อนที่จะมีการดวลจุดโทษครั้งแรก และแชมป์ก็ตกเป็นของ ขุนพลเช็กในที่สุด

มาถึงศึกยูโร 1980 ได้เริ่มใช้ระบบการแข่งแบบใหม่ โดย 8 ทีมจะต้องมาเล่นรอบสุดท้าย ที่ประเทศอิตาลี และแบ่งการเล่นออกเป็น 2 กลุ่ม นำแชมป์ของแต่ละกลุ่มมาเล่นรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งปรากฏว่า เยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ไปครองหลังเฉือนชนะ เบลเยียม 2-1 จนกระทั่งในศึกยูโร 1984 ที่ฝรั่งเศส ได้มีการเปลี่ยนระบบการแข่งขันให้ 2 ทีมที่มีคะแนนดีที่สุดของทั้ง 2 กลุ่ม เข้ามาเล่นในรอบ ตัดเชือก และในที่สุดเจ้าบ้านซึ่งนำทีมโดย มิเชล พลาตินี่ ก็ชนะ สเปน 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมกับคว้าแชมป์ได้อย่างงดงาม จาก

นั้นในปี 1988 เยอรมันตะวันตก ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบ้างโดยใช้รูปแบบเหมือนครั้งที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แฟนบอลเมืองเบียร์ต้องอกหัก ปล่อยให้ ฮอลแลนด์ ที่มีนักเตะชั้นเยี่ยมอย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น, แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด และ รุด กุลลิท คว้าแชมป์ไปครอง หลังเอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ มาถึงปี 1992 ที่สวีเดน ได้เกิดตำนานเทพนิยายเดนส์ขึ้นมา หลังจากทีมชาติเดนมาร์ก ได้เข้าร่วมการแข่งขันกะทันหัน เนื่องจาก ยูโกสลาเวีย ถูกตัดสิทธิ์ โดยขุนพลเมือง "โคนม" สร้างผลงานยอดเยี่ยมคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่มีเวลา เตรียมตัวไม่นานนัก

เพิ่มเป็น 16 ทีม

[แก้]

ถึงศึกยูโร 1996 ที่อังกฤษ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันอีกครั้ง โดยมี 16 ทีมเข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 4 ทีม และ 2 อันดับแรกของแต่ละสายจะได้เข้ามาเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย นอกจากนั้น ยังมีการนำกฎ โกลเด้นโกล์มาใช้ครั้งแรกอีกด้วย และกฎนี้ก็ได้ใช้ตัดสินในรอบชิงชนะเลิศทันที โดยที่ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ หัวหอกเยอรมัน ซัดดับชีพ สาธารณรัฐเช็ก 2-1

จากนั้นในปี 2000 ก็เป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพร่วมโดย เบลเยียม และ ฮอลแลนด์ รับหน้าเสื่อคู่กัน จุดไคลแมกซ์ของการแข่งขัน ครั้งนี้อยู่ที่การทำประตูโกลเด้นโกล์ของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ที่พาฝรั่งเศส เอาชนะ อิตาลี พร้อมกับคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยอดเยี่ยม การชิงชัย 11 สมัยที่ผ่านมา ทำให้ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป กลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่แฟนบอลพูดกันว่าเพียงเติมบราซิล และอาร์เจนตินาลงไปในบรรดาทีมที่เข้ารอบสุดท้ายของศึกยูโรแต่ละครั้ง เราก็จะพบกับฟุตบอลโลกอีกเวอร์ชันดีๆ นี่เอง

เพิ่มเป็น 24 ทีม

[แก้]

ในครั้งที่ 15 ซึ่งจะจัดขึ้นปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ทีมชาติในรอบสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 24 ทีมชาติ จัดการแข่งขันที่สาธารณรัฐโปแลนด์และประเทศยูเครน การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีทีมลงแข่งขันในรอบสุดท้าย 24 ทีม เปลี่ยนจากการแข่งขันเดิมที่มี 16 ทีม ซึ่งเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อ 1996 ภายใต้การจัดการแข่งขันแบบใหม่นั้น จะแบ่งเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม รอบแพ้คัดออกจะมี 3 รอบ และนัดชิงชนะเลิศ โดย 24 ทีมแบ่งเป็น 19 ทีม (แชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มของรอบคัดเลือก 9 กลุ่ม รวมไปถึงทีมอันดับที่ 3 ทีมีคะแนนดีที่สุด)

