ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๕ ยุทธหัตถี
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๕ ยุทธหัตถี | |
---|---|
ใบปิดภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ | |
กำกับ | หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล |
บทภาพยนตร์ | หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ดร. สุเนตร ชุตินธรานนท์ |
อำนวยการสร้าง | หม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล คุณากร เศรษฐี |
นักแสดงนำ | |
ผู้บรรยาย | มนตรี เจนอักษร |
กำกับภาพ | สตานิสลาฟ ดอร์ซิก |
ตัดต่อ | หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หม่อมราชวงศ์ปัทมนัดดา ยุคล |
ดนตรีประกอบ | เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน |
บริษัทผู้สร้าง | |
ผู้จัดจำหน่าย | สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล |
วันฉาย | 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 |
ความยาว | 118 นาที |
ประเทศ | ไทย |
ภาษา | ไทย พม่า มอญ |
ทำเงิน | 206.86 ล้านบาท (เฉพาะ กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดเชียงใหม่) |
ก่อนหน้านี้ | ศึกนันทบุเรง |
ต่อจากนี้ | อวสานหงสา |
ข้อมูลจาก IMDb | |
ข้อมูลจากสยามโซน |
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๕ ยุทธหัตถี เป็นภาพยนตร์ภาคที่ห้าในภาพยนตร์ชุด ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กำหนดฉายในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ภาพยนตร์ทำรายได้ 206.86 ล้านบาท (ในเขต กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดเชียงใหม่)[1]
เนื้อเรื่อง
[แก้]ในปี พ.ศ. 2129 พระเจ้านันทบุเรงทรงแค้นเคืองที่ต้องปราชัยต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอย่างย่อยยับ ทั้งต้องเสียไพร่พลและพระสิริโฉม จึงระบายความแค้นนั้นไปที่องค์พระสุพรรณกัลยา เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระราชบิดาทราบความก็ให้โทมนัสด้วยสำนึกว่าชะตากรรมของพระราชธิดาและแผ่นดินอยุธยาที่ถูกกระทำการย่ำยีก็ด้วยเพราะพระองค์ทรงแปรพักตร์ไปเข้าข้างศัตรู จนตรอมพระทัยเสด็จสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระชนมายุ 31 พรรษา จึงเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากพระราชบิดา สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช หรือ สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ 1
ข่าวการผลัดแผ่นดินของกรุงศรีอยุธยารู้ไปถึงพระเจ้านันทบุเรง แห่งกรุงหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรง พระราชโอรสในพระเจ้าบุเรงนอง สำคัญว่าราชอาณาจักรสยาม หรืออาณาจักรอยุธยาจะไม่เป็นปกติสุขเป็นช่องชวนชิงเชิง จึงโปรดให้พระราชบุตร มังสามเกียด หรือมังกยอชวาที่ 1 พระมหาอุปราชาเจ้าวังหน้ากรีฑาทัพไปตีกรุงศรีอยุธยาอีกคำรบ นำกองทัพทหาร 240,000 นาย มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่า พม่ายกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลัง 100,000 นาย เดินทางออกจากบ้านป่าโมก อ่างทองไปยังสุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง ลพบุรี และตั้งค่ายหลวงบริเวณ ต.หนองสาหร่าย
