ลูกของมุฮัมมัด
ลูกของมุฮัมมัด | |||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
أولاد محمد | |||||||||||||||||
บุตร |
| ||||||||||||||||
ครอบครัว | บะนูฮาชิม |
นบีมุฮัมมัดในมุมมองทั่วไปมีลูกชายสามคน ได้แก่ อับดุลลอฮ์, อิบรอฮีม และกอซิม และลูกสาว 4 คน ได้แก่ ฟาฏิมะฮ์, รุก็อยยะฮ์, อุมมุกุลษูม และซัยนับ กล่าวกันว่า ลูกของมุฮัมมัดทุกคนถือกำเนิดจากเคาะดีญะฮ์ บินต์ คุวัยลิด ภรรยาคนแรกของท่าน ยกเว้นอิบรอฮีมที่กำเนิดจากมาริยะฮ์ อัลกิบฏียะฮ์ ไม่มีลูกชายคนใดที่มีชีวิตถึงวัยผู้ใหญ่ แต่ท่านมีบุตรบุญธรรมวัยผู้ใหญ่ชื่อซัยด์ อิบน์ ฮาริษะฮ์ ส่วนลูกสาวทั้งหมดมีชีวิตถึงวัยผู้ใหญ่ แต่มีเพียงฟาฏิมะฮ์เท่านั้นที่มีชีวิตต่อหลังจากพ่อเสียชีวิต
มุมมองซุนนี
[แก้]ข้อมูลซุนนีส่วนใหญ่จัดรายการลูกของนบีมุฮัมมัดตามลำดับเวลา (ในปีคริสตศักราช) ดังนี้
- กอซิม (598–601)
- ซัยนับ (599–629)
- รุก็อยยะฮ์ (601–624)
- อุมมุกุลษูม (603–630)
- ฟาฏิมะฮ์ (605–632)[1]
- อับดุลลอฮ์ (611–615)
- อิบรอฮีม (630–632)
มุมมองซุนนีระบุว่าลูกทั้งหมดถือกำเนิดจากเคาะดีญะฮ์ ภรรยาคนแรก ยกเว้นอิบรอฮีมที่กำเนิดจากมาริยะฮ์ อัลกิบฏียะฮ์[2]
มุมมองชีอะฮ์
[แก้]เนื่องจากความไม่น่าเป็นไปได้ที่เคาะดีญะฮ์ผู้สูงวัยจะคลอดบุตรได้มากขนาดนี้[2] ทำให้ข้อมูลชีอะฮ์บางส่วนจึงโต้แย้งว่ารุก็อยยะฮ์ อุมมุกุลษูม และไซนับเป็นบุตรีบุญธรรมที่มุฮัมมัดรับเลี้ยงหลัง Hala แม่ผู้เป็นพี่/น้องสาวของเคาะดีญะฮ์ เสียชีวิต[3][4] หรือเป็นลูกสาวสามคนของเคาะดีญะฮ์จากการแต่งงานครั้งก่อน[5] นักเขียนชีอะฮ์โต้แย้งว่าก่อนที่รุก็อยยะฮ์กับอุมมุกุลษูมแต่งงานกับอุษมาน อิบน์ อัฟฟาน พวกเธอเคยแต่งงานกับผู้ที่นับถือพหุเทวนิยม ซึ่งเป็นสิ่งที่มุฮัมมัดคงไม่อนุญาตให้กับลูกของท่าน[5] พวกเขายังอ้างถึงการไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำหรับความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างมุฮัมมัดกับรุก็อยยะฮ์ ซัยนับ หรืออุมมุกุลษูม ซึ่งต่างจากฟาฏิมะฮ์[5] มุมมองที่ว่าฟาฏิมะฮ์เป็นลูกสาวแท้คนเดียวของมุฮัมมัดอาจถือเป็นมุมมองสายหลักในอิสลามนิกายชีอะฮ์[3] หรืออย่างน้อยในชีอะฮ์สิบสองอิหม่าม ชีอะฮ์สายหลัก[4] ความเชื่อนี้พบเห็นได้ชัดในบรรดาชีอะฮ์แถบเอเชียใต้[6]
ลูกหลาน
[แก้]ลูกชายของมุฮัมมัดทั้งหมดเสียชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก[7][8] แม้ว่าท่านมีบุตรบุญธรรมวัยผู้ใหญ่ชื่อซัยด์ อิบน์ ฮาริษะฮ์ก็ตาม[9][8] บางคนเสนอแนะว่าการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของบรรดาลูกชายเป็นอันตรายต่อระบบการสืบมอดตามกรรมพันธุ์ของมุฮัมหมัด[8] อีกมุมมองหนึ่งคือลูกหลานของนบีก่อนหน้ากลายเป็นทายาททางจิตวิญญาณและโลกิยะในอัลกุรอาน และผู้สืบทอดของบรรดานบีคนก่อนหน้าได้รับการแก้ไขผ่านการคัดเลือกของพระเจ้าในอัลกุรอาน และไม่ใช่โดยผู้ศรัทธา[10][11]
ลูกสาวของมุฮัมมัดมีชีวิตถึงวัยผู้ใหญ่ แต่ทั้งหมดเสียชีวิตตั้งแต่ยังสาว[8] ยกเว้นเพียงฟาฏิมะฮ์ที่มีชีวิตหลังจากท่านเสียชีวิต[2] ฟาฏิมะฮ์แต่งงานกับอะลี อิบน์ อะบี ฏอลิบ ลูกพี่ลูกน้องของมุฮัมมัด จากครอบครัวนี้ทำให้ลูกหลานของมุฮัมมัดกระจายทั่วโลกมุสลิม[1] ลูกหลานฟาฏิมะฮ์ได้รับตำแหน่งยกย่องเป็นซัยยิดหรือชะรีฟ และได้รับเกียรติในชุมชนมุสลิม[1][4][12] รุก็อยยะฮ์กับอุมมุกุลษูมแต่งงานกับอุษมาน และซัยนับแต่งงานกับอะบู อัลอาศ อิบน์ อัรเราะเบียะอ์ ผู้ติดตามของมุฮัมมัดอีกคน อุมมุกุลษูมไม่ได้ให้กำเนิดลูก ส่วนรุก็อยยะฮ์ให้กำเนิดลูกชายชื่ออับดุลลอฮ์ที่เสียชีวิตในวัยเด็ก[13][14] ซัยนับให้กำเนิดลูกชายที่เสียชีวิตในวัยเด็กชื่ออะลี และลูกสาวชื่ออุมามะฮ์ที่อะลี อิบน์ อะบี ฏอลิบแต่งงานหลังฟาฏิมะฮ์เสียชีวิตใน ค.ศ. 632[15] ชาวมุสลิมถือว่ามุมมองและการเลี้ยงดูลูกของท่านที่ได้รับการบันทึกในฮะดีษ เป็นตัวอย่างที่สมควรทำตาม[16]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 Buehler 2014.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Ali 2008, p. 17.
