ซูลู
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ประชากรทั้งหมด | |
---|---|
14,159,000[1] | |
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ | |
แอฟริกาใต้ | 10,659,309 (ข้อมูลจาก 2001) to 12,559,000[1][2] |
เลโซโท | 324,000[1] |
ซิมบับเว | 167,000[1] |
เอสวาตินี | 107,000[1] |
มาลาวี | 66,000[1] |
บอตสวานา | 500,000[1] |
โมซัมบิก | 6,000[1] |
ภาษา | |
Zulu | |
ศาสนา | |
Christianity, Zulu religion | |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง | |
Xhosa, Swazi, Hlubi, Southern Ndebele and Northern Ndebele |
ซูลู (อังกฤษ: Zulu) เป็นชนเผ่ากลุ่มหนึ่งของแอฟริกา มีจำนวนประชากรประมาณ 11 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่อาศัยในควาซูลู-นาตาล แอฟริกาใต้ มีจำนวนเล็กน้อยที่อยู่อาศัยในซิมบับเว แซมเบียและโมซัมบิก ภาษาอีซิซูลู (isiZulu) เป็นสาขาหนึ่งของภาษาบันตู (Bantu) ซึ่งจัดอยู่ในภาษากลุ่มย่อย "นูนิ" (Nguni)
ราชอาณาจักรซูลูมีบทบาทสำคัญมากในประวัติศาสตร์ของประเทศแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2344 - พ.ศ. 2444 (คริสต์ศตวรรษที่ 19-20) ในยุคแห่งการถือผิว ชาวซูลูถูกจัดให้เป็นประชาชนชั้น 2 และถูกดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง ปัจจุบันชาวซูลูเป็นชนเผ่าที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศแอฟริกาใต้และมีสิทธิเสรีภาพแห่งมนุษยชนเท่าเทียมกับประชาชนทุกเชื้อชาติและชนเผ่าในประเทศ
ประวัติศาสตร์
[แก้]รกรากเดิม
[แก้]แต่เดิมซูลู เป็นชนเผ่ากลุ่มน้อยที่อยู่ในตอนเหนือของควาซูลู-นาทาลปัจจุบัน ได้สถาปนาตนเองเป็นราชอาณาจักรขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2330 โดยซูลู คานโตมบฮีลี (Zulu kaNtombhele) ในภาษาซูลู คำว่า "ซูลู" แปลว่าสวรรค์ หรือท้องฟ้า ในสมัยนั้น พื้นที่ถูกครอบครองโดยชนเผ่าเล็กที่เรียกว่า "นูนิ" หลายกลุ่ม พวกนูนิได้ย้ายถิ่นฐานลงมาทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกามากกว่าพันปีมาแล้ว อาจเป็นไปได้ที่ได้มาถึงบริเวณที่เป็นประเทศแอฟริกาใต้ในปัจจุบันเมื่อประมาณ 800 ปี ก่อนคริสต์ศักราช หรือประมาณ 2800 ปีก่อน
ราชอาณาจักร
[แก้]ซูลูชากาเป็นโอรสนอกสมรสของพระเจ้า "เชนซานกาโนมา" กษัตริย์เผ่าซูลู เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 2330 ชากาและพระมารดาถูกเนรเทศโดยเชนซานกาโนมา และไปลี้ภัยอยูใน "มเธทวา"(Mthethwa) ชากาได้ฝึกการสู้รบเพื่อเป็นนักรบภายใต้ "ดิงกิสวาโย" (Dingiswayo) หัวหน้าเผ่ามเธวา เมื่อเชนซานกาโนมาถึงแก่พิราลัย ดิงกิสวาโยจึงช่วยหนุนให้ชากาทวงสิทธิ์การเป็นกษัตริย์ของราชอาณาจักรซูลู
