ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อุปัชฌาย์"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 3: | บรรทัด 3: | ||
'''อุปัชฌาย์''' (อ่านว่า อุปัดชา, อุบปัดชา) [[ความหมายโดยพยัญชนะ]] แปลว่า ผู้เข้าไปเพ่ง คือคอยดูแลเอาใจใส่ คอยแนะนำพรำเตือนลัทธิวิหาริก (ลูกศิษย์) ของตน โดยหมายถึง พระ[[เถระ]]ผู้ทำหน้าที่เป็น[[ประธาน]]ในการ[[บวช]]กุลบุตรในพระ[[พุทธศาสนา]] เรียกทั่วไปว่า '''พระอุปัชฌาย์''' |
'''อุปัชฌาย์''' (อ่านว่า อุปัดชา, อุบปัดชา) [[ความหมายโดยพยัญชนะ]] แปลว่า ผู้เข้าไปเพ่ง คือคอยดูแลเอาใจใส่ คอยแนะนำพรำเตือนลัทธิวิหาริก (ลูกศิษย์) ของตน โดยหมายถึง พระ[[เถระ]]ผู้ทำหน้าที่เป็น[[ประธาน]]ในการ[[บวช]]กุลบุตรในพระ[[พุทธศาสนา]] เรียกทั่วไปว่า '''พระอุปัชฌาย์''' |
||
พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่หลัก ๒ อย่างคือเป็นผู้รับผิดชอบและรับรองผู้บวชในพิธี[[บรรพชา]][[อุปสมบท]]และเป็นผู้รับปกครองดูแล แนะนำ ตักเตือนและติดตามความเป็นอยู่ของผู้ที่ตนบวชให้ เหมือนบิดาปกครองดูแลบุตร |
พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่หลัก ๒ อย่างคือเป็นผู้รับผิดชอบและรับรองผู้บวชในพิธี[[บรรพชา]][[อุปสมบท]]และเป็นผู้รับปกครองดูแล แนะนำ ตักเตือนและติดตามความเป็นอยู่ของผู้ที่ตนบวชให้ เหมือนบิดาปกครองดูแลบุตร ตามกฎมหาเถรสมาคมนั้นได้กำหนดให้เขตปกครองคณะสงฆ์ตำบลหนึ่ง ให้มีพระอุปัชฌาย์เพียงหนึ่งรูป เว้นแต่ มีกรณีพิเศษ |
||
== การแต่งตั้ง == |
|||
อุปัชฌาย์ในปัจจุบันจะต้องได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องตาม[[กฎหมาย]]ว่าด้วยการคณะ[[สงฆ์]] เป็นเองไม่ได้ |
อุปัชฌาย์ในปัจจุบันจะต้องได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องตาม[[กฎหมาย]]ว่าด้วยการคณะ[[สงฆ์]] เป็นเองไม่ได้ |
||
กล่าวคือ ต้องเป็นพะอุปัชฌาย์ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๗ ( พ.ศ. ๒๕๓๖ ) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ |
กล่าวคือ ต้องเป็นพะอุปัชฌาย์ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๗ ( พ.ศ. ๒๕๓๖ ) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ |
||
== ประเภท == |
|||
ปัจจุบันพระอุปัชฌาย์มี 3 ประเภท อันได้แก่ |
|||
# พระอุปัชฌาย์สามัญ ซึ่งหมายถึง พระอุปัชฌาย์ที่ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะใหญ่ |
|||
# พระอุปัชฌาย์วิสามัญ ซึ่งหมายถึง พระอุปัชฌาย์ที่ได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระสังฆราช |
|||
# พระอุปัชฌาย์ผู้ได้รับตราตั้งพระอุปัชฌาย์อยู่ก่อนใช้กฎมหาเถรสมาคม |
|||
== คุณสมบัติ == |
|||
(๑) มีตำแหน่งในทางการปกครองชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไป เว้นแต่พระอารามหลวง |
|||
(๒) มีพรรษาพ้น ๑๐ |
|||
(๓) ไม่เป็นผู้มีร่างกายทุพพลภาพไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรืออาพาธเป็นโรคติดต่อ เช่น โรคเรื้อน หรือวัณโรคในระยะอันตราย |
|||
(๔) มีประวัติความประพฤติดี |
|||
(๕) เป็นที่นับถือของประชาชน ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ |
|||
(๖) เป็นเปรียญหรือนักธรรมเอก เว้นแต่ในบางท้องถิ่นซึ่งเจ้าคณะพิจารณาเห็นสมควรผ่อนผัน |
|||
