ข้ามไปเนื้อหา

ฮกไกโด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก ฮอกไกโด)
ฮกไกโด

北海道
การถอดเสียงภาษาญี่ปุ่น
 • ภาษาญี่ปุ่น北海道
 • โรมาจิHokkaidō
ธงของฮกไกโด
ธง
โลโกอย่างเป็นทางการของฮกไกโด
สัญลักษณ์
ที่ตั้งของฮกไกโด
ประเทศญี่ปุ่น
ภูมิภาคฮกไกโด
เกาะฮกไกโด
เมืองหลวงซัปโปโระ
เมืองใหญ่สุดซัปโปโระ
หน่วยงานย่อยอำเภอ: 74, เทศบาล: 179
การปกครอง
 • ผู้ว่าราชการนาโอมิจิ ซูซูกิ
พื้นที่
 • ทั้งหมด83,423.84 ตร.กม. (32,210.12 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่1
ประชากร
 (31 พฤษภาคม 2019)
 • ทั้งหมด5,281,297 คน
 • อันดับ8
 • ความหนาแน่น63 คน/ตร.กม. (160 คน/ตร.ไมล์)
รหัส ISO 3166JP-01
เว็บไซต์www.pref.hokkaido.lg.jp
สัญลักษณ์
สัตว์ปีกนกกระเรียนมงกุฎแดง (Tanchō, Grus japonensis)
ดอกไม้กุหลาบญี่ปุ่น (Hamanasu, Rosa rugosa)
ต้นไม้สนเจโซ (Ezomatsu, Picea jezoensis)

ฮกไกโด (ญี่ปุ่น: 北海道โรมาจิHokkaidōออกเสียง: [hok.kaꜜi.doː] ; แปลว่า มณฑลทะเลเหนือ; ไอนุ: アィヌ・モシリ; Ainu Mosir; อัยนูโมซีร์; แปลว่า แผ่นดินของชาวไอนุ)[1] เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศญี่ปุ่น รองจากเกาะฮนชู และเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่ทางเหนือสุดของประเทศ และมีสถานะเป็นภูมิภาคในตัวเอง[2] มีช่องแคบสึงารุเป็นพรมแดนธรรมชาติที่แยกฮกไกโดออกจากเกาะฮนชู โดยทั้งสองเกาะเชื่อมต่อกันด้วยทางรถไฟผ่านอุโมงค์เซกัง

เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของฮกไกโดคือ นครซัปโปโระ ซึ่งเป็นเมืองเดียวในเกาะที่ได้รับการจัดตั้งเป็นนครใหญ่ที่รัฐกำหนด ฮกไกโดเป็นเขตที่มีคนอาศัยอยู่เบาบาง มีประชากรทั้งเกาะประมาณ 5 ล้านคน คนส่วนใหญ่ย้ายมาจากเกาะฮนชูเมื่อราว 100 กว่าปีก่อน โดยเป็นแหล่งที่ซามูไรแพ้สงครามจึงต้องหนีมาอยู่ที่เกาะนี้

เกาะฮกไกโดตั้งอยู่ใกล้เคียงกับเกาะซาฮาลิน ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือประมาณ 43 กิโลเมตร (27 ไมล์) ส่วนทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ตั้งของหมู่เกาะคูริล ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของประเทศรัสเซีย แม้ว่าเกาะทางใต้สี่เกาะของหมู่เกาะดังกล่าวจะถูกอ้างสิทธิ์โดยญี่ปุ่นก็ตาม ตำแหน่งที่ตั้งของฮกไกโดที่อยู่ตอนเหนือสุดของหมู่เกาะญี่ปุ่นทำให้มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น โดยในฤดูหนาวจะมีหิมะตกหนัก โดยเฉลี่ยจะมีหิมะท่วมอยู่ทั่วไปประมาณ 4–6 เดือน มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง −20 ถึง 5 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิระหว่าง 15 ถึง 30 องศาเซลเซียส แม้สภาพอากาศจะค่อนข้างรุนแรง แต่ฮกไกโดก็ยังเป็นแหล่งผลิตพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญของประเทศ ภูมิประเทศของฮกไกโดส่วนใหญ่เป็นภูเขา ในบริเวณที่ราบลุ่มก็จะเป็นเมืองที่คนอาศัย โดยจะหนาแน่นในบริเวณเมืองซัปโปโระ ซึ่งมีอากาศอุ่นกว่าบริเวณอื่น ๆ ของเกาะ แต่ก็ยังหนาวกว่าภูมิภาคอื่นของเกาะฮนชู ฮกไกโดเป็นเกาะที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีทิวทัศน์ที่สวยงาม ชาวญี่ปุ่นจากส่วนที่อื่น ๆ ของประเทศจึงนิยมมาตากอากาศหรือย้ายมาอาศัยและทำงานเป็นจำนวนมาก

ฮกไกโดเคยมีชื่อเรียกในอดีตว่า เอโซะ เยโซะ หรือ เยซโซะ[3] แม้ชาวญี่ปุ่นจะเริ่มตั้งถิ่นฐานที่ปลายทางใต้สุดของเกาะตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่ในอดีตพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะมีชาวไอนุเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานหลัก[4] ใน ค.ศ. 1869 หลังจากการปฏิรูปเมจิ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ผนวกเกาะทั้งเกาะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ตั้งอาณานิคม และเปลี่ยนชื่อเป็น "ฮกไกโด"[5][6][7][8][9][10] ชาวญี่ปุ่นได้ยึดครองที่ดินของชาวไอนุ และบังคับให้พวกเขากลืนกลายทางวัฒนธรรม[4][8] จนเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 21 ชาวไอนุได้ถูกกลืนกลายเข้าสู่สังคมญี่ปุ่นแทบทั้งหมด ส่งผลให้คนญี่ปุ่นเชื้อสายไอนุส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่มีความรู้เกี่ยวกับรากเหง้าหรือวัฒนธรรมของตนเองอีกต่อไป[11][12][13]

ชื่อ

[แก้]

ชื่อ ฮกไกโด ในภาษาญี่ปุ่นเขียนว่า 北海道 โรมาจิสะกดว่า Hokkaidō หมายถีง "เส้นทางสู่ทะเลเหนือ" ฮกไกโดเป็นทั้งชื่อเกาะ เขตแดนและจังหวัดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะมีให้เห็นคำว่า เกาะฮกไกโด ซึ่งกล่าวถึงเกาะโดยรวม เขตฮกไกโดกล่าวในลักษณะโดยรวมของบริเวณทางส่วนเหนือของญี่ปุ่น แต่จะไม่เพิ่มคำว่าจังหวัดลงหน้าชื่อฮกไกโด เนื่องจากคำว่า โด (道) ในชื่อฮกไกโดมีความหมายว่าจังหวัดอยู่แล้ว

ประวัติศาสตร์

[แก้]

ฮกไกโดเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวไอนุตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ชื่อสถานที่หลายแห่งบนเกาะเช่นเมืองซัปโปโระก็เป็นภาษาไอนุ

