มังกยอชวา
| มังกยอชวา မင်းကြီးစွာ | |
|---|---|
| พระเจ้าตองอู | |
| พระมหาอุปราชาหงสาวดี | |
| ดำรงพระยศ | 15 ตุลาคม ค.ศ. 1581 – 8 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 29 ธันวาคม ค.ศ. 1592] ค.ศ. 1593 |
| ก่อนหน้า | มังเอิง |
| ต่อไป | มังรายกะยอชวา |
| ประสูติ | 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1558 วันอาทิตย์ แรม 2 ค่ำ เดือนนะดอ 920 ME หงสาวดี จักรวรรดิตองอู |
| สวรรคต | 8 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 29 ธันวาคม ค.ศ. 1592] ค.ศ. 1593 (34 พรรษา) วันศุกร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือนดะโบ่-ดแว 954 ME อาณาจักรอยุธยา |
| ฝังพระศพ | กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1593 ดะบ้อง 954 ME พระราชวังกัมโพชธานี |
| คู่อภิเษก | พระนางนะชีนแมดอ (หย่า ค.ศ. 1586) พระนางราชธาตุกัลยา (ค.ศ. 1586–1593) |
| ราชวงศ์ | ตองอู |
| พระราชบิดา | พระเจ้านันทบุเรง |
| พระราชมารดา | หงสาวดีมิบะยา |
| ศาสนา | พุทธเถรวาท |
มังสามเกียด[1] หรือ มังกยอชวา[2] (พม่า: မင်းကြီးစွာ, มีนจีซวา; อักษรโรมัน: Mingyi Swa; ออกเสียง: [mɪ́ɴdʑí swà] หรือ [mɪ́ɴdʑí zwà]; 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1558 – 8 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 29 ธันวาคม ค.ศ. 1592] ค.ศ. 1593) เป็นพระมหาอุปราชาหงสาวดีใน ค.ศ. 1581 ถึง 1593 พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้านันทบุเรง ผู้มีบทบาทสำคัญในการทำสงครามหลายครั้งกับกรุงศรีอยุธยาระหว่าง ค.ศ. 1584 ถึง 1593 จนสวรรคตในสงครามยุทธหัตถี ในประวัติศาสตร์ไทยที่แพร่หลายระบุว่าพระองค์ถูกปลงพระชนม์ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวโดยพระนเรศวรมหาราช อย่างไรก็ตาม ไม่มีบันทึกอื่นใดที่กล่าวถึงยุทธหัตถีอย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสอง รวมถึงบันทึกของชาวสยามยุคแรกและบันทึกของชาวยุโรป พระราชพงศาวดารพม่าระบุว่ามังกยอชวาถูกปืนครกของสยามยิงใส่
วัยเยาว์
[แก้]มังสามเกียด หรือ มังกยอชวา เสด็จพระราชสมภพจากพระเจ้านันทบุเรงขณะเป็นพระมหาอุปราชากับอัครมเหสีหงสาวดีมิบะยาในวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1558 ที่หงสาวดี (พะโค)[note 1] พระองค์เป็นพระราชบุตรองค์ที่สาม และพระราชโอรสองค์แรก และมีพี่น้อง 6 พระองค์[3]
| พระราชพงศาวลีในมกุฎราชกุมารมังกยอชวา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชประวัติเมื่อทรงพระเยาว์มีปรากฏใน คำให้การชาวกรุงเก่า กับ คำให้การขุนหลวงหาวัด ว่าเดิมทรงมีความสนิทสนมกับพระนเรศวรดี ต่อมาได้มีการชนไก่ระหว่างพระนเรศวรและมังกยอชวา ไก่ของพระนเรศวรชนะไก่ของมังกยอชวา มังกยอชวาจึงกล่าววาจาเหยียดหยามพระนเรศวรทำให้พระนเรศวรรู้สึกเจ็บช้ำพระทัย
เจ้าชายเติบโตที่หงสาวดีในสมัยที่พระเจ้าบุเรงนอง พระอัยกา สถาปนาจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[4][5] พระเจ้าบุเรงนองสวรรคตในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1581 และพระเจ้านันทบุเรงขึ้นครองราชย์ต่อ พระเจ้านันทบุเรงทรงให้มังกยอชวาเป็นพระมหาอุปราชาในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1581[note 2] เจ้าชายที่ยังมีพระชนมายุไม่ถึง 23 พรรษา ตอนนี้กลายเป็นรัชทายาทของจักรวรรดิที่ "ขยายตัวเกินเหตุอย่างไม่สมเหตุสมผล"[6]