- ↑ 3.0 3.1 Abbas 2021, p. 33.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Fedele 2018, p. 56.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Keaney 2021, p. 135.
- ↑ Hyder 2006, p. 75.
- ↑ Hughes 1885, p. 869.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 Peterson 2001, p. 497.
- ↑ Hazleton 2013, pp. 67, 68.
- ↑ Madelung 1997, pp. 9, 17.
- ↑ Jafri 1979, pp. 14–16.
- ↑ Kazuo 2012, p. 2.
- ↑ Madelung 1997, pp. 364.
- ↑ Ahmed 2011, p. 50.
- ↑ Haylamaz 2007, p. 83.
- ↑ Yust 2006, p. 72.
ข้อมูล
[แก้]- Abbas, H. (2021). The Prophet's Heir: The Life of Ali ibn Abi Talib. Yale University Press. ISBN 9780300252057.
- Ahmed, A.Q. (2011). The Religious Elite of the Early Islamic Ḥijāz: Five Prosopographical Case Studies. Occasional Publications UPR. ISBN 9781900934138.
- Ali, K. (2008). Smith, B.G. (บ.ก.). Khadijah. Vol. 3. Oxford University Press. pp. 17–18. ISBN 9780 195148909.
- Buehler, A.F. (2014). "Fatima (d. 632)". ใน Fitzpatrick, Coeli; Walker, A.H. (บ.ก.). Muhammad in History, Thought, and Culture: An Encyclopaedia of the Prophet of God. Vol. 1. ABC-CLIO. pp. 182–187. ISBN 9781610691789.
- Fedele, V. (2018). "Fatima (605/15–632 CE)". ใน de-Gaia, S. (บ.ก.). Encyclopedia of Women in World Religions. ABC-CLIO. p. 56. ISBN 9781440848506.
- Haylamaz, R. (2007). Khadija: The First Muslim and the Wife of the Prophet Muhammad (ภาษาอังกฤษ). Tughra Books. ISBN 9781597841214.
{{cite book}}
: CS1 maint: date and year (ลิงก์) - Hazleton, L. (2013). The First Muslim: The Story of Muhammad. Atlantic Books Ltd. ISBN 9781782392316.
- Hughes, T.P. (1885). Dictionary of Islam. W.H. Allen.
- Hyder, S.A. (2006). Reliving Karbala: Martyrdom in South Asian Memory. Oxford University Press. ISBN 9780195373028.
- Jafri, S.H.M (1979). Origins and Early Development of Shia Islam. London: Longman.
- Kazuo, M. (2012). "How to Behave Toward sayyids and sharīfs: A Trans-Sectarian Tradition of Dream Accounts". ใน Kazuo, M. (บ.ก.). Sayyids and Sharifs in Muslim societies: The Living Links to the Prophet. Routledge. ISBN 9780415519175.
- Keaney, H.N. (2021). 'Uthman ibn 'Affan: Legend or Liability?. Oneworld Academic. ISBN 9781786076977.
- Khetia, V. (2013). Fatima as a Motif of Contention and Suffering in Islamic Sources (วิทยานิพนธ์). Concordia University.
- Madelung, W. (1997). The Succession to Muhammad: A Study of the Early Caliphate. Cambridge University Press. ISBN 9780521561815.
- Peterson, D.C. (2001). "Muhammad". ใน Freedman, D.N.; McClymond, M.J. (บ.ก.). The Rivers of Paradise: Moses, Buddha, Confucius, Jesus, and Muhammad as Religious Founders. William B. Eerdmans Publishing Company. pp. 457–612. ISBN 0802845401.
- Soufi, D.L. (1997). The Image of Fatima in Classical Muslim Thought (วิทยานิพนธ์ PhD). Princeton University. ProQuest 304390529.
- Yust, K.M., บ.ก. (2006). Nurturing Child and Adolescent Spirituality: Perspectives from the World's Religious Traditions. Rowman & Littlefield. ISBN 9780742544635.
อ่านเพิ่ม
[แก้]- M.J. Kister. "The Sons of Khadija" (PDF). สืบค้นเมื่อ 22 February 2015.