ฮกไกโดเคยมีชื่อว่าเอโซะจนสิ้นยุคเมจิ ในช่วงสงครามโบชินเมื่อ ค.ศ. 1868 กองกำลังสนับสนุนรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะซึ่งนำโดยเอโนโมโตะ ทาเกอากิ ได้ประกาศเป็นรัฐอิสระในนามสาธารณรัฐเอโซะ แต่ก็ล่มสลายใน ค.ศ. 1869 ภายหลังแบ่งเขตการปกครองเป็น 4 ส่วน

ประวัติศาสตร์ยุคต้น

[แก้]

ในช่วงยุคโจมง วัฒนธรรมท้องถิ่นและวิถีชีวิตแบบเก็บของป่าล่าสัตว์บนเกาะฮกไกโดมีความรุ่งเรือง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 15,000 ปีก่อน แตกต่างจากเกาะฮนชูที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ฮกไกโดในช่วงเวลาดังกล่าวกลับไม่ปรากฏหลักฐานของความขัดแย้งเลย มีทฤษฎีที่ว่า ความเชื่อเรื่องวิญญาณในธรรมชาติของชาวโจมงเป็นต้นกำเนิดของความเชื่อทางจิตวิญญาณของชาวไอนุในเวลาต่อมา ประมาณ 2,000 ปีก่อน มีการอพยพของชาวยาโยอิขึ้นมาบนเกาะ ส่งผลให้ประชากรส่วนหนึ่งเริ่มเปลี่ยนจากการล่าสัตว์มาเป็นการเพาะปลูกแทน[14]

เอกสารนิฮงโชกิ ซึ่งแล้วเสร็จใน ค.ศ. 720 มักถูกยกให้เป็นบันทึกครั้งแรกของฮกไกโดในประวัติศาสตร์ที่มีการจดบันทึก เขียนไว้ว่าในช่วง ค.ศ. 658–660 อาเบะ โนะ ฮิราฟุ[15] ได้นำกองทัพเรือและกองทัพบกขนาดใหญ่ขึ้นไปยังพื้นที่ทางเหนือ และได้ติดต่อกับชนเผ่ามิชิฮาเซะและเอมิชิ หนึ่งในสถานที่ที่ฮิราฟุเดินทางไปคือ วาตาริชิมะ (ญี่ปุ่น: 渡島โรมาจิWatarishima) ซึ่งมักเชื่อกันว่าเป็นฮกไกโดในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องที่ตั้งของวาตาริชิมะ และความเชื่อที่ว่าเอมิชิในพื้นที่ดังกล่าวคือบรรพบุรุษของชาวไอนุในปัจจุบัน[ต้องการอ้างอิง]

ในช่วงยุคนาระและเฮอัง (ค.ศ. 710–1185) ผู้คนในฮกไกโดมีการติดต่อค้าขายกับแคว้นเดวะ ซึ่งเป็นด่านหน้าของรัฐบาลกลางญี่ปุ่นในขณะนั้น ตั้งแต่ยุคศักดินาเป็นต้นมา ชาวฮกไกโดเริ่มถูกเรียกว่า เอโซะ (蝦夷) ต่อมาจึงมีการเรียกเกาะนี้ว่า เอโซจิ (ญี่ปุ่น: 蝦夷地โรมาจิEzochi; แปลตรงตัวว่า "แผ่นดินเอโซะ")[16] หรือ เอโซงาชิมะ (ญี่ปุ่น: 蝦夷ヶ島โรมาจิEzogashima; แปลตรงตัวว่า "เกาะของเอโซะ") ชาวเอโซะยังคงดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาปลา โดยได้ข้าวและเหล็กผ่านการค้าขายกับชาวญี่ปุ่น[ต้องการอ้างอิง]

ญี่ปุ่นในยุคศักดินา

[แก้]
พิธีต้อนรับของวังใกล้เมืองฮาโกดาเตะใน ค.ศ. 1751 ชาวไอนุนำของขวัญมามอบ (พิธีกรรมทักทายของชาวไอนุที่เรียกว่า โอมูชะ)

ในช่วงยุคมูโรมาจิ (ค.ศ. 1336–1573) ชาวญี่ปุ่นได้ตั้งถิ่นฐานขึ้นทางตอนใต้ของคาบสมุทรโอชิมะ โดยมีการสร้างที่พักอาศัยแบบป้อมปราการหลายแห่ง เช่น ป้อมชิโนริดาเตะ เมื่อมีผู้คนอพยพเข้ามามากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งจากทางใต้ ก็เริ่มเกิดความขัดแย้งระหว่างชาวญี่ปุ่นกับชาวไอนุ และลุกลามไปสู่สงครามในที่สุด ใน ค.ศ. 1457 ทาเกดะ โนบูฮิโระ (ค.ศ. 1431–1494) ได้สังหารผู้นำชาวไอนุชื่อโคชามาอิง[15] และปราบกองกำลังฝ่ายตรงข้ามลงได้ ลูกหลานของโนบูฮิโระต่อมาได้กลายเป็นผู้นำของแคว้นมัตสึมาเอะ (มัตสึมาเอะฮัง) ซึ่งได้รับสิทธิผูกขาดในการค้าขายกับชาวไอนุในยุคอาซูจิ–โมโมยามะและยุคเอโดะ (ค.ศ. 1568–1868) เศรษฐกิจของตระกูลมัตสึมาเอะพึ่งพาการค้าขายกับชาวไอนุซึ่งมีเครือข่ายการค้ากว้างขวาง[17] ตระกูลมัตสึมาเอะมีอำนาจปกครองดินแดนตอนใต้ของเอโซจิเรื่อยมาจนสิ้นสุดยุคเอโดะ[ต้องการอ้างอิง]

ซามูไรและชาวไอนุ ราว ค.ศ. 1775

การปกครองของตระกูลมัตสึมาเอะเหนือชาวไอนุควรเข้าใจในบริบทของการขยายตัวของรัฐศักดินาญี่ปุ่น[ต้องการอ้างอิง] ผู้นำทหารในแถบฮนชูตอนเหนือ เช่น ตระกูลฟูจิวาระฝ่ายเหนือ และตระกูลอากิตะ มีความสัมพันธ์ทางการเมืองและวัฒนธรรมกับราชสำนักและรัฐบาลโชกุนเพียงเล็กน้อย (รัฐบาลโชกุนคามากูระ และรัฐบาลโชกุนอาชิกางะ) บางครั้งผู้นำเหล่านี้กำหนดบทบาทของตนเองในระบบศักดินา เช่น การใช้ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับโชกุน และในบางกรณีก็ใช้ตำแหน่งที่ดูเหมือนไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นด้วยซ้ำ อันที่จริง ผู้นำศักดินาหลายคนมีเชื้อสายมาจากผู้นำทางทหารของเผ่าเอมิชิซึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมญี่ปุ่น[18] ตระกูลมัตสึมาเอะมีเชื้อสายยามาโตะ เช่นเดียวกับชาวญี่ปุ่นโดยทั่วไป ส่วนชาวเอมิชิในฮนชูตอนเหนือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่าง ซึ่งมีความใกล้ชิดกับชาวไอนุ ชาวเอมิชิถูกพิชิตและผนวกรวมเข้ากับรัฐญี่ปุ่นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ส่งผลให้วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของพวกเขาค่อย ๆ เลือนหายไปในฐานะชนกลุ่มน้อย เมื่อถึงยุคที่ตระกูลมัตสึมาเอะปกครองชาวไอนุ ชาวเอมิชิจำนวนมากได้กลายเป็นกลุ่มผสมเชื้อชาติ และมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับชาวญี่ปุ่นมากกว่าชาวไอนุ ทฤษฎี "การเปลี่ยนแปลง" (Transformation theory) เสนอว่าชาวโจมงพื้นเมืองได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีผู้อพยพชาวยาโยอิเข้ามาในภูมิภาคโทโฮกุของเกาะฮนชูตอนเหนือ ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎี "การแทนที่" (Replacement theory) ที่เชื่อว่าชาวโจมงถูกแทนที่โดยชาวยาโยอิอย่างสิ้นเชิง[19]

