ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (ระยอง–พัทยา)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง–พัทยา
ข้อมูลสำคัญ
การใช้งานเชิงพาณิชย์/สาธารณะ/เชิงทหาร
เจ้าของกองทัพเรือไทย
ผู้ดำเนินงานการท่าอากาศยานอู่ตะเภา (อาคาร 1-2)
บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (อาคาร 3)
พื้นที่บริการจังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี เมืองพัทยา ประเทศไทย
ฐานการบินบางกอกแอร์เวย์
เครื่องบินกองทัพเรือไทย
ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล13 เมตร / 42 ฟุต
พิกัด12°40′47″N 101°00′18″E / 12.67972°N 101.00500°E / 12.67972; 101.00500พิกัดภูมิศาสตร์: 12°40′47″N 101°00′18″E / 12.67972°N 101.00500°E / 12.67972; 101.00500
แผนที่
UTPตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง
UTP
UTP
ตำแหน่งของสนามบินในประเทศไทย
UTPตั้งอยู่ในประเทศไทย
UTP
UTP
UTP (ประเทศไทย)
ทางวิ่ง
ทิศทาง ความยาว พื้นผิว
เมตร ฟุต
18/36 3,505 11,500 ยางมะตอย
แหล่งข้อมูล: DAFIF[1][2]
Airbus A380 ของสายการบินเอมิเรตส์แอร์ไลน์ ลำที่ทำการบินขึ้นลงที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาเนื่องจากสภาพอากาศท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ฝนตกหนัก เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561

ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง–พัทยา (อังกฤษ: U-Tapao Rayong-Pattaya International Airport) หรือมักเรียกกันว่า สนามบินอู่ตะเภา สนามบินพัทยา สนามบินกองทัพเรือ เป็นท่าอากาศยานของกองทัพเรือไทย เพื่อใช้ในการทำงานเกี่ยวกับหน่วยงานของทหารเรือ และยังเป็นท่าอากาศยานสำรองของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นท่าอากาศยานที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ (International Airport)[3] ตั้งอยู่ในพื้นที่ ตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพมหานคร เหนือระดับน้ำทะเล 13 เมตร ห่างจากจังหวัดระยองประมาณ 30 กิโลเมตร ห่างจากเมืองพัทยาประมาณ 40 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 190 กิโลเมตร ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ กองการบินทหารเรือ, กองเรือยุทธการ และกองการสนามบินอู่ตะเภา

ประวัติ[แก้]

สนามบินอู่ตะเภาเป็นท่าอากาศยานภายใต้การดูแลของกองทัพเรือไทย ริเริ่มโครงการในปี พ.ศ. 2504 สืบเนื่องจากกองทัพเรือต้องการก่อสร้างสนามบินทหารเรือ จึงดำเนินการสำรวจพื้นที่บริเวณจังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง ณ เวลานั้น กระทรวงกลาโหมได้อนุมัติให้ฝูงบินทหารเรือสังกัดกองเรือยุทธการ โดยใช้สนามบินกองทัพอากาศดอนเมืองเป็นสนามบินชั่วคราว

ต่อมากองบัญชาการทหารสูงสุดอนุมัติสร้างสนามบินแห่งใหม่ของกองทัพเรือบริเวณหมู่บ้านอู่ตะเภา จังหวัดระยอง โดยเป็นทางวิ่งลาดยางความยาว 1,200 เมตร เมื่อการก่อสร้างสำเร็จเรียบร้อย ในขณะนั้น ได้เกิดการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเวียดนามใต้ และประเทศลาว รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเห็นว่าต้องสร้างสนามบินขนาดใหญ่ในประเทศไทยเพิ่มเติม

ในปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลไทย และสหรัฐอเมริกา ได้มีโครงการร่วมกัน โดยคณะรัฐมนตรีได้ลงมติให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาปรับปรุงสนามบินอู่ตะเภาในปี พ.ศ. 2508 เพื่อเป็นหน่วยในการลำเลียงหน่วยรบไปยังจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ภายในประเทศ การก่อสร้างแล้วเสร็จในระยะเวลาประมาณ 1 ปี จอมพล ถนอม กิตติขจร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในเวลานั้น มีคำสั่งให้สนามบินแห่งนี้ให้กองทัพเรือใช้ในราชการ และดูแลรักษาสนามบิน โดยใช้ชื่อว่า "สนามบินอู่ตะเภา"

ในปี พ.ศ. 2519 กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทย รวมทั้งสนามบินอู่ตะเภาด้วย คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินพาณิชย์ระหว่างประเทศ และเป็นสนามบินสำรองของท่าอากาศยานดอนเมือง