การทัพ
[แก้]จักรวรรดิส่วนใหญ่ยึดโยงกันด้วยความสัมพันธ์ส่วนพระองค์ของพระเจ้าบุเรงนองกับผู้ปกครองที่เป็นข้าราชบริพารผู้จงรักภักดีต่อบุเรงนอง ไม่ใช่อาณาจักรตองอู[7] พระเจ้านันทบุเรงกลับปรากฏว่าไม่เคยได้รับความจงรักภักดีจากข้าราชบริพารของพระองค์อย่างเต็มที่ ภายในสามปีแรก ทั้งอังวะและกรุงศรีอยุธยาก่อกบฏ พระเจ้านันทบุเรงสามารถปราบกบฏอังวะได้ แต่กบฏสยามพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นโครงการที่ยากกว่ามาก[8] พระเจ้านันทบุเรงต้องพึ่งพาพระราชโอรสองค์โตของตนในการยึดสยามคืนอย่างมาก โดยระหว่าง ค.ศ. 1584 ถึง 1593 มังกยอชวาได้นำทัพสี่ในห้าครั้ง ซึ่งล้วนแต่จบลงด้วยความล้มเหลวของผู้รุกราน และสุดท้ายก็พรากชีวิตของพระองค์ไป
ศึกเมืองคัง
[แก้]ในปีที่พระเจ้านันทบุเรงขึ้นครองราชย์ เจ้าฟ้าเมืองคังแข็งเมืองต่อหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรงจึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สิริสุธรรมราชาแห่งเมาะตะมะ และพระมหาอุปราชา ไปปราบเมืองคัง หลังจากการตกลงกันมังกยอชวาจึงยกขึ้นไปตีเมืองคังเป็นพระองค์แรกในขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ตั้งแต่สี่ทุ่มแต่ไม่สำเร็จ จนรุ่งสางจึงต้องถอยทัพกลับ หลังจากนั้นสองวันสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสามารถตีเมืองคังได้
การรุกรานสยามครั้งแรก (ค.ศ. 1584)
[แก้]กบฏสยามเกิดขึ้นเมื่อมังกยอชวาทรงเป็นผู้ปกครองดูแลอยู่แทนพระราชบิดา ในเหตุการณ์กบฏของพระเจ้าอังวะตะโดเมงสอ กล่าวกันว่าเพราะพระมหาอุปราชาวิวาทกับพระชายาซึ่งเป็นธิดาของตะโดเมงสอถึงขั้นทำร้ายตบตีกันจนเลือดตกยางออก ทำให้นางเอาผ้าซับเลือดแล้วใส่ผอบส่งไปให้พระบิดา ทำให้พระเจ้าอังวะแยกตัวออกจากหงสาวดี ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1584 พระเจ้านันทบุเรงและกองทัพของพระองค์จึงเสด็จไปยังพม่าตอนบนเพื่อทำการรบกับอังวะ มังกยอชวาทรงได้อยู่รักษาพระนครหงสาวดี (พะโค) พร้อมกองทัพคอยคุ้มกันแนวหลัง กองทัพสยามที่นำโดยพระนเรศวร แทนที่จะเสด็จไปยังอังวะเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพพระเจ้านันทบุเรง กลับวนเวียนอยู่รอบหงสาวดี และฝ่าฝืนคำสั่งของมังกยอชวาอย่างเปิดเผยที่ให้เสด็จไปยังอังวะ พระนเรศวรถอนทัพไปยังเมาะตะมะและประกาศให้อยุธยาเป็นเอกราชจากหงสาวดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 พฤษภาคม [ตามปฎิทินเก่า: 23 เมษายน] ค.ศ. 1584 พระเจ้านันทบุเรงที่ยังคงอยู่ที่พม่าตอนบนรีบส่งกองทัพสองกอง (ทหาร 11,000 นาย, ม้า 900 ตัว, ช้าง 90 เชือก) ไล่ตามกองทัพสยาม มังกยอชวาเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดตามหลังพระราชบิดา[9] กองกำลังรุกราน 11,000 นายจริง ๆ ไม่สามารถพิชิตสยามตามปกติได้ อย่าว่าแต่ในฤดูฝน จริงอย่างนั้น กองทัพฝ่ายพม่าไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมชนบทริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเกือบถูกเรือแจวสงครามของสยามกวาดล้างจนหมด[8][10]
ในเรื่องพระนเรศวรได้ยกทัพตามไปช่วยปราบกบฏอังวะด้วยโดยยกไปอย่างช้า ๆ ความตอนนี้ต่างกันในพงศาวดารไทยกับพม่า
