ข้ามไปเนื้อหา

สภาคริสตจักรในประเทศไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย
ชื่อย่อCCT
ก่อตั้งพ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934)
ประเภทองค์การทางศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์
สํานักงานใหญ่328 ถนนพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
สมาชิก
123,581 (2555)[1]
ประธาน
ศจ.ดร.บุญรัตน์ บัวเย็น
เว็บไซต์http://www.cct.or.th/

มูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย (อังกฤษ: The Church of Christ in Thailand) เป็นองค์การทางศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย ที่รวมตัวกันเพื่อทำพันธกิจของพระเจ้าในประเทศไทย อันประกอบด้วย พันธกิจด้านการประกาศเผยแพร่พระกิตติคุณ พันธกิจด้านการศึกษา พันธกิจด้านการรักษาพยาบาล และพันธกิจอื่น ๆ โดยมีหลักข้อเชื่อ ข้อปฏิบัติ และธรรมนูญเดียวกัน อยู่ภายใต้การปกครองด้วยกัน ด้วยวิธีการเลี้ยงตนเอง ปกครองตนเอง และประกาศพระกิตติคุณด้วยตนเอง[2] ปัจจุบันแบ่งการปกครองออกเป็น 24 คริสตจักรภาค

ประวัติ

[แก้]

สภาคริสตจักรในประเทศไทย มีประวัติศาสตร์สืบย้อนไปใน ค.ศ.1828 เมื่อศาสนาจารย์จาคอบ ทอมลิน และศาสนาจารย์นายแพทย์คาร์ล กุตสลาฟ ของคณะสมาคมมิชชันนารีแห่งลอนดอน ได้เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์เป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ต่อมาในปี ค.ศ.1833 มิชชันนารีของคณะอเมริกันแบ๊บติสต์เข้ามาทำพันธกิจและได้จัดตั้งคริสตจักรไมตรีจิต ใน ค.ศ.1837 เป็นคริสตจักรโปรเตสแตนต์แห่งแรกในประเทศสยาม

ใน ค.ศ.1840 มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนที่เป็นรากฐานสำคัญของสภาคริสตจักรในประเทศไทยเข้ามายังประเทศสยามและปฏิบัติพันธกิจจนถึง ค.ศ.1844 จึงกลับออกไป ต่อมาเมื่อศาสนาจารย์สตีเฟนกับนางแมรี่ แมตตูน และนายแพทย์ซามูเอล เฮาส์ ได้เข้ามาใน ค.ศ.1847 จึงมีการตั้งมิชชั่นอย่างมั่นคงเรียกว่า "มิชชันสยาม" และมีการจัดตั้งคริสตจักรเพรสไบทีเรียนที่ 1 กรุงเทพฯ ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ.1849 เมื่อถึงวันที่ 1 กันยายน ค.ศ.1858 ได้จัดตั้งเพรสไบเทอรี่แห่งสยามเพื่อขยายงานมิชชั่นและพันธกิจคริสตจักรออกไปยังส่วนภูมิภาค

มิชชันคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนได้ขยายงานออกไปนอกกรุงเทพฯ โดยมีครอบครัวศาสนาจารย์แดเนียล แมคกิลวารี และครอบครัวศาสนาจารย์ซามูเอล แมคฟาร์แลนด์ ได้จัดตั้งสถานีมิชชั่นที่เพชรบุรีใน ค.ศ.1861 ต่อมาในปี ค.ศ.1867 ครอบครัวศาสนาจารย์แมคกิลวารี ได้จัดตั้งสถานีมิชชั่นที่เชียงใหม่และเป็นศูนย์กลางของเพรสไบทีเรียนที่ 1 เชียงใหม่ ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ.1868 และเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ.1869 มีคริสเตียนคนเมืองสองคน คือน้อยสุริยะและหนานชัยถูกฆ่าตายเนื่องด้วยไม่ยอมละทิ้งความเชื่อในคริสต์ศาสนา และต่อมาใน ค.ศ.1878 มิชชันนารีถูกขัดขวางไม่ให้มีการจัดพิธีแต่งงานตามแบบคริสเตียนที่จะจัดขึ้นครั้งแรกจึงมีการฟ้องร้องขอสิทธิคุ้มครองจากราชสำนักสยาม ทำให้ได้รับพระบรมราชโองการเรื่องเสรีภาพทางศาสนา (The Edict of Toleration) ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1878 บังคับใช้ในเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง

มิชชั่นคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนได้ขยายงานออกไปยังหัวเมืองต่าง ๆ โดยในมิชชั่นลาวได้จัดตั้งสถานีมิชชั่นที่ลำปางใน ค.ศ.1858 ที่ลำพูน (ค.ศ.1891) แพร่ (ค.ศ.1893) น่าน (ค.ศ.1895) เชียงราย (ค.ศ.1897) ซึ่งภายหลังยังได้ขยายงานไปยังเชียงตุงของพม่า (ค.ศ.1904-1908) และเขตเชียงรุ้งของจีน (ค.ศ.1917-1941) ส่วนมิชชั่นสยาม ได้ขยายงานไปยังราชบุรี (ค.ศ.1889) พิษณุโลก (ค.ศ.1899) นครศรีธรรมราช (ค.ศ.1900) และตรัง (ค.ศ.1910)

นอกจากนี้ใน ค.ศ.1903 คณะคริสตจักรของพระคริสต์แห่งสหราชอาณาจักรเข้ามาทำพันธกิจที่บ้านนครชุมน์ ราชบุรี และได้ย้ายศูนย์มิชชั่นมาอยู่ที่นครปฐมใน ค.ศ.1906 มิชชั่นคณะนี้ได้มีส่วนร่วมในการจัดตั้ง "สยามคริสตสภา" และริเริ่มจัดตั้งสภาคริสตจักรในสยามด้วย

กำเนิดสภาคริสตจักรในประเทศไทย

[แก้]

ใน ค.ศ.1920 มีการรวมมิชชั่นสยามและมิชชั่นลาว ต่อมาใน ค.ศ.1930 มีการจัดตั้งสยามคริสต์สภา (National Christian Council in Siam) เพื่อการจัดตั้งคริสตจักรที่เป็นของชนในชาติ (National Church) และใน ค.ศ.1932 มีการรวมเพรสไบเทอรี่สยามกับเพรสไบเทอรี่ลาว และได้ตีพิมพ์วารสาร "ข่าวคริสตจักร" เป็นสื่อรณรงค์เรื่องการจัดตั้งองค์กรคริสตจักรที่เป็นของชนในชาติ ต่อมาได้มีการประชุมผู้แทนคริสตจักรจากคริสตจักรเพรสไบทีเรียน (ทั้งชาวไทยและจีน) ในสยาม ผู้แทนจากคริสตจักรไมตรีจิตของคณะอเมริกันแบ๊บติสต์ และผู้แทนจากคริสตจักรพระคริสต์แห่งสหราชอาณาจักร (คณะดีไซเปิลส์ออฟไครส์ นครปฐม) ในวันที่ 7-11 เมษายน ค.ศ.1934 ณ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย นับเป็นสมัชชาสภาคริสตจักรในประเทศสยามครั้งแรก โดยที่ประชุมได้รับรองธรรมนูญการปกครองซึ่งได้กำหนดนามคริสตจักรที่เป็นของชนในชาตินี้ว่า "คริสตจักรในสยาม" จัดแบ่งการปกครองออกเป็นคริสตจักรภาค 7 ภาค มีหลักการพื้นฐานในการทำพันธกิจสามด้าน คือ "การเลี้ยงตนเอง" "การปกครองตนเอง" และ "การประกาศพระกิตติคุณด้วยตนเอง" ต่อมาในธรรมนูญการปกครอง ค.ศ.1941 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สภาคริสตจักรในประเทศไทย" ตามการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทยในสมัยรัฐบาลจอมพล ป พิบูลสงคราม

ในวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ.1957 มิชชั่นคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนได้สลายตัวอย่างเป็นทางการ ได้มอบหมายกิจการต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้อำนาจบริหารของสภาคริสตจักรในประเทศไทยโดยตรง และใน ค.ศ.1962 มิชชั่นคณะดีไซเปิลส์ออฟไครส์ ได้สลายตัวเข้ากับสภาคริสตจักรในประเทศไทย จากนั้นเมื่อมีมิชชันนารีของมิชชั่นคณะต่าง ๆ เข้ามาร่วมงานกับสภาคริสตจักรในประเทศไทยต้องอยู่ในฐานะภารดรผู้ร่วมงาน

หลักข้อเชื่อ

[แก้]

สภาคริสตจักรในประเทศไทยยึดถือหลักข้อเชื่อจาก 3 แหล่ง คือคัมภีร์ไบเบิล หลักข้อเชื่อของอัครทูต และหลักข้อเชื่อไนซีน[2]

วัตถุประสงค์

[แก้]

สภาคริสตจักรในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ดังนี้[2]

  1. เพื่อรวบรวมคริสเตียนทั้งหลายในประเทศไทยให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
  2. เพื่อให้มีความสัมพันธ์ช่วยเหลือและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ในการรับใช้พระเจ้าและสังคมตามน้ำพระทัยของพระองค์ และสร้างเสริมพันธกิจให้เจริญเติบโตมั่นคงยิ่งขึ้น
  3. เพื่อให้คริสตจักรมีสง่าราศี และเทิดทูนพระสิริของพระเจ้า
  4. เพื่อรวบรวมทรัพย์ทั้งปวงของสภาคริสตจักรในประเทศไทย ให้อยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย หรือมูลนิธิที่สภาคริสตจักรในประเทศไทยมีมติให้ตั้งขึ้น

การปกครอง

[แก้]

สภาคริสตจักรในประเทศไทยมีการปกครองโดยมีธรรมนูญเป็นระเบียบปกครองสูงสุด ในปัจจุบันได้ใช้ "ธรรมนูญแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย คริสตศักราช 1998"[2]

สภาคริสตจักรในประเทศไทยแบ่งการปกครองคริสตจักรออกเป็น 3 ระดับดังนี้[2]

  1. ระดับคริสตจักรท้องถิ่น ปกครองโดย คณะธรรมกิจคริสตจักรท้องถิ่น
  2. ระดับคริสตจักรภาค ปกครองโดย คณะธรรมกิจคริสตจักรภาค
  3. ระดับสภาคริสตจักร ปกครองโดย สมัชชาสภาคริสตจักรในประเทศไทย

คริสตจักรภาค

[แก้]

คริสตจักรภาค หมายถึง คริสตจักรท้องถิ่นหลายคริสตจักรและหมวดคริสเตียนหรือศาลาธรรม รวมตัวกันตั้งอยู่ในเขตภาค ซึ่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยกำหนดไว้ โดยถือเขตภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือภาษาเป็นเกณฑ์ ปัจจุบันสภาคริสตจักรในประเทศไทยแบ่งการปกครองออกเป็น 24 คริสตจักรภาค

