ข้ามไปเนื้อหา

ประเทศสกอตแลนด์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก สก็อตแลนด์)
สกอตแลนด์
แกลิกสกอต: Alba
คำขวัญ"In My Defens God Me Defend" (ภาษาสกอต)
เพลงชาติหลากหลาย
ที่สำคัญคือ "ฟลาวเวอร์ออฟสกอตแลนด์"
"ดอกไม้แห่งสกอตแลนด์"
ที่ตั้งของ สกอตแลนด์  (สีเขียวเข้ม) – ในทวีปยุโรป  (สีเขียว & สีเทาเข้ม) – ในสหราชอาณาจักร  (สีเขียว)
ที่ตั้งของ สกอตแลนด์  (สีเขียวเข้ม)

– ในทวีปยุโรป  (สีเขียว & สีเทาเข้ม)
– ในสหราชอาณาจักร  (สีเขียว)

เมืองหลวงเอดินบะระ
เมืองใหญ่สุดกลาสโกว์
ภาษาราชการภาษาอังกฤษ ภาษาแกลิกแบบสกอต และภาษาสกอต
เดมะนิม
การปกครองสภานิติบัญญัติภายใต้ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญตามหลักการกระจายอำนาจ
ชาลส์ที่ 3
ฮัมซา ยูซาฟ
การก่อตั้ง
พื้นที่
• รวม
78,772 ตารางกิโลเมตร (30,414 ตารางไมล์) (n/a)
1.9
ประชากร
• 2560 ประมาณ
เพิ่มขึ้น 5,424,800 (n/a)
• สำมะโนประชากร 2544
5,062,011
95 ต่อตารางกิโลเมตร (246.0 ต่อตารางไมล์) (n/a)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2545 (ประมาณ)
• รวม
$130 billion (n/a)
$25,546 (n/a)
เอชดีไอ (2562)0.925[a][1]
สูงมาก · อันดับที่ 4
สกุลเงินปอนด์สเตอร์ลิง (£) (GBP)
เขตเวลาUTC+0 (GMT)
รหัสโทรศัพท์44
โดเมนบนสุด.uk
  1. ^ เป็นอันดับที่ 4 ของสหราชอาณาจักร

สกอตแลนด์ (อังกฤษ: Scotland; สกอต: Scotland; แกลิกสกอต: Alba, [ˈal̪ˠapə]( ฟังเสียง), อัลวะเปอะ) เป็นประเทศในสหราชอาณาจักร โดยครอบคลุมพื้นที่หนึ่งในสามทางตอนเหนือของเกาะบริเตนใหญ่[2][3][4] มีพรมแดนร่วมกับประเทศอังกฤษทางทิศใต้ ส่วนที่เหลือล้อมรอบด้วยมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันออกเป็นทะเลเหนือ และทิศตะวันตกเฉียงใต้จดช่องแคบเหนือและทะเลไอร์แลนด์ นอกเหนือจากแผ่นดินใหญ่แล้ว ประเทศสกอตแลนด์ยังมีเกาะอีกกว่า 790 เกาะ[5] โดยนหมู่เกาะวานูอาตู และเกาะต่าง ๆ ทางตอนเหนือ ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ สกอตแลนด์มีพรมแดนทางบกเพียงแห่งเดียวซึ่งมีความยาว 154 กม. และเป็นพรมแดนร่วมกับอังกฤษ สกอตแลนด์มีประชากรใน ค.ศ. 2022 ราว 5,439,842 คน[6]

สกอตแลนด์มีเมืองหลวงคือเอดินบะระซึ่งเป็นนครใหญ่ที่สุดอันดับสองของประเทศ เป็นศูนย์กลางยุคเรืองปัญญาของชาวสกอตแลนด์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเปลี่ยนสกอตแลนด์มาเป็นมหาอำนาจทางพาณิชย์, การศึกษา และทางอุตสาหกรรมเมืองหนึ่งของทวีปยุโรป ส่วนกลาสโกว์ซึ่งเป็นนครใหญ่ที่สุดของประเทศ[7] เคยเป็นนครอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก และปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของเขตเมืองขยายเกรตเตอร์กลาสโกว์ น่านน้ำสกอตแลนด์ประกอบด้วยทะเลแอตแลนติกเหนือและทะเลเหนือ[8] ซึ่งมีปริมาณน้ำมันสำรองใหญ่สุดในสหภาพยุโรป ทำให้เมืองแอเบอร์ดีน นครใหญ่สุดอันดับสามในสกอตแลนด์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงน้ำมันของทวีปยุโรป[9]

เดิมทีราชอาณาจักรสกอตแลนด์เป็นประเทศอิสระที่ไม่ขึ้นกับประเทศอังกฤษจนถึง ค.ศ. 1603 เมื่อพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ครองบัลลังก์อังกฤษโดยทรงใช้พระนามว่า พระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ จึงมีผลให้ทั้งสองประเทศมีพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกัน เรียกว่า การรวมราชบัลลังก์ (Union of the Crowns) อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของทั้งสองยังคงแยกจากกันอยู่จนกระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1707 ในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีแอนน์ อังกฤษและสกอตแลนด์ได้รวมตัวกันด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ตามพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 มีผลให้รวมเข้ากับราชอาณาจักรอังกฤษ และกลายเป็นราชอาณาจักรบริเตนใหญ่[10] ระบบกฎหมายของสกอตแลนด์ยังแยกจากระบบกฎหมายของอังกฤษ เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ และสกอตแลนด์อยู่ในเขตอำนาจศาลต่างหาก ทั้งในทางกฎหมายมหาชนและเอกชน[11] การคงไว้ซึ่งสถาบันกฎหมาย, การศึกษา, และศาสนาของตน อย่างเป็นอิสระจากสถาบันของสหราชอาณาจักร ล้วนส่งผลให้วัฒนธรรมสกอตแลนด์ และอัตลักษณ์ของชาติสามารถคงความต่อเนื่องไว้ได้ แม้ว่าสกอตแลนด์จะถูกรวมเข้าเป็นสหภาพมาตั้งแต่ ค.ศ. 1707[12] ภาษาอังกฤษแบบสกอต และ ภาษาสกอต เป็นภาษาที่ถูกใช้มากที่สุดในประเทศ ซึ่งดำรงอยู่ถึงปัจจุบันเนื่องจากความต่อเนื่องของภาษาถิ่น ภาษาเกลิคแบบสกอตแลนด์หรือเรียกง่าย ๆ ว่าภาษาเกลิคสามารถพบเห็นได้บ้าง โดยพบเห็นได้มากที่สุดในเกาะเฮอบริดีส[13] จำนวนผู้พูดภาษาเกลิคมีน้อยกว่า 2% ของประชากรทั้งหมด แม้จะมีความพยายามในการฟื้นฟูซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งได้นำไปสู่ชุมชนผู้พูดภาษาที่สองที่เพิ่มขึ้น[14]