(๗) มีความสามารถฝึกสอนผู้อยู่ในปกครองให้เป็นพระภิกษุสามเณรที่ดี ตามพระธรรมวินัย และสามารถบำเพ็ญกรณียกิจอันอยู่ในหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ได้ |
|||
(๘) มีความรู้ความสามารถ ทำอุปสมบทกรรมให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และระเบียบแบบแผนของคณะสงฆ์ |
|||
==อ้างอิง== |
==อ้างอิง== |
||
[[พระธรรมกิตติวงศ์]] (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ [[ราชบัณฑิต]] ''พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด'', [[วัดราชโอรสาราม]] กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548 |
[[พระธรรมกิตติวงศ์]] (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ [[ราชบัณฑิต]] ''พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด'', [[วัดราชโอรสาราม]] กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548 |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 02:30, 24 ตุลาคม 2551
ส่วนหนึ่งของชุดบทความ |
ศาสนาพุทธ |
---|
อุปัชฌาย์ (อ่านว่า อุปัดชา, อุบปัดชา) ความหมายโดยพยัญชนะ แปลว่า ผู้เข้าไปเพ่ง คือคอยดูแลเอาใจใส่ คอยแนะนำพรำเตือนลัทธิวิหาริก (ลูกศิษย์) ของตน โดยหมายถึง พระเถระผู้ทำหน้าที่เป็นประธานในการบวชกุลบุตรในพระพุทธศาสนา เรียกทั่วไปว่า พระอุปัชฌาย์
พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่หลัก ๒ อย่างคือเป็นผู้รับผิดชอบและรับรองผู้บวชในพิธีบรรพชาอุปสมบทและเป็นผู้รับปกครองดูแล แนะนำ ตักเตือนและติดตามความเป็นอยู่ของผู้ที่ตนบวชให้ เหมือนบิดาปกครองดูแลบุตร ตามกฎมหาเถรสมาคมนั้นได้กำหนดให้เขตปกครองคณะสงฆ์ตำบลหนึ่ง ให้มีพระอุปัชฌาย์เพียงหนึ่งรูป เว้นแต่ มีกรณีพิเศษ
การแต่งตั้ง
อุปัชฌาย์ในปัจจุบันจะต้องได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการคณะสงฆ์ เป็นเองไม่ได้ กล่าวคือ ต้องเป็นพะอุปัชฌาย์ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๗ ( พ.ศ. ๒๕๓๖ ) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์
ประเภท
ปัจจุบันพระอุปัชฌาย์มี 3 ประเภท อันได้แก่
- พระอุปัชฌาย์สามัญ ซึ่งหมายถึง พระอุปัชฌาย์ที่ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะใหญ่
- พระอุปัชฌาย์วิสามัญ ซึ่งหมายถึง พระอุปัชฌาย์ที่ได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระสังฆราช
- พระอุปัชฌาย์ผู้ได้รับตราตั้งพระอุปัชฌาย์อยู่ก่อนใช้กฎมหาเถรสมาคม
คุณสมบัติ
(๑) มีตำแหน่งในทางการปกครองชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไป เว้นแต่พระอารามหลวง (๒) มีพรรษาพ้น ๑๐ (๓) ไม่เป็นผู้มีร่างกายทุพพลภาพไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรืออาพาธเป็นโรคติดต่อ เช่น โรคเรื้อน หรือวัณโรคในระยะอันตราย (๔) มีประวัติความประพฤติดี (๕) เป็นที่นับถือของประชาชน ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ (๖) เป็นเปรียญหรือนักธรรมเอก เว้นแต่ในบางท้องถิ่นซึ่งเจ้าคณะพิจารณาเห็นสมควรผ่อนผัน (๗) มีความสามารถฝึกสอนผู้อยู่ในปกครองให้เป็นพระภิกษุสามเณรที่ดี ตามพระธรรมวินัย และสามารถบำเพ็ญกรณียกิจอันอยู่ในหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ได้ (๘) มีความรู้ความสามารถ ทำอุปสมบทกรรมให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และระเบียบแบบแผนของคณะสงฆ์
อ้างอิง
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548