- พงศาวดารไทย กล่าวว่าพระมหาอุปราชาวางแผนประทุษร้ายพระนเรศวร ทำให้พระนเรศวรประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง และกวาดต้อนผู้คนก่อนจะหนีกลับกรุงศรีอยุธยา พระมหาอุปราชาจึงจัดทัพตามไป ให้สุรกำมาเป็นกองหน้า เมื่อสุรกำมาถูกพระนเรศวรยิงตายพระมหาอุปราชาจึงยกทัพกลับ
- พงศาวดารพม่า กล่าวว่าพระนเรศวรยกทัพมาถึงเมืองหงสาวดี พระมหาอุปราชาจึงมีรับสั่งให้พระนเรศวรเสด็จไปอังวะ แต่พระนเรศวรไม่ทรงฟังและยกเข้ามาตีหงสาวดีและตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ พระมหาอุปราชาจึงทรงให้ทหารขึ้นประจำเชิงเทินกำแพงเมือง แต่เมื่อทรงรู้ข่าวว่าพระเจ้านันทบุเรงกำลังเสด็จกลับมา พระนเรศวรจึงทรงกวาดต้อนผู้คนหนีกลับกรุงศรีอยุธยา
การรุกรานครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1586)
[แก้]ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1586[11] มังกยอชวาทรงนำกองกำลังสำรวจ (ทหาร 12,000 นาย, ม้า 1,200 ตัว, ช้าง 100 เชือก) บุกสยามตอนเหนืออีกครั้งจากล้านนา[12] เป้าหมายคือการยึดครองสยามตอนเหนือเพื่อเตรียมการสำหรับการรบครั้งใหญ่ที่วางแผนไว้ในฤดูแล้งถัดไป แต่กองทัพไม่สามารถผ่านเมืองลำปางที่มีป้อมปราการแน่นหนาได้ และต้องถอนทัพเมื่อถึงฤดูฝนในเดือนมิถุนายน[12]
การรุกรานครั้งที่ 3 (ค.ศ. 1586–1587)
[แก้]แม้ไม่สามารถพิชิตสยามตอนเหนือได้ แต่พระเจ้านันทบุเรงยังคงวางแผนบุกสยามในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1586 โดยมุ่งเป้าไปที่เมืองหลวงของสยามโดยตรง ส่วนมังกยอชวาปล่อยให้คุ้มกันหงสาวดี[13] การรุกรานของพระเจ้านันทบุเรงก็ล้มเหลว พระองค์ตั้งค่ายที่ทุ่งชายเคืองทางทิศตะวันออกของพระนคร ได้ทรงให้กองทัพม้าตีทัพพระยากำแพงเพชรที่มาป้องกันผู้คนที่ออกไปเกี่ยวข้าวแตกพ่าย และล้อมพระนครเป็นเวลากว่า 4 เดือน (ธันวาคม ค.ศ. 1586 ถึงเมษายน ค.ศ. 1587) แต่ไม่สามารถตีแตกได้ มีทหารเพียงส่วนน้อยจากจำนวน 25,000 นายเท่านั้นที่สามารถเดินทางกลับถึงหงสาวดีได้[10][14]
การรุกรานครั้งที่ 4 (ค.ศ. 1590–1591)
[แก้]พระเจ้านันบุเรงยังไม่ยอมแพ้ ใน ค.ศ. 1590 พระองค์ทรงสั่งให้มังกยอชวานำทัพบุกทางเหนือของสยามอีกครั้ง พระเจ้านันบุเรงได้ทรงวางแผนการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบ แต่ต้องทรงปรับลดแผนการลงเหลือเพียงการรุกรานทางตอนเหนือของสยามเท่านั้น เนื่องจากโม่ญี่นและโม่ก้อง รัฐฉานทางตอนเหนือ ก็ก่อกบฏเช่นกัน เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน [ตามปฎิทินเก่า: 14 พฤศจิกายน] ค.ศ. 1590 มังกยอชวาเข้ารุกรานสยามตอนเหนือจากล้านนา[15] โดยพื้นฐานแล้วเป็นการรุกรานแบบเดิมเหมือนกับใน ค.ศ. 1586 ต่างแต่ความยับเยินของการพ่ายแพ้ กองทัพของพระองค์ไม่สามารถผ่านป้อมลำปางที่พระนเรศวรทรงเป็นผู้บัญชาการอีกเช่นเดียวกับครั้งก่อน แต่ต่างจาก ค.ศ. 1586 เพราะไม่เพียงมีการถอยทัพแบบปกติ แต่กองทัพที่ประกอบด้วยทหาร 24 กรมทหาร 20,000 นาย ถูกปราบอย่างราบคาบนอกเมืองลำปางในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1591 กองทหารที่เหลือถอยหนีกลับมาอย่างอลหม่านจนทำให้พระเจ้านันบุเรงภาคทัณฑ์ให้ทำการแก้ตัวใหม่ และประหารชีวิตนายพลระดับสูงบางคน[16]