โดยสมเด็จพระนเรศวรโปรดให้พระราชมนูแต่งพลเป็นทัพหน้าขึ้นไปลองกำลังข้าศึกถึงหนองสาหร่าย ทัพหน้าพระราชมนูปะทะเข้ากับทัพพม่าถึงขั้นตะลุมบอน แต่กำลังข้างพระราชมนูน้อยกว่าจึงแตกพ่ายถอยลงมาเป็นอลหม่าน สมเด็จพระนเรศวรทราบความจึงออกอุบายให้ทัพข้าศึกไล่เตลิดลงมาจนเสียกระบวนแล้วจึงทรงนำกำลังออกยอทัพข้าศึก ครั้งนั้นพระคชสารทรงของสมเด็จพระนเรศวร นามเจ้าพระยาไชยานุภาพ (พลายภูเขาทอง) และพระคชสารทรงของสมเด็จพระเอกาทศรถคือเจ้าพระยาปราบไตรจักร (พลายบุญเรือง) ต่างตกมัน วิ่งเตลิดแบกพลฝ่าเข้าไปในทัพพม่ารามัญกลางวงล้อมข้าศึก และหยุดอยู่หน้าช้างพระมหาอุปราชา สมเด็จพระนเรศวรทรงทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าพระยาขุนศึก จึงทราบได้ว่าพระคชสารทรงของสองพระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพข้าศึก และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยความคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า "พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้สมพระเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว"
พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสพระคชสารนามว่าพลายพัทธกอเข้าทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวร ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าทำให้พลายพัทธกอชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพใช้เท้าหลังยันโคนต้นพุทราชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันมางจาชโร เจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลาอีกยาวนานประมาณร้อยเจ็ดสิบห้าปี
นักแสดง
[แก้]- พลตรีวันชนะ สวัสดี รับบท สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ 2
- ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ รับบท มณีจันทร์ หรือ เจ้าขรั่วมณีจันทร์
- นพชัย ชัยนาม รับบท พระราชมนู
- อินทิรา เจริญปุระ รับบท เลอขิ่น
- นภัสกร มิตรเอม รับบท พระมหาอุปราชา
- จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ รับบท พระเจ้านันทบุเรง
- ฉัตรชัย เปล่งพานิช รับบท สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช หรือ สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ 1
- เกรซ มหาดำรงค์กุล รับบท พระสุพรรณกัลยา
- สรพงษ์ ชาตรี รับบท พระมหาเถรคันฉ่อง
- ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ รับบท ไอ้ขาม
- พลตรีวินธัย สุวารี รับบท สมเด็จพระเอกาทศรถ
- ชลัฏ ณ สงขลา รับบท มังจาปะโร
- พันโทคมกริช อินทรสุวรรณ รับบท พระศรีถมอรัตน์
- ปราบต์ปฏล สุวรรณบาง รับบท พระชัยบุรี
- นาวาอากาศตรีจงเจต วัชรานันท์ รับบท นัดจินหน่อง
- ครรชิต ขวัญประชา รับบท พระยาพะสิม
- ชลิต เฟื่องอารมย์ รับบท นรธาเมงสอ
- ปวีณา ชารีฟสกุล รับบท พระวิสุทธิกษัตรีย์
นักแสดงรับเชิญ
[แก้]- อคัมย์สิริ สุวรรณศุข รับบท รัตนาวดี (ไม่ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์)
- ศิรพันธ์ วัฒนจินดา รับบท อังกาบ (ไม่ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์)
- สีเทา รับบท โหราธิบดีหงสาวดี
- คมน์ อรรฆเดช รับบท ออกญาท้ายน้ำ
- ฐากูร การทิพย์ และ ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ รับบท ขุนรามเดชะ
เพลงนำภาพยนตร์
[แก้]- สมรภูมิสุดท้าย ขับร้อง โดย รังสรรค์ ปัญญาเรือน (สงกรานต์ เดอะวอยซ์) ทำนองและเรียบเรียง โดย สันติ ชัยปรีชา เนื้อร้อง โดย โป โปษยะนุกุล, เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน และวสกร เดชสุธรรม มิวสิควีดีโอ โดย พิบูลย์ เชยอรุณ, หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล
การออกฉายและรายได้
[แก้]ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๕ ยุทธหัตถี ออกฉายรอบสื่อมวลชน ในวันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ณ โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน และออกฉายเป็นการทั่วไปในวันที่ 29 พฤษภาคม โดยภาพยนตร์ทำรายได้ 4 วันแรก 97 ล้านบาท (นับรายได้เฉพาะโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดเชียงใหม่) [2]
ในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 11.00 น. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้จัดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมฟรีในโรงภาพยนตร์จำนวน 160 โรงทั่วประเทศ หนึ่งคนต่อหนึ่งที่นั่ง และฉายเพียงโรงเดียว รอบเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ถึงขนาดที่บางคนไปยืนรอตั้งแต่เช้าก่อนโรงภาพยนตร์เปิด แต่ที่นั่งเต็ม[3][4] ทำให้ต่อมาได้จัดให้มีการซื้อหนึ่งที่นั่งแถมฟรีอีกหนึ่งที่นั่ง ระหว่างวันที่ 20-30 มิถุนายน พ.ศ. 2557[5] ภาพยนตร์ทำรายได้ 206.86 ล้านบาท ในเขตกรุงเทพฯ, ปริมณฑล และจังหวัดเชียงใหม่
เบื้องหลังการถ่ายทำ
[แก้]ฉากเสวยราชย์
[แก้]ในฉากที่สมเด็จพระนเรศวรทรงขึ้นเสวยราชย์และสถาปนามณีจันทร์เป็นพระมเหสี หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคลได้ขออนุญาตนำพระมหาพิชัยมงกุฏของจริง (ซึ่งไม่ตรงตามรัชกาล แต่เป็นของตกทอดในสมัยหลัง) จากพิพิธภัณฑ์มาใช้ในการถ่ายทำฉากนี้ด้วย
ฉากยุทธหัตถี
[แก้]ในปี พ.ศ. 2554 เกิดเหตุเพลิงไหม้ห้องตัดต่อภาพยนตร์ ทำให้ฟิล์มที่ถ่ายทำภาพยนตร์บางส่วน กราฟิกฉากยุทธหัตถี และอุปกรณ์การตัดต่อเสียหายทั้งหมด ทำให้ต้องเริ่มถ่ายทำใหม่ ภาพยนตร์ภาคนี้จึงออกฉายช้ากว่ากำหนด
ข้อแตกต่างระหว่างประวัติศาสตร์กับภาพยนตร์
[แก้]- ไม่มีหลักฐานใดชี้ชัดว่าพระเจ้านันทบุเรงสูญเสียพระสิริโฉมหลังพ่ายศึกอโยธยา มีเพียงพงศาวดารพม่าบางฉบับที่เป็นส่วนน้อยระบุไว้ว่าพระองค์ทรงประชวรเป็นฝีที่พระพักตร์เท่านั้น เพียงแต่ผู้เขียนบทต้องการให้น้ำหนักถึงเหตุผลที่พระเจ้านันทบุเรงไม่ได้ยกทัพมาตีอโยธยาอีก ซึ่งมักจะส่งพระอุปราชามาแทน
- ไม่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแต่งตั้งพระอัครมเหสีองค์ใด เพียงแต่ผู้เขียนบทได้ให้มณีจันทร์ขึ้นเป็นอัครมเหสีเพื่ออรรถรสของภาพยนตร์
- ไม่มีหลักฐานที่กล่าวว่าพระพี่นางสุพรรณกัลยาตกเป็นชายาของพระเจ้านันทบุเรง มีแต่เพียงคำบอกเล่าและหนังสืออิงประวัติศาสตร์เท่านั้น
- สงครามพระมหาอุปราชาหลังพระเจ้านันทบุเรงครองราชย์แท้จริงแล้วมี 2 ครั้ง คือครั้งที่ยกเข้ามาหลังครองราชย์และครั้งสุดท้ายคือศึกยุทธหัตถี
- พระยาพะสิมในประวัติศาสตร์จริงๆ ถูกอโยธยาจับตัวได้ตั้งแต่ศึกพระอุปราชาครั้งที่ 1 ในประวัติศาสตร์ไม่น่าจะได้มาร่วมในสงครามยุทธหัตถีอีก
อ้างอิง
[แก้]- ↑ รายได้หนังประจำสัปดาห์ 24-30 กรกฎาคม 2557
- ↑ "ยุทธหัตถี เปิดตัวแรง4วันเฉียด100 ล้านบาท". ไอเอ็นเอ็นนิวส์. 4 June 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-08. สืบค้นเมื่อ 22 June 2014.
- ↑ "แห่ดูฟรีแน่นขนัด หนัง'พระนเรศวร' ตามแผนคืนความสุข". ไทยรัฐ. 15 June 2014. สืบค้นเมื่อ 22 June 2014.
- ↑ "ทั่วไทย! แห่ดู 'พระนเรศวร' หลายคนเซ็ง ตั๋วเกลี้ยงอดชมฟรี". ไทยรัฐ. 15 June 2014. สืบค้นเมื่อ 22 June 2014.
- ↑ "คืนความสุขอีกรอบ!ซื้อตั๋วพระนเรศวร1แถม1". กรุงเทพธุรกิจ. 19 June 2014. สืบค้นเมื่อ 22 June 2014.[ลิงก์เสีย]