ข้ามไปเนื้อหา

อาโซกา ทาโน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อาโซกา ทาโน
ตัวละครใน สตาร์ วอร์ส
อาโซกา ทาโน ในภาพยนตร์ สตาร์ วอร์ส: สงครามโคลน
ปรากฏครั้งแรกภาพยนตร์ สงครามโคลน (ค.ศ. 2008)
สร้างโดย
ให้เสียงโดยแอชลีย์ เอกสไตน์
แสดงโดยโรซาริโอ ดอว์สัน
อารีอานา กรีนแบลตต์ (วัยเด็ก)
จับการเคลื่อนไหวลอเรน แมรี คิม
(เดอะ โคลน วอร์ส)[1]
ข้อมูลตัวละครในเรื่อง
นามแฝง
  • ฟัลครัม
  • แอชลา
ชื่อเล่น
เผ่าพันธุ์โทกรูตา
เพศหญิง
อาชีพ
สังกัด
อาจารย์อนาคิน สกายวอล์คเกอร์
ลูกศิษย์ซาบีน เวร็น
ดาวบ้านเกิดชีลี
เกิดปีที่ 36 ก่อนยุทธการยาวิน
ตายปีที่ 21 ก่อนยุทธการยาวิน ที่ดาวมอร์ทิส (แต่ต่อมาฟื้นคืนชีพ)
ส่วนสูง1.7 เมตร (วัยรุ่น)
1.88 เมตร หรือ 6 ฟุต 1 นิ้ว (ผู้ใหญ่)

อาโซกา ทาโน (อังกฤษ: Ahsoka Tano) เป็นตัวละครสมมติในแฟรนไชส์สตาร์ วอร์ส เธอได้รับการแนะนำตัวในฐานะเด็กหญิงอายุ 14 ปี ชาวโทกรูตา ผู้เป็นเจไดพาดาวันของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ในภาพยนตร์แอนิเมชัน สตาร์ วอร์ส: สงครามโคลน (ค.ศ. 2008) ก่อนที่จะปรากฏตัวในซีรีสแอนิเมชันโทรทัศนที่ตามมาหลังจากนั้น (ค.ศ. 2008–2014; 2020); แอนิเมชันชุดภาคต่อ สตาร์ วอร์ส เรเบลส์ (ค.ศ. 2014–2018); ในภาพยนตร์คนแสดง สตาร์ วอร์ส: กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์ (ค.ศ. 2019) ในรูปแบบของเสียง; และในแอนิเมชันชุด เทลส์ออฟเดอะเจได (ค.ศ. 2022) โดยทั้งหมดได้รับการพากย์เสียงโดยแอชลีย์ เอกสไตน์ ในปี ค.ศ. 2020 อาโซกาได้มีการเปิดตัวตัวละครฉบับคนแสดงในซีซัน 2 ของละครชุดของดิสนีย์+ เดอะแมนดาลอเรียน ซึ่งแสดงโดย โรซาริโอ ดอว์สัน ดอว์สันกลับมารับบทของเธอในละครชุดภาคแยก ค.ศ. 2022 คัมภีร์แห่งโบบ้า เฟตต์ และละครชุด ค.ศ. 2023 อาโซกา

การสร้างและการพัฒนา

[แก้]

แนวคิด

[แก้]

อาโซกานั้นถูกสร้างโดยจอร์จ ลูคัส และเดฟฟิโลนี[2] ตัวละครนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อบรรยายว่าอนาคิน สกายวอล์คเกอร์นั้นสามารถพัฒนาจากพาดาวันผู้สะเพร่า ไร้ระเบียบวินัยใน สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 2 กองทัพโคลนส์จู่โจม (ค.ศ. 2002) กลายเป็นอัศวินเจไดที่มีความสงบเสงี่ยม ใน สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น (ค.ศ. 2005) ได้อย่างไร[3] ลูคัส ซึ่งมีลูกสาวสองคนนั้น ก็ต้องการให้ตัวละครนี้ถูกใจเหล่าลูกสาวของเขา[4] ในช่วงต้นของการพัฒนานั้น ชื่อของอาโซกานั้นคือ "แอชลา"[5][a] ลูคัสตั้งชื่อใหม่ให้กับเธอตามจักรพรรดิอินเดียโบราณ อโศก; หลังจากนั้นจึงมีการนำชื่อมาจัดเรียงตัวอักษรใหม่โดยผู้เขียนบท เฮนรี กิลรอย[7]

ฟิโลนีผู้เป็นผู้กำกับการดูแลและผู้เขียนบท เขียนเรื่องเล่าเกี่ยวกับช่วงวัยเด็กของอาโซกาเพื่อช่วยในการพัฒนาตัวละคร เขาจินตาการว่าการค้นพบว่าเธอมี "สิ่งที่กำลังพอดี" สำหรับการเป็นเจไดนั้นน่าจะทำให้เกิดการเฉลิมฉลองที่บ้านเกิดของเธอ[8] ฟิโลนีกล่าวว่าเขารู้สึกหวงแหนตัวละครของอาโซกา

การให้อนาคินรับผิดชอบพาดาวันนั้น เป็นความตั้งใจที่จะผลักดันตัวละครให้อยู่ในบทบาทที่บังคับให้เขาต้องระวังตัวและรับผิดชอบมากขึ้น นอกจากนี้ การทำเช่นนี้จะยังทำให้เขาเข้าใจถึงความสัมพันธ์กับอาจารย์ของเขา โอบีวัน เคโนบี และบรรยายว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นได้อย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างอาโวกาและอนาคินนั้นถูกมองว่าเป็นโครงเรื่องที่สำคัญ ทั้งในภาพยนตร์แอนิเมชัน สงครามโคลน และแอนิเมชันชุดทางโทรทัศน์ เดอะ โคลน วอร์ส[9]

การเขียน

[แก้]
จอร์จ ลูคัส (บน) และ เดฟ ฟิโลนี (ล่าง), ผู้ร่วมสร้างตัวละครของอาโซกา

ในตอนแรกนั้น ฟิโลนีติดขัดกับการเขียนบทอาโซกาเพราะเขา "ไม่มีมุมมอง" ว่าการเป็นเด็กอายุ 14 ปีนั้นเป็นอย่างไร[10] ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนจุดโฟกัสของเขาและไปเขียนบทคร่าว ๆ แทน ว่าอาโซกาเป็นเจไดผู้บังเอิญเป็นวัยรุ่นหญิง[11] ฟิโลนีกล่าวว่าเขา "มีเรื่องเล่าในหัวมาโดยตลอด" สำหรับพัฒนาการโดยรวมของอาโซกา[12] เขาเริ่มคิดเกี่ยวกับการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างอาโซกาและเวเดอร์ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มเขียนบทเกี่ยวกับอาโซกา;[13] แค่ในแต่ละแบบนั้นมีการจบที่แตกต่างกัน[14] เช่น หนึ่งในนั้น ซึ่งเวเดอร์ฆ่าอาโซาในตอนที่เธอฟันหมวกของเขาและเปิดเผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็น[15]

แอชลีย์ เอกสไตน์ผู้เป็นคนให้เสียงอาโซกานั้นกล่าวว่าเธอและเหล่านักเขียนรู้ตัวว่าผู้ชมรู้สึกว่าตัวละครในตอนเริ่มแรกน่ารำคาญและมีเพียง "เส้นบาง ๆ" ระหว่างการที่อาโซานั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์และการกลายเป็นที่รัก ด้วยการสร้างที่เร็วกว่าการกำหนดฉายถึงหนึ่งปี โดยในระหว่างนั้นอาโซกามีพัฒนาการมากมาย เอกสไตน์จึงขอให้แฟน ๆ นั้นใจเย็น ๆ กับพัฒนาการของตัวละคร[16]

