การขาดธาตุเหล็ก
การขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency ) | |
---|---|
ธาตุเหล็กในรูปแบบ heme | |
บัญชีจำแนกและลิงก์ไปภายนอก | |
ICD-10 | E61.1 |
ICD-9 | 269.3 |
DiseasesDB | 6947 |
MedlinePlus | 000584 |
eMedicine | med/1188 |
การขาดธาตุเหล็ก[1] หรือ ภาวะขาดธาตุเหล็ก[2] (อังกฤษ: Iron deficiency) เป็นการขาดสารอาหารที่สามัญที่สุดในโลก[3][4][5] ธาตุเหล็กมีอยู่ในเซลล์ทั้งหมดของร่างกายมนุษย์และมีหน้าที่สำคัญมากหลายอย่าง เช่น การนำเอาออกซิเจนไปยังอวัยวะต่าง ๆ จากปอด โดยเป็นองค์ประกอบกุญแจสำคัญของโปรตีนเฮโมโกลบินในเลือด, การเป็นสื่อนำอิเล็กตรอนภายในเซลล์ในรูป cytochrome, การอำนวยการใช้และการเก็บออกซิเจนภายในกล้ามเนื้อโดยเป็นส่วนของไมโยโกลบิน, และเป็นสิ่งที่จำเป็นในปฏิกิริยาของเอนไซม์ในอวัยวะต่าง ๆ การมีธาตุเหล็กน้อยเกินไปสามารถรบกวนหน้าที่จำเป็นต่าง ๆ เหล่านี้ โดยทำให้เกิดโรค และอาจให้ถึงตายได้[6]
ปริมาณธาตุเหล็กทั้งหมดในร่างกายมีประมาณ 3.8 ก. ในชาย และ 2.3 ก. ในหญิง ส่วนในน้ำเลือด เหล็กจะเวียนไปกับเลือดโดยยึดกับโปรตีน transferrin อย่างแน่น มีกลไกหลายอย่างที่ควบคุมเมแทบอลิซึมของเหล็กในมนุษย์ และป้องกันไม่ให้ขาด กลไกควบคุมหลักอยู่ในทางเดินอาหาร แต่ถ้าการสูญเสียเหล็กไม่สามารถชดเชยได้จากการทานอาหาร ภาวะขาดเหล็กก็จะเกิดขึ้นในที่สุด และถ้าไม่รักษา ก็จะลามไปเป็นภาวะโลหิตจางเหตุขาดธาตุเหล็ก (iron deficiency anemia) แต่ก่อนจะถึงภาวะโลหิตจาง ภาวะการขาดธาตุเหล็กโดยที่ยังไม่ถึงภาวะโลหิตจางเรียกว่า Latent Iron Deficiency (LID) หรือ Iron-deficient erythropoiesis (IDE)
การขาดธาตุเหล็กที่ไม่รักษาอาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจากเหตุขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นภาวะโลหิตจางที่สามัญ[7] โดยมีเม็ดเลือดแดง (erythrocytes) หรือเฮโมโกลบิน ไม่พอ คือ ภาวะโลหิตจางเหตุขาดธาตุเหล็กจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีเหล็กไม่พอ มีผลลดการผลิตโปรตีนเฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นตัวจับออกซิเจนและทำให้เม็ดเลือดแดงสามารถส่งออกซิเจนให้กับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
เด็ก หญิงช่วงวัยเจริญพันธุ์ และบุคคลที่มีอาหารไม่สมบูรณ์เสี่ยงต่อโรคมากที่สุด กรณีโดยมากของภาวะโลหิตจางเหตุขาดธาตุเล็กไม่รุนแรง แต่ถ้าไม่รักษาก็อาจสามารถสร้างปัญหาเช่นหัวใจเต้นเร็วหรือไม่ปกติ ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์ การโตช้าสำหรับทารกหรือเด็ก[8]