คริสตจักรภาค เขตภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือภาษาโดยสังเขป
คริสตจักรภาค 1 เชียงใหม่
คริสตจักรภาค 2 เชียงราย
คริสตจักรภาค 3 ลำปาง
คริสตจักรภาค 4 แพร่
คริสตจักรภาค 5 น่าน
คริสตจักรภาค 6 กรุงเทพฯ พิษณุโลก
คริสตจักรภาค 7 กระจายตัวทั่วประเทศ มีรากฐานมาจากมิชชั่นคณะจีนเพรสไบทีเรียน
คริสตจักรภาค 8 เพชรบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร
คริสตจักรภาค 9 นครศรีธรรมราช ตรัง
คริสตจักรภาค 10 มาจากคริสตจักรชนเผ่ากะเหรี่ยงของคณะอเมริกันแบ๊บติสต์ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย
คริสตจักรภาค 11 นครปฐม ซึ่งมีรากฐานมาจากคณะคริสตจักรพระคริสต์ของอังกฤษ (ต่อมาคณะดีไซเปิลส์แห่งสหรัฐอเมริการับผิดชอบแทน)
คริสตจักรภาค 12 กระจายตัวทั่วประเทศ มีรากฐานมาจากมิชชั่นคณะอเมริกันแบ๊บติสต์ที่เข้ามายังประเทศสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 3
คริสตจักรภาค 13 เป็นคริสตจักรในภาคอีสาน มาจากคริสตจักรในสังกัดคณะ Christian and Missionary Alliance (C&M.A.)
คริสตจักรภาค 14 มีฐากฐานมาจากกลุ่มคริสตจักรนิคมหรือสาขาของสถาบันแมคเคนเพื่อการฟื้นฟูสภาพ ซึ่งแต่เดิมเป็นคริสตจักรในสังกัดคริสตจักรภาค 1 เชียงใหม่-ลำพูน
คริสตจักรภาค 15 พะเยา มีรากฐานมาจากคณะมาร์บูร์เกอร์มิชชั่นที่เข้ามาร่วมงานกับสภาคริสตจักรในประเทศไทยตั้งแต่ ค.ศ.1954
คริสตจักรภาค 16 สังขละบุรี มาจากคริสตจักรกลุ่มชนเผ่ากะเหรี่ยงของศูนย์มิชชั่นแม่น้ำแควน้อย ซึ่งเป็นพันธกิจร่วมระหว่างมิชชั่นนารีคณะดีไซเปิลส์ กับ The Thailand Baptist Mission Fellowship
คริสตจักรภาค 17 ตรัง
คริสตจักรภาค 18 ลาหู่ มาจากคริสตจักรชนเผ่าลาหู่ของ The Thailand Baptist Mission Fellowship ที่ปฏิบัติพันธกิจกับชนเผ่าลาหู่ในเขตภาคเหนือ (เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ตาก)
คริสตจักรภาค 19 กะเหรี่ยง ซึ่งมีรากเหง้ามาจากกลุ่มคริสตจักรกะเหรี่ยงแบ๊บติสต์ในสังกัด The Thailand Baptist Mission Fellowship ที่ปฏบัติพันธกิจในภาคเหนือ (เชียงใหม่ ตาก แม่ฮ่องสอน ระยอง)
คริสตจักรภาค 20 ม้ง (กรุงเทพฯ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ เลย)
คริสตจักรภาค 21 ลาหู่ (เชียงราย เชียงใหม่ ตาก บุรีรัมย์ มหาสารคาม ลำปาง ลำพูน)
คริสตจักรภาค 22 อาข่า (เชียงราย เชียงใหม่ ตาก แพร่ ชลบุรี)
คริสตจักรภาค 23 ลีซู (เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน)
คริสตจักรภาค 24 ลาหู่แบ๊บติสต์ (เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน)

ความสัมพันธ์

[แก้]

สภาคริสตจักรในประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับคริสตจักรสากล อาทิ เป็นสมาชิกของ

  • สภาคริสตจักรสากล (World Council of Churches: WCC)
  • สภาคริสเตียนแห่งเอเชีย (Christian Conference of Asia: CCA)
  • สหคริสตจักรปฏิรูปสากล (World Communion of Reform Churches: WCRC) เป็นต้น

การทำงานเพื่อสังคม

[แก้]