สงครามยุทธหัตถี (ค.ศ. 1592–1593)
[แก้]ทิศทางของสงครามเริ่มเปลี่ยนไปเข้าข้างฝ่ายสยาม ในช่วงฤดูแล้ง ค.ศ. 1591–1592 พระนเรศวรได้ยกทัพขึ้นโจมตีชายฝั่งตะนาวศรีตอนบน พระเจ้านันทบุเรงและราชสำนักจึงตกลงกันที่จะยกทัพกลับเข้ารุกรานสยามอีกครั้ง พระเจ้านันทบุเรงได้แต่งตั้งมังกยอชวาเป็นแม่ทัพใหญ่อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้แต่งตั้งเจ้าเมืองบริวารแปร ตองอู และล้านนา ให้เป็นรองแม่ทัพด้วย[17][18] พระองค์เสด็จจากหงสาวดีเมื่อวันพุธ เดือนอ้าย ขึ้น 7 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) จากนั้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน [ตามปฎิทินเก่า: 25 ตุลาคม] ค.ศ. 1592[note 3] กองทัพสองกอง (ทหาร 24,000 นาย, ม้า 2,000 ตัว, ช้าง 150 เชือก) พยายามโจมตีอีกครั้ง[18] การรุกรานสิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลว และการสิ้นพระชนม์ของมังกยอชวาในยุทธการใกล้กรุงศรีอยุธยา ทั้งพงศาวดารพม่าและสยามกล่าวว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ในยุทธการ แต่บันทึกต่างกันว่าพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไร และสิ้นพระชนม์เมื่อใด
บันทึกสยาม
[แก้]
มีบันทึกการรบของสยามที่แตกต่างกัน 4 แบบ ประวัติศาสตร์ไทยที่แพร่หลายนำข้อมูลจากบันทึกในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา บันทึกที่แพร่หลายระบุว่ากองทัพพม่าที่นำโดยมังกยอชวาได้บุกเข้าลึกไปในสยามจนถึงหนองสาหร่าย (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี) ที่นั่นผู้รุกรานเผชิญหน้ากับกองทัพสยามที่นำโดยสมเด็จพระนเรศวร และมกุฎราชกุมารพระเอกาทศรถ พระอนุชา กองทัพทั้งสองสู้รบในวันที่ 18 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 8 มกราคม] ค.ศ. 1593[note 4] (ช้ากว่าวันที่ในพงศาวดารพม่าสิบวัน)
กล่าวกันว่ากองทัพพม่าเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในการปะทะครั้งแรก และกดดันกองทัพแนวหน้าของสยามได้[19] พระนเรศวร พระเอกาทศรถ และองครักษ์เพียงไม่กี่คนยืนหยัดต่อสู้ต่อไป แต่เนื่องจากกองหน้าอื่น ๆ ของกองทัพสยามถอยทัพ กษัตริย์และมกุฎราชกุมารจึงตกอยู่ในวงล้อมกองทัพพม่า พระนเรศวรทรงเผชิญกับความตายอันแน่วแน่ จึงทรงท้ามังกยอชวาให้สู้ตัวต่อตัวบนช้างศึก[19][20] แม้ว่ากองทหารของมังกยอชวาล้อมเชื้อพระวงศ์สยามทั้งสองพระองค์ไว้ได้ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พระองค์จึงยอมรับคำท้านั้น (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นักประวัติศาสตร์สยาม ทรงสันนิษฐานว่า มกุฎราชกุมารพม่าทรงยอมรับคำท้านี้เพราะ "ความภาคภูมิใจในราชสำนักที่สอดคล้องกับพระชาติอันสูงส่งของพระองค์" และเนื่องจากพระองค์ "รู้สึกละอายที่จะไม่ยอมรับคำท้านี้"[20]) พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสาขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง ในขณะเดียวกัน พระเอกาทศรถก็สู้กับ "เจ้าเมืองชามะโรง" และสังหารได้เช่นกัน[21]
จากนั้นกองทัพพม่าจึงเริ่มยิง ทำให้ควาญช้างด้านหน้าของพระนเรศวรและควาญช้างตรงกลางของพระเอกาทศรถเสียชีวิต กระสุนปืนยังโดนพระหัตถ์ของกษัตริย์ แต่กองทัพสยามก็เข้ามาช่วยเหลือกษัตริย์สยามและมกุฎราชกุมารให้ปลอดภัย[21]