อาการ
[แก้]อาการขาดธาตุเหล็กสามารถเกิดขึ้นก่อนลามเป็นภาวะโลหิตจางเหตุขาดธาตุเหล็ก แต่อาการเหล่านี้ไม่เฉพาะเจาะจงต่อการขาดธาตุเหล็กเท่านั้น เหล็กจำเป็นต่อการทำงานที่เป็นปกติของเอนไซม์ ดังนั้น อาจจะเกิดอาการต่าง ๆ มากมายในที่สุด โดยเป็นอาการทุติยภูมิจากภาวะโลหิตจาง หรือเป็นอาการปฐมภูมิจากการขาดธาตุเหล็ก
อาการขาดธาตุเหล็กรวมทั้ง
- ความล้า
- อาการเวียนศีรษะ
- ซีด
- ผมหลุด
- กล้ามเนื้อกระตุกรัว (myoclonus)
- หงุดหงิด
- ความอ่อนเปลี้ยของกล้ามเนื้อ
- การทานสิ่งที่ไม่ใช่อาหารในเด็ก (pica)
- เล็บเปราะหรือเล็บแบนหรือเล็บเว้า
- Plummer-Vinson syndrome คือ เยื่อเมือกของลิ้น คอหอย และของหลอดอาหาร ฝ่อลงจนเจ็บ
- ภูมิต้านทานแย่ลง[10]
- อาการชอบกินน้ำแข็ง (pagophagia)
- restless legs syndrome คือความรู้สึกผิดปกติที่ทำให้ต้องขยับขา[11]
การขาดธาตุเหล็กอย่างต่อเนื่องอาจลามเป็นภาวะโลหิตจางและความอ่อนเปลี้ยที่เพิ่มขึ้น ภาวะเกล็ดเลือดมากสามารถเกิดขึ้นได้ด้วย การขาดธาตุเหล็กในเลือดเป็นเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้บุคคลไม่สามารถให้เลือด
เหตุ
[แก้]- เลือดออกเป็นประจำ (เพราะเฮโมโกลบินมีธาตุเหล็ก)
- การมีประจำเดือนมากเกินไป
- เลือดออกที่ไม่ใช่ประจำเดือน
- เลือดออกในทางเดินอาหาร (เช่น แผลในกระเพาะอาหาร แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น ริดสีดวงทวาร ลำไส้ใหญ่อักเสบแบบมีแผล [ulcerative colitis] มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น)
- (น้อยมาก) เลือดออกทางกล่องเสียงหรือทางเดินลมหายใจ
- การได้ธาตุเหล็กไม่พอ
- สารที่อยู่ในอาหารหรือยาที่รบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก
- ยาปฏิชีวนะ Fluoroquinolone[12]
- การดูดซึมอาหารที่ผิดปกติ
- การอักเสบซึ่งเป็นการปรับตัวที่ดีเพื่อจำกัดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเมื่อติดเชื้อ แต่ก็เกิดขึ้นด้วยกับโรคเรื้อรังบางอย่าง เช่น Inflammatory bowel disease และโรคไขข้ออักเสบ (rheumatoid arthritis)
- การให้เลือด
- การติดพยาธิ/ปรสิต
แม้ว่าจะมีการศึกษาเกี่ยวกับความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ที่เป็นเหตุการขาดธาตุเหล็กในหนู แต่ยังไม่ปรากฏกว่ามีโรคเมแทบอลิซึมของเหล็กสืบทางกรรมพันธุ์ในมนุษย์ ที่เป็นเหตุโดยตรงของการขาดเหล็ก
นักกีฬา