มัตสึมาเอะ ทากาฮิโระ ไดเมียวแห่งตระกูลมัตสึมาเอะในช่วงปลายยุคเอโดะ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1829 – 9 มิถุนายน ค.ศ. 1866)

ชาวไอนุได้ลุกฮือต่อต้านการปกครองแบบศักดินาหลายครั้ง การต่อต้านครั้งใหญ่ที่สุดคือกบฏของชากูชาอิง (Shakushain) ในช่วง ค.ศ. 1669–1672 ต่อมาใน ค.ศ. 1789 ก็เกิดการก่อกบฏขนาดเล็กในนาม กบฏเมนาชิ–คูนาชิริ (Menashi–Kunashir) ซึ่งถูกรัฐญี่ปุ่นปราบปราม หลังจากการกบฏครั้งนั้น คำว่า "ชาวญี่ปุ่น" และ "ชาวไอนุ" ได้กลายเป็นกลุ่มที่แยกกันอย่างชัดเจน และตระกูลมัตสึมาเอะก็ถูกมองว่าเป็นชาวญี่ปุ่นโดยสมบูรณ์

จอห์น เอ. แฮร์ริสัน (John A. Harrison) จากมหาวิทยาลัยฟลอริดาระบุว่า ก่อน ค.ศ. 1868 ญี่ปุ่นใช้หลักภูมิศาสตร์ใกล้ชิดเป็นเหตุผลในการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือฮกไกโด ซาฮาลิน และหมู่เกาะคูริล อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นไม่เคยสำรวจ ปกครอง หรือใช้ประโยชน์จากพื้นที่เหล่านี้อย่างทั่วถึง การอ้างกรรมสิทธิ์จึงถูกท้าทายจากการที่รัสเซียขยายอิทธิพลเข้าสู่ภูมิภาคแปซิฟิกตะวันออกเฉียงเหนือ โดยตั้งถิ่นฐานที่คัมชัตกา (ตั้งแต่ ค.ศ. 1699), ซาฮาลิน (คริสต์ทศวรรษ 1850) และชายฝั่งทะเลโอค็อตสค์ (ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1640 เป็นต้นมา)[20]

ก่อนการปฏิรูปเมจิใน ค.ศ. 1868 รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะตระหนักถึงความจำเป็นในการป้องกันพื้นที่ภาคเหนือจากการรุกรานของรัสเซีย จึงเข้าควบคุมดินแดนส่วนใหญ่ของเอโซจิในช่วง ค.ศ. 1855–1858[21] ชาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งมองว่าชาวไอนุ "ไม่ใช่มนุษย์ และเป็นลูกหลานของสุนัขที่ต่ำต้อย"[8][22] รัฐบาลโทกูงาวะได้พยายามใช้มาตรการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับชาวไอนุเป็นระยะ ๆ เนื่องจากมองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคาม[8] ตัวอย่างหนึ่งคือในช่วงที่มีภัยคุกคามจากรัสเซีย เช่น กรณีคณะสำรวจของลักซ์มัน [ru] (Laxman expedition) ใน ค.ศ. 1793 และเหตุการณ์โกโลฟนิน (Golovnin Incident) ใน ค.ศ. 1804[8] โทกูงาวะได้เริ่มมาตรการผสมกลมกลืน แต่เมื่อภัยคุกคามลดลง รัฐบาลก็ยุติแผนการเหล่านี้[8] จนกระทั่ง ค.ศ. 1855 เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาชิโมดะ ซึ่งกำหนดเขตแดนระหว่างจักรวรรดิรัสเซียกับญี่ปุ่น รัฐบาลโทกูงาวะจึงกลับมามองว่ารัสเซียเป็นภัยต่ออธิปไตยของญี่ปุ่นเหนือฮกไกโดอีกครั้ง และฟื้นฟูมาตรการผสมกลมกลืนกับชาวไอนุขึ้นมาใหม่[8]

ยุคเมจิ

[แก้]

การตั้งอาณานิคมในฮกไกโด

[แก้]

ก่อนเข้าสู่ยุคเมจิ เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า "เอโซจิ" ซึ่งสามารถแปลได้ว่า "ดินแดนของคนป่าเถื่อน" หรือ "ดินแดนของผู้ไม่เชื่อฟังรัฐบาล"[23] ไม่นานหลังสงครามโบชินใน ค.ศ. 1868 กลุ่มผู้จงรักภักดีต่อโชกุนโทกูงาวะซึ่งนำโดยเอโนโมโตะ ทาเกอากิ ได้เข้ายึดครองเกาะชั่วคราว (รัฐดังกล่าวมักเรียกกันว่า "สาธารณรัฐเอโซะ" แม้ไม่ถูกต้องนัก) แต่การกบฏดังกล่าวก็ถูกปราบในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1869 หลังจากนั้น เอโซะจิจึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนญี่ปุ่นผ่านกระบวนการแบบอาณานิคม[24][8][10][9] ต่อมาเอโซจิอยู่ภายใต้การปกครองขององค์การบริหารจังหวัดฮาโกดาเตะ เมื่อรัฐบาลเมจิจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนา (ญี่ปุ่น: 開拓使โรมาจิKaitakushiทับศัพท์: ไคตากูชิ) ก็ได้มีการกำหนดชื่อใหม่ให้กับเกาะนี้ ตั้งแต่ ค.ศ. 1869 เป็นต้นมา เกาะแห่งนี้จึงมีชื่อว่า "ฮกไกโด" ซึ่งสามารถแปลได้ว่า "เส้นทางทะเลทางเหนือ"[3] และมีการจัดตั้งหน่วยการปกครองในระดับแคว้น ได้แก่ แคว้นโอชิมะ ชิริเบชิ อิบูริ อิชิการิ เทชิโอะ คิตามิ ฮิดากะ โทกาจิ คูชิโระ เนมูโระ และแคว้นชิชิมะ[25]