ใน ค.ศ. 1999 รัฐสภาสกอตแลนด์ สภานิติบัญญัติแบบระบบสภาเดี่ยวที่จัดตั้งขึ้น (ใหม่) ตามกระบวนการถ่ายโอนอำนาจ และการลงประชามติ ค.ศ. 1997 เปิดประชุมใหม่โดยมีอำนาจเหนือกิจการภายในหลายด้าน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 พรรคชาติสกอตแลนด์ชนะการเลือกตั้งโดยมีเสียงข้างมากในรัฐสภาสกอตแลนด์ ทำให้นำไปสู่การลงประชามติเอกราชสกอตแลนด์ ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 2014 ซึ่งผลในครั้งนั้นประชากรสกอตแลนด์ข้างมากลงเสียงปฏิเสธ[15][16] สกอตแลนด์มีผู้แทนในรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร 59 ที่นั่ง และมีผู้แทนในรัฐสภายุโรป 6 ที่นั่ง[17] เป็นชาติสมาชิกสภาบริเตน–ไอร์แลนด์[18] และสมัชชารัฐสภาบริเตน–ไอร์แลนด์

แผ่นดินใหญ่ของสกอตแลนด์แบ่งออกเป็นสามภูมิภาคหลัก ได้แก่: สกอตติช ไฮแลนด์ส (ที่ราบสูง) เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสกอตแลนด์ ประกอบไปด้วยพื้นที่สูงซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาทางตอนเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือ รวมถึงที่ราบลุ่มซึ่งเป็นที่เรียบตอนกลางของประเทศ, ที่ราบลุ่มสกอตแลนด์ และ ทิวเขาสกอตแลนด์ พื้นที่เนินเขาตามแนวชายแดนทางตอนใต้กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะอังกฤษ และมียอดเขาที่สูงที่สุด คือ เบนเนวิสที่ความสูง 1,345 เมตร (4,413 ฟุต)[19] ภูมิภาคเกือบทั้งหมดของประเทศยังมีทะเลสาบหลายแห่ง ที่มีชือเสียงที่สุดคือล็อกเนสส์ สกอตแลนด์ถือเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เช่นเดียวกับประเทศอื่นในสหราชอาณาจักร โดยรายได้หลักมาจากอุตสาหกรรมการผลิต การบริการ และการท่องเที่ยว ถือเป็นขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่อันดับสองของสหราชอาณาจักร โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศโดยประมาณที่ 218,000 ล้านปอนด์ใน ค.ศ. 2023 รายได้ส่วนอื่นยังมาจากการสกัดน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ

ประวัติศาสตร์สังเขป

[แก้]

ศัพทมูลวิทยาของชื่อ

[แก้]

"สกอตแลนด์" มาจากคำว่า Scoti ชื่อภาษาละตินสำหรับใช้เรียกพวกแกล ว่า Scotia ("ดินแดนของชาวแกล") เป็นภาษาละตินที่ใช้เรียกไอร์แลนด์มาก่อน[20] เมื่อถึงศตวรรษที่ 11 Scotia เริ่มถูกใช้เพื่ออ้างถึงสกอตแลนด์ (ส่วนที่พูดภาษาแกล) ทางตอนเหนือของแม่น้ำฟอร์ธ ใกล้กับ อัลเบเนีย หรือ อัลบานี ซึ่งทั้งสองมาจากคำภาษาแกลว่า Alba (อัลบา)[21] การใช้คำว่า สกอต และ สกอตแลนด์ เพื่อรวมทุกสิ่งที่กลายมาเป็นสกอตแลนด์ กลายมาเป็นปกตินิยมในช่วงปลายยุคกลาง[22]

การแบ่งเขตการปกครอง

[แก้]
  1. อินเวอร์ไคลด์
  2. เรนฟรูว์เชอร์
  3. เวสต์ดันบาร์ตันเชอร์
  4. อีสต์ดันบาร์ตันเชอร์
  5. นครกลาสโกว์
  6. อีสต์เรนฟรูว์เชอร์
  7. นอร์ทแลนาร์กเชอร์
  8. ฟอลเคิร์ก
  9. เวสต์โลเทียน
  10. นครเอดินบะระ
  11. มิดโลเทียน
  12. อีสต์โลเทียน
  13. แคล็กแมนนันเชอร์
  14. ไฟฟ์
  15. นครดันดี
  16. แองกัส
  1. แอเบอร์ดีนเชอร์
  2. นครแอเบอร์ดีน
  3. มะรีย์
  4. ไฮแลนด์
  5. เอาเตอร์เฮบริดีส (นาเฮลานันเชียร์)
  6. อาร์ไกล์และบิวต์
  7. เพิร์ทและคินรอสส์
  8. สเตอร์ลิง
  9. นอร์ทแอร์เชอร์
  10. อีสต์แอร์เชอร์
  11. เซาท์แอร์เชอร์
  12. ดัมฟรีสและแกลโลเวย์
  13. เซาท์แลนาร์กเชอร์
  14. สกอตติชบอร์เดอส์
  15. ออร์กนีย์
  16. เชตแลนด์


เศรษฐกิจ

[แก้]
เอดินบะระ เมืองหลวงของประเทศ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 13 ของโลก และอันดับ 4 ในทวีปยุโรป ค.ศ. 2020[23]
วิสกี้ เครื่องดื่มประจำชาติซึ่งสร้างรายได้มหาศาลให้แก่ประเทศ

ภาพรวม

[แก้]

