ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
ถ้วยรางวัลแชมป์ยุโรป
ก่อตั้ง1958; 66 ปีที่แล้ว (1958)
ภูมิภาคยุโรป (ยูฟ่า)
จำนวนทีม24 (รอบสุดท้าย)
54 (รอบคัดเลือก)
ทีมชนะเลิศปัจจุบันธงชาติอิตาลี อิตาลี (สมัยที่ 2)
ทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดธงชาติเยอรมนี เยอรมนี
ธงชาติสเปน สเปน
(3 สมัย)
เว็บไซต์เว็บไซต์ทางการ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (อังกฤษ: European Football Championship) หรือที่นิยมเรียกทั่วไปว่า ฟุตบอลยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญที่สุดของทีมชาติในทวีปยุโรป ซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปีโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) และจะห่างจากการแข่งขันฟุตบอลโลกของฟีฟ่า 2 ปี เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ในชื่อรายการว่า ยูโรเปียนเนชันส์คัพ (European Nations Cup) จากแนวคิดของอ็องรี เดอโลแน เลขาธิการสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสขณะนั้น ทั้งนี้การแข่งขัน 5 ครั้งแรก [1] มีทีมชาติร่วมแข่งขัน รอบสุดท้ายเพียง 4 ประเทศ ต่อมาตั้งแต่การแข่งขันครั้งที่ 3 ประจำปี พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) เปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็น ยูโรเปียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และในครั้งที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) มีทีมชาติเข้าแข่งรอบสุดท้าย เพิ่มเป็น 8 ประเทศ ส่วนการแข่งขันนัดชิงลำดับที่สาม ยกเลิกไปในครั้งที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) จากนั้นในครั้งที่ 10 เมื่อปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) เพิ่มจำนวนเป็น 16 ประเทศ ในรอบสุดท้าย การแข่งขันครั้งล่าสุด เมื่อปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) จัดการแข่งขันใน 11 ประเทศเจ้าภาพทั่วทวีปยุโรป

ประวัติ[แก้]

แผนที่ของทีมประเทศต่าง ๆ กับผลงานที่ดีที่สุด

ยุคแรกเริ่ม 4 ทีม[แก้]

เริ่มมีการแข่งขันครั้งแรกขึ้นมาในปี 1960 ในชื่อว่า ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ โดยเริ่มต้นรูปแบบการแข่งขันยังเป็นระบบการเล่นเหย้า-เยือนในรอบต้นๆ ก่อนที่จะเล่นแบบน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ บุคคลที่ผลักดันให้มีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในชาติเป็นกลางขึ้นมาคือ อองรี เดอลาเน่ย์ จากสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส และ ทำให้การแข่งขันรอบสุดท้ายครั้งแรกมีขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1960 โดยเป็นการพบกันระหว่าง สหภาพโซเวียต กับ ยูโกสลาเวีย ซึ่งผลลงเอยด้วยชัยชนะของทีมจากแดนหลังม่านเหล็กในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 ในปี 1964 ได้มีปัญหาขัดแย้งทางการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวในเกมกีฬา เมื่อ กรีซ ปฏิเสธที่จะเล่นกับ แอลเบเนีย หลังมีสงครามระหว่างประเทศ โดยการเล่นรอบชิงชนะเลิศ จัดที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน และแชมป์ก็ตกเป็นของเจ้าภาพที่เอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-1

เพิ่มเป็น 8 ทีม[แก้]

จากนั้นในปี 1968 ได้เปลี่ยนชื่อการแข่งขันจากฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ มาเป็น ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ พร้อมกับเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันเป็นแบบแบ่งกลุ่มโดยมี 8 สาย และแชมป์ของแต่ละกลุ่มจะเข้ามาเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ ที่ต้องแข่ง 2 นัด ก่อนเข้ารอบตัดเชือก โดยแชมป์ครั้งนี้เป็นของเจ้าภาพ อิตาลี ที่เอาชนะ ยูโกสลาเวีย 2-0 ในนัดรีเพลย์ หลังเกมแรกเสมอกัน 0-0 ฟุตบอลยูโร 1972 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเบลเยียม ยังคงใช้รูปแบบการแข่งขันเหมือนที่ผ่านมา โดยแชมป์ตกเป็นของ เยอรมัน ตะวันตก ที่ถล่ม สหภาพโซเวียต ไปอย่างขาดลอย 3-0 จากการทำประตูของ แกร์ด มุลเลอร์ คนเดียว 2 ลูก จากนั้นอีก 4 ปีต่อมา รอบชิงชนะเลิศมีขึ้นที่ยูโกสลาเวีย โดยที่ เชโกสโลวะเกีย เสมอ เยอรมัน 2-2 ก่อนที่จะมีการดวลจุดโทษครั้งแรก และแชมป์ก็ตกเป็นของ ขุนพลเช็กในที่สุด