อย่างไรก็ตาม ไม่มีบันทึกอื่น ๆ ของสยาม รวมถึงบันทึกสองฉบับแรกเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เขียนขึ้นใน ค.ศ. 1647 และ 1690 รายงานการปะทะอย่างเป็นทางการระหว่างพระนเรศวรและมังกยอชวา[22]
บันทึกพงศาวดารพม่า
[แก้]พงศาวดารพม่ารายงานว่า กองทัพของมังกยอชวาทะลวงเข้าไปถึงเขตชานเมืองอยุธยา กองทัพพระนเรศวรจึงปะทะกับกองทัพมังกยอชวาที่นั่น จากนั้นจึงเกิดการต่อสู้เมื่อวันที่ 8 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 29 ธันวาคม ค.ศ. 1592] ค.ศ. 1593 ทั้งผู้บัญชาการฝ่ายพม่าและสยามต่างต่อสู้กันบนช้างศึก ในระหว่างการสู้รบ ช้างศึกพม่าชื่อ Pauk-Kyaw Zeya (ပေါက်ကျော်ဇေယျ) ที่เจ้าเมืองชามะโรง (ဇာပရိုး, Zapayo) ขี่อยู่ เกิดตกมันและได้บุกโจมตีแนวหน้าของสยามไปยังพระนเรศวรในตอนแรก แต่ช้างกลับถูกผลักกลับไป ช้างศึกตัวนี้จึงกลับไปยังแนวพม่า และไล่ตามช้างของมังกยอชวา[23][24]
มังกยอชวาและควาญช้างสองคนของพระองค์พยายามต่อสู้กับช้างที่กำลังโกรธแค้น แต่ช้างของพวกเขาถูกผลักออกจากตำแหน่งจนทำให้ศัตรูมองเห็นได้ ช้างทั้งสองตัวถูกสยามยิงใส่ทันที และมังกยอชวากับควาญช้างด้านหน้าถูกยิงด้วยปืนครก[25] ควาญช้างคนกลางที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวนาม Tuyin Bala (တုရင်ဗလ) พยายามปกปิดการสิ้นพระชนม์ของมังกยอชวาด้วยการให้พระวรกายของมกุฎราชกุมารเอนพิงหลัง ขณะที่เขาสามารถขี่ช้างไปด้านหลังแนวรบได้ กองบัญชาการของพม่าหรือสยามไม่มีใครรู้เรื่องการสิ้นพระชนม์นี้ และการสู้รบก็ดำเนินต่อไป การสู้รบสิ้นสุดลงด้วยการที่กองทัพสยามถอยทัพกลับอยุธยา หลังการสู้รบ กองบัญชาการพม่าที่ตอนนี้นำโดยตะโดธรรมราชาที่ 3 แห่งแปรรู้เรื่องการสิ้นพระชนม์ และพวกเขาตัดสินใจถอยทัพแทนที่จะโจมตีเมืองต่อ[23][24]
การวิเคราะห์
[แก้]BJ Terwiel รายงานว่ามีบันทึกเกี่ยวกับสงครามสงครามนี้ 10 แห่งโดยนักเขียนพื้นเมือง ยุโรป และเปอร์เซีย: (สยาม 4 แห่ง, พม่าแห่งเดียว, บันทึกยุโรปในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 4 แห่ง และบันทึกเปอร์เซียปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แห่งเดียว)[26] เรื่องการยุทธหัตถีอย่างเป็นทางการระหว่างพระนเรศวรกับมังกยอชวาปรากฏในบันทึกพระราชพงศาวดารสยามเพียงแห่งเดียว[27] จากการวิเคราะห์บันทึกสิบแห่งของ Terwiel มังกยอชวาและพระนเรศวรต่างต่อสู้กันด้วยช้างศึก แต่อาจไม่มีการท้าประลองอย่างเป็นทางการเกิดขึ้น Terwiel กล่าวว่า เป็นไปได้ยากมากที่มังกยอชวาจะตกลงประลองอย่างเป็นทางการ เพราะการตกลงเช่นนั้นจะ "เสี่ยงต่อการรุกรานอย่างแสนสาหัสที่ดำเนินไปอย่างราบรื่นและไร้อุปสรรค"[28] ในระหว่างการสู้รบ ช้างศึกของพระนเรศวรถูกกองทัพพม่าล้อมวง ในช่วงเวลาสำคัญนั้น ช้างศึกพม่าตัวหนึ่งตกมันและโจมตีช้างของมังกยอชวา เมื่อเห็นว่ามังกยอชวากำลังลำบาก พระนเรศวรจึง "เข้าประชิด" และพระองค์ (หรือนักรบคนใดคนหนึ่งที่ขี่ม้าไปกับพระองค์ อาจเป็นชาวโปรตุเกส) ยิงปืนใส่มกุฎราชกุมารมังกยอชวาจนบาดเจ็บสาหัส[29] พระนเรศวร "โชคดีที่รอดพ้นจากสถานการณ์อันตรายร้ายแรงได้" แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน[30] Terwiel ระบุว่า "บันทึกของพม่าและยุโรปนั้นใกล้เคียงกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นจริงมากกว่า" และ "การท้าประลองกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าของพระนเรศวร แม้ว่าจะปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์ไทยหลายเล่มก็ตาม ควรถูกจัดให้เป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนานเท่านั้น"[29]
