ข้ามไปเนื้อหา

มังกยอชวา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มังกยอชวา
မင်းကြီးစွာ
พระเจ้าตองอู
พระมหาอุปราชาหงสาวดี
ดำรงพระยศ15 ตุลาคม ค.ศ. 1581 – 8 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 29 ธันวาคม ค.ศ. 1592] ค.ศ. 1593
ก่อนหน้ามังเอิง
ต่อไปมังรายกะยอชวา
ประสูติ27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1558
วันอาทิตย์ แรม 2 ค่ำ เดือนนะดอ 920 ME
หงสาวดี จักรวรรดิตองอู
สวรรคต8 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 29 ธันวาคม ค.ศ. 1592] ค.ศ. 1593 (34 พรรษา)
วันศุกร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือนดะโบ่-ดแว 954 ME
อาณาจักรอยุธยา
ฝังพระศพกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1593
ดะบ้อง 954 ME
พระราชวังกัมโพชธานี
คู่อภิเษกพระนางนะชีนแมดอ (หย่า ค.ศ. 1586)
พระนางราชธาตุกัลยา (ค.ศ. 1586–1593)
ราชวงศ์ตองอู
พระราชบิดาพระเจ้านันทบุเรง
พระราชมารดาหงสาวดีมิบะยา
ศาสนาพุทธเถรวาท

มังสามเกียด[1] หรือ มังกยอชวา[2] (พม่า: မင်းကြီးစွာ, มีนจีซวา; อักษรโรมัน: Mingyi Swa; ออกเสียง: [mɪ́ɴdʑí swà] หรือ [mɪ́ɴdʑí zwà]; 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1558 – 8 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 29 ธันวาคม ค.ศ. 1592] ค.ศ. 1593) เป็นพระมหาอุปราชาหงสาวดีใน ค.ศ. 1581 ถึง 1593 พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้านันทบุเรง ผู้มีบทบาทสำคัญในการทำสงครามหลายครั้งกับกรุงศรีอยุธยาระหว่าง ค.ศ. 1584 ถึง 1593 จนสวรรคตในสงครามยุทธหัตถี ในประวัติศาสตร์ไทยที่แพร่หลายระบุว่าพระองค์ถูกปลงพระชนม์ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวโดยพระนเรศวรมหาราช อย่างไรก็ตาม ไม่มีบันทึกอื่นใดที่กล่าวถึงยุทธหัตถีอย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสอง รวมถึงบันทึกของชาวสยามยุคแรกและบันทึกของชาวยุโรป พระราชพงศาวดารพม่าระบุว่ามังกยอชวาถูกปืนครกของสยามยิงใส่

วัยเยาว์

[แก้]

มังสามเกียด หรือ มังกยอชวา เสด็จพระราชสมภพจากพระเจ้านันทบุเรงขณะเป็นพระมหาอุปราชากับอัครมเหสีหงสาวดีมิบะยาในวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1558 ที่หงสาวดี (พะโค)[note 1] พระองค์เป็นพระราชบุตรองค์ที่สาม และพระราชโอรสองค์แรก และมีพี่น้อง 6 พระองค์[3]

พระราชประวัติเมื่อทรงพระเยาว์มีปรากฏใน คำให้การชาวกรุงเก่า กับ คำให้การขุนหลวงหาวัด ว่าเดิมทรงมีความสนิทสนมกับพระนเรศวรดี ต่อมาได้มีการชนไก่ระหว่างพระนเรศวรและมังกยอชวา ไก่ของพระนเรศวรชนะไก่ของมังกยอชวา มังกยอชวาจึงกล่าววาจาเหยียดหยามพระนเรศวรทำให้พระนเรศวรรู้สึกเจ็บช้ำพระทัย