[แก้]เหตุผลที่เป็นไปได้ว่าการเล่นกีฬาอาจมีบทบาททำให้ขาดธาตุเหล็ก รวมทั้งการสลายของเม็ดเลือดแดงเนื่องจากการกระทบกระแทกทางกาย การเสียเหล็กผ่านเหงื่อและปัสสาวะ การเสียเลือดทางเดินอาหาร และการเสียเลือดในปัสสาวะ (haematuria)[13][14] แม้ว่าจะมีเหล็กจำนวนหนึ่งที่ขับออกทางเหงื่อและปัสสาวะ แต่ก็มองว่าไม่สำคัญแม้ว่านักกีฬาจะมีเหงื่อและปัสสาวะมากขึ้น เมื่อพิจารณาด้วยว่าร่างกายของนักกีฬาดูเหมือนจะปรับเก็บเหล็กไว้ได้ดีกว่า[13]
ส่วนภาวะโลหิตจางเหตุการสลายเม็ดเลือดแดงโดยกล (Mechanical hemolytic anemia) มีโอกาสมากที่สุดในกีฬาที่ต้องกระทบกระแทกมาก โดยเฉพาะในการวิ่งทางไกล ที่เม็ดเลือดแดงสลายเนื่องจากแรงกระแทกที่เท้ากับพื้น เลือดออกทางเดินอาหารที่เกิดจากการออกกำลังกายมีโอกาสมากที่สุดในนักกีฬาแบบอึด นอกจากนักวิ่งแล้ว ผู้ที่กระทบกระแทกเท้า เช่น นักกีฬาเค็นโด หรือกระทบกระแทกมือ เช่น คนตีกลอง นักกีฬาที่เน้นการคุมน้ำหนัก (เช่น บัลเลต์ ยิมนาสติก การวิ่งมาราธอน และมวยปล้ำ) และกีฬาที่เน้นการทานอาหารมีคาร์โบไฮเดรตสูง มีไขมันต่ำ อาจมีโอกาสเสี่ยงขาดธาตุเหล็กสูงขึ้น[13][14]
การวินิจฉัย
[แก้]- การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์สามารถตรวจพบภาวะโลหิตจางแบบมีเม็ดเลือดเล็ก (microcytic anemia)[15] แม้ว่านี้จะไม่แน่นอน – แม้กระทั่งเมื่อภาวะแย่ลงจนถึงเป็นโลหิตจางเหตุขาดธาตุเหล็กแล้ว
- ระดับ ferritin ในเลือดต่ำ ระดับ ferritin เป็นการตรวจที่ไวต่อภาวะโลหิตจางเหตุขาดธาตุเหล็กมากที่สุด แต่ว่า ระดับ ferritin ในเลือดก็ยังสามารถสูงขึ้นเนื่องจากการอักเสบ ดังนั้น ระดับ ferritin ปกติจะไม่สามารถกันการขาดเหล็กออกได้ และผลที่ได้จะชัดเจนยิ่งขึ้นถ้าตรวจระดับ C-reactive protein (CRP) พร้อมกันไปด้วย ระดับ ferritin ที่พิจารณาว่า สูง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ในโรค inflammatory bowel disease เกณฑ์อยู่ที่ 100 แต่ในภาวะหัวใจวายเรื้อรัง (CHF) เกณฑ์อยู่ที่ 200
- ระดับเหล็กในเลือดต่ำ
- ระดับ TIBC (total iron binding capacity) สูง แม้ว่านี้ก็จะสูงขึ้นด้วยในกรณีที่เป็นโลหิตจางเนื่องจากการอักเสบเรื้อรัง
- อาจจะตรวจเลือดในอุจจาระ (fecal occult blood) เจอด้วย ถ้าการขาดเหล็กมีเหตุเป็นเลือดออกในทางเดินอาหาร แม้ว่าการทดสอบจะไม่ค่อยไวเพราะว่าในบางกรณีที่มีเลือดออก ก็จะไม่พบอยู่ดี
เหมือนกับอย่างอื่น ค่าที่ได้ต้องเทียบกับค่าอ้างอิงของแล็บเมื่อพิจารณาสถานการณ์ทางคลินิกของบุคคลทุกอย่าง
การรักษา