ถึงแม้ว่าอาโซกาจะจากนิกายเจไดไปในตอนจบของซีซันห้าของ เดอะ โคลน วอร์ส ในตอนแรกนั้นมีเส้นเรื่องที่จะให้เธอกลับมาที่นิกาย[17] ฟิโลนีกล่าวว่ามันคงเป็นเพียงแค่โครงเรื่อง "ธรรมดา" และเสนอลูคัสว่าเธอควรที่จะยังคงถูกไล่ออกไปซึ่งลูคัสเห็นด้วย[18] ลูคัสเชื่อว่าอาโซการอดจากคำสั่งที่ 66 ซึ่งเป็นการสังหารหมู่เจไดที่เห็นใน สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น[14]

ตัวละคร ฟัลครัม ซึ่งได้รับการแนะนำตัวในช่วงต้นของ สตาร์ วอร์ส เรเบลส์ นั้นตั้งใจให้เป็นอาโซกาตั้งแต่แรก[19] ฟิโลนี ผู้เป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้ร่วมสร้าง เรเบลส์ ร่วมมือกับลูคัสในการวิเคราะห์ว่าอาโซกาจะรู้อะไรบ้าวเกี่ยวกับชะตากรรมของอนาคิน[14] นอกจากนี้ฟิโลนียังทำงานร่วมกับผู้อำนวยการสร้าง ไซมอน คินเบิร์ก และผู้อำนวยการสร้างซีซันแรก เกร็ก ไวส์แมน เกี่ยวกับการพัฒนาบทบาทของอาโซกาในฐานะสายลับของกบฏ[14]

เหล่าผู้เขียนบทนั้นตื่นเต้นมาก ๆ ในการกลับมาของอาโซกาในซีซันสอง และฟิโลนีรู้สึกกังวลใจว่า เรเบลส์ จะกลายเป็น "รายการของอาโซกา ทาโน"[20] เพราะเหตุนี้ ฟิโลนีต้องการให้อาโซกาทำหน้าที่เป็นตัวละครที่ให้ความช่วยเหลือแค่ตัวละครของ เรเบลส์ เอซรา บริดเจอร์ และ เคนัน จาร์รัส;[14][19] เขามองว่าบทบาทใหม่ของอาโซกานั้นคล้ายคลึงกับสิ่งที่โอบีวันทำในภาพยนตร์ สตาร์ วอร์ส[21] ถึงแม้ว่าอาโซกาจะโตขึ้นใน เรเบลส์ ฟิโลนีต้องการให้ "มุมมองของเด็กคนนั้นที่อยู่ที่นั่นเพื่อเฉิดฉาย"[21] ในตอนแรกนั้น เขาคิดไว้ว่าอาโซกาจะเป็น "ผู้เล่นที่ไม่โต้ตอบ" มากกว่า โดยไม่ร่วมการต่อสู้ แต่ในตอนหลังนั้น เขาตัดสินใจว่าจะเหมาะสมกว่าถ้าให้อาโซกาเป็นนักรบในช่วงเวลาที่ผันผวน[14] การมีอยู่ของอาโซกานั้นสำคัญเพื่อให้ดาร์ธ เวเดอร์นั้นสามารถเผชิญหน้ากับตัวละครหลักในรายการนี้ได้ โดยตัวละครหลักเหล่านั้นไม่ตาย เพราะอาโซกานั้นสามารถต่อกรเวเดอร์ได้[22]

ฟิโลนีอ้างถึงความหลงใหลของแฟน ๆ ที่มีให้ต่อตัวละครนี้ ว่าเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อาโซกานั้นโดดเด่นใน เดอะ โคลน วอร์ส และ เรเบลส์[12]

การพากย์เสียง

[แก้]

เอกสไตน์กล่าวว่าฟิโลนีต้องการให้เธอนำบุคลิกบางส่วนของเธอใส่เข้าไปในตัวละครของอาโซกา โดยเขากล่าวว่าการกระทำและคำพูดของเธอในระหว่างรอบการออดิชันทำให้เธอได้รับตำแหน่งมากกว่าการออดิชันจริง ๆ ซะด้วยซ้ำ เมื่อการสร้าง สงครามโคลน เริ่มต้นขึ้น เอกสไตน์และผู้เขียนบทใช้เวลาถึงหกเดือนเพื่อเข้าใจตัวละครอาโซกา ด้วยเหตุนี้บทพูดส่วนมากในครึ่งแรกของซีซันแรกนั้นจึงมีการอัดเสียงใหม่เพื่อให้สามารถบรรยายตัวละครได้ดีขึ้น นอกจากนี้เอกสไตน์ยังกล่าวว่าตัวละครอาโซกานั้นได้มั่นคงขึ้นเมื่อได้เลือก แมตต์ แลนเทอร์ มาเป็นอนาคินซึ่งเกิดขึ้นครึ่งทางหลังจากซีซันแรก[16]

เอกสไตน์กลับมารับบทเป็นอาโซกาใน เรเบลส์ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ให้เสียงฟัลครัมก็ตาม[18] เธอได้รู้ถึงการกลับมาของอาโซกาประมาณหนึ่งปีก่อนการฉายตอนจบของซีซันแรกและบอกว่ามันยากมากที่จะเก็บเป็นความลับ[23] เอกสไตน์กล่าวว่าอาโซานั้นได้พัฒนาความมั่นใจและความแข็งแกร่งซึ่งตัวละครของเธอในวัยเด็กนั้นไม่มี แต่บางทีเธอก็สวมบทบาทเป็นอาโซกามากเกินไป เธอชี้ให้เห็นว่า "ความอารมณ์ร้อน" และความมุ่งมั่นนั้นยังคงเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของอาโซกา[16] เอกสไตน์ปรับระดับเสียงของเธอลงนิดหนึ่งแต่ด้วยเหตุที่ว่าเธอและอาโซกานั้นอายุใกล้เคียงกับมากขึ้น เธอจึงพูดเสมือนเป็นตัวเธอเอง[24]

รูปลักษณ์ภายนอก

[แก้]
อาโซกาดังที่เธอปรากฏใน สตาร์ วอร์ส เรเบลส์ อาโซกาสวมเกราะ "ซามูไรเทียม" ใน สตาร์ วอร์ส เรเบลส์ และกระบี่แสงของเธอที่ไร้ซึ่งสี ซึ่งเป็นการระบุว่าเธอไม่ใช่เจได หรือ ซิธ[18] เครื่องหมายบนหน้าและความยาวจากหัวถึงหางของเธอนั้นต่างจากใน เดอะ โคลน วอร์ส เนื่องด้วยอายุของเธอ[20]