ป้อมโกเรียวกากุในเมืองฮาโกดาเตะ

แนวคิดในการตั้งอาณานิคมในเอโซะ ซึ่งต่อมากลายเป็นฮกไกโดนั้น เริ่มต้นใน ค.ศ. 1869 โดยผู้สนับสนุนฝ่ายญี่ปุ่นได้เสนอว่า การตั้งอาณานิคมในเอโซะจะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างอำนาจและสถานะของญี่ปุ่นบนเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจรจากับชาติตะวันตก เช่น รัสเซีย[26] รัฐบาลเมจิจึงลงทุนอย่างมากในการพัฒนาเกาะฮกไกโดด้วยเหตุผลหลายประการ[27] หนึ่งคือเพื่อยืนยันอำนาจการควบคุมพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นแนวกันชนต่อภัยคุกคามจากรัสเซีย[27] ประการที่สองคือฮกไกโดมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่น ถ่านหิน ไม้ ปลา และผืนดินอุดมสมบูรณ์[27] และประการสุดท้าย เนื่องจากการขยายอาณานิคมเป็นเครื่องหมายแสดงเกียรติภูมิในสายตาชาติตะวันตก ญี่ปุ่นจึงมองว่าการพัฒนาเกาะฮกไกโดเป็นโอกาสในการแสดงตนในฐานะชาติสมัยใหม่ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับชาติตะวันตก[27]

ชาวไอนุ ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของฮกไกโด

วัตถุประสงค์หลักของคณะกรรมการพัฒนาคือการยึดครองฮกไกโดไว้ก่อนที่รัสเซียจะขยายอำนาจทางตะวันออกไกลเกินกว่าเมืองวลาดีวอสตอค ในช่วงแรก ญี่ปุ่นไม่สามารถตั้งถิ่นฐานในที่ราบภายในเกาะได้ เนื่องจากการต่อต้านจากชนพื้นเมือง[28] การต่อต้านนั้นถูกปราบในเวลาต่อมา และพื้นที่ราบก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการพัฒนา[28] เป้าหมายสำคัญที่สุดของญี่ปุ่นคือการเพิ่มจำนวนประชากรที่ทำเกษตรกรรม และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอพยพและตั้งถิ่นฐาน[28] อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นในขณะนั้นยังขาดความรู้ด้านเกษตรกรรมสมัยใหม่ และมีเพียงเทคนิคพื้นฐานในการทำเหมืองและการตัดไม้[28] รัฐบาลจึงมอบหมายให้คูโรดะ คิโยตากะ เป็นผู้นำโครงการนี้ ซึ่งเขาได้หันไปขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา[28]

ขั้นแรก คูโรดะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและชักชวนฮอเรซ แคปรอน กรรมาธิการการเกษตรของประธานาธิบดี ยูลิสซีส เอส. แกรนต์ ให้มาร่วมงาน ระหว่าง ค.ศ. 1871–1873 แคปรอนพยายามเผยแพร่ความรู้ด้านเกษตรกรรมและเหมืองแร่แบบตะวันตก แม้จะประสบผลสำเร็จเพียงบางส่วนก็ตาม ด้วยความไม่พอใจต่ออุปสรรคต่าง ๆ แคปรอนจึงเดินทางกลับประเทศใน ค.ศ. 1875 ต่อมาใน ค.ศ. 1876 วิลเลียม เอส. คลาร์ก ได้เดินทางมาจัดตั้งวิทยาลัยเกษตรในเมืองซัปโปโระ แม้เขาจะอยู่เพียงหนึ่งปี แต่คลาร์กก็ได้ฝากอิทธิพลไว้ในฮกไกโดอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการเกษตรและการเผยแผ่ศาสนาคริสต์[29] คำกล่าวลาอันโด่งดังของเขา "Boys, be ambitious!" (เด็ก ๆ จงทะเยอทะยาน!) ยังคงปรากฏอยู่บนอาคารสาธารณะในฮกไกโดจนถึงทุกวันนี้ จำนวนประชากรของฮกไกโดเพิ่มขึ้นจาก 58,000 คน เป็น 240,000 คนในช่วงทศวรรษนั้น[30]

คูโรดะว่าจ้างแคปรอนด้วยเงินค่าตอบแทนปีละ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภารกิจครั้งนี้ รัฐบาลเมจิและคูโรดะน่าจะให้ความสนใจในประสบการณ์ของแคปรอนเกี่ยวกับการตั้งอาณานิคม โดยเฉพาะบทบาทของเขาในการบังคับโยกย้ายชาวอเมริกันพื้นเมืองจากรัฐเทกซัสไปยังดินแดนใหม่หลังสงครามเม็กซิกัน-อเมริกัน[31] แคปรอนได้นำแนวทางเกษตรกรรมแบบลงทุนสูงจากอเมริกามาใช้ในฮกไกโด เช่น การใช้เครื่องมือแบบตะวันตก การนำเข้าเมล็ดพันธุ์พืชจากยุโรป และการนำเข้าสัตว์เลี้ยงจากต่างประเทศ รวมถึงวัวสายพันธุ์นอร์ทเดวอนซึ่งเป็นที่โปรดปรานของเขา[32] เขายังได้จัดตั้งฟาร์มทดลอง สำรวจแหล่งแร่และความเหมาะสมทางเกษตรกรรม และผลักดันให้มีการพัฒนาเรื่องแหล่งน้ำ โรงสี และเส้นทางคมนาคมในฮกไกโดอีกด้วย[33]

การตั้งถิ่นฐานของชาวญี่ปุ่นในฮกไกโดเป็นกระบวนการอาณานิคมโดยรัฐ ซึ่งได้รับการจัดการและสนับสนุนจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นกับผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา[31] ตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 ถึง 1880 ผู้นำญี่ปุ่นได้มุ่งเน้นการตั้งถิ่นฐานในฮกไกโดอย่างเป็นระบบ โดยอพยพอดีตซามูไร บริวารของซามูไร และประชาชนทั่วไป รวมถึงชาวนาและชาวไร่ เข้ามาตั้งถิ่นฐาน พร้อมมอบที่ดินฟรี และความช่วยเหลือทางการเงิน[31] การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นได้จากองค์ความรู้ของที่ปรึกษาชาวอเมริกันซึ่งนำเทคโนโลยีด้านการตั้งอาณานิคมมาใช้ ทำให้ฮกไกโดกลายเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อเป้าหมายของทุนนิยมญี่ปุ่น[31]

ผู้นำญี่ปุ่นได้รับแรงบันดาลใจจากรูปแบบอาณานิคมแบบตั้งถิ่นฐานของสหรัฐอเมริกาในระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการ[27] เจ้าหน้าที่ฝ่ายอาณานิคมของญี่ปุ่นเรียนรู้เทคนิคการตั้งอาณานิคมจากชาติจักรวรรดินิยมตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา หนึ่งในเทคนิคเหล่านี้คือการประกาศให้พื้นที่ขนาดใหญ่ของฮกไกโดเป็นที่ดินร้าง ซึ่งถูกใช้เป็นข้ออ้างในการยึดครองและไล่ที่ชาวไอนุ[27][34] ญี่ปุ่นได้จัดตั้งคณะกรรมการการตั้งถิ่นฐานฮกไกโด (Hokkaido Colonization Board) ขึ้นใน ค.ศ. 1869 หนึ่งปีหลังเริ่มต้นยุคเมจิ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมให้ชาวญี่ปุ่นจากแผ่นดินใหญ่ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในฮกไกโด[35] ผลที่ตามมาคือเกาะฮกไกโดถูกอาณานิคมโดยญี่ปุ่นอย่างสมบูรณ์[34] ด้วยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม รัฐบาลเมจิได้ยึดพื้นที่อุดมสมบูรณ์และเขตทรัพยากรแร่ต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของชาวไอนุที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นมาแต่เดิม[34] รัฐบาลได้ออกกฎหมายและดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวญี่ปุ่น และตัดสิทธิของชาวไอนุจากที่ดินดั้งเดิมและวิถีการดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมของตนเอง[34]