ผลที่ตามมา
[แก้]แม้บันทึกทั้งหมดของพม่าและสยามมีความแตกต่างกันจำนวนมาก แต่บันทึกของทั้งสองเห็นพ้องต้องกันว่ากองทัพทั้งสองได้สู้รบกันใกล้กรุงศรีอยุธยา ซึ่งมังกยอชวาพ่ายแพ้ในการรบ และกองทัพพม่าได้ล่าถอยในเวลาต่อมา นับเป็นการทัพของหงสาวดีครั้งสุดท้ายในสยาม บัดนี้สยามได้รับเอกราชแล้ว ในอีกสิบสองปีต่อมา พม่าเป็นฝ่ายตั้งรับ "สถานการณ์สงครามพลิกผันเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี"[19]
พระวรกายของมังกยอชวาถูกนำกลับไปยังหงสาวดีในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1593[31] กล่าวกันว่าพระเจ้านันทบุเรงทรงโศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง จึงทรงจัดพิธีพระราชทานเพลิงพระศพพระโอรสองค์โตอย่างสมพระเกียรติต่อหน้าพระราชวังกัมโพชธานี[32] เจ้าชายที่สวรรคตมีพระชนมายุ 34 พรรษา พระเจ้านันทบุเรงผู้หวั่นไหวทรงรอนานกว่าเก้าเดือนก่อนที่จะแต่งตั้งมังรายกะยอฉะวาที่ 2 เป็นรัชทายาทองค์ใหม่ในวันที่ 29 ธันวาคม [ตามปฎิทินเก่า: 19 ธันวาคม] ค.ศ. 1593[33]
ชีวิตส่วนพระองค์
[แก้]พระมเหสีองค์แรกคือพระนางนะชีนแมดอ พระธิดาองค์เดียวในอุปราชตะโดเมงสอแห่งอังวะกับอังวะมิบะยา[34] พระนางอยู่เคียงข้างพระองค์เมื่อครั้งขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารใน ค.ศ. 1581 ตามบันทึกพงศาวดาร พระองค์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเกี้ยวพาราสีสตรีอีกคนหนึ่งนามพระนางราชธาตุกัลยา ซึ่งเป็นพระปิตุจฉา (ป้า, พี่/น้องสาวของพ่อ) ต่างมารดาของพระองค์ (แต่พระนางอายุน้อยกว่าพระองค์ปีเดียว[35]) ใน ค.ศ. 1583 พระนางนะชีนแมดอทรงบ่นอย่างขมขื่นแก่พระบิดามารดาของพระนาง ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างพระบิดามารดาของพระนางกับพระเจ้านันนทุเรง ความขัดแย้งดังกล่าวนำไปสู่การก่อกบฏอังวะใน ค.ศ. 1584[36]
มังกยอชวายังคงตามพระนางราชธาตุกัลยาต่อไป และพระนางยังคงปฏิเสธการระรานของพระองค์ในปีต่อ ๆ มา เจ้าหญิงได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้านันนทุเรง แต่ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1586 พระเจ้านันนทุเรงเสด็จออกจากหงสาวดีพร้อมกองทัพเพื่อเตรียมการรุกรานสยามครั้งที่สามในรัชสมัยของพระองค์ เมื่อพระราชบิดาเสด็จไปแล้ว มังกยอชวาจึงบังคับให้เจ้าหญิงทรงเลี้ยงดูเป็นพระมเหสี และหย่าร้างกับพระนางนะชีนแมดออย่างเป็นทางการ พระเจ้านันนทุเรงเสด็จกลับหงสาวดีในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1587 เนื่องด้วยการรบที่ล้มเหลว และพระมหากษัตริย์ทรงไม่พอพระทัยอย่างยิ่งเมื่อทรงทราบข่าวที่เกิดขึ้นขณะที่พระองค์ไม่อยู่[37] กระนั้น พระเจ้านันทบุเรงไม่ได้ยกเลิกการสมรส พระนางราชธาตุกัลยายังคงเป็นอัครพระมเหสีของมังกยอชวาจนกระทั่งพระองค์สวรรคต[38]
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
[แก้]มีนักแสดงผู้รับบท มังกยอชวา ได้แก่