การขึ้นสู่บัลลังก์อันโชกเลือดของ "ดิงกาเน" (Dingane)
[แก้]ดิงกาเน พระอนุชาต่างพระมารดาได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากชากาโดยสมรู้ร่วมคิดกับ "มลางกานา" (Mhlangana) โอรสต่างพระมารดาอีกผู้หนึ่งเพื่อลอบปลงพระชนม์ หลังการปลงพระชนม์แล้ว ดิงกาเนก็ประหารชีวิตมลางกานาแล้วขึ้นครองบัลลังก์ พระราชกรณียกิจแรก ๆ ของพระองค์คือการประหารชีวิตพระราชวงศ์เป็นจำนวนมากเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน ยกเว้น "มพันเด" (Mpande) พระอนุชาต่างพระมารดาอีกพระองค์หนึ่งซึ่งอ่อนแอไม่มีอันตรายในขณะนั้น
การประทะกับ "วูเทรกเกอส์" (Voortrekkers) กับการขึ้นสู่บัลลังก์ของ มพันเด
[แก้]ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2380 ปิเอต์ รีทีฟ หัวหน้าพวกวูเทรกเกอรส์ (นักบุกเบิกดินแดนแอฟริกา) ได้ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าดิงกาเนที่พระตำหนักเพื่อเจรจาต่อรองเกี่ยวกับที่ดินของนักบุกเบิก และในเดือนพฤศจิกายน คาราวานเกวียนประมาณ 1,000 เล่มของพวกวูเทกเกอร์ได้เดินทางลงจากเขาดราเก็นสเบอร์ก จาก "ออเนจ์ฟรีสเตท" มาสู่ดินแดนซึ่งเป็นแคว้นควาซุลู-นาทาล ในปัจจุบัน
พระเจ้าดิงนาเกขอให้รีทรีฟและชาวคณะให้ช่วยนำฝูงปสุสัตว์ที่หัวหน้าเผ่าในบริเวณนั้นลักไปมาคืนให้ และรีทรีฟก็ได้รีบทำตามและส่งคืนให้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2381 และในวันรุ่งขึ้นก็ได้มีการลงนามในข้อตกลงโดยพระเจ้าดิงกาเนยอมมอบดินแดนฝั่งใต้ทั้งหมดของแม่น้ำ "ตูเลกา" จดกับแม่น้ำ "ซิมวูบุ" ให้แก่ชาววูเทรกเกอร์ การเฉลิมฉลองได้ตามมาโดยในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ คณะของรีทรีฟได้รับเชิญให้ร่วมเต้นระบำร่วมกันโดยให้วางอาวุธไว้ข้างหลัง ในขณะที่การร่ายรำกำลังสนุกถึงที่ ดิงเนเกได้ลุกขึ้นยืนกระโดดและตระโกนว่า "แบมบานิ อบา ทาคาติ" (ภาษาซูลูแปลว่า "ฆ่าพวกพ่อมด") รีทรีฟและพวกถูกจับตัวและนำไปประหารที่เนินเขาคามาติวาเน เป็นที่เชื่อกันว่าเหตุผลรีทรีฟและพวกถูกฆ่านั้นเนื่องมาจากการยักยอกไม่คืนวัวที่เรียกคืนมาให้ครบทั้งหมด ทหารของดิงกาเนได้โจมตีและฆ่าพวกวูเทกเกอร์รวมทั้งเด็กและสตรีไปประมาณ 500 คน บริเวณที่เกิดเหตุการณ์นี้ในปัจจุบันเรียกว่า "วีเนน" (ภาษาดัทช์แปลว่า "การร่ำไห้)
ชาววูเทกเกอร์ที่เหลือได้เลือกหัวหน้าใหม่ชื่อ แอนเดรียร์ส เปรโตรเรียส (Andries pretorius) และพระเจ้าดิงนาเกประสบกับการพ่ายแพ้ใน "การสู้รบแห่งแม่น้ำสายเลือด" เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2381 โดยการนำของกลุ่มนักสู้ 470 คนของนักบุกเบิกวูเทกเกอร์ที่เหลือที่นำโดยเปรโตรเรียส
