มุฮัมมัดในศาสนาอิสลาม
อิมามุลอันบิยาอ์ เราะซูลุลลอฮ์ มุฮัมมัด | |
---|---|
مُحَمَّد | |
ศาสนทูตของอิสลาม | |
ก่อนหน้า | อีซา (พระเยซู) |
ถัดไป | ไม่มี |
คำนำหน้าชื่อ | คอตะมุนนะบียีน ('ตราประทับของศาสดา') |
ชื่ออื่น | ดู ชื่อและสมญานามของมุฮัมมัด |
ส่วนบุคคล | |
เกิด | วันจันทร์ที่ 12 เราะบีอุลเอาวัล 53 ปีก่อน ฮ.ศ. (ป. 21 เมษายน ค.ศ. 570) หรือ วันเสาร์ที่ 17 เราะบีอุลเอาวัล 53 ปีก่อน ฮ.ศ. (ป. 26 เมษายน ค.ศ. 570) |
มรณภาพ | วันจันทร์ที่ 12 เราะบีอุลเอาวัล ฮ.ศ. 11 (8 มิถุนายน ค.ศ. 632) มะดีนะฮ์ รัฐอิสลามมะดีนะฮ์ |
ที่ฝังศพ | โดมเขียว มัสยิดอันนะบะวี มะดีนะฮ์ |
ศาสนา | อิสลาม |
คู่สมรส | ดู ภรรยาของมุฮัมมัด |
บุตร | ดู ลูกของมุฮัมมัด |
บุพการี |
|
ผลงานโดดเด่น | รัฐธรรมนูญมะดีนะฮ์ |
ชื่ออื่น | ดู ชื่อและสมญานามของมุฮัมมัด |
ญาติ | ดู พงศาวลีของมุฮัมมัด, อะฮ์ลุลบัยต์ |
ตำแหน่งชั้นสูง | |
ผู้ดำรงตำแหน่งถัดมา | ดู ผู้สืบทอดของมุฮัมมัด |
เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลาม บรรดานบี ในศาสนาอิสลาม |
---|
ส่วนหนึ่งของ |
ศาสนาอิสลาม |
---|
|
ส่วนหนึ่งของ |
มุฮัมมัด |
---|
|
ในศาสนาอิสลาม มุฮัมมัด (อาหรับ: مُحَمَّد) ได้รับการยกย่องเป็นตราประทับของศาสดาและอันนูร ผู้ถ่ายทอดพระวจนะนิรันดร์ของอัลลอฮ์ (กุรอาน) จากทูตสวรรค์ ญิบรีล แก่มนุษยชาติและญิน[1] มุสลิมเชื่อว่าอัลกุรอาน คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม ได้รับการเปิดเผยแก่มุฮัมมัดโดยพระผู้เป็นเจ้า และมุฮัมมัดถูกส่งมาเพื่อชี้นำผู้คนสู่อิสลาม ซึ่งเชื่อว่าไม่ได้เป็นศาสนาใหม่ แต่เป็นความเชื่อดั้งเดิมของมนุษยชาติ (ฟิฏเราะฮ์) ที่ไม่ถูกบิดเบือน และศาสดาก่อนหน้าอย่างอาดัม อิบรอฮีม มูซา และอีซา ก็นับถือความเชื่อเดียวกัน[2][3][4][5] หลักศาสนา สังคม และการเมืองที่มุฮัมมัดกำหนดไว้ด้วยอัลกุรอานกลายเป็นรากฐานของศาสนาอิสลามและโลกมุสลิม[6]
ตามธรรมเนียมมุสลิม มุฮัมมัดได้รับวะฮ์ยูครั้งแรกตอนอายุ 40 ปีในถ้ำฮิรออ์ที่มักกะฮ์ หลังจากนั้น ท่านจึงเริ่มสั่งสอนความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อล้มล้างความงมงายในอาระเบียก่อนอิสลาม[7][8] สิ่งนี้นำให้ชาวมักกะฮ์เริ่มต่อต้าน โดยมีอะบูละฮับกับอะบูญะฮล์เป็นศัตรูของมุฮัมมัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในธรรมเนียมอิสลาม นำไปสู่การกดขี่มุฮัมมัด และผู้ที่เป็นมุสลิมอพยพไปยังมะดีนะฮ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้รู้จักกันในชื่อฮิจเราะห์[9][10] จนกระทั่งมุฮัมมัดเริ่มสู้กลับพวกบูชารูปเคารพแห่งมักกะฮ์ในยุทธการที่บัดร์กึ่งตำนาน ซึ่งธรรมเนียมอิสลามระบุว่าไม่เพียงแต่จะเป็นการต่อสู้ระหว่างชาวมุสลิมกับผู้นับถือพระเจ้าหลายองค์ในยุคก่อนอิสลามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระหว่างทูตสวรรค์ฝ่ายมุฮัมมัดกับเหล่าเทพเจ้าและญินที่เข้าข้างพวกมักกะฮ์ด้วย หลังได้รับชัยชนะ เชื่อกันว่ามุฮัมมัดได้ชำระล้างอาระเบียจากการนับถือพระเจ้าหลายองค์ และแนะนำให้ผู้ติดตามของเขาละทิ้งการบูชารูปเคารพเพื่อความเป็นเอกภาพของพระเจ้า