งานออกแบบตัวละครอาโซกานั้นค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงตลอดสามปีก่อนการแนะนะตัวละครของเธอในภาพยนตร์ สงครามโคลน[24] รูปลักษณ์ภายนอกของเธอนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากตัวละครซัง ใน เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร[24] ในตอนแรกนั้นอาโซกามีรูปลักษณ์ในแบบที่ Wired เรียกว่า "ชุดเสื้อเกาะอกและกระโปรงสั้น" ในซีซันสามนั้นอาโซกาและตัวละครอื่น ๆ ได้รับชุดใหม่ ฟิโลนีกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีขึ้นเพื่อนำพาภาพลักษณ์โดยรวมของรายการให้ใกล้เคียงกับที่ปรากฏใน ซิธชำระแค้น มากขึ้น และเป็นไปได้ด้วยเทคนิคแอนิเมชันต่าง ๆ ที่ดีขึ้น[25] สำหรับซีซันที่เจ็ด ซึ่งเป็นซีซีนสุดท้ายของ เดอะ โคลน วอร์ส นั้น งานออกแบบอาโซกาได้มีการปรับอีกครั้งเนื่องด้วยเทคโนโลยีแอนิเมชันที่ดีขึ้น นอกจากนี้ชุดของเธอนั้นยังถูกเปลี่ยนให้มีสีออกเทาฟ้ามากขึ้นเพื่อให้คล้ายคลึงกับการปรากฏตัวของเธอใน สตาร์ วอร์ส เรเบลส์ ซึ่งฉายก่อนซีซันนี้[26][27]

โดยบ่อยครั้งนั้น อาโซกาใช้ท่าจับกระบี่แสงแบบกลับด้าน (อังกฤษ: Reverse Lightsaber Grip) ซึ่งคล้ายคลึงกับตัวละครซาโตอิจิ[28] อาโซกาได้รับกระบี่แสงอันที่สองพร้อมกับการเปลี่ยนชุดในซีซันสามของ เดอะ โคลน วอร์ส[25] ในซีซันที่เจ็ดซึ่งเป็นซีซีนสุดท้ายนั้น เธอได้รับกระบี่แสงคู่ใหม่ซึ่งมีใบดาบสีฟ้า[27]

เกราะของอาโซกาใน เรเบลส์ นั้นมีต้นแบบมาจาก "หน้าตาแบบซามูไรเทียม" ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากภาพถ่ายของซามูไรหญิง[8][18] เกราะนี้มีลักษณะที่ตั้งใจให้ดูเหมือนว่าเธอพบเกราะนั้นในวิหารโบราณของเจไดและกระบี่แสงที่มีใบดาบไร้สีนั้นเป็นการระบุว่าเธอไม่ใช่เจไดหรือซิธ[8][18] ฟิโลนีกล่าวว่ากระบี่แสงสีขาวนั้นมีลักษณะที่ดีกว่าที่เขาคาดหวังไว้[18] เครื่องหมายบนหน้าเธอนั้นถูกเปลี่ยนเพื่อแสดงว่าเธอมีอายุที่มากขึ้น[20] สิ่งนี้เป็น "พื้นฐานใหม่" สำหรับฝ่ายผลิตในการปรับรูปแบบแอนิเมชันของอาโซกาเพื่อให้สอดคล้องกับอายุของเธอที่มากขึ้น[17]

การบรรยายตัวละคร

[แก้]

ภาพยนตร์

[แก้]

สงครามโคลน (ค.ศ. 2008)

[แก้]

อาโซกาได้รับการแนะนำตัวในภาพยนตร์แอนิเมชันปี ค.ศ. 2008 สงครามโคลน (ซึ่งทำหน้าที่เป็นตอนแรกของแอนิเมชันชุด เดอะ โคลน วอร์ส) ในฐานะเด็กอายุ 14 ปี[29] โดยเป็นพาดาวันที่ได้รับการมอบหมายโดยโยดาให้เป็นศิษย์ของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ เพื่อสอนให้อนาคินนั้นมีความรับผิดชอบ ในตอนแรกนั้นอนาคินรู้สึกหงุดหงิดกับการตัดสินใจนี้ ปฏิสัมพันธ์เริ่มแรกของพวกเขานั้นเป็นการ "โต้เถียงกันเล่น ๆ" ด้วยการที่อนาคินเรียกเธอว่า "สนิปส์" สำหรับทัศนคติที่ "อารมณ์ร้อน" ของเธอ และอาโซกาเรียกเขาว่า "สกายกาย" เพื่อเป็นการเล่นคำในนามสกุลของเขา[29] อาโซกาได้แสดงความตั้งใจในการเข้าเป็นศิษย์ของอนาคินอย่างแรงกล้า ทาโนมีส่วนร่วมในการเอาชนะฝ่ายแบ่งแยกในยุทธการคริสทอปซิส และรอดชีวิตจากการเผชิญหน้ากับเจไดมืด อาซาจ เวนเทรส ในช่วงยุทธการเทธ อาโซกามีบทบาทร่วมกับอนาคินในการจัดเส้นทางปลอดภัยผ่านจักรวาลถิ่นฮัทท์ให้กับสาธารณรัฐกาแลกติกด้วยการร่วมช่วยเหลือรอตตา บุตรชายของแจบบา เดซิลิจิก ทิอูเร เป็นการสมานสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐกับพวกฮัทท์เอาไว้

กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์ (ค.ศ. 2019)

[แก้]

อาโซกาได้ปรากฏตัวในรูปแบบของเสียงใน สตาร์ วอร์ส: กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์ ในฐานะหนึ่งในอดีตเจไดที่ช่วยเรย์ต่อกรกับ จักรพรรดิพัลพาทีน/ดาร์ธ ซิเดียสยสที่ฟื้นคืนชีพ เอกสไตน์กลับมาให้เสียงตัวละครในภาพยนตร์[30]

โทรทัศน์

[แก้]

แอนิเมชันชุด

[แก้]

เดอะ โคลน วอร์ส (ค.ศ. 2008–2014; 2020)

[แก้]

อาโซกาเป็นตัวละครหลักในหกจากเจ็ดซีซันของ สตาร์ วอร์ส: เดอะ โคลน วอร์ส เธอเป็นพาดาวันและผู้บัญชาการของกองพันที่ 501 ของกองทัพแห่งสาธารณรัฐและเรียนรู้วิธีแห่งเจไดในฐานะลูกศิษย์ของอนาคินอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองได้พัฒนาความใกล้ชิดโดยในบางครั้งแบกรับความเสี่ยงเพื่อปกป้องหรือช่วยเหลืออีกคน บางการกระทำของอนาคินที่ทำด้วยความเป็นห่วงอาโซกานั้นเปิดเผยถึงแนวโน้มที่จะเข้าสู่ด้านมือของเขา เช่น การทรมานนักโทษที่อาจรู้ตำแหน่งของเธอหลังจากที่เธอหายไป[31] ในขณะที่ร่วมปฏิบัติงานกับอาจารย์ของตน อาโซกาได้เข้าช่วยเหลืออาจารย์เจไดโพล คูน และทหารในสังกัดระหว่างยุทธการโบธาวุย ต่อมาอาโซกาจะได้ต่อสู้กับนายพลกรีวัสและมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ในเนบิวลากาลีดา นอกจากนี้อาโซกายังได้รับคำปรึกษาจากกัปตันเร็กซ์ โคลนทรูปเปอร์ซึ่งเธอและอนาคินร่วมงานด้วยตลอดระยะเวลาของสงคราม ในโครงเรื่องสุดท้ายของซีซันห้า อาโซกาถูกจัดฉากและติดคุกในฐานลอบวางระเบิดและฆาตกรรมซึ่งทั้งสองอย่างนี้นั้นก่อโดยเพื่อของเธอ แบริส ออฟฟี ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดเธอจะพ้นผิด เธอรู้สึกผิดหวังกับสภาเจไดและออกจากนิกายเจไดไปในตอนสุดท้ายของซีซันห้า[32] การถอนตัวจากนิกายของเธอจึงทำให้อนาคินยังคงติดอยู่ที่สถานะอัศวินเจไดโดยไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นอาจารย์เจได