สภาคริสตจักรได้ก่อตั้งโรงพยาบาลและสถานศึกษาต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน มหาวิทยาลัยคริสเตียน มหาวิทยาลัยพายัพ ตลอดจนบรรเทาสาธารณภัย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในเขตสลัม [3]

การบริหารของสภาคริสตจักรในประเทศไทย

[แก้]

การบริหารของสภาคริสตจักรในประเทศไทย มีกำหนดลำดับดังนี้[2]

  1. สมัชชาสภาคริสตจักรในประเทศไทย
  2. กรรมการอำนวยการสภาคริสตจักรในประเทศไทย
  3. กรรมการดำเนินงานสภาคริสตจักรในประเทศไทย และกรรมการมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย
  4. คณะผู้บริหารสภาคริสตจักรในประเทศไทย
  5. คริสตจักรภาค
  6. คริสตจักรท้องถิ่น

อำนาจของสภาคริสตจักรในประเทศไทย

[แก้]

สิทธิอำนาจการปกครองมาจากพระเจ้า คือ พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามที่มีปรากฎในพระคริสตธรรมคัมภีร์ พระคริสต์เจ้าทรงตั้งคริสตจักรของพระองค์ไว้ และทรงเป็นพระประมุขของคริสตจักรทั้งมวล

สถาบันการศึกษา

[แก้]

สถาบันอุดมศึกษา

[แก้]

มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย มีมหาวิทยาลัยในเครือ 2 แห่ง คือ

โรงเรียน

[แก้]

มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย มีโรงเรียนในเครือ 30 แห่ง คือ

วิทยาลัยพระคริสตธรรม

[แก้]

มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย มีวิทยาลัยพระคริสตธรรมในเครือ 7 แห่ง คือ

สถาบันการแพทย์

[แก้]

มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย มีสถาบันการแพทย์ในเครือ 8 แห่ง คือ

พันธกิจ

[แก้]

ปัจจุบันมีหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนการปฏิบัติพันธกิจของสภาคริสตจักรในประเทศไทย จำแนกเป็น 5 พันธกิจ ได้แก่

พํนธกิจการเผยแพร่และพัฒนาคริสตจักร

[แก้]

มีหน้าที่หลักในการสนับสนุนส่งเสริมให้คริสตจักรภาค คริสตจักรท้องถิ่น หมวดคริสเตียน ศาลาธรรม และสถาบัน สามารถกระทำพันธกิจของพระเจ้าได้ด้วยตนเอง

หน่วยงานในสังกัด ได้แก่

  • หน่วยงานเผยแพร่และพัฒนาคริสตจักร
  • หน่วยงานพัฒนาและบริการสังคม
  • หน่วยงานประทีปของไทย

พันธกิจการอภิบาลชีวิตคริสเตียน

[แก้]

มีหน้าที่หลักในการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากร ส่งเสริมบทบาทของสตรีคริสเตียน เยาวชนคริสเตียน ครอบครัวคริสเตียน ในการเป็นพยานของพระเยซูคริสต์ รวมทั้งจัดให้มีบุคลากรที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการรับใช้พระเจ้า

หน่วยงานในสังกัด ได้แก่

  • หน่วยงานศิษยาภิบาล
  • หน่วยงานสตรี
  • หน่วยงานอนุชน

พันธกิจการคลังและทรัพย์สิน

[แก้]

มีหน้าที่หลักเกี่ยวกับการบริหารงานด้านการเงิน การคลัง การบัญชี งบประมาณ และทรัพย์สินทั้งปวงของสภาฯ และมูลนิธิฯ และจัดให้มีสวัสดิการต่าง ๆ สำหรับบุคลากรในสภาคริสตจักรในประเทศไทย

หน่วยงานในสังกัด ได้แก่

  • หน่วยงานบัญชีการเงิน
  • หน่วยงานทรัพย์สิน
    • บ้านพักสัมมนาหาดเจ้าสำราญ
    • บ้านพักและศูนย์ฝึกอบรมปราณบุรี
    • บ้านพักดอยขุนตาน ย.3
    • ค่ายดงพระพร
  • หน่วยงานสวัสดิการ