เจ้าชายเติบโตที่หงสาวดีในสมัยที่พระเจ้าบุเรงนอง พระอัยกา สถาปนาจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[4][5] พระเจ้าบุเรงนองสวรรคตในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1581 และพระเจ้านันทบุเรงขึ้นครองราชย์ต่อ พระเจ้านันทบุเรงทรงให้มังกยอชวาเป็นพระมหาอุปราชาในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1581[note 2] เจ้าชายที่ยังมีพระชนมายุไม่ถึง 23 พรรษา ตอนนี้กลายเป็นรัชทายาทของจักรวรรดิที่ "ขยายตัวเกินเหตุอย่างไม่สมเหตุสมผล"[6]

การทัพ

[แก้]

จักรวรรดิส่วนใหญ่ยึดโยงกันด้วยความสัมพันธ์ส่วนพระองค์ของพระเจ้าบุเรงนองกับผู้ปกครองที่เป็นข้าราชบริพารผู้จงรักภักดีต่อบุเรงนอง ไม่ใช่อาณาจักรตองอู[7] พระเจ้านันทบุเรงกลับปรากฏว่าไม่เคยได้รับความจงรักภักดีจากข้าราชบริพารของพระองค์อย่างเต็มที่ ภายในสามปีแรก ทั้งอังวะและกรุงศรีอยุธยาก่อกบฏ พระเจ้านันทบุเรงสามารถปราบกบฏอังวะได้ แต่กบฏสยามพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นโครงการที่ยากกว่ามาก[8] พระเจ้านันทบุเรงต้องพึ่งพาพระราชโอรสองค์โตของตนในการยึดสยามคืนอย่างมาก โดยระหว่าง ค.ศ. 1584 ถึง 1593 มังกยอชวาได้นำทัพสี่ในห้าครั้ง ซึ่งล้วนแต่จบลงด้วยความล้มเหลวของผู้รุกราน และสุดท้ายก็พรากชีวิตของพระองค์ไป

ศึกเมืองคัง

[แก้]

ในปีที่พระเจ้านันทบุเรงขึ้นครองราชย์ เจ้าฟ้าเมืองคังแข็งเมืองต่อหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรงจึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สิริสุธรรมราชาแห่งเมาะตะมะ และพระมหาอุปราชา ไปปราบเมืองคัง หลังจากการตกลงกันมังกยอชวาจึงยกขึ้นไปตีเมืองคังเป็นพระองค์แรกในขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ตั้งแต่สี่ทุ่มแต่ไม่สำเร็จ จนรุ่งสางจึงต้องถอยทัพกลับ หลังจากนั้นสองวันสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสามารถตีเมืองคังได้

การรุกรานสยามครั้งแรก (ค.ศ. 1584)

[แก้]

กบฏสยามเกิดขึ้นเมื่อมังกยอชวาทรงเป็นผู้ปกครองดูแลอยู่แทนพระราชบิดา ในเหตุการณ์กบฏของพระเจ้าอังวะตะโดเมงสอ กล่าวกันว่าเพราะพระมหาอุปราชาวิวาทกับพระชายาซึ่งเป็นธิดาของตะโดเมงสอถึงขั้นทำร้ายตบตีกันจนเลือดตกยางออก ทำให้นางเอาผ้าซับเลือดแล้วใส่ผอบส่งไปให้พระบิดา ทำให้พระเจ้าอังวะแยกตัวออกจากหงสาวดี ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1584 พระเจ้านันทบุเรงและกองทัพของพระองค์จึงเสด็จไปยังพม่าตอนบนเพื่อทำการรบกับอังวะ มังกยอชวาทรงได้อยู่รักษาพระนครหงสาวดี (พะโค) พร้อมกองทัพคอยคุ้มกันแนวหลัง กองทัพสยามที่นำโดยพระนเรศวร แทนที่จะเสด็จไปยังอังวะเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพพระเจ้านันทบุเรง กลับวนเวียนอยู่รอบหงสาวดี และฝ่าฝืนคำสั่งของมังกยอชวาอย่างเปิดเผยที่ให้เสด็จไปยังอังวะ พระนเรศวรถอนทัพไปยังเมาะตะมะและประกาศให้อยุธยาเป็นเอกราชจากหงสาวดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 พฤษภาคม [ตามปฎิทินเก่า: 23 เมษายน] ค.ศ. 1584 พระเจ้านันทบุเรงที่ยังคงอยู่ที่พม่าตอนบนรีบส่งกองทัพสองกอง (ทหาร 11,000 นาย, ม้า 900 ตัว, ช้าง 90 เชือก) ไล่ตามกองทัพสยาม มังกยอชวาเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดตามหลังพระราชบิดา[9] กองกำลังรุกราน 11,000 นายจริง ๆ ไม่สามารถพิชิตสยามตามปกติได้ อย่าว่าแต่ในฤดูฝน จริงอย่างนั้น กองทัพฝ่ายพม่าไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมชนบทริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเกือบถูกเรือแจวสงครามของสยามกวาดล้างจนหมด[8][10]