หลังจากการปรับปรุงสนามบินอู่ตะเภาโดยกรมการบินพาณิชย์ คณะรัฐมนตรีเห็นว่าควรใช้ประโยชน์จากสนามบินอู่ตะเภามากขึ้น จึงพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเป็นท่าอากาศยานสากล โดยใช้ชื่อว่า "สนามบินนานาชาติระยอง–อู่ตะเภา" ภายใต้สังกัดของกองทัพเรือ โดยให้พัฒนาเป็นสนามบินพาณิชย์ร่วมกับกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม

การบินไทยได้ตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยานลำตัวกว้างแห่งที่สองขึ้นที่สนามบินอู่ตะเภา โดยศูนย์ซ่อมนี้สามารถรองรับเครื่องบิน ตระกูล Boeing 737, 747 และ 777 และเครื่องบินตระกูล Airbus A380, A300, A330 และ A340

วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 มีการเปิดให้ใช้สนามบินอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ในการระบายผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศไทย แทนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองที่ถูกคำสั่งปิดเนื่องจากมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558 ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์ แห่งที่ 3

วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561 สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ เปิดเส้นทางใหม่บินตรงจากท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา พัทยา ถึงท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ แบบเที่ยวบินประจำ 6 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยให้บริการทำการบินด้วยเครื่องบินแบบโบอิ้ง 737-800 (WL)

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561 การบินไทย ได้ลงนามสัญญาระหว่าง บริษัท การบินไทย และ บริษัท แอร์บัส เพื่อจัดตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยานของบริษัทแอร์บัส ที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา[4]

วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 การบินไทยทำการบินจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เที่ยวบิน TG8419 มาที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อทดสอบภายหลังซ่อมเครื่องบินทะเบียน HS-TGF[5]

วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 สายการบิน อูซ แอร์ เที่ยวบินที่ ZF7721 ทำการบินไปกลับจากเมืองมอสโก มายัง ท่าอากาศยานอู่ตะเภา

ในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2561 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2562 เที่ยวบินที่ทำการบินไกลที่สุดได้แก่ สายการบิน TUI Airways เที่ยวบิน TOM456/TOM457 ทำการบินจากเบอร์มิงแฮม เที่ยวบิน TOM162/TOM163 ทำการบินจากท่าอากาศยานลอนดอนแกตวิก และเที่ยวบิน TOM276/TOM277 ทำการบินจากเมืองแมนเซสเตอร์[6]

ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2563[7]มีเที่ยวบินจากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้าทำการบินที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาได้แก่ เที่ยวบิน dl8821 ทำการบินจากแอตแลนตาแวะที่เมืองแองเคอเรจก่อนมาที่อู่ตะเภา ต่อมาในวันที่ 14-15 เมษายน เที่ยวบิน dl8821 ทำการบินจากท่าอากาศยานนานาชาติแดเนียล เค. อิโนเอมาที่อู่ตะเภา ในวันที่ 19 เมษายนมีเที่ยวบินจากท่าอากาศยานนานาชาติฮาวายแวะท่าอากาศยานคาเดนะ จังหวัดโอกินาวะ ก่อนเข้าอู่ตะเภา

สายการบินที่ทำการบิน[แก้]

สายการบินที่ทำการบินในปัจจุบัน[แก้]

สายการบิน จุดหมายปลายทาง หมายเหตุ
บางกอกแอร์เวย์ ภูเก็ต ภายในประเทศ
เกาะสมุย ภายในประเทศ
ไทยซัมเมอร์แอร์เวย์ เชียงใหม่ ภูเก็ต เช่าเหมาลำ
ไทยไลอ้อนแอร์ เชียงใหม่ ภายในประเทศ
ฟลายดูไบ ดูไบ ระหว่างประเทศ
เรดวิงส์แอร์ไลน์ มอสโก เช่าเหมาลำ
อาเซอร์แอร์ Krasnoyarsk ,Omsk ,Moscow ,Novosibirsk ,Ekaterinburg ,Turmen ,Kemerovo ,Kazan ,St.Petersburg ,Vladivosto ,Irkutsk เช่าเหมาลำ
อุรุมชีแอร์ หลานโจ อุรุมชี ระหว่างประเทศ

สายการบินที่เคยทำการบินในอดีต[แก้]