พันธกิจการศึกษา

[แก้]

มีหน้าที่หลักในการพัฒนาเยาวชนคริสเตียน และบุคคลทั่วไปให้ได้รับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ มีชีวิตที่สมบูรณ์ตามแบบของพระเยซูคริสต์ มีโรงเรียนในสังกัดพันธกิจ 30 แห่ง และมหาวิทยาลัย 2 แห่ง

หน่วยงานในสังกัด ได้แก่

  • หน่วยงานพันธกิจการศึกษา
  • สถาบันการศึกษาขั้นต้นพื้นฐาน
  • สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา

นอกจากนี้ยังมีสถาบันด้านศาสนศึกษาประกอบด้วย วิทยาลัยพระคริสต์ธรรมแมคกิลวารี (มหาวิทยาลัยพายัพ) สถาบันกรุงเทพคริสต์ศาสนศาสตร์ (สถาบันสมทบมหาวิทยาลัยคริสเตียน) ศูนย์พระคริสตธรรมสิโลอัม (กระเหรี่ยงแบ๊บติสต์) ศูนย์พระคริสตธรรมเบธเอล ศูนย์พระคริสตธรรมลาหู่แบ๊บติสต์ และศูนย์พระคริสตธรรมเกธเซมาเน

พันธกิจการแพทย์

[แก้]

มีหน้าที่หลักในการให้การบำบัดรักษาพยาบาล ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณแก่บุคคลทั่วไป รวมทั้งการฟื้นฟูสสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันการเจ็บป่วย เพื่อเป็นพยานของพระเยซูคริสต์โดยสถาบันสถานพยาบาลปัจจุบัน มีโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในสังกัดจำนวน 8 แห่ง

หน่วยงานอื่น ๆ ที่ขึ้นตรงต่อคณะผู้บริหารสภาคริสตจักรในประเทศไทย

[แก้]
  • คณะกรรมการศาสนศาสตร์ศึกษา
  • โรงเรียนภาษายูเนี่ยน
  • โรงเรียนคริสเตียนเยอรมันเชียงใหม่
  • โรงเรียนนานาชาติเชียงใหม่
  • ศูนย์สร้างสาวกเพื่อการประกาศและบุกเบิกคริสตจักร
  • ศูนย์การศึกษาคริสเตียนไทย เกาหลี
  • หน่วยงานบุคลากร
  • หน่วยงานตรวจสอบบัญชีภายใน
  • หน่วยงานคริสเตียนศึกษาและบรรณศาสตร์
  • ศูนย์ฝึกอบรมเยาวชนคริสเตียนไทย-เกาหลี
  • สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน
  • บ้านพักกรุงเทพคริสเตียน
  • สำนักงานเอกสัมพันธ์และแผนตอบสนองนโยบาลและยุทธศาสตร์
  • ฝ่ายหอจดหมายเหตุและประวัติศาสตร์
  • ฝ่ายบ้านและครอบครัว
  • ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ
  • ฝ่ายอาคารสำนักงานกรุงเทพฯ
  • ฝ่ายอาคาร 75 ปี เชียงใหม่
  • สำนักงานสภาคริสตจักรในประเทศไทย

อ้างอิง

[แก้]
  1. http://www.cct.or.th/cctweb/index.php/cctstatistic/cctchurchstatistic/196-cctchurchstatistic2012 เก็บถาวร 2014-10-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน www.cct.or.th/cctweb/index.php/cctstatistic/cctchurchstatistic/196-cctchurchstatistic2012
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 "ธรรมนูญแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ค.ศ. 1998" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-10-22. สืบค้นเมื่อ 2014-04-23.
  3. หน่วยพัฒนาและบริการสังคม สภาคริสตจักร

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]