ผลการแข่งขัน

[แก้]
ปี เจ้าภาพ ชิงชนะเลิศ ชิงอันดับ 3 จำนวนทีม
ชนะเลิศ ผลการ
แข่งขัน
รองชนะเลิศ อันดับที่ 3 ผลการ
แข่งขัน
อันดับที่ 4
1960  ฝรั่งเศส
สหภาพโซเวียต
2–1
(ต่อเวลา)

ยูโกสลาเวีย

เชโกสโลวาเกีย
2–0
ฝรั่งเศส
4
1964  สเปน
สเปน
2–1
สหภาพโซเวียต

ฮังการี
3–1
(ต่อเวลา)

เดนมาร์ก
4
1968  อิตาลี
อิตาลี
1–1
(ต่อเวลา)
2–0 (เล่นใหม่)

ยูโกสลาเวีย

อังกฤษ
2–0
สหภาพโซเวียต
4
1972  เบลเยียม
เยอรมนีตะวันตก
3–0
สหภาพโซเวียต

เบลเยียม
2–1
ฮังการี
4
1976  ยูโกสลาเวีย
เชโกสโลวาเกีย
2–2
(ต่อเวลา)

(ดวลลูกโทษ 5–3)

เยอรมนีตะวันตก

เนเธอร์แลนด์
3–2
(ต่อเวลา)

ยูโกสลาเวีย
4
1980  อิตาลี
เยอรมนีตะวันตก
2–1
เบลเยียม

เชโกสโลวาเกีย
1–1 [a]

(ดวลลูกโทษ 9–8)

อิตาลี
8
ไม่มีชิงที่ 3[b]
1984  ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศส
2–0
สเปน
ธงชาติเดนมาร์ก เดนมาร์ก และ ธงชาติโปรตุเกส โปรตุเกส 8
1988  เยอรมนีตะวันตก
เนเธอร์แลนด์
2–0
สหภาพโซเวียต
ธงชาติอิตาลี อิตาลี และ ธงชาติเยอรมนีตะวันตก เยอรมนีตะวันตก 8
1992  สวีเดน
เดนมาร์ก
2–0
เยอรมนี
ธงชาติเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และ ธงชาติสวีเดน สวีเดน 8
1996  อังกฤษ
เยอรมนี
2–1
(ต่อเวลา)

เช็กเกีย
ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ และ ธงชาติฝรั่งเศส ฝรั่งเศส 16
2000  เบลเยียม
 เนเธอร์แลนด์

ฝรั่งเศส
2–1
(ต่อเวลา)

อิตาลี
ธงชาติเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และ ธงชาติโปรตุเกส โปรตุเกส 16
2004  โปรตุเกส
กรีซ
1–0
โปรตุเกส
ธงชาติเช็กเกีย เช็กเกีย และ ธงชาติเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ 16
2008  ออสเตรีย
 สวิตเซอร์แลนด์

สเปน
1–0
เยอรมนี
ธงชาติรัสเซีย รัสเซีย และ ธงชาติตุรกี ตุรกี 16
2012  โปแลนด์
 ยูเครน

สเปน
4–0
อิตาลี
ธงชาติเยอรมนี เยอรมนี และ ธงชาติโปรตุเกส โปรตุเกส 16
2016  ฝรั่งเศส
โปรตุเกส
1–0
(ต่อเวลา)

ฝรั่งเศส
ธงชาติเยอรมนี เยอรมนี และ ธงชาติเวลส์ เวลส์ 24
2020[c]  ยุโรป[d]
อิตาลี
1–1
(ต่อเวลา)

(ดวลลูกโทษ 3–2)

อังกฤษ
ธงชาติเดนมาร์ก เดนมาร์ก และ ธงชาติสเปน สเปน 24
2024  เยอรมนี
สเปน
2–1
อังกฤษ
ธงชาติฝรั่งเศส ฝรั่งเศส และ ธงชาติเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ 24
2028  อังกฤษ
 ไอร์แลนด์เหนือ
 ไอร์แลนด์
 สกอตแลนด์
 เวลส์
24
2032  อิตาลี
 ตุรกี
24

หมายเหตุ

  1. ไม่มีการเล่นต่อเวลา
  2. ไม่มีการแข่งชิงที่สามตั้งแต่ ค.ศ. 1980; ผู้ที่แพ้ในรอบก่อนชิงชนะเลิศเรียงตามอักษร
  3. เลื่อนแข่งใน ค.ศ. 2021 เนื่องจากการระบาดทั่วของโควิด-19 ในทวีปยุโรป
  4. การแข่งขันรวมยุโรปมีเจ้าภาพ 11 ประเทศ ได้แก่: อาเซอร์ไบจาน, เดนมาร์ก, อังกฤษ, เยอรมนี, ฮังการี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, โรมาเนีย, รัสเซีย, สกอตแลนด์ และสเปน