ในเรื่องพระนเรศวรได้ยกทัพตามไปช่วยปราบกบฏอังวะด้วยโดยยกไปอย่างช้า ๆ ความตอนนี้ต่างกันในพงศาวดารไทยกับพม่า

  • พงศาวดารไทย กล่าวว่าพระมหาอุปราชาวางแผนประทุษร้ายพระนเรศวร ทำให้พระนเรศวรประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง และกวาดต้อนผู้คนก่อนจะหนีกลับกรุงศรีอยุธยา พระมหาอุปราชาจึงจัดทัพตามไป ให้สุรกำมาเป็นกองหน้า เมื่อสุรกำมาถูกพระนเรศวรยิงตายพระมหาอุปราชาจึงยกทัพกลับ
  • พงศาวดารพม่า กล่าวว่าพระนเรศวรยกทัพมาถึงเมืองหงสาวดี พระมหาอุปราชาจึงมีรับสั่งให้พระนเรศวรเสด็จไปอังวะ แต่พระนเรศวรไม่ทรงฟังและยกเข้ามาตีหงสาวดีและตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ พระมหาอุปราชาจึงทรงให้ทหารขึ้นประจำเชิงเทินกำแพงเมือง แต่เมื่อทรงรู้ข่าวว่าพระเจ้านันทบุเรงกำลังเสด็จกลับมา พระนเรศวรจึงทรงกวาดต้อนผู้คนหนีกลับกรุงศรีอยุธยา

การรุกรานครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1586)

[แก้]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1586[11] มังกยอชวาทรงนำกองกำลังสำรวจ (ทหาร 12,000 นาย, ม้า 1,200 ตัว, ช้าง 100 เชือก) บุกสยามตอนเหนืออีกครั้งจากล้านนา[12] เป้าหมายคือการยึดครองสยามตอนเหนือเพื่อเตรียมการสำหรับการรบครั้งใหญ่ที่วางแผนไว้ในฤดูแล้งถัดไป แต่กองทัพไม่สามารถผ่านเมืองลำปางที่มีป้อมปราการแน่นหนาได้ และต้องถอนทัพเมื่อถึงฤดูฝนในเดือนมิถุนายน[12]

การรุกรานครั้งที่ 3 (ค.ศ. 1586–1587)

[แก้]

แม้ไม่สามารถพิชิตสยามตอนเหนือได้ แต่พระเจ้านันทบุเรงยังคงวางแผนบุกสยามในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1586 โดยมุ่งเป้าไปที่เมืองหลวงของสยามโดยตรง ส่วนมังกยอชวาปล่อยให้คุ้มกันหงสาวดี[13] การรุกรานของพระเจ้านันทบุเรงก็ล้มเหลว พระองค์ตั้งค่ายที่ทุ่งชายเคืองทางทิศตะวันออกของพระนคร ได้ทรงให้กองทัพม้าตีทัพพระยากำแพงเพชรที่มาป้องกันผู้คนที่ออกไปเกี่ยวข้าวแตกพ่าย และล้อมพระนครเป็นเวลากว่า 4 เดือน (ธันวาคม ค.ศ. 1586 ถึงเมษายน ค.ศ. 1587) แต่ไม่สามารถตีแตกได้ มีทหารเพียงส่วนน้อยจากจำนวน 25,000 นายเท่านั้นที่สามารถเดินทางกลับถึงหงสาวดีได้[10][14]