มุฮัมมัดในฐานะผู้แสดงให้เห็นถึงการนำทางของพระผู้เป็นเจ้าและแบบอย่างของการละทิ้งการบูชารูปเคารพ ได้รับความเข้าใจว่าเป็นตัวอย่างที่เป็นแบบอย่างในเรื่องคุณธรรม จิตวิญญาณ และความเป็นเลิศทางศีลธรรม[11] มีการแสดงออกทางจิตวิญญาณของท่านในการเดินทางสู่ชั้นฟ้าทั้ง 7 (เมียะอ์รอจญ์) พฤติกรรมและคำแนะนำของท่านกลายเป็นที่รู้จักในนามซุนนะฮ์ ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้จริงตามคำสอนของมุฮัมมัด นอกจากนี้ มุฮัมมัดได้รับการยกย่องด้วยตำแหน่งและชื่อหลายแบบ เพื่อเป็นการให้เกียรติและกล่าวทัก มุฮัมมัดจะเรียกชื่อมุฮัมมัดพร้อมคำให้พรภาษาอาหรับว่า "ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม" ("ขอให้พระองค์อัลลอฮฺทรงอำนวยพรและทรงประทานความสันติแก่ท่าน")[12] บางครั้งย่อเป็น "ศ็อลฯ" มุสลิมมักเรียกมุฮัมมัดเป็น "ศาสดามุฮัมมัด" หรือแค่ "ท่านศาสดา" และถือว่าเป็นคนที่ดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาศาสนทูตทั้งหมด[2][13][14][15]
ในอัลกุรอาน
[แก้]ความเคารพ
[แก้]มุสลิมให้ความเคารพแก่มุฮัมมัดเป็นอย่างสูง[16] และบางคนถือว่าเป็นผู้ที่ดีที่สุดในบรรดาศาสนทูตทั้งหมด[2][13][14]
เมื่อพูดถึงท่าน มุสลิมจะเพิ่มตำแหน่ง "ศาสดา" หรือ "นบี" ข้างหน้ามุฮัมมัด และตามด้วยคำสรรเสริญ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม (صَلّى الله عليه وسلّم, "ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน") เสมอ[12] บางครั้งเขียนในรูปย่อเป็น ﷺ
มุสลิมไม่สักการะมุฮัมมัด เนื่องจากการสักการะในศาสนาอิสลามเป็นของพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น[14][17][18]
สัตว์
[แก้]การแสดงภาพ
[แก้]แม้ว่าศาสนาอิสลามประณามการแสดงภาพความเป็นพระเจ้าอย่างชัดแจ้งเท่านั้น ข้อห้ามดังกล่าวยังได้ขยายไปถึงศาสนทูตและนักบุญ และสำหรับชาวอาหรับนิกายซุนนี ครอบคลุมไปถึงสิ่งมีชีวิตใด ๆ ก็ตาม[19] แม้ว่าทั้งสำนักกฎหมายซุนนีและนิติศาสตร์ชีอะฮ์จะห้ามมิให้พรรณนาภาพมุฮัมมัดเป็นรูปเป็นร่างเหมือนกัน[20] การวาดภาพมุฮัมมัดปรากฏในตำราอาหรับและตุรกีออตโตมัน และรุ่งเรื่องเป็นการเฉพาะในสมัยจักรวรรดิข่านอิล (1256–1353), เตมือร์ (1370–1506) และซาฟาวิด (1501–1722) เนื่องจากมุฮัมมัดได้รับการอธิบายว่ามีใบหน้าสว่างดั่งแสง ใบหน้าของมุฮัมมัดในภาพวาดมักถูกแสงบัง หรือถ้าไม่มีแสงก็จะคลุมใบหน้าแทน[21]