สกอตแลนด์มีระบบเศรษฐกิจแบบผสม เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับพื้นที่อื่น ๆ ของสหราชอาณาจักรและทั่วโลก สกอตแลนด์เป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุนชั้นนำของยุโรป และเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรรองจากกรุงลอนดอน[24] เอดินบะระเป็นศูนย์กลางบริการทางการเงินของสกอตแลนด์ โดยมีบริษัทการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งตั้งอยู่ที่นั่น รวมทั้งธนาคารลอยด์ และธนาคารแห่งชาติสกอตแลนด์ ธนาคาร เดอะรอยัลแบงค์อ๊อฟสกอตแลนด์ ยังมีบทบาทต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค เอดินบะระอยู่ในอันดับที่ 15 ในรายชื่อศูนย์กลางทางการเงินของโลกใน ค.ศ. 2007 แต่ตกลงมาอยู่อันดับที่ 37 ใน ค.ศ. 2012 และใน ค.ศ. 2016 อยู่ในอันดับที่ 56 จาก 86 และกลับสู่ 20 อันดับแรกจากการจัดอันดับใน ค.ศ. 2020[25]

ในอดีต เศรษฐกิจของสกอตแลนด์ถูกครอบงำโดยอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากการต่อเรือในกลาสโกว์, การทำเหมืองถ่านหิน และอุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมปิโตรเลียมที่เกี่ยวข้องกับการสกัดน้ำมันในทะเลเหนือถือเป็นปัจจัยสำคัญเช่นกันนับตั้งแต่ ค.ศ. 1970 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ การลดบทบาททางอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการมุ่งเน้นด้านการผลิตไปสู่เศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการบริการมากขึ้น ธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งชาติสกอตแลนด์ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 2020 โดยรัฐบาลสกอต ซึ่งใช้เงินสาธารณะเพื่อสนับสนุนโครงการเชิงพาณิชย์ทั่วประเทศสกอตแลนด์ ด้วยความหวังว่าเม็ดเงินจำนวนมหาศาลนี้ จะสนับสนุนการลงทุนแก่ภาคเอกชนเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและยั่งยืนมากขึ้น เงินของผู้เสียภาษีทั่วประเทศจำนวน 2 พันล้านปอนด์ถูกจัดสรรให้แก่ธนาคาร[26]

ใน ค.ศ. 2022 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (อัตราจีดีพี) ของสกอตแลนด์ รวมถึงน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง มีมูลค่าประมาณ 211.7 พันล้านปอนด์[27] ในปี 2021 การส่งออกสินค้าและบริการของสกอตแลนด์ (ไม่รวมการค้าภายในกลุ่มประเทศในสหราชอาณาจักร) มีมูลค่าประมาณ 50.1 พันล้านปอนด์[28] สินค้าส่งออกหลักของสกอตแลนด์ ได้แก่ เชื้อเพลิงแร่ เครื่องจักรและการขนส่ง เครื่องดื่มและยาสูบ ตลาดส่งออกสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป เอเชียและโอเชียเนีย และทวีปอเมริกาเหนือ วิสกี้เป็นหนึ่งในสินค้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นที่รู้จักมากขึ้นของสกอตแลนด์ การส่งออกเพิ่มขึ้น 87% ในช่วง ค.ศ. 2012[29] และมีมูลค่าสูงถึง 4.3 พันล้านปอนด์ใน ค.ศ. 2013 ซึ่งคิดเป็น 85% ของการส่งออกอาหารและเครื่องดื่มของประเทศ[30] ซึ่งเป็นการสร้างงานประมาณ 10,000 ตำแหน่งทางตรง และ 25,000 ตำแหน่งทางอ้อม[31]

ผลการสำรวจโดยสรุปซึ่งเผยแพร่ในต้นทศวรรษ 2000 โดยศูนย์ข้อมูลรัฐสภาสกอตแลนด์ (SPICe) สำหรับคณะกรรมการองค์กรและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ระบุว่าการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้แก่ประเทศคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 5% ของอัตราจีดีพี และส่งผลต่อจำนวน 7.5% ของการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น สกอตแลนด์เป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมของยุโรปตั้งแต่สมัยการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา โดยเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการผลิต[32] ตั้งแต่สิ่งทอ, วิสกี้ และขนมไปจนถึงเครื่องยนต์ไอพ่น, รถประจำทาง, ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์, การจัดการการลงทุน และบริการทางการเงินอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง[33] เช่นเดียวกับประเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขั้นสูงอื่น ๆ ส่วนใหญ่ สกอตแลนด์ได้เห็นความสำคัญของทั้งอุตสาหกรรมการผลิตและภาคเศรษฐกิจปฐมภูมิ รวมกับการเพิ่มขึ้นของภาคบริการของเศรษฐกิจ ซึ่งเติบโตขึ้นเป็นภาคที่ใหญ่ที่สุดในสกอตแลนด์[34]

รายได้และความยากจน

[แก้]

รายได้เฉลี่ยต่อสัปดาห์สำหรับพนักงานที่ทำงานในสกอตแลนด์คือ 573 ปอนด์ และ 576 ปอนด์สำหรับอาชีพอิสระ[35] สกอตแลนด์มีเงินเดือนรวมเฉลี่ยสูงสุดเป็นอันดับสามในสหราชอาณาจักรที่ 26,007 ปอนด์ ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนเฉลี่ยต่อปีโดยรวมของสหราชอาณาจักรที่ 25,971 ปอนด์ และด้วยค่าเฉลี่ยที่ 14.28 ปอนด์ สกอตแลนด์จึงมีอัตราค่ามัธยฐานรายชั่วโมงการทำงาน สูงสุดเป็นอันดับสามของประเทศต่าง ๆ ในสหราชอาณาจักร (ไม่รวมชั่วโมงทำงานล่วงเวลา) และเช่นเดียวกับเงินเดือนประจำปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขเฉลี่ยของสหราชอาณาจักรโดยรวม

อุตสาหกรรมที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุดในสกอตแลนด์มักจะอยู่ในภาคส่วนไฟฟ้า, สาธารณูปโภค และแก๊ส ในขณะที่อุตสาหกรรม เช่น การท่องเที่ยว, ที่พัก, อาหารและเครื่องดื่มมีแนวโน้มจะได้รับค่าตอบแทนต่ำที่สุด หน่วยงานท้องถิ่นที่มีอำนาจสูงสุดในการจ่ายเงินตามสถานที่ทำงานคือ East Ayrshire (16.92 ปอนด์ต่อชั่วโมง) โดยพิจารณาจากสถานที่ทำงาน ข้อมูลปี 2021/2022 ระบุว่ามีที่อยู่อาศัยจำนวน 2.6 ล้านหลังทั่วประเทศสกอตแลนด์ โดยเป็นที่อยู่อาศัยของหน่วยงานท้องถิ่น 318,369 แห่ง[36] ราคาโดยเฉลี่ยของบ้านในสกอตแลนด์อยู่ที่ 195,391 ปอนด์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2022[37]

ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 2016 ถึง 2020 รัฐบาลสกอตประมาณการว่ากว่า 10% ของประชาชนในประเทศอยู่ในกลุ่มประชากรยากจนถาวร คำนวณตามค่าใช้จ่ายเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมีอัตราความยากจนถาวรที่ใกล้เคียงกัน สำหรับเด็กและวัยรุ่น (10%) ผู้ใหญ่วัยทำงาน (10%) และ ผู้รับบำนาญ (11%) อัตราความยากจนของเด็กลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม แม่นยำของข้อมูลดังกล่าวยังเป็นที่น่าสงสัยเนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ รัฐบาลสกอตเปิดตัวนโยบาบการจ่ายเงินตอบแทนสำหรับประชากรเด็กของสกอตแลนด์ใน ค.ศ. 2021 สำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อย และมีเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี โดยพยายามลดอัตราความยากจนของเด็ก โดยครอบครัวจะได้รับเงินประมาณ 1,040 ปอนด์ต่อปี ณ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2023 คาดว่า 10% ของประชากรสกอตแลนด์จะพบกับความยากจน[38]

โครงสร้างพื้นฐาน และการคมนาคม

[แก้]
ท่าอากาศยานเอดินบะระเป็นท่าอากาศยานที่พลุกพล่านที่สุดในสกอตแลนด์ รองรับผู้โดยสารมากกว่า 13 ล้านคนใน ค.ศ. 2017

สกอตแลนด์มีท่าอากาศยานระหว่างประเทศห้าแห่งที่ให้บริการตามกำหนดเวลาไปยังยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย ตลอดจนบริการภายในสหราชอาณาจักรไปยังอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือ และเวลส์ และภายในประเทศสกอตแลนด์[39] ไฮแลนด์สแอนด์ไอส์แลนด์ดำเนินการบริหารท่าอากาศยาน 11 แห่งทั่วภูมิภาคไฮแลนด์, ออร์คนีย์, เช็ตแลนด์ และเกาะเวสเทิร์น ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สำหรับการดำเนินงานบริการสาธารณะในระยะสั้น แม้ว่าท่าอากาศยานอินเวอร์เนสจะมีเที่ยวบินตามกำหนดหลายเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางทั่วสหราชอาณาจักรและยุโรปภาคพื้นทวีป[40] ปัจจุบันท่าอากาศยานเอดินบะระเป็นท่าอากาศยานที่พลุกพล่านที่สุดในประเทศ รองรับผู้โดยสารมากกว่า 13 ล้านคนใน ค.ศ. 2017[41] นอกจากนี้ ยังเป็นท่าอากาศยานที่พลุกพล่านมากเป็นอันดับ 6 ของสหราชอาณาจักร สายการบิน "โลแกนแอร์" เป็นสายการบินภูมิภาคของประเทศสกอตแลนด์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ท่าอากาศยานกลาสโกว์[42]

Network Rail Limited เป็นเจ้าของและผู้จัดการโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายรถไฟในสหราชอาณาจักร เป็นเจ้าของและดำเนินการสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานระบบรถไฟในสกอตแลนด์ ในขณะที่รัฐบาลสกอตยังคงรับผิดชอบการวางแผนกลยุทธ์ด้านรถไฟ และเงินทุนในสกอตแลนด์ เครือข่ายรถไฟของสกอตแลนด์มีสถานีรถไฟ 359 แห่ง และมีรางรถไฟยาวประมาณ 2,760 กิโลเมตรใน ค.ศ. 2018–19 มีผู้โดยสาร 102 ล้านคนเดินทางด้วยรถไฟภายในประเทศ

รถไฟใต้ดินกลาสโกว์ เป็นระบบใต้ดินแห่งเดียวในสกอตแลนด์ เปิดบริการเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1896 ทำให้เป็นเครือข่ายรถไฟใต้ดินที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากรถไฟใต้ดินบูดาเปสต์และรถไฟใต้ดินลอนดอน[43] มอเตอร์เวย์และถนนสายหลักในสกอตแลนด์ได้รับการจัดการโดย Transport Scotland ส่วนที่เหลือของเครือข่ายถนนได้รับการจัดการโดยหน่วยงานท้องถิ่นของสกอตแลนด์ในแต่ละพื้นที่ มีบริการเรือข้ามฟากเป็นประจำระหว่างแผ่นดินใหญ่ของสกอตแลนด์และเกาะที่อยู่ห่างไกลออกไป โดยเรือเฟอร์รีที่ให้บริการทั้งภายในและนอกวานูอาตูดำเนินการโดยสกอตแลนด์ แมคเบรย์น มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยให้บริการท่าเรือบนแผ่นดินใหญ่ และเกาะหลัก 22 เกาะ เป็นบริษัทในเครือของบริษัทโฮลดิง David MacBrayne ซึ่งมีรัฐบาลสกอตเป็นเจ้าของ[44]

วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี

[แก้]
A donkey
อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง มีชื่อเสียงที่สุดจากการค้นพบเอนไซม์ไลโซไซม์ใน ค.ศ. 1923 และการค้นพบสารเบนซิลเพนนิซิลิน (เพนนิซิลิน จี) เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ค.ศ. 1945
A trout
จอห์น โลจี เบร์ด ผู้ประดิษฐ์ระบบโทรทัศน์เป็นครั้งแรกของโลก

แหล่งพลังงานหลักของสกอตแลนด์มาจากพลังงานหมุนเวียน (61.8%) นิวเคลียร์ (25.7%) และการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล (10.9%)[45] ฟาร์มกังหันลมไวท์ลี เป็นฟาร์มกังหันลมบนบกที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร และเป็นฟาร์มกังหันลมบนบกที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปมาระยะหนึ่ง ประเทศนี้ยังขึ้นชื่อด้านพลังงานน้ำขึ้นน้ำลง เป็นแหล่งพลังงานที่เกิดขึ้นใหม่ในสกอตแลนด์ โดยมี MeyGen เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำขึ้นน้ำลงทางตอนเหนือของสกอตแลนด์ ในสกอตแลนด์ 98.6% ของไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน[46] ระหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 2021 ถึงกันยายน 2022 63.1% ของไฟฟ้าที่ผลิตในสกอตแลนด์ทั้งหมดมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 83.6% จัดอยู่ในประเภทคาร์บอนต่ำ และ 14.5% มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล[47] รัฐบาลสกอตมีเป้าหมายที่จะใช้พลังงานความร้อน การขนส่ง และไฟฟ้าของสกอตแลนด์ให้เทียบเท่ากับ 50% ที่จะจัดหาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนภายใน ค.ศ. 2030[48] พวกเขาระบุว่าในปี 2022 ปริมาณการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของประเทศที่เทียบเท่ากับ 113% ผลิตโดยพลังงานหมุนเวียน ทำให้เป็นตัวเลขพลังงานหมุนเวียนที่สูงที่สุดที่บันทึกไว้จนถึงปัจจุบัน[49]