ฟิโลนีกล่าวว่าแนวคิดแรกของตอนจบของ เดอะ โคลน วอร์ส จะมีเร็กซ์ซึ่งหนีจากคำสั่งที่ 66 และการมีอยู่ของเขาและอาโซกา ณ สถานที่อื่นนั้นจะสามารถอธิบายการหายไปของตัวละครทั้งสองใน ซิธชำระแค้น ได้[14] อาโซกากลับมาในซีซันที่เจ็ดซึ่งเป็นซีซีนสุดท้ายของ เดอะ โคลน วอร์ส โดยเธอเป็นจุดโฟกัสในสองจากสามโครงเรื่องที่มีในซีซันนี้ซึ่งฉายในปี ค.ศ. 2020 บนดิสนีย์+[33] ในสี่ตอนสุดท้ายซึ่งดำเนินเหตุการณ์พร้อมกันกับ ซิธชำระแค้น นั้น ได้เห็นอาโซกากลับมารวมกลุ่มกับอนาคินและโอบีวันชั่วขณะหนึ่งก่อนที่พวกเขาจะเดินทางไปดาวคอรัสซังเพื่อช่วยสมุหนายกพัลพาทีนผู้เป็นซิธลอร์ด ดาร์ธ ซิเดียสยสอย่างลับ ๆ ก่อนเดินทางไปดาวแมนดาลอร์นั้น เร็กซ์ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการของกองร้อยที่ 332 (แบ่งออกมาจากกองพันที่ 501) และมีอาโซกาเป็นที่ปรึกษา เพื่อจับกุมตัวอดีตซิธลอร์ด มอล ในระหว่างการล้อมแมนดาลอร์ อาโซกาเผชิญหน้ามอลโดยเขาเปิดเผยแผนของซิเดียสยสที่ต้องการจะแต่งตั้งให้อนาคินเป็นลูกศิษย์คนใหม่ของเขาและเสนอที่จะร่วมแรงในการป้องการไม่ให้เกิดขึ้น แต่เธอไม่เชื่อเขา อาโซกาเอาชนะและจับกุมมอล แต่ในระหว่างทางไปดาวคอรัสซัง เธอรู้สึกได้ว่าอดีตอาจารย์ของเธอนั้นมีปัญหาแต่ก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าเขาได้ตกสู่ด้านมืด ในตอนที่มีการออกคำสั่งที่ 66 โคลนทรูปเปอร์ของอนาคินรวมถึงเร็กซ์หักหลังให้เธอ แต่เธอหนีมาได้และสามารถที่จะนำชิพที่ควบคุมสมองของเร็กซ์ออกไปได้ รวมถึงปล่อยมอลออกมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ อาโซกาและเร็กซ์สามารถหนีออกจากยานพิฆาตดารา วีเนเตอร์-คลาส ที่พบเขาอยู่ก่อนที่จะตกลงบนดวงจันทร์ขนาดเล็กซึ่งพวกเขาฝังโคลนทรูปเปอร์ทุกนายที่ตายไป อาซาโกยังทิ้งหนึ่งในกระบี่แสงของเธอก่อนที่จะแยกทางกับเร็กซ์ ฉากสุดท้ายบรรยายภาพดาร์ธ เวเดอร์นำทีมสำรวมไปบนดวงจันทร์และเดินไปยังเศษซากของยาน เขาสังเกตเห็นกระบี่ของอาโวกาตกอยู่บนพื้น เขาหยิบขึ้นมาและเปิดกระบี่แสงนั้น ก่อนที่จะจากไปพร้อมกับกระบี่แสงด้วยความเงียบสงัด

เรเบลส์ (ค.ศ. 2014–2018)

[แก้]

อาโซกาเป็นสายลับของกบฏในซีซันแรกของ สตาร์ วอร์ส เรเบลส์ ซึ่งดำเนินเรื่อง 14 ปีหลังเหตุการณ์ใน เดอะ โคลน วอร์ส สิ้นสุดลง[34] เธอปฏิบัติการภายใต้โค้ดเนม "ฟัลครัม" โดยเธอให้ข้อมูลและเสบียงแก่ลูกเรือกบฏของยานโกสต์ ในขณะที่ปลอมแปลงโดยใช้เสียงดัดและปรากฏตัวในรูปแบบของโฮโลแกรมที่ใส่สวมหมวกคลุม ตัวตนของเธอนั้นถูกเปิดเผยในตอนสุดท้ายของซีซัน

เธอกลายเป็นตัวละครสมทบในซีซันสอง โดยให้ความช่วยเหลือในการนำกลุ่มกองกำลังกบฏและทำงานร่วมกับลูกเรือยานโกสต์ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสมาชิกที่เป็นเจไดอย่างเอซรา บริดเจอร์และเคนัน จาร์รัส ด้วยการที่เธอคาดว่าอนาคินตายไปแล้วเหมือนกับเจไดคนอื่น ๆ ในตอนจบของสงครามโคลน เธอรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้สังเกตเห็นที่ปรึกษาของเธอภายใต้ "ชั้นของความเกลียดชัง" ในตัวของดาร์ธ เวเดอร์[14] ในตอนหลัง ๆ ของซีซัน เธอมีนิมิตว่าอนาคินโทษเธอเรื่องที่เธอทิ้งเขาไปและทำให้เขาตกสู่ด้านมืด ในตอนจบของซีซัน อาโซกาสู้กับดาร์ธ เวเดอร์ในวิหารซิธบนดาวมาลอคอร์ซึ่งเปิดโอกาสให้เพื่อน ๆ ของเธอบนยานโกสต์หนีจากการพังทลายลงของวิหารได้ ในตอนจบของตอน ดาร์ธ เวเดอร์สามารถออกจากวิหารได้พร้อมอาการบาดเจ็บ โดยเขาถูกมองโดยนกฮูกสีขาวเขียวซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเพื่อนคู่ใจของอาโซกาในรายการและเป็นอวตารของพระธิดาแห่งมอร์ทิส และบินกลับเขาไปในวิหารเพื่อเฝ้าดูอาโซกาที่ดูเหมือนจะเดินลึกเข้าไปในวิหาร ฟิโลนีกล่าวว่าชะตาของอาโซกานั้นไม่เป็นที่ชัดเจนและเป็น "ปลายเปิดเล็กน้อย" แต่กระนั้น เอกสไตน์เชื่อว่าตัวละครนี้ยังมีชีวิตอยู่[8][35][36][37]

ในซีซันสี่ ตอน "A World Between Worlds" ชะตาของอาโซกานั้นถูกเปิดเผยในที่สุด เอซราซึ่งได้มายังดินแดน "ระหว่างโลกต่าง ๆ และเวลา" ภายในวิหารเจไดบนดาวโลธาลและถูกนำโดยเพื่อนนกฮูกคู่ใจของอาโซกา มอไร ดึงเธอออกมาจากจังหวะก่อนที่เวเดอร์จะฟันเธอและจึงเปลี่ยนชะตาของเธอ อาโซกาได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกเรือยานโกสต์และพยายามโน้มน้าวเอซราไม่ให้เปลี่ยนชะตะกรรมของเคนันเพราะเขานั้นเสี่ยงที่จะเสียชีวิตของตนเองไป จักรพรรดิพัลพาทีน/ดาร์ธ ซิเดียสยสจึงปรากฏตัวออกมา ในตอนที่เขาพยายามบังคับเอซราให้พาเขาเข้าไปยังดินแดนนี้โดยใช้เวทของซิท อาโซกาช่วยเอซราหนีออกไปพร้อมกับกลับ (พร้อมมอไร) ไปยังเส้นเวลาของเธอในจังหวะหลังจากวิหารซิธถล่มลง โดยสัญญาว่าจะหาเอซราและลูกเรือนั้นอีกครั้ง อาโซกากลับมาปรากฏตัวในบทส่งท้ายของตอนจบซีรีส์ "Family Reunion and Farewell" โดยกลับมายังดาวโลธาลหลังเหตุการณ์ยุทธการเอนดอร์เพื่อร่วมมือกับซาบีน เวร็นในการตามหาเอซราผู้หายตัวไปในช่วงการปลดปล่อยโลธาล