มาถึงศึกยูโร 1980 ได้เริ่มใช้ระบบการแข่งแบบใหม่ โดย 8 ทีมจะต้องมาเล่นรอบสุดท้าย ที่ประเทศอิตาลี และแบ่งการเล่นออกเป็น 2 กลุ่ม นำแชมป์ของแต่ละกลุ่มมาเล่นรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งปรากฏว่า เยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ไปครองหลังเฉือนชนะ เบลเยียม 2-1 จนกระทั่งในศึกยูโร 1984 ที่ฝรั่งเศส ได้มีการเปลี่ยนระบบการแข่งขันให้ 2 ทีมที่มีคะแนนดีที่สุดของทั้ง 2 กลุ่ม เข้ามาเล่นในรอบ ตัดเชือก และในที่สุดเจ้าบ้านซึ่งนำทีมโดย มิเชล พลาตินี่ ก็ชนะ สเปน 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมกับคว้าแชมป์ได้อย่างงดงาม จาก

นั้นในปี 1988 เยอรมันตะวันตก ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบ้างโดยใช้รูปแบบเหมือนครั้งที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แฟนบอลเมืองเบียร์ต้องอกหัก ปล่อยให้ ฮอลแลนด์ ที่มีนักเตะชั้นเยี่ยมอย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น, แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด และ รุด กุลลิท คว้าแชมป์ไปครอง หลังเอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ มาถึงปี 1992 ที่สวีเดน ได้เกิดตำนานเทพนิยายเดนส์ขึ้นมา หลังจากทีมชาติเดนมาร์ก ได้เข้าร่วมการแข่งขันกะทันหัน เนื่องจาก ยูโกสลาเวีย ถูกตัดสิทธิ์ โดยขุนพลเมือง "โคนม" สร้างผลงานยอดเยี่ยมคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่มีเวลา เตรียมตัวไม่นานนัก

เพิ่มเป็น 16 ทีม[แก้]

ถึงศึกยูโร 1996 ที่อังกฤษ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันอีกครั้ง โดยมี 16 ทีมเข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 4 ทีม และ 2 อันดับแรกของแต่ละสายจะได้เข้ามาเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย นอกจากนั้น ยังมีการนำกฎ โกลเด้นโกล์มาใช้ครั้งแรกอีกด้วย และกฎนี้ก็ได้ใช้ตัดสินในรอบชิงชนะเลิศทันที โดยที่ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ หัวหอกเยอรมัน ซัดดับชีพ สาธารณรัฐเช็ก 2-1

จากนั้นในปี 2000 ก็เป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพร่วมโดย เบลเยียม และ ฮอลแลนด์ รับหน้าเสื่อคู่กัน จุดไคลแมกซ์ของการแข่งขัน ครั้งนี้อยู่ที่การทำประตูโกลเด้นโกล์ของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ที่พาฝรั่งเศส เอาชนะ อิตาลี พร้อมกับคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยอดเยี่ยม การชิงชัย 11 สมัยที่ผ่านมา ทำให้ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป กลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่แฟนบอลพูดกันว่าเพียงเติมบราซิล และอาร์เจนตินาลงไปในบรรดาทีมที่เข้ารอบสุดท้ายของศึกยูโรแต่ละครั้ง เราก็จะพบกับฟุตบอลโลกอีกเวอร์ชันดีๆ นี่เอง

เพิ่มเป็น 24 ทีม[แก้]

ในครั้งที่ 15 ซึ่งจะจัดขึ้นปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ทีมชาติในรอบสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 24 ทีมชาติ จัดการแข่งขันที่สาธารณรัฐโปแลนด์และประเทศยูเครน การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีทีมลงแข่งขันในรอบสุดท้าย 24 ทีม เปลี่ยนจากการแข่งขันเดิมที่มี 16 ทีม ซึ่งเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อ 1996 ภายใต้การจัดการแข่งขันแบบใหม่นั้น จะแบ่งเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม รอบแพ้คัดออกจะมี 3 รอบ และนัดชิงชนะเลิศ โดย 24 ทีมแบ่งเป็น 19 ทีม (แชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มของรอบคัดเลือก 9 กลุ่ม รวมไปถึงทีมอันดับที่ 3 ทีมีคะแนนดีที่สุด)

ผลการแข่งขัน[แก้]

ปีที่จัด เจ้าภาพ ชิงชนะเลิศ ชิงอันดับ 3
ชนะเลิศ ผลการ
แข่งขัน
รองชนะเลิศ อันดับ 3 ผลการ
แข่งขัน
อันดับ 4
ฟุตบอลยูโร 1960
(2503)
ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต 2 - 1
ต่อเวลา
ยูโกสลาเวีย เชโกสโลวาเกีย 2 - 0 ฝรั่งเศส
ฟุตบอลยูโร 1964
(2507)
สเปน สเปน 2 - 1 สหภาพโซเวียต ฮังการี 3 - 1
ต่อเวลา
เดนมาร์ก
ฟุตบอลยูโร 1968
(2511)
อิตาลี อิตาลี 1 - 1
ต่อเวลา
2 - 0
แข่งใหม่
ยูโกสลาเวีย อังกฤษ 2 - 0 สหภาพโซเวียต
ฟุตบอลยูโร 1972
(2515)
เบลเยียม เยอรมนีตะวันตก 3 - 0 สหภาพโซเวียต เบลเยียม 2 - 1 ฮังการี
ฟุตบอลยูโร 1976
(2519)
ยูโกสลาเวีย เชโกสโลวาเกีย 2 - 2
(5 - 3)
ดวลลูกโทษ
เยอรมนีตะวันตก เนเธอร์แลนด์ 3 - 2
ต่อเวลา
ยูโกสลาเวีย
ฟุตบอลยูโร 1980
(2523)
อิตาลี เยอรมนีตะวันตก 2 - 1 เบลเยียม เชโกสโลวาเกีย 1 - 1
(9 - 8)
ดวลลูกโทษ
อิตาลี
 