[แก้]ก่อนเริ่มรักษา ควรจะวินิจฉัยให้ชัดเจนถึงเหตุขาดธาตุเหล็ก นี่สำคัญเป็นพิเศษในคนสูงอายุ ผู้เสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นเหตุให้เลือดออกในทางเดินอาหาร ในผู้ใหญ่ 60% ของคนไข้ที่มีภาวะโลหิตจางเหตุขาดเหล็กอาจมีโรคในทางเดินอาหารที่เป็นเหตุให้เลือดออกอยู่เรื่อย ๆ[16] เพราะว่า เป็นไปได้ว่าเหตุของการขาดธาตุเหล็กจำเป็นต้องรักษาด้วย
เมื่อได้วินิจฉัยที่สมควรแล้ว อาการสามารถรักษาได้ด้วยการให้ธาตุเหล็กเสริม วิธีการเสริมจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ความจำเป็นให้หายเร็ว (เช่น ถ้ากำลังรอการผ่าตัด) และโอกาสที่วิธีการรักษาจะมีประสิทธิผล (เช่น ถ้าเหตุของอาการมาจาก Inflammatory bowel disease, กำลังล้างไตอยู่, หรือว่ากำลังรักษาโดย erythropoiesis-stimulating agent อยู่) ตัวอย่างของยาทานที่เสริมเหล็กรวมทั้ง ferrous sulfate, ferrous gluconate, และเหล็กที่ยึดกับกรดอะมิโน (amino acid chelate tablets) งานวิจัยปี 2548 แสดงว่า การทดแทนธาตุเหล็ก อย่างน้อยในผู้สูงอายุที่ขาด อาจน้อยแพียงแค่ 15 มก. ต่อวันของธาตุเหล็ก[17]
แหล่งอาหาร
[แก้]การขาดธาตุเหล็กเล็กน้อยสามารถป้องกันและแก้ไขโดยทานอาหารที่สมบูณ์ด้วยเหล็กและการทำอาหารในกระทะเหล็ก เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นสิ่งจำเป็นต่อสัตว์และพืชโดยมาก จึงมีอาหารมากมายที่มีเหล็ก แต่แหล่งที่ดีของธาตุเหล็กจะเป็นแบบ heme-iron (cofactor ที่มีไอออนเหล็ก [Fe2+] อยู่ตรงกลางวงแหวนอินทรีย์แบบ heterocyclic ที่เรียกว่า porphyrin ดูรูป) เพราะว่านี่ดูดซึมได้ง่ายที่สุด และยาและสารอาหารอื่น ๆ จะไม่สามารถขัดขวางการดูดซึมได้ ตัวอย่างอาหารที่มีเหล็กแบบนี้คือ เนื้อที่มีสีแดงเมื่อดิบ (เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ) เป็ดไก่ และแมลง[18][19]
แหล่งอาหารแบบไม่ใช่ heme มีเหล็กเหมือนกัน แต่ร่างกายเอาไปใช้ได้ไม่เท่ากัน (คือมี reduced bioavailability) ตัวอย่างแหล่งเหล็กที่ไม่ใช่ heme รวมทั้งถั่ว ผักใบเขียว พิสตาชีโอ เต้าหู้ ขนมปังเสริมสารอาหาร และธัญพืชเสริมสารอาหาร แต่ร่างกายจะดูดซึมและปฏิบัติต่อเหล็กจากอาหารต่าง ๆ ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น เหล็กในเนื้อแดง (คือ เหล็กแบบ heme) สามารถดูดซึมได้ง่ายกว่าเหล็กในธัญพืชและผักใบเขียว (เหล็กที่ไม่ใช่ heme)[20]
แร่ธาตุและสารเคมีจากอาหารชนิดหนึ่งยังอาจยับยั้งการดูดซึมเหล็กจากอาหารอีกชนิดหนึ่งที่ทานในเวลาเดียวกันได้อีกด้วย[21] ยกตัวอย่างเช่น กรดออกซาลิกและกรดไฟเตต จะรวมเป็นสารประกอบที่ยึดกับเหล็กในท้องก่อนเกิดการดูดซึม และเพราะว่าเหล็กจากพืชดูดซึมได้ยากกว่าเหล็กแบบ heme จากสัตว์ คนทานเจหรือทานเจแบบวีแกน ควรจะได้อาหารที่มีเหล็กสูงกว่าบุคคลที่ทานเนื้อแดง ปลา และเป็ดไก่[22]