เทลส์ออฟเดอะเจได (ค.ศ. 2022)

[แก้]

อาโซกาปรากฏตัวในสามตอนของแอนิเมชันชุด เทลส์ออฟเดอะเจได: หนึ่งตอนบรรยายถึงการเกิดของเธอและชีวิตของเธอในวัยเด็ก, หนึ่งตอนแสดงถึงเธอที่เป็นพาดาวันภายใต้อนาคิน สกายวอล์คเกอร์, และหนึ่งตอนที่ดัดแปลงเรื่องมาจากเหตุการณ์ในนวนิยาย ค.ศ. 2016 เรื่อง อาโซกา ที่แสดงถึงชีวิตเธอหลังจากคำสั่งที่ 66 และก่อน สตาร์ วอร์ส เรเบลส์

โดยในตอนสุดท้ายที่กล่าวถึงไปนั้น อาโซกายังคงใช้กระบี่แสงคู่เป็นอาวุธ แต่กระบี่แสงนั้นมีใบดาบสีขาวเนื่องจากคริสตัลที่เธอใช้สร้างนั้นมาจากการที่เธอเอาชนะอินควิซิเตอร์ได้แล้วนำเอาคริสตัลสีแดงมาชำระด้วยพลังด้านสว่าง นอกจากนี้กระบี่แสงของเธอยังมีด้ามโค้ง โดยมีใบดาบขนาดยาวและสั้น อย่างละเล่ม ทำให้สามารถโจมตีได้หลากหลายมุม และแม้ว่าเธอจะยังคงใช้พลังและกระบี่แสง แต่เธอไม่เคยประกาศตัวว่าเป็นเจได

ละครชุดคนแสดง

[แก้]
โรซาริโอ ดอว์สัน เป็น อาโซกา ทาโน ใน เดอะแมนดาลอเรียน ซึงเป็นการปรากฏตัวในรูปแบบคนแสดงเป็นครั้งแรกของตัวละครนี้

โรซาริโอ ดอว์สัน แสดงความสนใจในการแสดงเป็นอาโซกา ทาโน ในต้นปี ค.ศ. 2017 พร้อมกับความสนับสนุนโดยแฟน ๆ[38][39] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 มีการรายงานว่าดอว์สันจะมีการปรากฏตัวเป็นตัวละครนี้ในซีซัน 2 ของละครชุดของดิสนีย์+ เดอะแมนดาลอเรียน[39] อาโซกาปรากฏตัวในตอน "Chapter 13: The Jedi" ซึ่งเป็นตอนที่ห้าของซีซันสอง[40] ดอว์สันกลับมารับบทเป็นอาโซกาในตอน "Chapter 6: From the Desert Comes a Stranger" ของ คัมภีร์แห่งโบบ้า เฟตต์[41]

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020 ลูคัสฟิล์มประกาศว่าอาโซกาจะมีละครชุดของเธอเองซึ่งจะมีเพียงซีซันเดียวบนดิสนีย์+ ชื่อว่า อาโซกา โดยละครชุดนี้ได้รับการพัฒนาโดยจอน แฟฟโรว์และเดฟ ฟิโลนี[42] โดยดำเนินเรื่องพร้อม ๆ กับ เดอะแมนดาลอเรียน และ คัมภีร์แห่งโบบ้า เฟตต์ ผ่านเรื่องราวที่เชื่อมต่อกันโดยรวมเป็น "เหตุการณ์เรื่องราวที่สำคัญ"[42][43] ดอว์สันกลับมารับบทเป็นอาโซกา ทาโนในปี ค.ศ. 2023[43][44]

เดอะแมนดาลอเรียน (ค.ศ. 2020)

[แก้]

ในระหว่างที่เธอตามหา จอมพลธรอว์น เธอพยายามที่จะปลดปล่อยเมืองแห่งคาลิดานบนดาวคอร์วัสจากการครอบครองของจักรวรรดิและพบกับตัวละครที่โด่งดัง ผู้ที่โบ-คาทาน ครีซบอกให้มาตามหาเธอ เพื่อให้เธอสามารถฝึก "เด็กทารก" ได้ ในระหว่างที่สื่อสารกับเขาผ่านพลัง เธอได้เรียนรู้ว่าชื่อของทารกนี้คือโกรกู และเขาถูกเลี้ยงดูในวิหารเจไดบนดาวคอรัสซังก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือในช่วงการกวาดล้างเจไดครั้งใหญ่และซ่อนเขาเพื่อความปลอดภัย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงปิดกั้นพลัง ด้วยรู้ถึงความกลัวในตัวโกรกู และความเกี่ยวพันธ์ที่ลึกซึ่งต่อแมนดาลอเรียน อาโซกาปฏิเสธที่จะรับเขาเป็นลูกศิษย์โดยกลัวว่าโกรกูสามารถตามรอยด้านมืดแบบอดีตอาจารย์ของเธอ หลังจากที่แมนดาลอเรียนช่วยปลดปล่อยเมืองคาลิดาน อาโซกาบอกเขาให้พาโกรกูไปยังวิหารเจไดบนดาวไทธอน ที่ซึ่งเขาอาจจะสามารถที่จะเชื่อมถึงเจไดอีกคนผ่านพลังได้

คัมภีร์แห่งโบบ้า เฟตต์ (ค.ศ. 2022)

[แก้]

ในระหว่างที่ไปเยี่ยมโรงเรียนเจไดของลุค สกายวอล์คเกอร์ ซึ่งเป็นที่ที่โกรกูเริ่มการฝึกเจไดของเขา อาโซกาได้พบกับแมนดาลอเรียนผู้มาเยี่ยมโกรกูและมอบของขวัญให้เขา ซึ่งคือชุดเกราะโซ่ถักที่ทำจากเบสการ์ที่ตีโดยช่างตีเกราะ อาโซกาแนะนำไม่ให้แมนดาลอเรียนพบกันโกรกูด้วยเหตุที่ว่าอาจจะทำให้การฝึกของเขานั้นช้าลงเพราะกฏที่เข้มงวดของเจไดที่ห้ามมีความผูกพันส่วนตัว แมนดาลอเรียนก็ทำตามคำแนะนำของอาโซกาอย่างไม่เต็มใจ โดยอาโซกาเสนอที่จะมอบของขวัญแทนเขา หลังจากแมนดาลอเรียนจากไป อาโซกามอบชุดเกราะโซ่ถักให้กับลุคผู้กล่าวว่าเขาไม่แน่ใจว่าโกรกูจะเต็มที่ให้กับวิถีแห่งเจไดหรือไม่และไม่แน่ใจว่าเขาจะรับมือกับข้อเท็จจริงอย่างไร อาโซกาบอกลุคว่าลักษณะนั้นของเขานั้นคลับคล้ายคลับคลากับพ่อของเขาในช่วงที่เธอเป็นลูกศิษย์ของเขาและแนะนำเขาให้ตามสัญชาตญานของเขาในประเด็นนั้นก่อนที่เธอจะออกจากดาวไป