การรุกรานครั้งที่ 4 (ค.ศ. 1590–1591)

[แก้]

พระเจ้านันบุเรงยังไม่ยอมแพ้ ใน ค.ศ. 1590 พระองค์ทรงสั่งให้มังกยอชวานำทัพบุกทางเหนือของสยามอีกครั้ง พระเจ้านันบุเรงได้ทรงวางแผนการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบ แต่ต้องทรงปรับลดแผนการลงเหลือเพียงการรุกรานทางตอนเหนือของสยามเท่านั้น เนื่องจากโม่ญี่นและโม่ก้อง รัฐฉานทางตอนเหนือ ก็ก่อกบฏเช่นกัน เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน [ตามปฎิทินเก่า: 14 พฤศจิกายน] ค.ศ. 1590 มังกยอชวาเข้ารุกรานสยามตอนเหนือจากล้านนา[15] โดยพื้นฐานแล้วเป็นการรุกรานแบบเดิมเหมือนกับใน ค.ศ. 1586 ต่างแต่ความยับเยินของการพ่ายแพ้ กองทัพของพระองค์ไม่สามารถผ่านป้อมลำปางที่พระนเรศวรทรงเป็นผู้บัญชาการอีกเช่นเดียวกับครั้งก่อน แต่ต่างจาก ค.ศ. 1586 เพราะไม่เพียงมีการถอยทัพแบบปกติ แต่กองทัพที่ประกอบด้วยทหาร 24 กรมทหาร 20,000 นาย ถูกปราบอย่างราบคาบนอกเมืองลำปางในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1591 กองทหารที่เหลือถอยหนีกลับมาอย่างอลหม่านจนทำให้พระเจ้านันบุเรงภาคทัณฑ์ให้ทำการแก้ตัวใหม่ และประหารชีวิตนายพลระดับสูงบางคน[16]

สงครามยุทธหัตถี (ค.ศ. 1592–1593)

[แก้]

ทิศทางของสงครามเริ่มเปลี่ยนไปเข้าข้างฝ่ายสยาม ในช่วงฤดูแล้ง ค.ศ. 1591–1592 พระนเรศวรได้ยกทัพขึ้นโจมตีชายฝั่งตะนาวศรีตอนบน พระเจ้านันทบุเรงและราชสำนักจึงตกลงกันที่จะยกทัพกลับเข้ารุกรานสยามอีกครั้ง พระเจ้านันทบุเรงได้แต่งตั้งมังกยอชวาเป็นแม่ทัพใหญ่อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้แต่งตั้งเจ้าเมืองบริวารแปร ตองอู และล้านนา ให้เป็นรองแม่ทัพด้วย[17][18] พระองค์เสด็จจากหงสาวดีเมื่อวันพุธ เดือนอ้าย ขึ้น 7 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) จากนั้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน [ตามปฎิทินเก่า: 25 ตุลาคม] ค.ศ. 1592[note 3] กองทัพสองกอง (ทหาร 24,000 นาย, ม้า 2,000 ตัว, ช้าง 150 เชือก) พยายามโจมตีอีกครั้ง[18] การรุกรานสิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลว และการสิ้นพระชนม์ของมังกยอชวาในยุทธการใกล้กรุงศรีอยุธยา ทั้งพงศาวดารพม่าและสยามกล่าวว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ในยุทธการ แต่บันทึกต่างกันว่าพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไร และสิ้นพระชนม์เมื่อใด

บันทึกสยาม

[แก้]
ตราประจำจังหวัดสุพรรณบุรีในปัจจุบัน แสดงถึงสงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชา

มีบันทึกการรบของสยามที่แตกต่างกัน 4 แบบ ประวัติศาสตร์ไทยที่แพร่หลายนำข้อมูลจากบันทึกในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา บันทึกที่แพร่หลายระบุว่ากองทัพพม่าที่นำโดยมังกยอชวาได้บุกเข้าลึกไปในสยามจนถึงหนองสาหร่าย (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี) ที่นั่นผู้รุกรานเผชิญหน้ากับกองทัพสยามที่นำโดยสมเด็จพระนเรศวร และมกุฎราชกุมารพระเอกาทศรถ พระอนุชา กองทัพทั้งสองสู้รบในวันที่ 18 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 8 มกราคม] ค.ศ. 1593[note 4] (ช้ากว่าวันที่ในพงศาวดารพม่าสิบวัน)

กล่าวกันว่ากองทัพพม่าเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในการปะทะครั้งแรก และกดดันกองทัพแนวหน้าของสยามได้[19] พระนเรศวร พระเอกาทศรถ และองครักษ์เพียงไม่กี่คนยืนหยัดต่อสู้ต่อไป แต่เนื่องจากกองหน้าอื่น ๆ ของกองทัพสยามถอยทัพ กษัตริย์และมกุฎราชกุมารจึงตกอยู่ในวงล้อมกองทัพพม่า พระนเรศวรทรงเผชิญกับความตายอันแน่วแน่ จึงทรงท้ามังกยอชวาให้สู้ตัวต่อตัวบนช้างศึก[19][20] แม้ว่ากองทหารของมังกยอชวาล้อมเชื้อพระวงศ์สยามทั้งสองพระองค์ไว้ได้ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พระองค์จึงยอมรับคำท้านั้น (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นักประวัติศาสตร์สยาม ทรงสันนิษฐานว่า มกุฎราชกุมารพม่าทรงยอมรับคำท้านี้เพราะ "ความภาคภูมิใจในราชสำนักที่สอดคล้องกับพระชาติอันสูงส่งของพระองค์" และเนื่องจากพระองค์ "รู้สึกละอายที่จะไม่ยอมรับคำท้านี้"[20]) พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสาขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง ในขณะเดียวกัน พระเอกาทศรถก็สู้กับ "เจ้าเมืองชามะโรง" และสังหารได้เช่นกัน[21]

จากนั้นกองทัพพม่าจึงเริ่มยิง ทำให้ควาญช้างด้านหน้าของพระนเรศวรและควาญช้างตรงกลางของพระเอกาทศรถเสียชีวิต กระสุนปืนยังโดนพระหัตถ์ของกษัตริย์ แต่กองทัพสยามก็เข้ามาช่วยเหลือกษัตริย์สยามและมกุฎราชกุมารให้ปลอดภัย[21]

อย่างไรก็ตาม ไม่มีบันทึกอื่น ๆ ของสยาม รวมถึงบันทึกสองฉบับแรกเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เขียนขึ้นใน ค.ศ. 1647 และ 1690 รายงานการปะทะอย่างเป็นทางการระหว่างพระนเรศวรและมังกยอชวา[22]

บันทึกพงศาวดารพม่า

[แก้]

พงศาวดารพม่ารายงานว่า กองทัพของมังกยอชวาทะลวงเข้าไปถึงเขตชานเมืองอยุธยา กองทัพพระนเรศวรจึงปะทะกับกองทัพมังกยอชวาที่นั่น จากนั้นจึงเกิดการต่อสู้เมื่อวันที่ 8 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 29 ธันวาคม ค.ศ. 1592] ค.ศ. 1593 ทั้งผู้บัญชาการฝ่ายพม่าและสยามต่างต่อสู้กันบนช้างศึก ในระหว่างการสู้รบ ช้างศึกพม่าชื่อ Pauk-Kyaw Zeya (ပေါက်ကျော်ဇေယျ) ที่เจ้าเมืองชามะโรง (ဇာပရိုး, Zapayo) ขี่อยู่ เกิดตกมันและได้บุกโจมตีแนวหน้าของสยามไปยังพระนเรศวรในตอนแรก แต่ช้างกลับถูกผลักกลับไป ช้างศึกตัวนี้จึงกลับไปยังแนวพม่า และไล่ตามช้างของมังกยอชวา[23][24]