- ภูมิ พัฒนายุทธ จากภาพยนตร์เรื่อง มหาราชดำ (2524)
- อานนท์ สุวรรณเครือ จากละครเรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (2530)
- วสันต์ คุ้มสอน จากภาพยนตร์เรื่อง ขุนศึก (2546)
- อภิชาติ พัวพิมล จากละครเรื่อง กษัตริยา (2546) และ มหาราชกู้แผ่นดิน (2547)
- เจษฎา รุ่งสาคร จากภาพยนตร์เรื่อง สุพรรณกัลยา (2547)
- นภัสรัญชน์ มิตรธีรโรจน์ จากภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (2550–2557)
- สุทธิพงษ์ วัฒนจัง, กัญจนปกรณ์ แสดงหาญ จากละครเวทีเรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (2554)
- อดิศร อรรถกฤษณ์ จากละครเรื่อง ขุนศึก (2555)
- อังค์กูณฑ์ ธนาทรัพย์เจริญ จากละครเรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เดอะซีรีส์ (2560 - 2562)
- อธิบดี เพ็ชรเทศ จากละครเรื่อง จอมใจอโยธยา (2568)
ดูเพิ่ม
[แก้]หมายเหตุ
[แก้]- ↑ (Ohn Shwe 1966: xxviii): วันอาทิตย์ แรม 2 ค่ำ เดือนนะดอ 920 ME = 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1558 จากบทกวีร่วมสมัย Maha Upayaza eigyin โดย Thinkhaya เจ้าเมือง Talote ประมาณช่วงต้นพระชนม์ชีพของมังกยอชวา
- ↑ (Hmannan Vol. 3 2003: 73): วันอาทิตย์ แรม 5 ค่ำ เดือนดะซองโม่น 943 ME = 15 ตุลาคม ค.ศ. 1581
- ↑ (Maha Yazawin Vol. 3 2006: 93) ระบุเป็น วันพุธ, ขึ้น 12 ค่ำ เดือนนะดอ 954 ME ซึ่งแปลงได้เป็น วันอาทิตย์, 14 พฤศจิกายน [ตามปฎิทินเก่า: 4 พฤศจิกายน] ค.ศ. 1592 แต่ (Hmannan Vol. 3 2003: 93) แก้ให้ถูกเป็นวันพุธ ขึ้น 2 ค่ำ เดือนนะดอ ซึ่งแปลงได้เป็นวันพุธที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1592 ตามแบบใหม่
- ↑ (Damrong 2001: 128): วันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จ.ศ. 954 (พ.ศ. 2135) = วันจันทร์ที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1593 ตามแบบใหม่
อ้างอิง
[แก้]- ↑ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 64 พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า 116
- ↑ พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงศรีอยุทธยา, หน้า 85
- ↑ Maha Yazawin Vol. 3 2006: 103
- ↑ Lieberman 2003: 152
- ↑ Aung-Thwin and Aung-Thwin 2012: 134
- ↑ Lieberman 2003: 154–155, 161
- ↑ Lieberman 2003: 154–155
- 1 2 Harvey 1925: 181–182
- ↑ Hmannan Vol. 3 2003: 79–80
- 1 2 Phayre 1967: 121
- ↑ ปลายเดือนดะกู้ 947 ME = 20 มีนาคม ถึง 8 เมษายน ค.ศ. 1586 แบบใหม่
- 1 2 Hmannan Vol. 3 2003: 81–82
- ↑ Hmannan Vol. 3 2003: 84
- ↑ Hmannan Vol. 3 2003: 85–86
- ↑ (Hmannan Vol. 3 2003: 90): แรม 12 ค่ำ เดือนดะซองโม่น 952 ME = 24 พฤศจิกายน [ตามปฎิทินเก่า: 14 พฤศจิกายน] ค.ศ. 1590
- ↑ Maha Yazawin Vol. 3 2003: 90
- ↑ Maha Yazawin Vol. 3 2003: 92
- 1 2 Maha Yazawin Vol. 3 2006: 93
- 1 2 3 Wyatt 2003: 88–89
- 1 2 Damrong 2001: 131
- 1 2 Damrong 2001: 132
- ↑ Terwiel 2013: 22–23, 29
- 1 2 Hmannan Vol. 3 2003: 94
- 1 2 Maha Yazawin Vol. 3 2006: 94
- ↑ "คุณพระช่วย". ช่อง 9. 21 June 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-07. สืบค้นเมื่อ 22 June 2014.