สายการบิน จุดหมายปลายทาง หมายเหตุ
ไทยแอร์เอเชีย
สิงคโปร์ ระหว่างประเทศ
อุบลราชธานี ภายในประเทศ
หนานหนิง ระหว่างประเทศ
เฉิงตู ระหว่างประเทศ
กุ้ยหยาง ระหว่างประเทศ
ขอนแก่น ภายในประเทศ
อุดรธานี ภายในประเทศ
เชียงใหม่ ภายในประเทศ
ภูเก็ต ภายในประเทศ
มาเก๊า ระหว่างประเทศ
ไหโข่ว ระหว่างประเทศ
หาดใหญ่ ภายในประเทศ
การบินไทย สุวรรณภูมิ ภายในประเทศ
นกแอร์ เชียงใหม่ ภายในประเทศ
นครศรีธรรมราช ภายในประเทศ
ภูเก็ต ภายในประเทศ
สกลนคร ภายในประเทศ
อุดรธานี ภายในประเทศ
อุบลราชธานี ภายในประเทศ
นานฉาง ระหว่างประเทศ
ฉางชา ระหว่างประเทศ
ยี่ซาง ระหว่างประเทศ
ชูบูหลิง ระหว่างประเทศ
เหอถง ระหว่างประเทศ
เมลัน ระหว่างประเทศ
เบาเตา ระหว่างประเทศ
แอร์เอเชีย กัวลาลัมเปอร์ ระหว่างประเทศ
ไหหนาน ซานย่า ไหโข่ว ระหว่างประเทศ
เซินเจิ้น กวางโจว ระหว่างประเทศ
นิวเจน เจิ้งโจว ระหว่างประเทศ
ไทยไลอ้อนแอร์ ฉางชา ระหว่างประเทศ
ดงไห่แอร์ไลน์ เจิ้งโจว ระหว่างประเทศ
ไทยเวียดเจ็ทแอร์ โฮจิมินห์ ระหว่างประเทศ
กานต์แอร์
เชียงใหม่ ภายในประเทศ
อุบลราชธานี ภายในประเทศ
อุดรธานี ภายในประเทศ
ขอนแก่น ภายในประเทศ
หัวหิน ภายในประเทศ
ดอนเมือง ภายในประเทศ
สุราษฎร์ธานี ภายในประเทศ
หาดใหญ่ ภายในประเทศ

การคมนาคม[แก้]

อุปสรรคและการวิพากษ์วิจารณ์[แก้]

สนามบินอู่ตะเภา สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่เช่น Boeing 747 หรือ A380 ได้ แต่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงทำให้ไม่มีเที่ยวบินประจำมากนัก เที่ยวบินระหว่างประเทศที่มาใช้บริการเป็นแบบเช่าเหมาลำส่วนใหญ่ โดยเฉพาะจากประเทศรัสเซียเมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561 เนื่องจากฝนตกหนักเที่ยวบิน EK418 ได้ทำการบินมาลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา นับเป็นครั้งแรกที่ เครื่องบินA380 สายการบินต่างชาติ ได้แก่เอมิเรตส์แอร์ไลน์ ทำการบินลงที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาก่อนที่จะทำการบินต่อไปยัง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

สนามบินอู่ตะเภาได้แสดงศักยภาพอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์บุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2551 แต่เนื่องด้วยมีอาคารผู้โดยสารขนาดเล็ก และอุปกรณ์ภาคพื้นไม่เพียงพอ ทำให้มีสภาพแออัดในช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากนี้สนามบินอู่ตะเภา ยังใช้งานในภารกิจเที่ยวบินทางทหาร และเที่ยวบินขนส่งเพื่อมนุษยธรรม ในเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ

โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก[แก้]

ภายหลังเหตุการณ์บุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง จนเป็นเหตุทำให้ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาต้องกลับมาเปิดทำการและประสบปัญหาการแออัดของท่าอากาศยาน รัฐบาลได้เห็นความจำเป็นในการเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เพื่อใช้งานเป็นท่าอากาศยานหลักแห่งที่ 3 ของประเทศ และรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังจังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราดให้มากขึ้น รัฐบาลจึงได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อศึกษาแผนการจัดสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ พร้อมทั้งปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังเดิมให้อยู่ในสภาพที่พร้อมรองรับการใช้งานที่มากขึ้น โดยโครงการได้เริ่มศึกษาตั้งแต่ พ.ศ. 2552 จนกระทั่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้หยิบแผนศึกษากลับมาพิจารณาและบรรจุเป็นแผนแม่บทหลักของการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ใน พ.ศ. 2561

ต่อมา สกพอ. มีมติให้แยกแผนการดำเนินการออกเป็นสองส่วน ได้แก่เมืองการบินและอาคารผู้โดยสาร ให้กองทัพเรือเป็นผู้จัดหาเอกชนเข้ามาดำเนินการภายใต้รูปแบบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership) และศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ให้การบินไทยเป็นผู้ดำเนินการร่วมกับกองทัพเรือ โดยการบินไทยได้ลงนามความร่วมมือระหว่างสายการบินและแอร์บัส เพื่อจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานตามมาตรฐานของแอร์บัสแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การประมูล[แก้]