หลังจากการพ่ายแพ้พระเจ้าดิงกาเนก็เผาพระตำหนักและอาคารบ้านเรือนหนีไปทางเหนือ มพันเด พระอนุชาต่างพระมารดาซึ่งได้รับการไว้ชีวิตจากพระเชษฐา 17,000 คน ร่วมกับเปรโตเรียสและพวกวูเทกเกอร์ไล่ล่าทำสงครามกับพระเจ้าดิงกาเน ซึ่งในที่สุดก็ถูกปลงพระชนม์ที่ชายเขตแดนสวาซิแลนด์ปัจจุบัน มพันเดจึงได้ขึ้นสู่บรรลังเป็นประมุขของชาติซูลูสืบต่อมา
สืบเนื่องต่อจากการสู้รบกับดิงกาเน ในปี พ.ศ. 2382 ชาวอาณานิคมวูเทกเกอร์นำโดยเปรโตเรียสได้ก่อตั้ง "สาธารณรัฐบัวร์" แห่งนาตาเลียซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางใต้ของแม่น้ำตูเกลากับด้านตะวันตกของอาณานิคมอังกฤษที่ปอร์ตนาทาล (ปัจจุบันคือดุร์บาน) พระเจ้ามพันเดและเปรโตเรียสยังคงมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันอยู่ อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2385 ได้เกิดสงครามระหว่างพวกบัวร์กับอังกฤษ มีผลให้อังกฤษผนวกนาตาเลียเข้าไว้ในอาณานิคม เป็นเหตุให้พระเจ้ามพันเดหันจำต้องไปเข้ากับฝ่ายอังกฤษและก็ได้มีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน
ในปี พ.ศ. 2386 พระเจ้ามพันเดได้สั่งกำจัดพวกที่ถูกเข้าใจว่าเป็นอริในราชอาณาจักรของพระองค์ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากมาย มีการอพยพลี้ภัยไปสู่ประเทศข้างเคียงรวมทั้งอาณานิคมนาทาลที่อยู่ในบังคับอังกฤษ พวกอพยพเหล่านี้หนีไปพร้อมกับฝูงปสุสัตว์ พระเจ้ามพันเดจึงสั่งกวาดล้างพื้นที่ข้างเคียงจนถึงจุดสูงสุดกลายเป็นการรุกรานสวาซีแลนด์ในปี พ.ศ. 2385 แต่ฝ่ายอังกฤษก็ใช้อิทธิพลกดดันให้มพันเดถอยออกไป ซึ่งพระองค์ก็ทำตามโดยดีในเวลาไม่ยาน
ถึงตอนนี้สงครามแย่งชิงบัลลังก์ได้เกิดขึ้นระหว่างพระโอรสสองพระองค์ของพระเจ้ามพันเด คือ เคตช์วาโย กับ มบูยาซี เหตุการณ์ถึงขีดสุดเมือ่ปี พ.ศ. 2395 ด้วยการสู้รบและการตายของมบูยาซ๊ จากนั้นเคตช์วาโย ก็ค่อยๆ ยึดอำนาจการบริหารจากพระราชบิดา เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ด้วยโรคชราเมื่อ พ.ศ. 2415 เคตช์วาโย ก็เสด็จขึ้นครองราชย์
การล่มสลายของราชอาณาจักรซูลู
[แก้]ในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2421 ผู้แทนของฝ่ายอังกฤษใด้ยื่นคำขาดให้กับหัวเผ่า 18 เผ่าย่อยที่ขึ้นอยู่กับเซ็ทช์วาโย เนื้อความสำคัญในคำขาดเป็นสิ่งที่พระเจ้าเคตช์วาโย รับไม่ได้ ฝ่ายอังกฤษจึงบุกข้ามแม่น้ำตูเกลาในปลายเดือนธันวาคม สงครามจึงได้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2422 ในตอนแรกของสงคราม ฝ่ายซูลูรบชนะอังกฤษใน "การสู้รบที่ไอแลนด์ลวานา" (Battle of Islandlwana) ในวันที่ 22 มกราคม แต่กลับมาพ่ายแพ้อย่างยับเยินในวันเดียวกันที่รอร์กดริฟ สงครามจบลงด้วยการพ่ายแพ้ของฝ่ายซูลูในวันที่ 4 กรกฎาคม
การแบ่งแยกและการสวรรคตของพระเจ้าเคตช์วาโย