พระราชบัญญัติคุ้มครองชาวพื้นเมืองเดิมแห่งฮกไกโด ค.ศ. 1899 (北海道旧土人保護法公布) ยิ่งซ้ำเติมความยากจนและการถูกกีดกันของชาวไอนุ โดยบังคับให้พวกเขาย้ายออกจากถิ่นฐานเดิมไปอยู่ในพื้นที่ภูเขาที่กันดารกลางเกาะ[36][37] กฎหมายนี้ยังห้ามชาวไอนุล่าสัตว์และจับปลา ซึ่งเป็นแหล่งอาหารหลักของพวกเขาอีกด้วย[38] ในสายตารัฐบาล ชาวไอนุถูกมองว่าเป็นเพียงแรงงานราคาถูก นโยบายการผสมกลมกลืนที่เลือกปฏิบัตินี้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกต่ำต้อย และส่งผลให้เกิดความยากจนและโรคภัยในชุมชนไอนุ[39] ปัญหาเหล่านี้ยังทำให้เกิดแนวโน้มของการอพยพ ชาวไอนุจำนวนมากหันไปทำงานกับรัฐบาลหรือภาคเอกชน ซึ่งมักได้รับค่าจ้างเพียงเล็กน้อย ไม่พอเลี้ยงดูครอบครัว[34]

รัฐบาลเมจิยังได้ดำเนินแผนการกลืนกลายทางวัฒนธรรมอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายไม่เพียงแต่จะผสมกลมกลืนชาวไอนุเข้าสู่สังคมญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังต้องการลบเลือนภาษาและวัฒนธรรมของชาวไอนุอย่างสิ้นเชิง[34] พวกเขาถูกบังคับให้ใช้ชื่อและภาษาญี่ปุ่น และวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกเขาค่อย ๆ ถูกกัดเซาะลง[36] เด็กไอนุถูกห้ามไม่ให้พูดภาษาของตน และในโรงเรียนก็มีการสอนแต่ภาษาญี่ปุ่น[40] ด้วยการตีตราอย่างแพร่หลาย ชาวไอนุจำนวนมากจึงต้องปกปิดรากเหง้าของตนเอง[36] องค์การยูเนสโกจัดให้ภาษาไอนุเป็นภาษาที่อยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์อย่างยิ่ง[41] ด้วยอำนาจทางการเมืองเต็มรูปแบบของรัฐเมจิเหนือเกาะฮกไกโด การกดขี่ชนพื้นเมือง การเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจ และการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรอย่างทะเยอทะยาน ฮกไกโดจึงกลายเป็นอาณานิคมแบบตั้งถิ่นฐานที่ประสบความสำเร็จเพียงแห่งเดียวของญี่ปุ่น[34]

หลังจากการตั้งอาณานิคมฮกไกโด รัฐบาลเมจิได้พึ่งพาแรงงานนักโทษเพื่อเร่งกระบวนการพัฒนา[8] ญี่ปุ่นได้สร้างเรือนจำสามแห่ง และเปลี่ยนฮกไกโดให้เป็น "เกาะคุก" โดยคุมขังนักโทษทางการเมืองและใช้พวกเขาเป็นแรงงาน[8] ในพิธีเปิดเรือนจำแห่งแรก รัฐบาลได้เปลี่ยนชื่อสถานที่จากชื่อดั้งเดิมของชาวไอนุว่า "ชิเบ็ตสึปูโตะ" เป็นชื่อญี่ปุ่นว่า "สึกิงาตะ" ซึ่งเป็นความพยายามในการ "แผลงให้เป็นญี่ปุ่น" ในชื่อภูมิศาสตร์ของฮกไกโด[8] เรือนจำแห่งที่สองตั้งอยู่ใกล้เหมืองถ่านหินโฮกูตังโฮโรไน ซึ่งชาวไอนุถูกบังคับให้ทำงาน[8] แรงงานนักโทษราคาถูกมีบทบาทสำคัญในกิจการเหมืองถ่านหินและกำมะถัน รวมถึงการสร้างถนนในฮกไกโด[8] ในเวลาต่อมา แรงงานรูปแบบอื่น ๆ เช่น แรงงานสัญญาผูกมัด แรงงานชาวเกาหลี แรงงานเด็ก และแรงงานหญิง ได้เข้ามาแทนที่แรงงานนักโทษ[8] อย่างไรก็ตาม สภาพการทำงานยังคงยากลำบากและเสี่ยงอันตราย การเปลี่ยนผ่านของญี่ปุ่นสู่ระบบทุนนิยมต้องพึ่งพาการเติบโตของภาคเหมืองถ่านหินในฮกไกโดอย่างมาก ความสำคัญของถ่านหินจากฮกไกโดเพิ่มขึ้นตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเหมืองเหล่านี้ต้องการแรงงานจำนวนมาก[8]

สงครามโลกครั้งที่สอง

[แก้]

ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1945 ท่าเรือ เมือง และสิ่งปลูกสร้างทางทหารหลายแห่งในฮกไกโดถูกโจมตีโดยกองเรือที่ 38 ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 14–15 กรกฎาคม เครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินของกองเรือดังกล่าวได้ทำให้เรือจำนวนมากในท่าเรือตามแนวชายฝั่งตอนใต้ของฮกไกโดจมลงและถูกทำลาย รวมถึงในภาคเหนือของเกาะฮนชู นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม เรือรบสามลำและเรือลาดตระเวนเบาอีกสองลำได้ยิงถล่มเมืองมูโรรัง[42] ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมจำนนอย่างเป็นทางการ สหภาพโซเวียตได้เตรียมการเพื่อรุกรานฮกไกโด แต่ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ของสหรัฐอเมริกาได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่า การยอมจำนนของหมู่เกาะหลักทั้งหมดของญี่ปุ่นจะถูกยอมรับโดยพลเอกดักลาส แมกอาเธอร์ตามปฏิญญาไคโร ค.ศ. 1943[43]

ปัจจุบัน

[แก้]

ฮกไกโดได้รับสถานะเท่าเทียมกับจังหวัดอื่น ๆ ของญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1947 เมื่อพระราชบัญญัติปกครองท้องถิ่นฉบับแก้ไขมีผลบังคับใช้ รัฐบาลกลางญี่ปุ่นได้จัดตั้งสำนักงานพัฒนาฮกไกโด (ญี่ปุ่น: 北海道開発庁โรมาจิHokkaidō Kaihatsuchōทับศัพท์: ฮกไกโด ไคฮัตสึโจ) ใน ค.ศ. 1949 ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจบริหารเหนือฮกไกโด หน่วยงานดังกล่าวถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวใน ค.ศ. 2001 โดยยังคงมีสำนักงานฮกไกโด (ญี่ปุ่น: 北海道局โรมาจิHokkaidō-kyokuทับศัพท์: ฮกไกโด-เคียวกุ) และสำนักงานพัฒนาภูมิภาคฮกไกโด (ญี่ปุ่น: 北海道開発局โรมาจิHokkaidō Kaihatsukyokuทับศัพท์: ฮกไกโด ไคฮัตสึเกียวกุ) ในสังกัดกระทรวงดังกล่าว ซึ่งยังคงมีบทบาทอย่างมากในโครงการก่อสร้างสาธารณะต่าง ๆ บนเกาะฮกไกโด

