ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อริยสัจ 4"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ZI Jony (คุย | ส่วนร่วม)
Reverted 3 edits by 202.149.101.114 (talk). (TW)
ป้ายระบุ: ทำกลับ
ย้อนการแก้ไขที่ 8459069 สร้างโดย 124.122.187.35 (พูดคุย)
ป้ายระบุ: ทำกลับ
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{พุทธศาสนา}}
{{พุทธศาสนา}}
'''อริยสัจ''' หรือ'''จตุราริยสัจ''' หรือ'''อริยสัจ 4''' เป็นหลักคำสอนหนึ่งของ[[พระโคตมพุทธเจ้า]] แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระ[[อริยบุคคล]] หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ
'''อริยสัจ''' หรือ'''จตุราริยสัจ''' หรือ'''อริยสัจ 4''' เป็นหลักคำสอนหนึ่งของ[[พระโคตมพุทธเจ้า]] แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระ[[อริยบุคคล]] หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ
# '''[[ทุกข์]]''' (นาม-รูป) คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คือ[[อุปาทานขันธ์]] หรือ[[ขันธ์ 5]]
# '''[[ทุกข์]]''' คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คือ[[อุปาทานขันธ์]] หรือ[[ขันธ์ 5]]
# '''[[สมุทัย]]''' (ตัวทุกข์) คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ [[ตัณหา|ตัณหา 3]] คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วย[[ภวทิฏฐิ]]หรือ[[สัสสตทิฏฐิ]] และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วย[[วิภวทิฏฐิ]]หรือ[[อุจเฉททิฏฐิ]]
# '''[[สมุทัย]]''' คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ [[ตัณหา|ตัณหา 3]] คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วย[[ภวทิฏฐิ]]หรือ[[สัสสตทิฏฐิ]] และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วย[[วิภวทิฏฐิ]]หรือ[[อุจเฉททิฏฐิ]]
# '''[[นิโรธ]]''' (ปัญญา) คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง
# '''[[นิโรธ]]''' คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง
# '''[[มรรค]]''' (ปัญญาหลุดพ้น/ทางหลุดพ้น) คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ มีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ 1. [[สัมมาทิฏฐิ]]-ความเห็นชอบ 2. [[สัมมาสังกัปปะ]]-ความดำริชอบ 3. [[สัมมาวาจา]]-เจรจาชอบ 4. [[สัมมากัมมันตะ]]-ทำการงานชอบ 5. [[สัมมาอาชีวะ]]-เลี้ยงชีพชอบ 6. [[สัมมาวายามะ]]-พยายามชอบ 7. [[สัมมาสติ]]-ระลึกชอบ และ 8. [[สัมมาสมาธิ]]-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง
# '''[[มรรค]]''' คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ มีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ 1. [[สัมมาทิฏฐิ]]-ความเห็นชอบ 2. [[สัมมาสังกัปปะ]]-ความดำริชอบ 3. [[สัมมาวาจา]]-เจรจาชอบ 4. [[สัมมากัมมันตะ]]-ทำการงานชอบ 5. [[สัมมาอาชีวะ]]-เลี้ยงชีพชอบ 6. [[สัมมาวายามะ]]-พยายามชอบ 7. [[สัมมาสติ]]-ระลึกชอบ และ 8. [[สัมมาสมาธิ]]-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง


มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงใน[[ไตรสิกขา]] ได้ดังนี้ 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ
มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงใน[[ไตรสิกขา]] ได้ดังนี้ 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ
บรรทัด 10: บรรทัด 10:
== กิจในอริยสัจ 4 ==
== กิจในอริยสัจ 4 ==
กิจในอริยสัจ คือสิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละข้อ ได้แก่
กิจในอริยสัจ คือสิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละข้อ ได้แก่
# '''ปริญญา''' - ทุกข์ (นาม-รูป) ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
# '''ปริญญา''' - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
# '''ปหานะ''' - สมุทัย (ตัวทุกข์) ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
# '''ปหานะ''' - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
# '''สัจฉิกิริยา''' - นิโรธ (ปัญญา) ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
# '''สัจฉิกิริยา''' - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
# '''ภาวนา''' - มรรค (ปัญญาหลุดพ้น/ทางหลุดพ้น) ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการหรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา
# '''ภาวนา''' - มรรค ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการหรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา


กิจทั้งสี่นี้จะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกิจในอริยสัจนี้เรียกว่ากิจญาณ
กิจทั้งสี่นี้จะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกิจในอริยสัจนี้เรียกว่ากิจญาณ
บรรทัด 20: บรรทัด 20:


# '''สัจญาณ''' หยั่งรู้ความจริงสี่ประการว่า
# '''สัจญาณ''' หยั่งรู้ความจริงสี่ประการว่า
## นี่คือทุกข์ (นาม-รูป)
## นี่คือทุกข์
## นี่คือเหตุแห่งทุกข์ (ตัวทุกข์)
## นี่คือเหตุแห่งทุกข์
## นี่คือความดับทุกข์ (ปัญญา)
## นี่คือความดับทุกข์
## นี่คือทางแห่งความดับทุกข์ (ปัญญาหลุดพ้น/ทางหลุดพ้น)
## นี่คือทางแห่งความดับทุกข์
# '''กิจญาณ''' หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า
# '''กิจญาณ''' หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า
## ทุกข์ควรรู้ (นาม-รูป)
## ทุกข์ควรรู้
## เหตุแห่งทุกข์ควรละ (ตัวทุกข์)
## เหตุแห่งทุกข์ควรละ
## ความดับทุกข์ควรทำให้ประจักษ์แจ้ง (ปัญญา)
## ความดับทุกข์ควรทำให้ประจักษ์แจ้ง
## ทางแห่งความดับทุกข์ควรฝึกหัดให้เจริญขึ้น (ปัญญาหลุดพ้น/ทางหลุดพ้น)
## ทางแห่งความดับทุกข์ควรฝึกหัดให้เจริญขึ้น
# '''กตญาณ''' หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำได้เสร็จสิ้นแล้ว
# '''กตญาณ''' หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำได้เสร็จสิ้นแล้ว
## ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว (นาม-รูป)
## ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว
## เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว (ตัวทุกข์)
## เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
## ความดับทุกข์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว (ปัญญา)
## ความดับทุกข์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว
## ทางแห่งความดับทุกข์ได้ปฏิบัติแล้ว (ปัญญาหลุดพ้น/ทางหลุดพ้น)
## ทางแห่งความดับทุกข์ได้ปฏิบัติแล้ว


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:34, 21 สิงหาคม 2562

อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยบุคคล หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ

  1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5
  2. สมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ
  3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง
  4. มรรค คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ มีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ 1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ 2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ 3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ 4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ 5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ 6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ 7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ 8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง

มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้ 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ

กิจในอริยสัจ 4

กิจในอริยสัจ คือสิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละข้อ ได้แก่

  1. ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
  2. ปหานะ - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
  3. สัจฉิกิริยา - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
  4. ภาวนา - มรรค ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการหรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา

กิจทั้งสี่นี้จะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกิจในอริยสัจนี้เรียกว่ากิจญาณ

กิจญาณเป็นส่วนหนึ่งของญาณ 3 หรือญาณทัสสนะ (สัจญาณ, กิจญาณ, กตญาณ) ซึ่งหมายถึงการหยั่งรู้ครบสามรอบ ญาณทั้งสามเมื่อเข้าคู่กับกิจในอริยสัจทั้งสี่จึงได้เป็นญาณทัสนะมีอาการ 12 ดังนี้

  1. สัจญาณ หยั่งรู้ความจริงสี่ประการว่า
    1. นี่คือทุกข์
    2. นี่คือเหตุแห่งทุกข์
    3. นี่คือความดับทุกข์
    4. นี่คือทางแห่งความดับทุกข์
  2. กิจญาณ หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า
    1. ทุกข์ควรรู้
    2. เหตุแห่งทุกข์ควรละ
    3. ความดับทุกข์ควรทำให้ประจักษ์แจ้ง
    4. ทางแห่งความดับทุกข์ควรฝึกหัดให้เจริญขึ้น
  3. กตญาณ หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำได้เสร็จสิ้นแล้ว
    1. ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว
    2. เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
    3. ความดับทุกข์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว
    4. ทางแห่งความดับทุกข์ได้ปฏิบัติแล้ว

อ้างอิง

  • ราชบัณฑิตยสถาน. (2548). พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. หน้า 65-66.
  • พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พุทธธรรม" มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2546