มังกยอชวาและควาญช้างสองคนของพระองค์พยายามต่อสู้กับช้างที่กำลังโกรธแค้น แต่ช้างของพวกเขาถูกผลักออกจากตำแหน่งจนทำให้ศัตรูมองเห็นได้ ช้างทั้งสองตัวถูกสยามยิงใส่ทันที และมังกยอชวากับควาญช้างด้านหน้าถูกยิงด้วยปืนครก[25] ควาญช้างคนกลางที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวนาม Tuyin Bala (တုရင်ဗလ) พยายามปกปิดการสิ้นพระชนม์ของมังกยอชวาด้วยการให้พระวรกายของมกุฎราชกุมารเอนพิงหลัง ขณะที่เขาสามารถขี่ช้างไปด้านหลังแนวรบได้ กองบัญชาการของพม่าหรือสยามไม่มีใครรู้เรื่องการสิ้นพระชนม์นี้ และการสู้รบก็ดำเนินต่อไป การสู้รบสิ้นสุดลงด้วยการที่กองทัพสยามถอยทัพกลับอยุธยา หลังการสู้รบ กองบัญชาการพม่าที่ตอนนี้นำโดยตะโดธรรมราชาที่ 3 แห่งแปรรู้เรื่องการสิ้นพระชนม์ และพวกเขาตัดสินใจถอยทัพแทนที่จะโจมตีเมืองต่อ[23][24]

การวิเคราะห์

[แก้]

BJ Terwiel รายงานว่ามีบันทึกเกี่ยวกับสงครามสงครามนี้ 10 แห่งโดยนักเขียนพื้นเมือง ยุโรป และเปอร์เซีย: (สยาม 4 แห่ง, พม่าแห่งเดียว, บันทึกยุโรปในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 4 แห่ง และบันทึกเปอร์เซียปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แห่งเดียว)[26] เรื่องการยุทธหัตถีอย่างเป็นทางการระหว่างพระนเรศวรกับมังกยอชวาปรากฏในบันทึกพระราชพงศาวดารสยามเพียงแห่งเดียว[27] จากการวิเคราะห์บันทึกสิบแห่งของ Terwiel มังกยอชวาและพระนเรศวรต่างต่อสู้กันด้วยช้างศึก แต่อาจไม่มีการท้าประลองอย่างเป็นทางการเกิดขึ้น Terwiel กล่าวว่า เป็นไปได้ยากมากที่มังกยอชวาจะตกลงประลองอย่างเป็นทางการ เพราะการตกลงเช่นนั้นจะ "เสี่ยงต่อการรุกรานอย่างแสนสาหัสที่ดำเนินไปอย่างราบรื่นและไร้อุปสรรค"[28] ในระหว่างการสู้รบ ช้างศึกของพระนเรศวรถูกกองทัพพม่าล้อมวง ในช่วงเวลาสำคัญนั้น ช้างศึกพม่าตัวหนึ่งตกมันและโจมตีช้างของมังกยอชวา เมื่อเห็นว่ามังกยอชวากำลังลำบาก พระนเรศวรจึง "เข้าประชิด" และพระองค์ (หรือนักรบคนใดคนหนึ่งที่ขี่ม้าไปกับพระองค์ อาจเป็นชาวโปรตุเกส) ยิงปืนใส่มกุฎราชกุมารมังกยอชวาจนบาดเจ็บสาหัส[29] พระนเรศวร "โชคดีที่รอดพ้นจากสถานการณ์อันตรายร้ายแรงได้" แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน[30] Terwiel ระบุว่า "บันทึกของพม่าและยุโรปนั้นใกล้เคียงกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นจริงมากกว่า" และ "การท้าประลองกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าของพระนเรศวร แม้ว่าจะปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์ไทยหลายเล่มก็ตาม ควรถูกจัดให้เป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนานเท่านั้น"[29]

ผลที่ตามมา

[แก้]