ความสำเร็จในฟุตบอลยูโร

[แก้]
ภาพแผนที่ทวีปยุโรป แสดงจำนวนการชนะเลิศ ของทีมชาติแต่ละประเทศ
ทีมชาติ ชนะเลิศ รองชนะเลิศ
ธงชาติสเปน สเปน 4 (1964*, 2008, 2012, 2024) 1 (1984)
ธงชาติเยอรมนี เยอรมนี1 3 (1972, 1980, 1996) 3 (1976, 1992, 2008)
ธงชาติอิตาลี อิตาลี 2 (1968*, 2020*) 2 (2000, 2012)
ธงชาติฝรั่งเศส ฝรั่งเศส 2 (1984*, 2000) 1 (2016*)
ธงชาติรัสเซีย รัสเซีย2 1 (1960) 3 (1964, 1972, 1988)
ธงชาติเช็กเกีย เช็กเกีย3 1 (1976) 1 (1996)
ธงชาติโปรตุเกส โปรตุเกส 1 (2016) 1 (2004*)
ธงชาติสโลวาเกีย สโลวาเกีย3 1 (1976)
ธงชาติเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ 1 (1988)
ธงชาติเดนมาร์ก เดนมาร์ก 1 (1992)
ธงชาติกรีซ กรีซ 1 (2004)
ธงชาติเซอร์เบีย เซอร์เบีย4 2 (1960, 1968)
ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ 2 (2020*, 2024)
ธงชาติเบลเยียม เบลเยียม 1 (1980)
* เจ้าภาพ
1 แข่งขันในชื่อเยอรมนีตะวันตกจนถึง ค.ศ. 1990
2 รวมผลรวมที่เป็นตัวแทนสหภาพโซเวียต
3 ทั้งเช็กเกียและสโลวาเกียสืบทอดตำแหน่งของเชโกสโลวาเกียใน ค.ศ. 1976[12]
4 รวมผลรวมที่เป็นตัวแทนยูโกสลาเวีย

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Regulations of the UEFA European Football Championship 2018–20". UEFA.com. Union of European Football Associations. 9 March 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2021. สืบค้นเมื่อ 11 May 2021.
  2. Horn, Nicolas (3 June 2024). "Euro 2024 team guides part one: Germany". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 5 June 2024.
  3. Ostlere, Lawrence (4 June 2024). "England's Euro 2024 squad: Who's on the plane, who's in contention and who will miss out?". The Independent. สืบค้นเมื่อ 5 June 2024.
  4. Pandit, Rupa (2022-02-23). Physical Education: Textbook for ICSE Class 10 (ภาษาอังกฤษ). Oswal Publishers. ISBN 978-93-90278-47-3.
  5. Authors, Panel of. Arun Deep's 10 Years Solved Papers For ICSE Class 10 Exam 2023 - Comprehensive Handbook Of 15 Subjects - Year-Wise Board Solved Question Papers, Revised Syllabus 2023 (ภาษาอังกฤษ). Ravinder Singh and sons. p. 1558.
  6. "Euro 2016 seen by 2 billion on TV; 600m watch final". ESPN. 15 December 2016. สืบค้นเมื่อ 16 February 2024.
  7. "UEFA EURO 24 – The biggest European football tournament is here again after four years! | EXIsport Eshop EU". www.exisport.eu (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-03-21.
  8. Pyta, W.; Havemann, N. (2015-03-25). European Football and Collective Memory (ภาษาอังกฤษ). Springer. p. 59. ISBN 978-1-137-45015-9.
  9. Dunmore, Tom (2011-09-16). Historical Dictionary of Soccer (ภาษาอังกฤษ). Scarecrow Press. p. 250. ISBN 978-0-8108-7188-5.
  10. "2005/2006 season: final worldwide matchday to be 14 May 2006". FIFA.com. Fédération Internationale de Football Association. 19 December 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 July 2012. สืบค้นเมื่อ 13 January 2012.
  11. Morse, Ben (14 July 2024). "Spain wins Euro 2024, defeating England 2–1 in a dramatic final to win record fourth European Championship". CNN. สืบค้นเมื่อ 14 July 2024.
  12. "Most titles | History | UEFA EURO". UEFA.com. สืบค้นเมื่อ 5 June 2024.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]