ภูมิศาสตร์

[แก้]

เกาะฮกไกโดตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น ใกล้กับประเทศรัสเซีย (แคว้นซาคาลิน) มีแนวชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น (ทางทิศตะวันตกของเกาะ) ทะเลโอค็อตสค์ (ทางเหนือ), และมหาสมุทรแปซิฟิก (ทางทิศตะวันออก) ศูนย์กลางของเกาะเป็นภูเขา มีที่ราบสูงภูเขาไฟ ฮกไกโดมีที่ราบหลายแห่ง เช่น ที่ราบอิชิคาริ 3,800 ตารางกิโลเมตร (1,500 ตารางไมล์) ที่ราบโทคาชิ 3,600 ตารางกิโลเมตร (1,400 ตารางไมล์) ที่ราบคุชิโระ 2,510 ตารางกิโลเมตร (970 ตารางไมล์) (พื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น) และทีราบซาโระเบะสึ 200 ตารางกิโลเมตร (77 ตารางไมล์) ฮกไกโดมีแค่ 83,423.84 ตารางกิโลเมตร (32,210.12 ตารางไมล์) ซึ่งทำให้เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่น

ช่องแคบสึงารุแยกฮกไกโดออกจากฮนชู (จังหวัดอาโอโมริ)[3] ช่องแคบลาเปรูสแยกฮอกไกโดออกจากเกาะซาฮาลินในรัสเซีย; ช่องแคบเนมุโระแยกฮกไกโดออกจากเกาะคุนาชิร์ในหมู่เกาะคูริลของรัสเซีย

เขตอำนาจศาลของรัฐบาลฮกไกโดประกอบด้วยเกาะเล็ก ๆ หลายแห่ง รวมทั้งเกาะริชิริ เกาะโอคุชิริ และเกาะเรบุง (ตามการคำนวณของญี่ปุ่น ฮกไกโดยังได้รวมหมู่เกาะคูริลไว้ด้วย) ฮกไกโดเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดและอยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น เกาะนี้อยู่ในอันดับที่ 21 ของโลกตามพื้นที่

พืชและสัตว์

[แก้]

มีหมีสีน้ำตาลอุสสุริอยู่ 3 ตัวที่พบบนเกาะ เขตฮกไกโดมีหมีสีน้ำตาลมากกว่าที่อื่นในเอเชียนอกจากรัสเซีย หมีสีน้ำตาลฮอกไกโดแบ่งออกเป็นสามสายเลือดที่แตกต่างกัน มีเพียง 8 สายเลือดในโลก[44]

รายชื่อพืชและสัตว์ที่โดดเด่น[45]
ชื่อพืชและสัตว์ ประเภท หมายเหตุ
หมีสีน้ำตาลอุสสุริ สัตว์
นกอินทรีทะเลชเต็ลเลอร์ สัตว์
หมาป่าฮกไกโด สัตว์ ชนิดย่อยที่สูญพันธุ์ของหมาป่าสีเทา
กวางซิกาเอโซะ สัตว์
กระรอกเอโซะริสุ สัตว์ เรียกอีกอย่างว่ากระรอกเอโซะ
หมาจิ้งจอกแดงเอโซะ สัตว์
จิ้งจอกแร็กคูนเอโซะทานุกิ สัตว์
สุนัขพันธุ์ฮกไกโด สัตว์
ม้าโดซังโกะ สัตว์ เรียกอีกอย่างว่าม้าฮกไกโด
จิ้งจกไววีพารัส สัตว์
ซาลาแมนเดอร์เอโซะ สัตว์
Dolly Varden trout สัตว์
สนเจโซ พืช
Picea glehnii พืช
กุหลาบญี่ปุ่น พืช

อุทยาน

[แก้]
ทะเลสาบอากัง
ร่องผาโซอุน ในเขตภูเขาไฟไดเซ็ตสึซัง

เขตการปกครองฮกไกโดรวมเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่รอบเกาะฮกไกโดด้วย เช่น เกาะริชิริ เกาะเรบุง และเกาะโอกูชิริ

นอกจากนั้นยังมีเขตอุทยานแห่งชาติอีก 6 แห่ง ได้แก่

เขตการปกครอง

[แก้]
แผนที่เกาะฮกไกโด แสดงกิ่งจังหวัดและเมืองสำคัญ

เนื่องจากฮกไกโดมีขนาดใหญ่มาก เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการต่อประชาชน ฮกไกโดจึงตั้งสำนักงานจังหวัดขึ้นเพื่อดูแลในแต่ละท้องที่จำนวน 14 สำนักงาน เรียกว่า กิ่งจังหวัด

กิ่งจังหวัด อักษรญี่ปุ่น ที่ตั้งสำนักงาน เมืองใหญ่ที่สุด ประชากร
(ค.ศ. 2009)
พื้นที่
(ตร.กม.)
จำนวนเทศบาล
1 โซราจิ 空知総合振興局 นครอิวามิซาวะ นครอิวามิซาวะ 338,485 5,791.19 10 นคร, 14 หมู่บ้าน
อิชิการิ 石狩振興局 นครซัปโปโระ นครซัปโปโระ 2,324,878 3,539.86 6 นคร, 1 เมือง, 1 หมู่บ้าน
2 ชิริเบชิ 後志総合振興局 เมืองคุตจัง นครโอตารุ 234,984 4,305.83 1 นคร, 13 เมือง, 6 หมู่บ้าน
3 อิบูริ 胆振総合振興局 นครมูโรรัง นครโทมาโกไม 419,115 3,698.00 4 นคร, 7 หมู่บ้าน
ฮิดากะ 日高振興局 เมืองอูรากาวะ เมืองชิงฮิดากะ 76,084 4,811.97 7 เมือง
4 โอชิมะ 渡島総合振興局 นครฮาโกดาเตะ นครฮาโกดาเตะ 433,475 3,936.46 2 นคร, 9 เมือง
ฮิยามะ 檜山振興局 เมืองเอซาชิ เมืองเซตานะ 43,210 2,629.94 7 เมือง
5 คามิกาวะ 上川総合振興局 นครอาซาฮิกาวะ นครอาซาฮิกาวะ 527,575 10,619.20 4 นคร, 17 เมือง, 2 หมู่บ้าน
รูโมอิ 留萌振興局 นครรูโมอิ นครรูโมอิ 53,916 3,445.75 1 นคร, 6 เมือง, 1 หมู่บ้าน
6 โซยะ 宗谷総合振興局 นครวักกาไน นครวักกาไน 71,423 4,625.09 1 นคร, 8 เมือง, 1 หมู่บ้าน
7 โอค็อตสค์ オホーツク総合振興局 นครอาบาชิริ นครคิตามิ 309,487 10,690.62 3 นคร, 14 เมือง, 1 หมู่บ้าน
8 โทกาจิ 十勝総合振興局 นครโอบิฮิโระ นครโอฮิบิโระ 353,291 10,831.24 1 นคร, 16 เมือง, 2 หมู่บ้าน
9 คูชิโระ 釧路総合振興局 นครคูชิโระ นครคูชิโระ 252,571 5,997.38 1 นคร, 6 เมือง, 1 หมู่บ้าน
เนมูโระ 根室振興局 นครเนมูโระ นครเนมูโระ 84,035 3,406.23 1 นคร, 4 เมือง
  • เขตพิพาท; ญี่ปุ่นเรียกร้องดินแดนทางใต้ของหมู่เกาะคูริล ซึ่งปัจจุบันปกครองโดยรัสเซีย ตั้งแต่ ค.ศ. 1945
    ภายหลังญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจะถือเป็นส่วนหนึ่งของกิ่งจังหวัดเนมูโระ
  • ↳ หมายถึง กิ่งจังหวัดที่แยกออกมาจากกิ่งจังหวัดก่อนหน้า ซึ่งมีอยู่ 5 กิ่งจังหวัด