พืชวงศ์ถั่วและผักใบเขียวเช่น บรอกโคลี ผักวงศ์กะหล่ำปลี และอื่น ๆ เป็นแหล่งเหล็กที่ดีสำหรับคนที่ทานอาหารเจ แต่ว่า ผักโขมฝรั่ง (spinach) และบีตรูต มีกรดออกซาลิกซึ่งเข้ายึดกับเหล็ก ทำให้ร่างกายดูดซึมเหล็กไม่ได้ แต่เหล็กแบบไม่ใช่ heme จะดูดซึมได้ดีกว่าถ้าทานพร้อมกับอาหารที่มีเหล็ก heme หรือวิตามินซี[23]
ตารางสองตารางต่อไปนี้แสดงอาหารที่สมบูรณ์ด้วยเหล็กแบบ heme และแบบไม่ใช่ heme มากที่สุด[24] ในตารางทั้งสอง ปริมาณอาหารทานต่อครั้งอาจแตกต่างจาก 100 ก. เกณฑ์ปริมาณที่ต้องการตั้งที่ 18 มก. ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทรวงเกษตรสหรัฐแนะนำให้หญิงอายุระหว่าง 19-50 ปีทานทุกวัน[25]
อาหาร | ขนาด | เหล็ก | % USDA |
---|---|---|---|
หอยกาบคู่ | 100 ก. | 28 มก. | 155% |
ตับหมู | 100 ก. | 18 มก. | 100% |
ไตแกะ | 100 ก. | 12 มก. | 69% |
หอยนางรมสุก | 100 ก. | 12 มก. | 67% |
หมึกกระดอง | 100 ก. | 11 มก. | 60% |
ตับแกะ | 100 ก. | 10 มก. | 57% |
หมึกสาย | 100 ก. | 9.5 มก. | 53% |
หอยแมลงภู่ | 100 ก. | 6.7 มก. | 37% |
ตับวัว | 100 ก. | 6.5 มก. | 36% |
หัวใจวัว | 100 ก. | 6.4 มก. | 35% |
อาหาร | ขนาด | เหล็ก | % USDA |
---|---|---|---|
ถั่วเหลืองดิบ | 100 ก. | 7 มก. | 35% |
Spirulina | 15 ก. | 4.3 มก. | 24% |
ฟาลาเฟล | 140 ก. | 4.8 มก. | 24% |
ถั่วเหลือง | 125มล. = 1/2ถ้วย | 4.6 มก. | 23% |
ผักโขมฝรั่ง | 125 ก. | 4.4 มก. | 22% |
ถั่วเมล็ดแบน | 125มล. = 1/2ถ้วย | 3.5 มก. | 17.5% |
กากน้ำตาล (Bluelabel Australia) | 20มล. = 1ช้อนชา | 1.8 มก. | 9% |
ขิง | 15 ก.~3ชิ้น | 1.7 มก. | 8.5% |
งาย่าง/อบ | 10 ก. | 1.4 มก. | 7% |
โกโก้ | 5 ก.~1ช้อนชา | .8 มก. | 4% |
การขาดเหล็กอาจมีผลรุนแรงพอที่การทานอาหารจะช่วยแก้ไม่ทัน ดังนั้น การทานธาตุเหล็กบ่อยครั้งจะจำเป็นถ้าการขาดเหล็กออกอาการแล้ว
การถ่ายเลือด
[แก้]การถ่ายเลือดบางครั้งใช้รักษาการขาดเหล็กที่คนไข้มีปัญหาทางเลือดบางอย่าง[26] บางครั้งการถ่ายเลือดก็พิจารณาในบุคคลที่ขาดเหล็กเรื้อรังหรือว่าจะเข้าผ่าตัดเร็ว ๆ นี้ แต่แม้บุคคลเช่นนี้จะมีเฮโมโกลบินที่ต่ำ ก็ควรจะได้เหล็กทางปากหรือทางเส้นเลือดด้วย[26]
สภาพพร้อมใช้งานและการติดเชื้อ