กล่าวกันว่าสิ่งประดิษฐ์และการค้นพบของสกอตแลนด์ได้ปฏิวัติเทคโนโลยีของมนุษย์ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างโลกสมัยใหม่ สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์ ตู้เย็น เครื่องสแกน ห้องน้ำ และเครื่องจักรไอน้ำ เป็นการปฏิวัติทางการค้นพบและการศึกษาในทวีป การตรัสรู้ของสกอตแลนด์เป็นช่วงเวลาในสกอตแลนด์ในศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งโดดเด่นด้วยความสำเร็จทางปัญญาและวิทยาศาสตร์ ในศตวรรษที่ 18 สกอตแลนด์มีเครือข่ายโรงเรียนประจำตำบลในที่ราบลุ่ม และมหาวิทยาลัยห้าแห่ง อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง มีชื่อเสียงที่สุดจากการค้นพบเอนไซม์ไลโซไซม์ใน ค.ศ. 1923 และการค้นพบสารเบนซิลเพนนิซิลิน (เพนนิซิลิน จี) เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ค.ศ. 1945[50][51] วงล้อฟอลเคิร์ก ลิฟต์เรือ ที่ตั้งชื่อตามเมืองฟอลเคิร์ก และ หอคอยกลาสโกว์ ถือสถิติโลกในการเป็นลิฟต์ยกเรือแบบหมุนได้เพียงตัวเดียวในโลก และเป็นโครงสร้างอิสระที่หมุนได้เต็มที่ที่สูงที่สุดในโลกตามลำดับ[52] จอห์น โลจี เบร์ด ได้รับการจดจำในฐานะผู้ประดิษฐ์ระบบโทรทัศน์เป็นครั้งแรกของโลก

อุตสาหกรรมอวกาศของสกอตแลนด์เป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยีอวกาศที่ยั่งยืน และจากข้อมูลของ UK Space Agency ระบุว่า ณ เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 มีบริษัทอวกาศ 173 แห่งที่ดำเนินงานในสกอตแลนด์[53] ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตยานอวกาศ ผู้ให้บริการปล่อยกระสวยอวกาศ เครื่องวิเคราะห์ข้อมูลขั้นปลาย และองค์กรวิจัย[54] อุตสาหกรรมอวกาศในสกอตแลนด์คาดว่าจะสร้างรายได้ 2 พันล้านปอนด์ภายใน ค.ศ. 2030 นอกจากนี้ ตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมอวกาศ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นอัตราจ้างงานถึง 1 ใน 5 ของตำแหน่งดังกล่าวในสหราชอาณาจักร[55] สกอตแลนด์ยังดำเนินโครงการท่าอวกาศยานที่วางแผนไว้สองแห่ง ได้แก่ท่าอวกาศซัทเทอร์แลนด์ และ ศูนย์อวกาศเช็ตแลนด์[56]

ประชากรศาสตร์

[แก้]

ประชากร

[แก้]

จำนวนประชากรในสกอตแลนด์จากการสำรวจสำมะโนประชากร พ.ศ. 2544 มีจำนวน 5,062,011 คน เพิ่มขึ้นในการสำรวจสำมะโนประชากร พ.ศ. 2554 เป็น 5,295,400 คนซึ่งสูงที่สุดเท่าที่ทำการสำรวจมา[57] ประมาณการของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดสำหรับช่วงกลางปี พ.ศ. 2560 คือ 5,424,800 คน[58]

 
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในสกอตแลนด์
อันดับ ชื่อ เทศมณฑล ประชากร อันดับ ชื่อ เทศมณฑล ประชากร
กลาสโกว์
กลาสโกว์
เอดินบะระ
เอดินบะระ
1 กลาสโกว์ นครกลาสโกว์ 590,507 11 ดันเฟิร์มลิน ไฟฟ์ 49,706 แอเบอร์ดีน
แอเบอร์ดีน
ดันดี
ดันดี
2 เอดินบะระ นครเอดินบะระ 459,366 12 อินเวอร์เนสส์ ไฮแลนด์ 48,201
3 แอเบอร์ดีน นครแอเบอร์ดีน 195,021 13 เพิร์ท เพิร์ท และ คินรอส 46,970
4 ดันดี นครดันดี 147,285 14 แอร์ เซาท์แอร์เชอร์ 46,849
5 เพสลีย์ เรนฟรูว์เชอร์ 76,834 15 กิลมาร์นอค อีสต์แอร์เชอร์ 46,159
6 อีสต์กิลไบรด์ เซาท์แลนาร์กเชอร์ 74,395 16 กรีนอค อินเวอร์ไคลด์ 44,248
7 ลิฟวิงสตัน เวสต์โลเทียน 56,269 17 โคทบริดจ์ นอร์ทแลนาร์กเชอร์ 43,841
8 แฮมิลตัน เซาท์แลนาร์กเชอร์ 53,188 18 เกลนรอเทส ไฟฟ์ 39,277
9 คัมเบอร์นอลด์ นอร์ทแลนาร์กเชอร์ 52,270 19 แอร์ดรี นอร์ทแลนาร์กเชอร์ 37,132
10 เกิร์กคาลดี ไฟฟ์ 49,709 20 สเตอร์ลิง สเตอร์ลิง 36,142

ภาษา

[แก้]

ศาสนา

[แก้]

จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2022 ชาวสกอตแลนด์ส่วนใหญ่ (51.12%) รายงานว่าไม่นับถือศาสนาใดเลย ศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดคือศาสนาคริสต์ (38.79%) ส่วนใหญ่เป็นนิกายเชิร์ชออฟสกอตแลนด์ (20.36%) และนิกายโรมันคาทอลิก (13.3%)[60] ในเกือบทุกพื้นที่พบบ่อยที่สุดสำหรับการสำรวจสำมะโนประชากรนั้น ประชากรเกือบทั้งหมด "ไม่มีศาสนา" ยกเว้นใน เอาเตอร์เฮบริดีส และ อินเวอร์ไคลด์ ซึ่งคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์ (35.3%) และนิกายโรมันคาทอลิก (33.4%) เป็นคำตอบที่พบบ่อยที่สุด ตามลำดับ