แต่นอกจากข้อยกเว้นที่สำคัญและในอิหร่านสมัยใหม่[22] การวาดภาพมุฮัมมัดเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็น แต่ถ้ามีการวาด ส่วนใหญ่ก็จะคลุมใบหน้า[23][24]
หมายเหตุ
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Theuma, Edmund. "Qur'anic exegesis: Muhammad & the Jinn." (1996).
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Esposito, John (1998). Islam: The Straight Path. Oxford University Press. p. 12. ISBN 978-0-19-511233-7.
- ↑ Esposito (2002b), pp. 4–5.
- ↑ Peters, F.E. (2003). Islam: A Guide for Jews and Christians. Princeton University Press. p. 9. ISBN 978-0-691-11553-5.
- ↑ Esposito, John (1998). Islam: The Straight Path (3rd ed.). Oxford University Press. pp. 9, 12. ISBN 978-0-19-511234-4.
- ↑ "Muhammad (prophet)". Microsoft® Student 2008 [DVD] (Encarta Encyclopedia). Redmond, WA: Microsoft Corporation. 2007.
- ↑ Muir, William (1861). Life of Mahomet. Vol. 2. London: Smith, Elder, & Co. p. 55.
- ↑ Shibli Nomani. Sirat-un-Nabi. Vol 1 Lahore.
- ↑ Hitti, Philip Khuri (1946). History of the Arabs. London: Macmillan and Co. p. 116.
- ↑ "Muhammad". Encyclopædia Britannica Online. Encyclopædia Britannica, Inc. 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 January 2013. สืบค้นเมื่อ 27 January 2013.
- ↑ Matt Stefon, บ.ก. (2010). Islamic Beliefs and Practices. New York City: Britannica Educational Publishing. p. 58. ISBN 978-1-61530-060-0.
- ↑ 12.0 12.1 Matt Stefon (2010). Islamic Beliefs and Practices, p. 18
- ↑ 13.0 13.1 Morgan, Garry R (2012). Understanding World Religions in 15 Minutes a Day. Baker Books. p. 77. ISBN 978-1-4412-5988-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2016. สืบค้นเมื่อ 29 September 2015.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 Mead, Jean (2008). Why Is Muhammad Important to Muslims. Evans Brothers. p. 5. ISBN 978-0-237-53409-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 June 2016. สืบค้นเมื่อ 29 September 2015.
- ↑ Riedling, Ann Marlow (2014). Is Your God My God. WestBow Press. p. 38. ISBN 978-1-4908-4038-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 May 2016. สืบค้นเมื่อ 29 September 2015.
- ↑ Rippin, Andrew (2005). Muslims: Their Religious Beliefs and Practices. Routledge. p. 200. ISBN 978-0-415-34888-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-29.