อาโซกา (ค.ศ. 2023)

[แก้]

ดอว์สันกลับมารับบทในละครชุด อาโซกา ซึ่งเป็นภาคแยกของเดอะแมนดาลอเรียนและเนื้อเรื่องหลักจะโฟกัสที่ภารกิจของอาโซกาในการตามหาจอมพลธรอว์นและเอซรา บริดเจอร์ โดยครั้งนี้เธอทำภารกิจไปพร้อมกับซาบีน เวร็น (แสดงโดย นาตาชา ลิว บอร์ดิซโซ), เฮรา ซินดูลลา (แสดงโดย แมรี อลิซาเบ็ธ วินเสต็ด) และฮูแยง (ให้เสียงโดย เดวิด เทนนันต์) และในภาคนี้อาโซกาได้ฝึกสอนซาบีนในวิถีของเจได เพื่อให้เธอสามารถใช้กระบี่แสงที่เอซร่ามอบไว้ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกระทั่งซาบีนสามารถใช้พลังได้ และกลายเป็นเจไดในที่สุด โดยซาบีนนับเป็นชาวแมนดาลอเรี่ยนคนที่ 2 ที่ได้เป็นเจได ต่อจาก ทาร์ วิสล่า ในอดีต

สื่ออื่น ๆ

[แก้]

ฟิโลนีกล่าวว่าเขาไม่ต้องการให้คนคิดว่าอาโซกาเป็นเพียงตัวละครแอนิเมชัน แต่ต้องการให้เธอเป็นตัวละคร สตาร์ วอร์ส ที่โผล่ได้ใน "ทุกรูปแบบของสื่อ"[8]

อาโซกาปรากฏตัวในแอนิเมชันชุดบนเว็บไซต์ สตาร์ วอร์ส ฟอซส์ออฟเดสตินี,[45] ในตอน Touching Darkness ของแฟนคอมิก สตาร๋ วอร์ส: เทลส์ฟรอมฟาร์, ฟาร์, อเวย์,[46] และในรูปแบบของสะสม ที่เป็นตัวละครในวิดีโอเกม ดิสนีย์ อินฟินิตี้ 3.0[47]

ในงาน Star Wars Celebration ยุโรป ปี ค.ศ. 2016 ฟิโลนี, เอกสไตน์, และหนึ่งในสมาชิกของลูคัสฟิล์มสตอรีกรุ๊ป พาโบล ไฮดาลโก เป็นผู้จัดแผงเกี่ยวกับ "เรื่องราวที่ยังไม่ถูกกล่าว" ของอาโซกา ที่เกิดขึ้นระหว่าง เดอะ โคลน วอร์ส และ เรเบลส์[8]

อาโซกา (ค.ศ. 2016)

[แก้]

สตาร์ วอร์ส: อาโซกา เป็นนวนิยายสำหรับวัยรุ่น โดย อี. เค. จอห์นสตัน ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2016 นวนิยายนี้ดำเนินเรื่องระหว่างเหตุการณ์ของ เดอะ โคลน วอร์ส และ เรเบลส์ โดยมีการอ้างถึง "เรื่องราวที่ยังไม่ถูกกล่าว" หลายเรื่องของอาโซกาซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ถูกนำมาดัดแปลงในซีซันเจ็ดของ เดอะ โคลน วอร์ส[8][48] ฟิโลนีเกี่ยวข้องในการพัฒนานวนิยายเป็นอย่างมากและภาพวาดปกโดย เจสัน พี. วอจโทวิกซ์ นั้นมีได้รูปแบบมาจากภาพสเกตช์ของฟิโลนีที่ทำขึ้นมาก่อนหน้านั้นหลายปี[8] เอกสไตน์ให้เสียงบรรยายฉบับหนังสือเสียง[49] นวนิยายนี้อยู่บนรายชื่อขายดีของ เดอะนิวยอร์กไทมส์ และเป็นอันดับหนึ่งในหมวดหนังสือปกแข็งสำหรับวัยรุ่นไม่นานหลังจากการวางขาย[50] ถึงแม้ว่าซีซันเจ็ดของ เดอะ โคลน วอร์ส จะเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบหลาย ๆ ส่วนที่มาจากนวนิยายก็ตาม แต่นวนิยายนี้ก็ยังถือว่าเป็นฉบับแท้เป็นส่วนใหญ่ และในท้ายที่สุดนั้นเหตุการณ์ในนวนิยายนี้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นตอน "Resolve" ซึ่งเป็นตอนจบของซีซันแรกของ เทลส์ออฟเดอะเจได

การตอบรับของนักวิจารณ์

[แก้]

หลังจากการแนะนำตัวละครของเธอ บางสื่อวิจารณ์บอกว่าอาโซกาน่ารำคาญและคาดไว้ว่าตัวละครของเธอจะตายก่อนแอนิเมชันชุด เดอะ โคลน วอร์ส จะจบเพราะเธอไม่ได้ปรากฏตัวใน ซิธชำระแค้น[31][51] เดอะลอสแองเจลิสไทมส์ กล่าวว่าอาโซกานั้นเป็นตัวละครที่ "ถูกคำนวณไว้อย่างพิถีพิถันว่าจะน่ารัก" ในภาพยนตร์ สงครามโคลน[52] Wired วิจารณ์ลักษณะ "โป๊ครึ่งตัว" ของอาโซกาในสองซีซันแรกของ เดอะ โคลน วอร์ส โดยกล่าวว่าการเปลี่ยนชุดของเธอในซีซันสามนั้น "ค่อยเหมาะสม"[25] Blastr กล่าวว่าความไม่โตของอาโซกาในตอนแรกนั้นทำให้ตัวละครนี้มีพื้นที่ให้โตและบอกว่าเธอจะกลายเป็น "ตัวละครที่ตีแผ่ออกมาดีและซับซ้อนในทุกสัมผัส"[51] ความเด็กของอาโซกานั้นช่วยให้เธอเป็นตัวละครที่เป็นมุมมองของผู้รับชมที่อายุน้อย[31] io9 กล่าวว่าโครงเรื่องที่พัฒนาตัวละครอาโซกานั้นเป็นแง่มุมที่ดีที่สุดของ เดอะ โคลน วอร์ส โดยเจาะจงถึงบทบาทของตัวละครในการสำรวจความปั่นป่วนของสงครามและความบกพร่องในนิกายเจได[31] เทคไทมส์ กล่าวว่าการโตเป็นผู้ใหญ่และพัฒนาการของอาโซกานั้นสะท้อนถึงพัฒนาการของรายการ และเหล่าผู้สร้างเลือกอย่างประณีตในการทำให้อาโซกาเป็น "จุดเข้า" เดอะ โคลน วอร์ส ของผู้รับชม[53] คริสต์ เทเลอร์กล่าวว่าการตัดสินใจให้อาโซกาออกจากนิกายเจไดนั้นเป็น "ฉากที่น่าตื่นเต้นและคาดเดาไม่ได้มากที่สุดของรายการ"[4] แอชลีย์ เอกสไตล์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล "งานแสดงนำเสียงหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์โทรทัศน์ – โลดโผน/ดรามา" จากบีวีทีเอ ประจำปี ค.ศ. 2012 และ 2013[54][55]