แม้บันทึกทั้งหมดของพม่าและสยามมีความแตกต่างกันจำนวนมาก แต่บันทึกของทั้งสองเห็นพ้องต้องกันว่ากองทัพทั้งสองได้สู้รบกันใกล้กรุงศรีอยุธยา ซึ่งมังกยอชวาพ่ายแพ้ในการรบ และกองทัพพม่าได้ล่าถอยในเวลาต่อมา นับเป็นการทัพของหงสาวดีครั้งสุดท้ายในสยาม บัดนี้สยามได้รับเอกราชแล้ว ในอีกสิบสองปีต่อมา พม่าเป็นฝ่ายตั้งรับ "สถานการณ์สงครามพลิกผันเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี"[19]

พระวรกายของมังกยอชวาถูกนำกลับไปยังหงสาวดีในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1593[31] กล่าวกันว่าพระเจ้านันทบุเรงทรงโศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง จึงทรงจัดพิธีพระราชทานเพลิงพระศพพระโอรสองค์โตอย่างสมพระเกียรติต่อหน้าพระราชวังกัมโพชธานี[32] เจ้าชายที่สวรรคตมีพระชนมายุ 34 พรรษา พระเจ้านันทบุเรงผู้หวั่นไหวทรงรอนานกว่าเก้าเดือนก่อนที่จะแต่งตั้งมังรายกะยอฉะวาที่ 2 เป็นรัชทายาทองค์ใหม่ในวันที่ 29 ธันวาคม [ตามปฎิทินเก่า: 19 ธันวาคม] ค.ศ. 1593[33]

ชีวิตส่วนพระองค์

[แก้]

พระมเหสีองค์แรกคือพระนางนะชีนแมดอ พระธิดาองค์เดียวในอุปราชตะโดเมงสอแห่งอังวะกับอังวะมิบะยา[34] พระนางอยู่เคียงข้างพระองค์เมื่อครั้งขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารใน ค.ศ. 1581 ตามบันทึกพงศาวดาร พระองค์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเกี้ยวพาราสีสตรีอีกคนหนึ่งนามพระนางราชธาตุกัลยา ซึ่งเป็นพระปิตุจฉา (ป้า, พี่/น้องสาวของพ่อ) ต่างมารดาของพระองค์ (แต่พระนางอายุน้อยกว่าพระองค์ปีเดียว[35]) ใน ค.ศ. 1583 พระนางนะชีนแมดอทรงบ่นอย่างขมขื่นแก่พระบิดามารดาของพระนาง ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างพระบิดามารดาของพระนางกับพระเจ้านันนทุเรง ความขัดแย้งดังกล่าวนำไปสู่การก่อกบฏอังวะใน ค.ศ. 1584[36]

มังกยอชวายังคงตามพระนางราชธาตุกัลยาต่อไป และพระนางยังคงปฏิเสธการระรานของพระองค์ในปีต่อ ๆ มา เจ้าหญิงได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้านันนทุเรง แต่ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1586 พระเจ้านันนทุเรงเสด็จออกจากหงสาวดีพร้อมกองทัพเพื่อเตรียมการรุกรานสยามครั้งที่สามในรัชสมัยของพระองค์ เมื่อพระราชบิดาเสด็จไปแล้ว มังกยอชวาจึงบังคับให้เจ้าหญิงทรงเลี้ยงดูเป็นพระมเหสี และหย่าร้างกับพระนางนะชีนแมดออย่างเป็นทางการ พระเจ้านันนทุเรงเสด็จกลับหงสาวดีในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1587 เนื่องด้วยการรบที่ล้มเหลว และพระมหากษัตริย์ทรงไม่พอพระทัยอย่างยิ่งเมื่อทรงทราบข่าวที่เกิดขึ้นขณะที่พระองค์ไม่อยู่[37] กระนั้น พระเจ้านันทบุเรงไม่ได้ยกเลิกการสมรส พระนางราชธาตุกัลยายังคงเป็นอัครพระมเหสีของมังกยอชวาจนกระทั่งพระองค์สวรรคต[38]

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

[แก้]