- ↑ Morgan, Diane (2010). Essential Islam: A Comprehensive Guide to Belief and Practice. ABC-CLIO. p. 101. ISBN 978-0-313-36025-1.
- ↑ Khan, Arshad (2003). Islam, Muslims, and America: Understanding the Basis of Their Conflict. New York City: Algora Publishing. ISBN 978-0-87586-194-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-27.
- ↑ Titus Burckhardt The Void in Islamic Art Studies in Comparative Religion, Vol. 16, No. 1 & 2 (Winter-Spring, 1984 p. 2
- ↑ Arnold, T. W. (June 1919). "An Indian Picture of Muhammad and His Companions". The Burlington Magazine for Connoisseurs. The Burlington Magazine for Connoisseurs, No. 195. 34 (195): 249–252. JSTOR 860736.
- ↑ Gruber, Christiane. "Between logos (Kalima) and light (Nūr): representations of the Prophet Muhammad in Islamic painting." Muqarnas, Volume 26. Brill, 2009. 229-262.
- ↑ Christiane Gruber: Images of the Prophet In and Out of Modernity: The Curious Case of a 2008 Mural in Tehran, in Christiane Gruber; Sune Haugbolle (17 July 2013). Visual Culture in the Modern Middle East: Rhetoric of the Image. Indiana University Press. pp. 3–31. ISBN 978-0-253-00894-7.
- ↑ Arnold, Thomas W. (2002–2011) [First published in 1928]. Painting in Islam, a Study of the Place of Pictorial Art in Muslim Culture. Gorgias Press LLC. pp. 91–9. ISBN 978-1-931956-91-8.
- ↑ Dirk van der Plas (1987). Effigies dei: essays on the history of religions. BRILL. p. 124. ISBN 978-90-04-08655-5. สืบค้นเมื่อ 14 November 2011.
บรรณานุกรม
[แก้]- Ali, Muhammad (2011). Introduction to the Study of The Holy Qur'an. Ahmadiyya Anjuman Ishaat Islam Lahore USA. ISBN 978-1-934271-21-6.
- Bennett, Clinton (1998). In search of Muhammad. London: Continuum International Publishing Group. ISBN 978-0-304-70401-9.
- Esposito, John (1998). Islam: The Straight Path. Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-511233-7.
- Guillaume (1955). The Life of Muhammad: A Translation of Ibn Isḥāq's sīrat. London. ISBN 978-0-19-577828-1.
- Ghali, Muhammad M (2004). The History of Muhammad: The Prophet and Messenger (PDF). Cairo: Al-Falah Foundation. alternate URL
- Hitti, Philip Khuri (1946). History of the Arabs. London: Macmillan and Co.
- Khan, Majid Ali (1998). Muhammad the Final Messenger. India: Islamic Book Service. ISBN 978-81-85738-25-3.
- Khan, Muhammad Zafrullah (1980). Muhammad: Seal of the Prophets. Routledge & Kegan Paul. ISBN 978-0-7100-0610-3.
- Matt Stefon, บ.ก. (2010). Islamic Beliefs and Practices. New York: Britannica Educational Publishing. p. 58. ISBN 978-1-61530-060-0.
- Nigosian, S. A. (2004). Islam: Its History, Teaching, and Practices. Indiana: Indiana University Press. p. 17. ISBN 978-0-253-21627-4.
- Ramadan, Tariq (2007). In the Footsteps of the Prophet: Lessons from the Life of Muhammad. New York: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-530880-8.
- Al Mubarakpuri, Safi ur Rahman (2002). Ar-Raheeq Al-Makhtum (The Sealed Nectar).
- Muir, William (1892). The Caliphate: Its Rise, Decline and Fall, from Original Sources. University of Michigan; Religious Tract Society. ISBN 9781417948895.
- Shibli Nomani. Sirat-un-Nabi. Lahore.
- Watt, William Montgomery (1956). Muhammad at Medina. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-577307-1.