เดอะแมรีซู กล่าวว่าความสัมพันธ์ของอาโซกาและอนาคินนั้นจำเป็นต่อการเข้าใจพัฒนาการของเขาระหว่าง กองทัพโคลนส์จู่โจม และ ซิธชำระแค้น และสำนักพิมพ์นี้ยังบอกอีกว่าอาโซกาเป็นสิ่งขัดเกลาให้อนาคินเติบโต[56] Blastr ออกความเห็นว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างอนาคินและอาโซกาช่วยแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเจไดที่แข็งแกร่งและเป็นฮีโร่ในสงคราม นอกจากนี้ Blastr ยังตั้งสมมติฐานว่าความรู้สึกผิดหวังของอนาคินต่อการที่อาโซกาจากนิกายเจไดไปนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาตกสู่ด้านมืด[51] io9 บอกว่าอนาคินอาจจะปฏิรูปนิกายเจไดสำเร็จหากอาโซกายังอยู่กับเขา[31] io9 กล่าวว่าอาโซกาเป็นผู้ชี้แนะแนวทางทางศีลธรรมใน เดอะ โคลน วอร์ส โดยมากกว่าอนาคินด้วยซ้ำ[31]

Blastr ระบุไว้ว่าอาโซกาเป็นหนึ่งในตัวละครที่สำคัญใน สตาร์ วอร์ส โดยเฉพาะสำหรับเด็กผู้หญิงผู้ที่ ณ ขณะนั้น ไม่เคยเห็นเจไดหญิงที่มีความสามารถเพียงพอเฉิดฉายบนโทรทัศน์[51] เอริกา เทรวิสจาก California Baptist University กล่าวว่าอาโซกานั้น "มีความเห็นอกเห็นใจและมีความเป็นผู้หญิง แต่ไม่ถูกนำมาตีความทางเพศมากเกินไป"[57] มารา วูดบอกว่าอาโซกานั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งสตรี และเพิ่มเติมว่าอาโซกาเป็นหนึ่งในหลายตัวละครที่ทำให้ เดอะ โคลน วอร์ส นั้นดีกว่าไตรภาคเดิมและไตรภาคต้นในการแสดงถึงหญิงแกร่ง[58] วูดเพิ่มเติมว่าอาโซกาคงเป็นผู้หญิงแสดงถึงการเติบโตมากที่สุดในฉบับแท้ของสตาร์ วอร์ส[58]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. ตามฟิโลนีกล่าว "ผมคิดว่ามันเป็นชื่อที่ตั้งให้หนึ่งใน [เจไดเด็ก] ใน กองทัพโคลนส์จู่โจม ซึ่งเป็นเด็กหญิงชาวโทกรูตาด้วย เราจึงใช้ไอเดียจากตรงนั้นว่า..ตัวละครเดียวกัน [แต่] เธอยังเด็กเกินไปสำหรับภาพยนตร์" [6]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Patches, Matt (April 28, 2020). "See Ray Park back in action for Darth Maul's last big Clone Wars saber fight". Polygon. สืบค้นเมื่อ November 21, 2020.
  2. "Explore Ahsoka Tano's Transformation in Star Wars: The Mandalorian: Guide to Season Two - Exclusive Excerpt". StarWars.com. October 11, 2022.
  3. TV Guide Article August 11, 2008
  4. 4.0 4.1 Taylor, Chris (2014). How Star Wars Conquered the Universe: The Past, Present, and Future of a Multibillion Dollar Franchise (eBook). Basic Books. pp. 377, 380. OCLC 889674238.
  5. "Legends of the Lasat Trivia Gallery". StarWars.com. Lucasfilm. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  6. Breznican, Anthony (24 April 2020). "Ahsoka Tano—A Star Wars Oral History". Vanity Fair. สืบค้นเมื่อ 27 April 2020.
  7. Gilroy, Henry (17 กรกฎาคม 2018). "Henry Gilroy on Twitter". Twitter.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 เมษายน 2019. สืบค้นเมื่อ 8 เมษายน 2019. When we met with George to discuss the [series] bible, he changed Anakin's Padawan from "Ashla" to "Ashoka", after the Indian emperor of the Maurya Dynasty. I later tweaked it to "Ahsoka" to make her unique.
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 8.6 8.7 "Ahsoka's Untold Tales Panel | Star Wars Celebration Europe 2016". YouTube. July 15, 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-21. สืบค้นเมื่อ July 15, 2016.
  9. Minkel, JR (August 11, 2008). "When Clones Attack: Q&A with Clone Wars Director David Filoni". Scientific American. Springer Nature. สืบค้นเมื่อ May 26, 2016.
  10. Dave Filoni Speaks at the National Center for Women & Information Technology. May 24, 2016. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 11m, 38 s. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-21. สืบค้นเมื่อ May 26, 2016.
  11. Dave Filoni Speaks at the National Center for Women & Information Technology. May 24, 2016. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 11m, 38 s. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-21. สืบค้นเมื่อ May 26, 2016.
  12. 12.0 12.1 "Ashley Eckstein and Dave Filoni Interview | Star Wars Celebration Europe 2016". YouTube. July 15, 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-21. สืบค้นเมื่อ July 15, 2016.
  13. Goldman, Eric (26 August 2016). "Star Wars Rebels Blu-ray Clip Explores the Darth Vader vs. Ahsoka Tano Duel". IGN. สืบค้นเมื่อ 27 January 2024.
  14. 14.0 14.1 14.2 14.3 14.4 14.5 14.6 14.7 Brooks, Dan (August 30, 2016). "Fates Fulfilled: Dave Filoni Reflects on Star Wars Rebels Season Two, Part 1". StarWars.com. Lucasfilm. สืบค้นเมื่อ September 16, 2016.
  15. Whitbrook, James (September 14, 2016). "The Art That Inspired Ahsoka and Darth Vader's Epic Duel in Star Wars Rebels". io9.com. Univision Communications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-02-25. สืบค้นเมื่อ September 16, 2016.
  16. 16.0 16.1 16.2 Brooks, Dan (March 30, 2016). "From The Clone Wars to Rebels: Ashley Eckstein on Ahsoka Tano's Journey". StarWars.com. Lucasfilm. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  17. 17.0 17.1 Brooks, Dan (March 5, 2015). "Interview: Dave Filoni on Star Wars Rebels, Part 3". StarWars.com. Lucasfilm. สืบค้นเมื่อ May 19, 2016.
  18. 18.0 18.1 18.2 18.3 18.4 18.5 Brooks, Dan (March 5, 2015). "Interview: Dave Filoni on Star Wars Rebels, Part 3". StarWars.com. Lucasfilm. สืบค้นเมื่อ May 19, 2016.
  19. 19.0 19.1 "Rebels Recon: Inside "Fire Across the Galaxy" - Star Wars Rebels". StarWars.com. Lucasfilm. สืบค้นเมื่อ May 19, 2016.
  20. 20.0 20.1 20.2 Brooks, Dan (August 30, 2016). "Fates Fulfilled: Dave Filoni Reflects on Star Wars Rebels Season Two, Part 1". StarWars.com. Lucasfilm. สืบค้นเมื่อ September 16, 2016.
  21. 21.0 21.1 Truitt, Brian (March 3, 2015). "A Jedi returns in 'Star Wars Rebels' finale". USA Today. Gannett Company. สืบค้นเมื่อ May 19, 2016.
  22. Gross, Ed (September 30, 2016). "Star Wars: Dave Filoni talks Rebels as well as Rogue One connections". Empire Online. Bauer Consumer Media. สืบค้นเมื่อ October 10, 2016.
  23. Parrish, Robin (June 19, 2015). "Ahsoka Tano Returns: Ashley Eckstein Talks 'Star Wars Rebels' Season 2". Tech Times. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  24. 24.0 24.1 24.2 Parrish, Robin (June 19, 2015). "Ahsoka Tano Returns: Ashley Eckstein Talks 'Star Wars Rebels' Season 2". Tech Times. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  25. 25.0 25.1 25.2 Thill, Scott (November 16, 2010). "Jedi Cover-Up: Clone Wars' Ahsoka Gets Less-Revealing Costume". Wired. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  26. Keane, Sean (April 14, 2019). "Star Wars: The Clone Wars season 7 trailer, Siege of Mandalore reveals Ahsoka, Anakin, Maul and the Bad Batch will be the focus of the upcoming Disney Plus season". CNET. สืบค้นเมื่อ December 4, 2020.