มีนักแสดงผู้รับบท มังกยอชวา ได้แก่

ดูเพิ่ม

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. (Ohn Shwe 1966: xxviii): วันอาทิตย์ แรม 2 ค่ำ เดือนนะดอ 920 ME = 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1558 จากบทกวีร่วมสมัย Maha Upayaza eigyin โดย Thinkhaya เจ้าเมือง Talote ประมาณช่วงต้นพระชนม์ชีพของมังกยอชวา
  2. (Hmannan Vol. 3 2003: 73): วันอาทิตย์ แรม 5 ค่ำ เดือนดะซองโม่น 943 ME = 15 ตุลาคม ค.ศ. 1581
  3. (Maha Yazawin Vol. 3 2006: 93) ระบุเป็น วันพุธ, ขึ้น 12 ค่ำ เดือนนะดอ 954 ME ซึ่งแปลงได้เป็น วันอาทิตย์, 14 พฤศจิกายน [ตามปฎิทินเก่า: 4 พฤศจิกายน] ค.ศ. 1592 แต่ (Hmannan Vol. 3 2003: 93) แก้ให้ถูกเป็นวันพุธ ขึ้น 2 ค่ำ เดือนนะดอ ซึ่งแปลงได้เป็นวันพุธที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1592 ตามแบบใหม่
  4. (Damrong 2001: 128): วันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จ.ศ. 954 (พ.ศ. 2135) = วันจันทร์ที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1593 ตามแบบใหม่

อ้างอิง

[แก้]
  1. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 64 พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า 116
  2. พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงศรีอยุทธยา, หน้า 85
  3. Maha Yazawin Vol. 3 2006: 103
  4. Lieberman 2003: 152
  5. Aung-Thwin and Aung-Thwin 2012: 134
  6. Lieberman 2003: 154–155, 161
  7. Lieberman 2003: 154–155
  8. 1 2 Harvey 1925: 181–182
  9. Hmannan Vol. 3 2003: 79–80
  10. 1 2 Phayre 1967: 121
  11. ปลายเดือนดะกู้ 947 ME = 20 มีนาคม ถึง 8 เมษายน ค.ศ. 1586 แบบใหม่
  12. 1 2 Hmannan Vol. 3 2003: 81–82
  13. Hmannan Vol. 3 2003: 84
  14. Hmannan Vol. 3 2003: 85–86
  15. (Hmannan Vol. 3 2003: 90): แรม 12 ค่ำ เดือนดะซองโม่น 952 ME = 24 พฤศจิกายน [ตามปฎิทินเก่า: 14 พฤศจิกายน] ค.ศ. 1590
  16. Maha Yazawin Vol. 3 2003: 90
  17. Maha Yazawin Vol. 3 2003: 92
  18. 1 2 Maha Yazawin Vol. 3 2006: 93
  19. 1 2 3 Wyatt 2003: 88–89
  20. 1 2 Damrong 2001: 131
  21. 1 2 Damrong 2001: 132
  22. Terwiel 2013: 22–23, 29
  23. 1 2 Hmannan Vol. 3 2003: 94
  24. 1 2 Maha Yazawin Vol. 3 2006: 94
  25. "คุณพระช่วย". ช่อง 9. 21 June 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-07. สืบค้นเมื่อ 22 June 2014.
  26. Terwiel 2013: 30
  27. Terwiel 2013: 22–25
  28. Terwiel 2013: 31–32
  29. 1 2 Terwiel 2013: 33
  30. Terwiel 2013: 34
  31. (Hmannan Vol. 3 2003: 95): เดือนดะบ้อง 954 ME = 31 มกราคม ถึง 1 มีนาคม ค.ศ. 1593 ในแบบใหม่
  32. Hmannan Vol. 3 2003: 95
  33. (Maha Yazawin Vol. 3: 95): วันพุธ ขึ้น 8 ค่ำ เดือนปยาโต 955 ME = 29 ธันวาคม ค.ศ. 1593
  34. Maha Yazawin Vol. 3 2006: 77
  35. Ohn Shwe 1966: xxviii
  36. Maha Yazawin Vol. 3 2006: 78–79
  37. Maha Yazawin Vol. 3 2006: 88
  38. Htin Aung 1967: 137

บรรณานุกรม

[แก้]