กองทัพเรือได้จัดให้มีการประมูล โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ในส่วนของเมืองการบินและอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 ด้วยวิธีการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562 โดยมีเอกชนเข้าร่วมยื่นข้อเสนอเป็น 3 กิจการร่วมค้า ได้แก่

  1. กิจการร่วมค้า บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัดและพันธมิตร (บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด, บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน), บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และ Fraport AG Frankfurt Airport Service Worldwide)
  2. กิจการร่วมค้าบีบีเอส (บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน))
  3. กิจการร่วมค้าแกรนด์แอสเซทคอนซอร์เทียม (บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน), บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น จำกัด (มหาชน), บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน))

ภายหลังกองทัพเรือได้ตัดสิทธิ์การประมูลของกลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร เนื่องจากนำส่งข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอด้านการเงินช้ากว่ากำหนด โดยทางกลุ่มได้ยื่นขอความคุ้มครองการประมูลและยื่นฟ้องกองทัพเรือต่อศาลปกครองกลางเพื่อให้คณะกรรมการคัดเลือกรับข้อเสนอที่ส่งช้าเกินเวลาเข้าพิจารณา ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกคำร้องเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เนื่องจากคณะกรรมการคัดเลือกมีกรอบเวลาในการคัดเลือกที่ชัดเจนเพื่อให้การแข่งขันในการยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนกับรัฐในโครงการดังกล่าวเป็นไปด้วยความเสมอภาคและเป็นธรรม และเพื่อป้องกันมิให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกัน อันเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการในฐานะผู้ทำหน้าที่คัดเลือกคู่สัญญาจะต้องวางตัวเป็นกลางและรักษากติกา กล่าวคือต้องดำเนินการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยไม่เลือกปฏิบัติ ทำให้คณะกรรมการคัดเลือกมีมติยืนมติเดิมคือไม่รับข้อเสนอทั้งชุดของกลุ่มธนโฮลดิ้ง และดำเนินการพิจารณาข้อเสนอทางเทคนิค (ซองที่ 2) และข้อเสนอด้านการเงิน (ซองที่ 3) ต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ศาลปกครองสูงสุดมีมติพิพากษากลับและออกคำสั่งคุ้มครองการประมูล โดยให้คณะกรรมการรับซองของกลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัดและพันธมิตร ที่เกินเวลาเข้าร่วมพิจารณา โดยศาลปกครองมีคำสั่งพิพากษาเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2563 ว่าให้กรรมการรับซองของกลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัดและพันธมิตร กลับเข้าสู่กระบวนการพิจารณา เนื่องจากถือเป็นกระบวนการทางธุรกรรม ไม่ได้มีผลต่อห้วงเวลาที่กำหนดไว้ ทำให้คณะกรรมการต้องรับซองของกลุ่มธนโฮลดิ้งกลับเข้าสู่กระบวนการพิจารณา

ผลการประมูลอย่างเป็นทางการ ณ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563 คณะกรรมการฯ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการผ่านหนังสือที่ กพอ.ทร. 79/2563 ว่ากลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส นำโดยบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวยส์ เป็นผู้ยื่นข้อเสนอและผลตอบแทนที่ดีที่สุดแก่รัฐ[8] โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการประมูลและผลการเจรจาระหว่างคณะกรรมการและ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด อันเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจที่จัดตั้งโดยกิจการร่วมค้าบีบีเอส เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2563 พร้อมทั้งลงมติจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการโครงการร่วม เพื่อเป็นตัวกลางในการวางแผนและประสานงานการก่อสร้างโครงการร่วมกันระหว่าง บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด และ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ผู้รับสัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เพื่อรองรับการพัฒนาทั้ง 2 โครงการควบคู่กันไปด้วย

แนวทางการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา[แก้]

โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ได้แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. โครงการในความรับผิดชอบของเอกชน (กิจการร่วมค้าบีบีเอส)
    1. อาคารผู้โดยสาร 3
    2. ศูนย์การขนส่งภาคพื้นดิน
    3. ศูนย์ธุรกิจการค้า
    4. คลังสินค้า และเขตประกอบการค้าเสรี
    5. ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติก
  2. โครงการในความรับผิดชอบของกองทัพเรือ
    1. ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (ดำเนินการร่วมกับการบินไทย)
    2. ศูนย์ฝึกอบรมอากาศยาน
    3. อาคารผู้โดยสาร 1 และ 2

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]