ปีที่จัด เจ้าภาพ ชนะเลิศ ผลการแข่งขัน รองชนะเลิศ เข้ารอบรองชนะเลิศ (ไม่มีชิงที่ 3)
ฟุตบอลยูโร 1984
(2527)
ฝรั่งเศส ฝรั่งเศส 2 - 0 สเปน เดนมาร์ก และ โปรตุเกส
ฟุตบอลยูโร 1988
(2531)
เยอรมนีตะวันตก เนเธอร์แลนด์ 2 - 0 สหภาพโซเวียต เยอรมนีตะวันตก และ อิตาลี
ฟุตบอลยูโร 1992
(2535)
สวีเดน เดนมาร์ก 2 - 0 เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และ สวีเดน
ฟุตบอลยูโร 1996
(2539)
อังกฤษ เยอรมนี 2 - 1
โกลเดนโกล
เช็กเกีย ฝรั่งเศส และ อังกฤษ
ฟุตบอลยูโร 2000
(2543)
เบลเยียม และ
เนเธอร์แลนด์
ฝรั่งเศส 2 - 1
โกลเดนโกล
อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และ โปรตุเกส
ฟุตบอลยูโร 2004
(2547)
โปรตุเกส กรีซ 1 - 0 โปรตุเกส เช็กเกีย และ เนเธอร์แลนด์
ฟุตบอลยูโร 2008
(2551)
ออสเตรีย และ
สวิตเซอร์แลนด์
สเปน 1 - 0 เยอรมนี ตุรกี และ รัสเซีย
ฟุตบอลยูโร 2012
(2555)
โปแลนด์ และ
ยูเครน
สเปน 4 - 0 อิตาลี เยอรมนี และ โปรตุเกส
ฟุตบอลยูโร 2016
(2559)
ฝรั่งเศส โปรตุเกส 1 - 0
ต่อเวลา
ฝรั่งเศส เยอรมนี และ เวลส์
ฟุตบอลยูโร 2020
(2564)
ทั่วยุโรป
(ถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ)
อังกฤษ (ตั้งแต่รอบรองชนะเลิศ)
อิตาลี 1 - 1
ต่อเวลา
(3 - 2)
ดวลลูกโทษ
อังกฤษ เดนมาร์ก และ สเปน
ฟุตบอลยูโร 2024
(2567)
เยอรมนี
ฟุตบอลยูโร 2028
(2571)
อังกฤษ
ไอร์แลนด์เหนือ
สาธารณรัฐไอร์แลนด์
สกอตแลนด์
เวลส์
ฟุตบอลยูโร 2032
(2575)
อิตาลี และ
ตุรกี

ความสำเร็จในฟุตบอลยูโร[แก้]

ภาพแผนที่ทวีปยุโรป แสดงจำนวนการชนะเลิศ ของทีมชาติแต่ละประเทศ
ทีมชาติ ชนะเลิศ รองชนะเลิศ เข้าชิงชนะเลิศ
ธงชาติเยอรมนี เยอรมนี 3 (19721, 19801, 1996) 3 (19761, 1992, 2008) 6
ธงชาติสเปน สเปน 3 (1964*, 2008, 2012) 1 (1984) 4
ธงชาติอิตาลี อิตาลี 2 (1968* 2020) 2 (2000, 2012) 4
ธงชาติฝรั่งเศส ฝรั่งเศส 2 (1984*, 2000) 1 (2016*) 3
ธงชาติรัสเซีย รัสเซีย 1 (19603) 3 (19643, 19723, 19883) 4
ธงชาติเช็กเกีย เช็กเกีย 1 (19762) 1 (1996) 2
ธงชาติโปรตุเกส โปรตุเกส 1 (2016) 1 (2004*) 2
ธงชาติเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ 1 (1988)
1
ธงชาติเดนมาร์ก เดนมาร์ก 1 (1992)
1
ธงชาติกรีซ กรีซ 1 (2004)
1
ธงชาติสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ยูโกสลาเวีย
2 (1960, 1968) 2
ธงชาติเบลเยียม เบลเยียม
1 (1980) 1
ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ
1 (2020) 1
* เจ้าภาพ
1 เยอรมนีตะวันตก

อ้างอิง[แก้]

  1. "2005/2006 season: final worldwide matchday to be 14 May 2006". FIFA.com. Fédération Internationale de Football Association. 19 December 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-12. สืบค้นเมื่อ 13 January 2012.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]