ภูมิอากาศ

[แก้]

ฮกไกโดมีชื่อว่าเป็นดินแดนที่มีฤดูร้อนที่เย็นสบาย จึงเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นจากส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ส่วนในฤดูหนาวก็จะมีหิมะมากและหนาวนานอยู่ประมาณครึ่งปี (ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนเมษายน) แม้อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 22 °C (72 °F) แต่เดือนมกราคมจะมีช่วงอุณหภูมิต่ำมากประมาณ -12 °C ถึง -4 °C (10 °F ถึง 25 °F)

ในระหว่างฤดูหนาว ทะเลโอค็อตสค์ทางตะวันออกของเกาะจะกลายเป็นน้ำแข็งทำให้การเดินทางทางทะเลแถบน้ำเป็นไปได้ยาก ต้องใช้เรือตัดน้ำแข็ง ส่วนการประมงก็ต้องรอจนกว่าจะสิ้นฤดูหนาว

เนื่องจากฮกไกโดเป็นดินแดนหิมะ ที่เมืองซัปโปโระจึงมีการจัดเทศกาลหิมะเป็นประจำทุกปี ในราวต้นเดือนกุมภาพันธ์

เศรษฐกิจ

[แก้]

ฮกไกโดเป็นเขตเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น เป็นแหล่งผลิตข้าวญี่ปุ่น อาหารทะเลชั้นดี และผักผลไม้คุณภาพสูง ฮกไกโดยังเป็นแหล่งของอุตสาหกรรมเบาบางประเภท เช่น เยื่อกระดาษ เบียร์ซัปโปโระ และผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบหลักของรายได้ของเขตนี้ ทั้งฤดูร้อนที่เย็นสบายเป็นที่ชมธรรมชาติ ป่าเขาที่สวยงาม และในฤดูหนาวก็มีเทศกาลหิมะซัปโปโรที่เลื่องชื่อเป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นเองและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก และสถานที่เล่นสกีก็มีอยู่มากมายเช่นเดียวกับบ่อน้ำร้อนที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบทำรายได้มหาศาลให้แก่ผู้คนในฮกไกโด

ระบบขนส่งมวลชน

[แก้]

ฮกไกโดเชื่อมกับเกาะฮนชูทางอุโมงค์เซกัง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางมาฮกไกโดโดยทางเครื่องบิน โดยมาลงที่ท่าอากาศยานชินชิโตเซะในเมืองชิโตเซะ ซึ่งอยู่ห่างจากซัปโปโระเพียง 40 นาทีโดยรถไฟ เที่ยวบินระหว่างโตเกียวและชิโตเซะมีมากถึง 45 เที่ยวต่อวันโดย 3 สายการบิน ซึ่งนับว่าติดอันดับโลก ฮกไกโดยังมีสายการบินเป็นของตัวเองชื่อแอร์โดซึ่งก็มาจากชื่อของเกาะฮกไกโดนั่นเอง นอกจากเครื่องบินแล้วฮกไกโดยังมีท่าเรือเฟอร์รีที่สามารถเดินทางไปยังเกาะต่าง ๆ ได้ แต่จะใช้เวลาค่อนข้างมาก

ส่วนภายในฮกไกโดนั้นจะใช้รถไฟเป็นหลัก รถไฟระหว่างเมืองดำเนินงานโดย JR ฮกไกโด แต่บางเมืองต้องเดินทางด้วยรถประจำทางหรือรถยนต์ส่วนตัวเท่านั้น สำหรับรถไฟใต้ดินมีเฉพาะที่นครซัปโปโระ

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

[แก้]