[แก้]แบคทีเรียจะเติบโตได้ต้องอาศัยเหล็ก และดังนั้น การไม่มีเหล็กในสภาพพร้อมใช้งานทางชีวภาพ (bioavailability) เป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมการติดเชื้อ[27] ดังนั้น น้ำเลือดจึงส่งเหล็กยึดกับโปรตีน transferrin ที่เข้าไปในเซลล์โดยกระบวนการ endocytosis ระบบจึงสามารถกันไม่ให้เหล็กต่อแบคทีเรียได้[28]
ประมาณ 15-20% ของโปรตีนนมมนุษย์ประกอบด้วย lactoferrin ซึ่งเป็นโปรตีนในตระกูล transferrin[29] ซึ่งยึดกับเหล็ก และโดยเปรียบเทียบ มี lactoferrin ในนมวัวเพียงแค่ 2% ดังนั้น การที่มารดาให้นมลูกจึงมีการติดเชื้อน้อยกว่า[28] ยังมี lactoferrin ในน้ำตา น้ำลาย และที่แผลเพื่อช่วยเข้ายึดกับเหล็กเพื่อจำกัดการเติบโตของแบคทีเรียด้วย[28]: 29
เพื่อลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ระดับความเข้มข้นของเหล็กจะลดลงในภาวะการอักเสบเป็นระบบ เนื่องจากการผลิต hepcidin มากขึ้นโดยหลักปล่อยมาจากตับ เป็นการตอบสนองต่อ cytokine ที่สนับสนุนสภาวะอักเสบ เช่น Interleukin-6 แต่การขาดเหล็กโดยหน้าที่ของร่างกายเช่นนี้จะหายไปเองถ้ากำจัดแหล่งก่อความอักเสบ แต่ว่า ถ้าไม่แก้ไข นี่อาจจะลามเป็นภาวะโลหิตจางเหตุการอักเสบเรื้อรัง (Anaemia of Chronic Inflammation) การอักเสบอาจจะมาจากการมีไข้[30] Inflammatory Bowel Disease, การติดเชื้อ, หัวใจวายเรื้อรัง (CHF), มะเร็งเยื่อบุ, หรือจากการผ่าตัด
เมื่อพิจารณาการจำกัดไม่ให้เหล็กกับแบคทีเรียเช่นนี้ การทานธาตุเหล็กเสริมก็จะเป็นเหตุให้มีระดับเหล็กสูงขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งอาจเปลี่ยนชนิดแบคทีเรียที่มีอยู่ในท้อง เคยกังวลกันว่าการให้เหล็กผ่านเส้นเลือด (parenteral iron) ในระหว่างภาวะเลือดมีแบคทีเรีย แต่ว่า ในการรักษาจริง ๆ นี่กลับไม่เป็นปัญหา การขาดเหล็กระดับพอสมควร สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อแบบฉับพลัน โดยเฉพาะต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในเซลล์ตับ (hepatocyte) และที่อยู่ในเม็ดเลือดขาวแบบ macrophage เช่น มาลาเรียและวัณโรค ซึ่งเป็นประโยชน์ในเขตโลกที่มีโรคเหล่านี้แพร่หลายและการรักษาไม่ดี
เชิงอรรถและอ้างอิง
[แก้]- ↑ "deficiency", ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑ ฉบับ ๒๕๔๕,
การขาด, ความพร่อง
- ↑ "vitamin deficiency", Lexitron พจนานุกรมไทย<=>อังกฤษ รุ่น 2.6, หน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี,
ภาวะขาดวิตามิน
. 2546. - ↑ Centers for Disease Control and Prevention (2002). "Iron deficiency - United States, 1999-2000". MMWR. 51: 897–9.