[แก้]พระเจ้าเคตช์วาโย ถูกจับได้ในเวลา 1 เดือนหลังสงครามและถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองเคปทาวน์ อังกฤษจัดแบ่งแยกราชอาณาจักรซูลูออกเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ 13 อนุราชอาณาจักรแต่ละอนุราชอาณาจักรมีอำนาจในอาณาจักรของตนเอง ในเวลาไม่นานก็ได้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นในระหว่างอนุราชอาณาจักรเหล่านั้น และในปี พ.ศ. 2425 พระเจ้าเคตช์วาโย ก็ได้เสด็จเยือนอังกฤษและได้รับพระราชวโรกาสจากสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียให้เข้าเฝ้าและพบปะกับบุคคลสำคัญของอังกฤษก่อนที่จะได้รับการยินยอมให้เสด็จกลับสู่การครองแผ่นดินซูลูแลนด์อีกครั้งหนึ่ง
ในปี พ.ศ. 2456 พระเจ้าเคตช์วาโยกลับได้รับมอบอำนาจให้ครอบครองเฉพาะอาณาเขตรอยต่อที่มีขนาดเล็กกว่าราชอาณาจักรเดิมของพระองค์เป็นอย่างมาก ในปลายปีนั้นพระเจ้าเคตช์วาโย ได้ถูกลอบทำร้ายโดยพวกซิบเฮบฮู หนึ่งใน 13 อนุราชอาณาจักรที่ได้รับการสนับสนุนจากพวกบัวร์ พระองค์ได้รับการบาดเจ็บและเสด็จสวรรคตในปีต่อมา ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการลอบวางยาพิษ พระโอรส คือ "ไดนูซูลู"พระชนมายุ 15 พรรษาได้ขึ้นครองราชแทน
ดูเพิ่ม
[แก้]- Anglo-Zulu_War - สงครามอังกฤษ-ซูลู
- Inkatha_Freedom_Party - พรรคอิงคาธาเสรี
- Ladysmith_Black_Mambazo - บทเพลงเลดีสมิธ แบลค แมมโบโซ
- Nguni นูนิ
- Shaka - ชากาซูลู
- Zulu_Civil_War - สงครามกลางเมืองนวันด์เว-ซูลู
- Zulu_Civil_War - รายพระนามกษัตริย์ซูลู
- List_of_Zulu_first_names - รายชื่อตัว (ชื่อต้น) ของชาวซูลู
- Nguni_stick_fighting - กีฬาการต่อสู้ด้วยพลองของชาวนูนิ
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Zulu Music, BBC semi-post-colonial style, RealPlayer file.
- An article on Piet Retief, including his interactions with Dingane
- History section of the official page for the Zululand region เก็บถาวร 2008-09-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Human Rights Watch report on KwaZulu, just prior to the 1994 elections. เก็บถาวร 2021-03-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - This includes detailed, well-referenced sections on recent Zulu history.
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 "The Zulu people group are reported in 7 countries". สืบค้นเมื่อ 29 November 2016.
- ↑ International Marketing Council of South Africa (9 July 2003). "South Africa grows to 44.8 million". www.southafrica.info. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 May 2005. สืบค้นเมื่อ 4 March 2005.