- ↑ Terwiel 2013: 30
- ↑ Terwiel 2013: 22–25
- ↑ Terwiel 2013: 31–32
- 1 2 Terwiel 2013: 33
- ↑ Terwiel 2013: 34
- ↑ (Hmannan Vol. 3 2003: 95): เดือนดะบ้อง 954 ME = 31 มกราคม ถึง 1 มีนาคม ค.ศ. 1593 ในแบบใหม่
- ↑ Hmannan Vol. 3 2003: 95
- ↑ (Maha Yazawin Vol. 3: 95): วันพุธ ขึ้น 8 ค่ำ เดือนปยาโต 955 ME = 29 ธันวาคม ค.ศ. 1593
- ↑ Maha Yazawin Vol. 3 2006: 77
- ↑ Ohn Shwe 1966: xxviii
- ↑ Maha Yazawin Vol. 3 2006: 78–79
- ↑ Maha Yazawin Vol. 3 2006: 88
- ↑ Htin Aung 1967: 137
บรรณานุกรม
[แก้]- Aung-Thwin, Michael A.; Aung-Thwin, Maitrii (2012). A History of Myanmar Since Ancient Times (illustrated ed.). Honolulu: University of Hawai'i Press. ISBN 978-1-86189-901-9.
- Prince Damrong Rajanubhab (2001) [1928]. Chris Baker (บ.ก.). Our Wars with the Burmese: Thai–Burmese Conflict 1539–1767. แปลโดย Aung Thein. Bangkok: White Lotus. ISBN 974-7534-58-4.
- Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824. London: Frank Cass & Co. Ltd.
- Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma. New York and London: Cambridge University Press.
- Kala, U (2006) [1724]. มหาราชวงศ์ (ภาษาพม่า). Vol. 1–3 (4th printing ed.). Yangon: Ya-Pyei Publishing.
- Lieberman, Victor B. (2003). Strange Parallels: Southeast Asia in Global Context, c. 800–1830, volume 1, Integration on the Mainland. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-80496-7.
- Ohn Shwe, U; Natshinnaung (1966) [1920]. Natshinnaung Yadu Collection (ภาษาพม่า) (3rd printing ed.). Yangon: Hanthawaddy.
- Phayre, Lt. Gen. Sir Arthur P. (1967) [1883]. History of Burma. London: Susil Gupta.
- Ratchasomphan (Sænluang.) (1994). Wyatt, David K. (บ.ก.). The Nan Chronicle. SEAP Publications. ISBN 9780877277156.
- Royal Historical Commission of Burma (2003) [1832]. มหาราชวงศ์ ฉบับหอแก้ว (ภาษาพม่า). Vol. 1–3. Yangon: Ministry of Information, Myanmar.
- Terwiel, Barend Jan (2013). "What Happened at Nong Sarai? Comparing Indigenous and European Sources for Late 16th Century Siam". Journal of the Siam Society. 101.
- Wyatt, David K.; Aroonrut, Wichienkeeo, บ.ก. (1998). The Chiang Mai Chronicle (illustrated ed.). Silk Worms Books. ISBN 978-9747100624.
- Wyatt, David K. (2003). Thailand: A Short History (2 ed.). Yale University Press. ISBN 978-0-300-08475-7.
- ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 64 พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2479. 437 หน้า. หน้า 56-57. [เจ้าภาพพิมพ์ในงานปลงศพ คุณหญิงปฏิภาณพิเศษ (ลมุน อมาตยกุล) ณ วัดประยุรวงศาวาส วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2479]
- พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงศรีอยุทธยา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทย, 2463. 394 หน้า. [พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนกำแพงเพชรอรรคโยธินทร์ โปรดให้พิมพ์ครั้งแรกในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าจอมมารดาวาดรัชกาลที่ ๕]
- ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล. ตามรอยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช --กรุงเทพฯ : แพรวสำนักพิมพ์, 2549. ISBN 9748813045