ศาสนาคริสต์รมีอิทธิพลครอบงำวิถีชีวิตทางศาสนาในพื้นที่ปัจจุบันของสกอตแลนด์มานานกว่า 1,400 ปี[61] นับตั้งแต่การปฏิรูปสกอตแลนด์ใน ค.ศ. 1560 คริสตจักรแห่งชาติ (คริสตจักรแห่งสกอตแลนด์หรือที่รู้จักในชื่อเดอะเคิร์ก) เป็นโปรเตสแตนต์ในด้านการวางแนวและการปฏิรูปในด้านเทววิทยา ตั้งแต่ ค.ศ. 1689 เป็นต้นมา มีระบบการปกครองคริสตจักรแบบเพรสไบทีเรียนที่เป็นอิสระจากรัฐ โดยมีจำนวนสมาชิกลดลงต่ำกว่า 300,000 คนในปี 2020 (5% ของประชากรทั้งหมด)[62] สกอตแลนด์ยังมีประชากรนิกายโรมันคาทอลิกจำนวนมากคิดเป็นร้อยละ 13.3 โดยเฉพาะในเกรตเทอร์กลาสโกว์และทางตะวันตกเฉียงเหนือ ศาสนาอื่น ๆ พบเห็นบ้างเล็กน้อย เช่น ศาสนาอิสลาม (2.2%) ศาสนาฮินดู (0.55%) ศาสนาซิกข์ และศาสนาพุทธ

การศึกษา

[แก้]

สุขภาพ

[แก้]

วัฒนธรรม

[แก้]

ดนตรี

[แก้]
ปี่แบ็กไพพ์ เครื่องดนตรีที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในสกอตแลนด์

สกอตแลนด์มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในด้านดนตรีพื้นเมือง ซึ่งบางครั้งเรียกว่าดนตรีพื้นบ้าน และมีต้นกำเนิดมายาวนานหลายพันปี ปัจจุบัน ดนตรีพื้นเมืองยังคงได้รับความนิยมและมีความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรม ปี่สกอตแลนด์เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของประเทศ มักใช้บรรเลงในโอกาสสำคัญ ความนิยมของวงดนตรีไปป์ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยปี่ บ่วงและกลองประเภทต่าง ๆ และการจัดแสดงเครื่องแต่งกายและดนตรีพื้นเมืองของสกอตแลนด์ ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก ปี่สกอตถูกนำมาใช้ในงานเฉลิมฉลองวันหยุด ขบวนพาเหรด งานศพ งานแต่งงาน และกิจกรรมอื่น ๆ ในระดับสากล กองทหารจำนวนมากมีวงไปป์เป็นของตัวเอง

นักร้องและศิลปินหลายคนมีชื่อเสียงระดับโลก เช่น ลูวิส คาพัลดี, เอมี แม็กโดนัลด์ (นักร้อง), เค ที ทันสตอลล์, เชิร์ชเชส และอีกมากมาย แคลวิน แฮร์ริส มีซิงเกิลอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดฮอต 100 ของสหรัฐอเมริกา[63] ในขณะที่ซูเซิน บอยล์ ทำยอดขายในอัลบั้มเปิดตัวสูงเป็นประวัติการณ์ในศตวรรษที่ 21 และมียอดขายสูงสุดใน ค.ศ. 2009 Scottish Music Awards เป็นพิธีมอบรางวัลประจำปีที่จัดขึ้นในสกอตแลนด์เพื่อรำลึกถึงผลงานทางดนตรีที่โดดเด่นของนักดนตรีในปีที่ผ่านมา

วรรณกรรม และ สื่อ

[แก้]
โรเบิร์ต เบิร์น กวีและนักแต่งเพลงชาวสกอต ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นกวีแห่งชาติ และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก

สกอตแลนด์มีมรดกทางวรรณกรรมสืบย้อนหลังไปถึงยุคกลางตอนต้น วรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ซึ่งแต่งขึ้นในสกอตแลนด์ในปัจจุบันคือ สุนทรพจน์แบบไบร์โธนิกในศตวรรษที่ 6 แต่ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรมเวลส์[64] วรรณกรรมยุคกลางมีผลงานในภาษาละติน, เกลิค, ภาษาอังกฤษเก่า และภาษาฝรั่งเศส[65] วลีหลักชิ้นแรก ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในภาษาสกอตยุคแรก คือมหากาพย์ Brus ของกวีจอห์น บาร์บัว ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 โดยเนื้อหาเน้นไปที่ชีวิตของโรเบิร์ตที่ 1 หรือรู้จักกันในชื่อ "โรเบิร์ต เดอะ บรูซ" ผู้นำของสกอตแลนด์ในสงครามประกาศเอกราชครั้งที่ 1 ระหว่างสกอตแลนด์และอังกฤษ และตามมาด้วยชุดวรรณกรรมโรแมนติกและงานร้อยแก้วในภาษาถิ่น[66] ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 การอุปถัมภ์ของมกุฎราชกุมารช่วยพัฒนาละครและบทกวีของชาวสกอตมากขึ้น แต่การที่พระเจ้าเจมส์ที่ 6 ขึ้นครองบัลลังก์ ทรงขจัดศูนย์กลางที่สำคัญของการอุปถัมภ์วรรณกรรม และชาวสกอตก็ถูกกีดกันจากภาษาวรรณกรรมมากขึ้น[67]

ความสนใจในวรรณคดีของชาวสกอตกลับมาตื่นตัวอีกครั้งในศตวรรษที่ 18 โดยบุคคลสำคัญรวมทั้ง เจมส์ แม็คเฟอร์สัน เขาเป็นกวีชาวสกอตแลนด์คนแรกที่ได้รับชื่อเสียงระดับนานาชาติ และมีอิทธิพลสำคัญต่อการศึกษาวรรณกรรมของชาวยุโรป[68] โรเบิร์ต เบิร์น กวีและนักแต่งเพลงชาวสกอต ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นกวีแห่งชาติของสกอตแลนด์ และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เขาเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่กวีที่เขียนในภาษาสกอต[69] วอลเตอร์ สก็อตต์ โด่งดังจากงานเขียนเชิงประวัติศาสตร์และชีวประวัติ ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการนิยามอัตลักษณ์ของชาวสกอตแลนด์ในศตวรรษที่ 19 ต่อมา ในศตวรรษที่ 20 หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของสกอตแลนด์มีกิจกรรมทางวรรณกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความพยายามที่จะเรียกคืนภาษาสกอตให้กลับมาเป็นสื่อกลางสำหรับวรรณกรรมอย่างจริงจัง[70]