ฮกไกโดมีความสัมพันธ์กับเขตการปกครองในพื้นที่อื่นๆของโลกดังต่อไปนี้.[46]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Batchelor, John; Japanese Central Association (1893). An itinerary of Hokkaido, Japan, Volume 1. Tokyo: Hakodate Chamber of Commerce.
  2. "離島とは(島の基礎知識) (what is a remote island?)". MLIT (Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism) (ภาษาญี่ปุ่น). Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism. 22 August 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (website)เมื่อ 2007-11-13. สืบค้นเมื่อ 9 August 2019. MILT classification 6,852 islands (main islands: 5 islands, remote islands: 6,847 islands)
  3. 3.0 3.1 3.2 Nussbaum, Louis-Frédéric. (2005). "Hokkaidō" in Japan Encyclopedia, p. 343, p. 343, ที่กูเกิล หนังสือ
  4. 4.0 4.1 Seaton, Philip (2017). "Japanese Empire in Hokkaido". Oxford Research Encyclopedia of Asian History. doi:10.1093/acrefore/9780190277727.013.76. ISBN 978-0-19-027772-7.
  5. Mason, Michele (2012). Dominant Narratives of Colonial Hokkaido and Imperial Japan: Envisioning the Periphery and the Modern Nation-State. Palgrave Macmillan. pp. 7–9. ISBN 978-1-349-45025-1.
  6. "University of Hawai'i Press - Manifold".
  7. Hennessey, John (2018). "Engineering Japanese Settler Colonialism in Hokkaido: A Postcolonial Reevaluation of William Wheeler's Work for the Kaitakushi" (PDF). Asia in Focus. 6 (6): 3.
  8. 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 8.13 8.14 Jolliffe, Pia M. (15 October 2020). "Forced Labour in Imperial Japan's First Colony: Hokkaidō". The Asia–Pacific Journal. 18 (20).
  9. 9.0 9.1 "How the Sharing of Ainu Culture Became One Man's Lifework|Features|HOKKAIDO LOVE! -Hokkaido Official Tourism Site". 15 July 2023.
  10. 10.0 10.1 "Recent History of the Ainu" (PDF). The Culture and Recent History of the Ainu. Hokkaido Museum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 14 August 2024. สืบค้นเมื่อ 22 January 2025.
  11. Cobb, Ellie (20 May 2020). "Japan's forgotten indigenous people". BBC Travel. สืบค้นเมื่อ 29 December 2023.
  12. Honna, Nobuyuki; Tajima, Hiroko Tina; Minamoto, Kunihiko (2000). "Japan". ใน Kam, Ho Wah; Wong, Ruth Y. L. (บ.ก.). Language Policies and Language Education: The Impact in East Asian Countries in the Next Decade. Singapore: Times Academic Press. ISBN 978-9-81210-149-5.
  13. Hohmann, S. (2008). "The Ainu's modern struggle". World Watch. 21 (6): 20–24.
  14. "A Journey into the culture and history of Hokkaidō" (PDF). hkd.mlit.go.jp. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-09-17. สืบค้นเมื่อ 2019-05-29.
  15. 15.0 15.1 Japan Handbook, p. 760
  16. McClain, James L. (2002). Japan, A Modern History (First ed.). New York, N.Y.: W.W. Norton & Company. p. 285. ISBN 978-0-393-04156-9.
  17. Lie, John (2009) [2001]. Multiethnic Japan (revised ed.). Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press. pp. 89–90. ISBN 9780674040175. สืบค้นเมื่อ 15 March 2024. By the fifteenth century Ainu people were principally hunter-fisher-gatherers and engaged in far-flung trade with others, ranging from Aleutian islanders to the east, Russians and Chinese to the west, and Shamo (as the Ainu call Wajin, or Japanese people) to the south [....].
  18. Howell, David. "Ainu Ethnicity and the Boundaries of the Early Modern Japanese State", Past and Present 142 (February 1994), p. 142
  19. Ossenberg, Nancy (see reference) has the best evidence of this relationship with the Jōmon. Also, a newer study, Ossenberg, et al., "Ethnogenesis and craniofacial change in Japan from the perspective of nonmetric traits" (Anthropological Science v.114:99–115) is an updated analysis published in 2006 which confirms this finding.
  20. Harrison, John A. (1951). "The Capron Mission and the Colonization of Hokkaido, 1868-1875". Agricultural History. 25 (3): 135–136. JSTOR 3740831.
  21. Nakamura, Akemi, "Japan's last frontier took time to tame, cultivate image เก็บถาวร 2013-11-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน", The Japan Times, 8 July 2008, p. 3.
  22. เทียบกับ: The American Asian Review. New York: Institute of Asian Studies, St. John's University. 13 (1–2): 77. 1995 https://books.google.com/books?id=uu0YAQAAMAAJ. สืบค้นเมื่อ 15 March 2024. Using the expressive sound 'ah', and the Japanese copula da ('it is'), wajin encountering an Ainu person would shout out the insulting pun, 'ah, inu da,' 'It's an Ainu' or 'Oh, it's a dog!' {{cite journal}}: |title= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)
  23. Siripala, Thisanka (2020). "Far-Right Politics and Indigenous Ainu Activism in Japan" (PDF). Georgetown Journal of Asian Affairs. 6: 36–37.
  24. Siripala, Thisanka (2020). "Far-Right Politics and Indigenous Ainu Activism in Japan" (PDF). Georgetown Journal of Asian Affairs. 6: 36–37.
  25. Satow, Ernest. (1882). "The Geography of Japan" in Transactions of the Asiatic Society of Japan, Vols. 1–2, p. 88., p. 33, ที่กูเกิล หนังสือ
  26. Mason, Michele (2012). Dominant Narratives of Colonial Hokkaido and Imperial Japan: Envisioning the Periphery and the Modern Nation-State (PDF). Palgrave Macmillan. pp. 14–15. ISBN 978-1-349-45025-1.
  27. 27.0 27.1 27.2 27.3 27.4 27.5 Hennessey, John (2018). "Engineering Japanese Settler Colonialism in Hokkaido: A Postcolonial Reevaluation of William Wheeler's Work for the Kaitakushi" (PDF). Asia in Focus. 6 (6): 3.
  28. 28.0 28.1 28.2 28.3 28.4 Harrison, John A. (1951). "The Capron Mission and the Colonization of Hokkaido, 1868-1875". Agricultural History. 25 (3): 135–142. JSTOR 3740831.
  29. McDougall, Walter A. (1993). Let the Sea Make a Noise, pp. 355–356.
  30. McDougall, p. 357.
  31. 31.0 31.1 31.2 31.3 "University of Hawai'i Press - Manifold".
  32. "University of Hawai'i Press - Manifold".
  33. "University of Hawai'i Press - Manifold".
  34. 34.0 34.1 34.2 34.3 34.4 34.5 34.6 Mason, Michele (2012). Dominant Narratives of Colonial Hokkaido and Imperial Japan: Envisioning the Periphery and the Modern Nation-State. Palgrave Macmillan. pp. 7–9. ISBN 978-1-349-45025-1.
  35. Onishi, Norimitsu (3 July 2008). "Recognition for a People Who Faded as Japan Grew". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2024-04-11.
  36. 36.0 36.1 36.2 "Japan's forgotten indigenous people". www.bbc.com. 20 May 2020. สืบค้นเมื่อ 2024-04-11.
  37. Siripala, Thisanka (2020). "Far-Right Politics and Indigenous Ainu Activism in Japan" (PDF). Georgetown Journal of Asian Affairs. 6: 37.
  38. Siripala, Thisanka (2020). "Far-Right Politics and Indigenous Ainu Activism in Japan" (PDF). Georgetown Journal of Asian Affairs. 6: 36–38.
  39. Siripala, Thisanka (2020). "Far-Right Politics and Indigenous Ainu Activism in Japan" (PDF). Georgetown Journal of Asian Affairs. 6: 38.
  40. Onishi, Norimitsu (3 July 2008). "Recognition for a People Who Faded as Japan Grew". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2024-04-11.
  41. "Ainu in Japan". Minority Rights Group. สืบค้นเมื่อ 22 January 2025.
  42. "Chapter VII: 1945". The Official Chronology of the US Navy in World War II. Hyperwar. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 October 2020. สืบค้นเมื่อ 20 September 2011.
  43. "Translation of Message from Harry S. Truman to Joseph Stalin". สืบค้นเมื่อ 2024-04-11.
  44. Hirata, Daisuke; และคณะ (2013). "Molecular Phylogeography of the Brown Bear (Ursus arctos) in Northeastern Asia Based on Analyses of Complete Mitochondrial DNA Sequences". Mol Biol Evol. 30 (7): 1644–1652. doi:10.1093/molbev/mst077. PMID 23619144.
  45. Japanese Wiki page ja:北海道
  46. "Exchange Affiliates" เก็บถาวร 2015-05-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Retrieved on 5 December 2008.
  47. 47.0 47.1 47.2 47.3 "Hokkaido – Alberta Relations" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-12-04. สืบค้นเมื่อ 2010-05-30.
  48. "Alberta Sport, Recreation, Parks & Wildlife Foundation". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-28. สืบค้นเมื่อ 2010-05-30.
  49. "Massachusetts Hokkaido Association". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-30. สืบค้นเมื่อ 2010-05-30.
  50. "ソウル特別市との交流". สืบค้นเมื่อ 2013-11-03.
  51. "MOU of the Establishment of Friendship between Province of Chiang Mai and Prefecture of Hokkaido" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2018-12-29.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]