- ↑ Hider, Robert C.; Kong, Xiaole (2013). "Chapter 8. Iron: Effect of Overload and Deficiency". ใน Sigel, Astrid; Sigel, Helmut; Sigel, Roland KO (บ.ก.). Interrelations between Essential Metal Ions and Human Diseases. Metal Ions in Life Sciences. Vol. 13. Springer. pp. 229–294. doi:10.1007/978-94-007-7500-8_8.
- ↑ Dlouhy, Adrienne C.; Outten, Caryn E. (2013). "Chapter 8.4 Iron Uptake, Trafficking and Storage". ใน Banci, Lucia (บ.ก.). Metallomics and the Cell. Metal Ions in Life Sciences. Vol. 12. Springer. doi:10.1007/978-94-007-5561-1_8. ISBN 978-94-007-5560-4. electronic-book ISBN 978-94-007-5561-1 ISSN 1559-0836 electronic-ISSN 1868-0402
- ↑ Centers for Disease Control and Prevention (3 เมษายน 1998). "Recommendations to Prevent and Control Iron Deficiency in the United States". Morbidity and Mortality Weekly Report (MMWR). 47 (RR-3): 1.
- ↑ CDC Centers for Disease Control and Prevention (3 เมษายน 1998). "Recommendations to Prevent and Control Iron Deficiency in the United States". Morbidity and Mortality Weekly Report (MMWR). 47 (RR3): 1. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2014.
- ↑ Centers for Disease Control and Prevention. "Iron and Iron Deficiency". สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2014.
- ↑ "Mortality and Burden of Disease Estimates for WHO Member States in 2002" (xls). World Health Organization. 2002.
- ↑ Wintergerst, E. S.; Maggini, S.; Hornig, D. H. (2007). "Contribution of Selected Vitamins and Trace Elements to Immune Function". Annals of Nutrition and Metabolism. 51 (4): 301–323. doi:10.1159/000107673. PMID 17726308.
- ↑ Rangarajan, Sunad; D'Souza, George Albert (เมษายน 2007). "Restless legs syndrome in Indian patients having iron deficiency anemia in a tertiary care hospital". Sleep Medicine. 8 (3): 247–51. doi:10.1016/j.sleep.2006.10.004. PMID 17368978.
- ↑ "Nonantibiotic Effects of Fluoroquinolones in Mammalian Cells". J Biol Chem. 290: 22287–97. กันยายน 2015. doi:10.1074/jbc.M115.671222. PMID 26205818.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 Nielson, Peter; Nachtigall, Detlef (ตุลาคม 1998). "Iron supplementation in athletes: current recommendations". Sports Med. 26 (4): 207–216. doi:10.2165/00007256-199826040-00001. PMID 9820921. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2013.
- ↑ 14.0 14.1 Chatard, Jean-Claude; Mujika, Iñigo; Guy, Claire; Lacour, Jean-René (เมษายน 1999). "Anaemia and Iron Deficiency in Athletes Practical Recommendations for Treatment" (PDF). Sports Med. 4. 27 (4): 229–240. doi:10.2165/00007256-199927040-00003. PMID 10367333. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 20 ตุลาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2013.
- ↑ Longmore, Murray; Wilkinson, Ian B; Rajagoplan, Supaj (2004). Oxford Handbook of Clinical Medicine (6th ed.). Oxford University Press. pp. 626–628. ISBN 0-19-852558-3.
- ↑ Rockey, D; Cello, J (1993). "Evaluation of the gastrointestinal tract in patients with iron-deficiency anemia". N Engl J Med. 329 (23): 1691–5. doi:10.1056/NEJM199312023292303. PMID 8179652.