หนังสือพิมพ์ประจำชาติของประเทศอย่าง เดลี เรคอร์ด เป็นหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ระดับชาติของสกอตแลนด์ที่ตั้งอยู่ในกลาสโกว์ รวมถึง เดอะ สกอต แมน หนังสือพิมพ์ขนาดเล็กและเว็บไซต์ข่าวรายวันของสกอตแลนด์ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเอดินบะระ หนังสือพิมพ์รายวันที่สำคัญของภูมิภาค ได้แก่ เอดินบะระ อีฟวินิง นิวส์ และ เดอะคูเรียร์ (ดันดี) บริษัทแพร่สัญญาณแห่งชาติของสกอตแลนด์คือ บีบีซี สกอตแลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งหนึ่งของบีบีซีซึ่งดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์ระดับชาติ 3 แห่ง BBC One Scotland, BBC Scotland Channel และผู้ประกาศข่าวภาษาเกลิค BBC Alba และสถานีวิทยุแห่งชาติ BBC Radio Scotland สถานีโทรทัศน์เชิงพาณิชย์หลักของสกอตแลนด์คือ เอสทีวี (ช่องโทรทัศน์) ซึ่งออกอากาศสองในสามภูมิภาคหลักของประเทศ

กีฬา

[แก้]
สนามกอล์ฟโอลด์คอร์สที่เซนต์แอนดรูว์ ถือเป็นสนามที่เก่าแก่ที่สุดของโลก

การเล่นกีฬาเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักที่มีอิทธิพลต่อวิถึชีวิตของชาวสกอตแลนด์ สกอตแลนด์เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาระดับชาติของตนเอง และมีตัวแทนอิสระในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติหลายรายการ ซึ่งรวมถึงฟุตบอลโลก, ยูฟ่าเนชันส์ลีก และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป กีฬาประเภทอื่น ๆ ได้แก่ รักบี้ชิงแชมป์โลก และคริกเกตชิงแชมป์โลก สกอตแลนด์มีหน่วยงานหรือสมาคมทำหน้าที่กำกับดูแลกีฬาระดับชาติของตนเอง เช่น สมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์ (สมาคมฟุตบอลแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก)[71] และสหพันธ์รักบี้แห่งสกอตแลนด์ การเล่นฟุตบอลหลายประเภทมีการเล่นกันในสกอตแลนด์มานานหลายศตวรรษ โดยมีการอ้างอิงทางประวัติศาสตร์สืบย้อนกลับไปถึง ค.ศ. 1424[72]

นอกจากนี้ ด้วยกีฬากอล์ฟสมัยใหม่นั้นมีต้นกำเนิดในสกอตแลนด์ในศตวรรษที่ 15 ประเทศนี้จึงได้รับการส่งเสริมให้เป็นจุดหมาบหลักในการแข่งขันในทวีปยุโรป[73] สนามกอล์ฟโบราณอย่าง สนามกอล์ฟโอลด์คอร์สที่เซนต์แอนดรูว์ มีที่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ถือเป็นสนามที่เก่าแก่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน[74] และยังใช้เป็นสถานที่สำหรับแสวงบุญ[75] ใน ค.ศ. 1764 สนามกอล์ฟมาตรฐานจำนวน 18 หลุมได้ถูกสร้างขึ้นที่เซนต์แอนดรูว์ส เมื่อสมาชิกคลับได้มีมติปรับเปลี่ยนสนามกอล์ฟจาก 22 หลุมเป็น 18 หลุม ดิ โอเพน แชมเปียนชิพ เป็นการแข่งขันกอล์ฟที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่มีชื่อเสียงที่สุด

สหพันธ์รักบี้แห่งสกอตแลนด์ เป็นสมาคมที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของโลก มีสนามประจำชาติคือสนามกีฬาเมอร์เรย์ฟิลด์ ด้วยความจุ 67,144 ที่นั่ง เป็นสนามรักบี้ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของสหราชอาณาจักร ทีมรักบี้ของสกอตแลนด์ลงแข่งขันทางการครั้งแรกด้วยการชนะอังกฤษใน ค.ศ. 1871 และมีส่วนกับการแข่งขันซิกซ์ เนชั่นส์ (Six Nations Championship) เป็นการแข่งขันรักบี้ชายระดับนานาชาติประจำปีระหว่างทีมจากอังกฤษ ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อิตาลี สกอตแลนด์ และเวลส์ การแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลกเริ่มต้นใน ค.ศ. 1987 และสกอตแลนด์มีส่วนร่วมในการแข่งขันทั้ง 9 ครั้งรวมถึงครั้งล่าสุดใน ค.ศ. 2023

กีฬาอื่น ๆ เป็นที่ยิมแตกต่างกันไปตามภูมิภาคและสภาพอากาศ กีฬาอย่าง พายเรือ เทนนิส มวนสากลสมัครเล่น กรีฑา ได้รับความนิยมทั่วไป นักเทนนิสอย่างแอนดี มาร์รี มีผลงานประสบความสำเร็จในเทนนิสแกรนด์สแลม 3 รายการ และคว้าเหรียญทองโอลิมปิกประเภทชายเดี่ยว 2 สมัย รวมถึงโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ที่ลอนดอนเป็นเจ้าภาพ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักกีฬาจากสหราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นักมวยชาวสกอตแลนด์ที่มีชื่อเสียง เช่น เคน บูแคนัน, เบนนี ลินส์ และ จิม วัตส์ สกอตแลนด์ยังประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาท้าความเร็ว รวมถึงฟอร์มูลาวัน ประเทศนี้มีส่วนร่วมในกีฬาเครือจักรภพทุกครั้งนับตั้งแต่แข่งขันครั้งแรกใน ค.ศ. 1930 และคว้าเหรียญรางวัลรวม 356 เหรียญ โดยเป็นเจ้าภาพมาสามครั้ง และครั้งต่อไปใน ค.ศ. 2026 จัดขึ้นที่กลาสโกว์