  27. 27.0 27.1 Vargas, Alani (December 25, 2019). "Star Wars: The Clone Wars season 7 trailer, Siege of Mandalore reveals Ahsoka, Anakin, Maul and the Bad Batch will be the focus of the upcoming Disney Plus season". Showbiz Cheat Sheet. สืบค้นเมื่อ December 4, 2020.
  28. Anders, Charlie Jane (July 29, 2008). "Clone Wars' Baby Jedi Scampers Like A Cartoon Animal". io9. Gizmodo. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-15. สืบค้นเมื่อ September 17, 2019.
  29. 29.0 29.1 "Ahsoka Tano". StarWars.com. Lucasfilm. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  30. Warner, Sam (8 April 2020). "Star Wars' Ahsoka Tano actor discusses Rise of Skywalker cameo". Digital Spy. สืบค้นเมื่อ 27 April 2020.
  31. 31.0 31.1 31.2 31.3 31.4 31.5 Davis, Lauren (December 16, 2015). "Why Ahsoka Tano Is the Best Thing to Happen to Star Wars in 20 Years". io9. Gawker Media. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-02-25. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  32. Eckstein, Ashley (March 6, 2013). "E-Mails Between Master & Padawan About Ahsoka's Decision". StarWars.com. Lucasfilm. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  33. Breznican, Anthony (January 3, 2019). "Here are all the 'Star Wars' projects coming in 2019". EW.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ March 25, 2019.
  34. Fowler, Matt (October 2, 2014). "Everything You Need To Know About Star Wars Rebels". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ August 25, 2016.
  35. Goldman, Eric (April 30, 2016). "Star Wars Rebels: Dave Filoni on Ahsoka's Fate, Maul's Return and Much More". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ May 19, 2016.
  36. Dickson, Kieran (April 8, 2016). "Star Wars Rebels: Ashley Eckstein Reveals Her Theory on Ahsoka's Fate". Outer Places. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 12, 2016. สืบค้นเมื่อ May 19, 2016.
  37. Siegel, Lucas (January 8, 2017). "Star Wars: Ahsoka Tano Actress Ashley Eckstein Teases a Future for the Character". Comicbook. สืบค้นเมื่อ February 25, 2017.
  38. Wood, Matt (April 21, 2017). "Star Wars: Watch Rosario Dawson Campaign To Play Ahsoka In Live-Action". Cinema Blend. สืบค้นเมื่อ April 21, 2017.
  39. 39.0 39.1 Sciretta, Peter (March 20, 2020). "Star Wars Exclusive: 'The Mandalorian' Season 2 Casts Rosario Dawson as Ahsoka Tano". /Film. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 20, 2020. สืบค้นเมื่อ March 20, 2020.
  40. "The Mandalorian season 2 episode 5 review: Ahsoka lives!". Radio Times. November 27, 2020. สืบค้นเมื่อ November 27, 2020.
  41. Hunt, James (February 2, 2022). "Who Plays Cad Bane In The Book Of Boba Fett". Screen Rant. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 2, 2022. สืบค้นเมื่อ February 2, 2022.
  42. 42.0 42.1 Anderton, Ethan (December 10, 2020). "Lucasfilm Announces 'The Mandalorian' Spin-Offs 'Ahsoka' and 'Rangers of the New Republic'". /Film. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 11, 2020. สืบค้นเมื่อ December 10, 2020.
  43. 43.0 43.1 Gartenberg, Chaim (December 10, 2020). "Disney Plus is getting two new Mandalorian spinoffs: Rangers of the New Republic and Ahsoka". The Verge. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 10, 2020. สืบค้นเมื่อ December 10, 2020.
  44. "Lucasfilm Confirms 'Ahsoka' To Release on Disney+ in 2023". Disney Plus Informer (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2022-05-17. สืบค้นเมื่อ 2022-08-11.
  45. Breznican, Anthony (April 13, 2017). "Star Wars highlights female heroes in Forces of Destiny — first look". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ April 13, 2017.
  46. Moreci, Sevy, Michael, Phillip (2016). Star Wars: Tales From The Far, Far, Away — "Touching Darkness".
  47. Robertson, Andy (May 8, 2015). "Everything We Know About 'Disney Infinity 3.0' 'Star Wars'". Forbes. สืบค้นเมื่อ March 22, 2020.
  48. Ratcliffe, Amy (มีนาคม 31, 2016). "New Star Wars Novel Featuring Ahsoka Tano Announced (Exclusive)". Nerdist. Nerdist Industries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ พฤษภาคม 13, 2016. สืบค้นเมื่อ พฤษภาคม 19, 2016.
  49. Floyd, James (November 1, 2016). "Commentary Track: Behind the Scenes of Ahsoka with E.K. Johston". StarWars.com. สืบค้นเมื่อ March 24, 2020.
  50. Whitten, Sarah (4 May 2019). "The hottest 'Star Wars' collectible is a character you've probably never heard of — Ahsoka Tano". CNBC.
  51. 51.0 51.1 51.2 51.3 Granshaw, Lisa (March 31, 2016). "From Snips to Fulcrum: Why Ahsoka Tano is one of the most important characters ever created for Star Wars". Blastr. Comcast. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 24, 2016. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  52. Ordona, Michael (August 15, 2008). "It's a weak Jedi mind trick". Los Angeles Times.
  53. Parrish, Robin (July 31, 2015). "Why 'Rebels' And 'The Clone Wars' Are The Best Star Wars Material In 30 Years". Tech Times. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  54. "2012 BTVA Voice Acting Awards". Behind The Voice Actors. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  55. "2013 BTVA Voice Acting Awards". Behind The Voice Actors. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  56. Chen, Mike (April 4, 2016). "How Ahsoka Tano Completed the Arc of Anakin Skywalker". The Mary Sue. Dan Abrams. สืบค้นเมื่อ May 20, 2016.
  57. Travis, Erika (2013). "From Bikinis to Blasters: The Role of Gender in the Star Wars Community". ใน Elovaara, Mika (บ.ก.). Fan Phenomena: Star Wars. Intellect Books. p. 52. ISBN 9781783200979. OCLC 855504258.
  58. 58.0 58.1 Lee, Peter W. (January 15, 2016). A Galaxy Here and Now: Historical and Cultural Readings of Star Wars. McFarland & Company. pp. 64, 74. ISBN 9781476662206.

ดูเพิ่ม

[แก้]