- ↑ Rimon E, Kagansky N, Kagansky M, Mechnick L, Mashiah T, Namir M, Levy S (2005). "Are we giving too much iron? Low-dose iron therapy is effective in octogenarians". Am J Med. 118 (10): 1142–7. doi:10.1016/j.amjmed.2005.01.065. PMID 16194646.
- ↑ Defoliart, G (1992). "Insects as Human Food". Crop Protection. 11: 395–99.
- ↑ Bukkens, SGF (1997). "The Nutritional Value of Edible Insects". Ecol. Food. Nutr. 36 (2–4): 287–319.
- ↑ "Iron deficiency". Food Standards Agency. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 สิงหาคม 2006. สืบค้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2016.
- ↑ "Iron in diet". MedlinePlus.
- ↑ Mangels, Reed. "Iron in the vegan diet". The Vegetarian Resource Group.
- ↑ "Iron". The Merck Manuals Online Medical Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 ตุลาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2016.
- ↑ "iron rich foods". Rich Foods. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤษภาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2016.
- ↑ "Dietary Reference Intakes: Recommended Intakes for Individuals" (PDF). National Academy of Sciences. Institute of Medicine. Food and Nutrition Board. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 6 กันยายน 2013. สืบค้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2016.
- ↑ 26.0 26.1 American Association of Blood Banks (24 เมษายน 2014), "Five Things Physicians and Patients Should Question", Choosing Wisely: an initiative of the ABIM Foundation, American Association of Blood Banks, สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2014, which cites
- AABB (2011). Guidelines for Patient Blood Management and Blood. ISBN 978-1-56395-333-0. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2016.
- Lin, DM; Lin, ES; Tran, MH (ตุลาคม 2013). "Efficacy and safety of erythropoietin and intravenous iron in perioperative blood management: a systematic review". Transfusion medicine reviews. 27 (4): 221–34. doi:10.1016/j.tmrv.2013.09.001. PMID 24135037.
- ↑ Kluger, M. J.; Rothenburg, B. A. (1979). "Fever and reduced iron: Their interaction as a host defense response to bacterial infection". Science. 203 (4378): 374–376. doi:10.1126/science.760197. PMID 760197.
- ↑ 28.0 28.1 28.2 Nesse RM, Williams GC. Why We Get Sick: The New Science of Darwinian Medicine. New York. p. 30. ISBN 0-679-74674-9.
- ↑ Hutchens, T William; Lönnerdal, Bo (1997). Lactoferrin: Interactions and Biological Functions. p. 379.
- ↑ Weinberg, E. D. (1984). "Iron withholding: A defense against infection and neoplasia". Physiological reviews. 64 (1): 65–102. PMID 6420813.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Gropper, Sareen S; Smith, Jack L; Groff, James L (2009). "Enhancers and inhibitors of iron absorption". Advanced Nutrition and Human Metabolism (5th ed.). Belmont, California: Wadsworth, Cengage Learning. ISBN 978-0-495-11657-8. สืบค้นเมื่อ 2 ตุลาคม 2010. Alternative ISBN 0-495-11657-2.
- Umbreit, Jay (2005). "Iron Deficiency: A Concise Review" (PDF). American Journal of Hematology. 78 (3): 225–231. doi:10.1002/ajh.20249. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2010. สืบค้นเมื่อ 2 ตุลาคม 2010.
- Iron deficiency anemia. ที่ MayoClinic.org.
- Recommendations to Prevent and Control Iron Deficiency in the United States
- Iron Tests ที่ Lab Tests Online.
- Textbook on iron deficiency in various settings เก็บถาวร 2013-10-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน IronTherapy.Org (not accessible for general readers).
- Iron Deficiency conditions, symptoms, treatments เก็บถาวร 2012-06-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Iron Deficiency Guide.
- Advice for Improving your Iron Intake โดย University Hospital Southampton.