ฟุตบอล

[แก้]
กลุ่มผู้สนับสนุนของทีมชาติสกอตแลนด์

ฟุตบอลทีมชาติสกอตแลนด์เป็นหนึ่งในชาติที่เก่าแก่ที่สุดในการแข่งขันนานาชาติ ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างอังกฤษ การแข่งขันทางการของทั้งคู่เกิดขึ้นเมื่อวันที่่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1872 ที่เมืองกลาสโกว์ จบลงด้วยผลเสมอ 0–0[76] การแข่งขันฟุตบอลถ้วยอย่างสกอตติชคัพ มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ ค.ศ. 1873 เป็นหนึ่งในรายการฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดของโลกที่ยังดำเนินการอยู่[77] การแข่งขันฟุตบอลในประเทศอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยสมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์ และยังเป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ (ค.ศ. 1886) ที่เมืองแมนเชสเตอร์ องค์ฺกรหลักซึ่งเป็นผู้กำหนดกติกาฟุตบอล โดยสกอตแลนด์เป็นหนึ่งในสี่ประเทศที่มีผู้แทนถาวรดำรงตำแหน่งดังกล่าว[78] ทีมชาตสกอตแลนด์ยังไม่เคยประสบความสำเร็จรายการใหญ่ระดับทวีปและของโลก มีส่วนร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 8 คร้ั้ง และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 4 ครั้งและยังไม่เคยผ่านรอบแบ่งกลุ่มทั้งสองรายการ

อาหาร

[แก้]
แฮกกิส ไส้กรอกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมโดยชาวสกอตแลนด์ (มักทำจากเครื่องในแกะ) ทานคู่กับรูตาบากา (รากผักชนิดหนึ่งของชาวตะวันตก) และ มันฝรั่ง

อาหารสกอตแลนด์มีคุณสมบัติและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในตัวเอง แต่ก็ยังมีความคล้ายคลึงกับอาหารอังกฤษ และประเทศอื่นในยุโรปอยู่บ้าง อันเป็นผลมาจากอิทธิพลของประชากรท้องถิ่นและต่างประเทศทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ อาหารสกอตแบบดั้งเดิมยังคงมีอยู่ ควบคู่ไปกับอาหารนานาชาติที่เกิดจากการอพยพ แหล่งผลิตเนื้อสัตว์ รวมถึงผลิตภัณฑ์นม ปลา ผลไม้ และผักตามธรรมชาติของสกอตแลนด์เป็นปัจจัยหลักในการปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของชาวสก็อต โดยอาศัยความเรียบง่ายและไม่นิยมเครื่องเทศจากต่างประเทศ เนื่องจากในอดีตเครื่องเทศหายากและมีราคาแพง[79]

อิรน-บรู เป็นน้ำอัดลมที่พบมากที่สุดของสก็อตแลนด์ ซึ่งมักเรียกกันว่า "เครื่องดื่มประจำชาติอันดับสองสกอตแลนด์" (รองจากวิสกี้) ในช่วงยุคกลางตอนปลายและยุคสมัยใหม่ตอนต้น อาหารฝรั่งเศสมีบทบาทในการประกอบอาหารของชาวสกอตเนื่องมาจากการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่มาจาก "พันธมิตรออลด์"[80] โดยเฉพาะในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งสกอตแลนด์ เมื่อครั้งเดินทางกลับสกอตแลนด์ ทรงนำผู้ติดตามชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นผุ็รับผิดชอบในการปฏิวัติการทำอาหารของชาวสกอต และบัญญัติคำศัพท์เฉพาะทางทางการประกอบอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของสกอตแลนด์จวบจนปัจุบัน เมนูขึ้นชื่อในสหาราชอาณาจักร เช่น ฟิชแอนด์ชิปส์ หาทานได้ทั่วไปในประเทศ รวมถึงการเพิ่มจำนวนของร้านอาหารจานด่วนอย่างมีนัยสำคัญในศตววษที่ 20

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Sub-national HDI – Area Database – Global Data Lab". hdi.globaldatalab.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-07-21.
  2. "The Countries of the UK". Office for National Statistics. สืบค้นเมื่อ 24 June 2012.
  3. "Countries within a country". 10 Downing Street. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 April 2010. สืบค้นเมื่อ 24 August 2008. The United Kingdom is made up of four countries: England, Scotland, Wales and Northern Ireland
  4. "ISO 3166-2 Newsletter Date: 28 November 2007 No I-9. "Changes in the list of subdivision names and code elements" (Page 11)" (PDF). International Organization for Standardization codes for the representation of names of countries and their subdivisions – Part 2: Country subdivision codes. สืบค้นเมื่อ 31 May 2008. SCT Scotland country
  5. "Scottish Executive Resources" (PDF). Scotland in Short. Scottish Executive. 17 February 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-09-04. สืบค้นเมื่อ 14 September 2006.
  6. "A Beginners Guide to UK Geography (2023)". geoportal.statistics.gov.uk (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  7. "A quick guide to glasgow". Glasgow City Centre. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-23. สืบค้นเมื่อ 20 June 2012.
  8. The Scottish Adjacent Waters Boundaries Order. London: The Stationery Office Limited. 1999. ISBN 0-11-059052-X. สืบค้นเมื่อ 20 September 2007.
  9. "Our City". Aberdeen City Council. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 September 2010. สืบค้นเมื่อ 1 December 2009. Aberdeen's buoyant modern economy – is fuelled by the oil industry, earning the city its epithet as 'Oil Capital of Europe'
  10. "ข้อมูลประเทศสกอตแลนด์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-16. สืบค้นเมื่อ 2007-10-02.
  11. Collier, J. G. (2001) Conflict of Laws (Third edition)(pdf) Cambridge University Press. "For the purposes of the English conflict of laws, every country in the world which is not part of England and Wales is a foreign country and its foreign laws. This means that not only totally foreign independent countries such as France or Russia ... are foreign countries but also British Colonies such as the Falkland Islands. Moreover, the other parts of the United Kingdom – Scotland and Northern Ireland – are foreign countries for present purposes, as are the other British Islands, the Isle of Man, Jersey and Guernsey."
  12. Devine, T. M. (1999), The Scottish Nation 1700–2000, P.288–289, ISBN 0-14-023004-1 "created a new and powerful local state run by the Scottish bourgeoisie and reflecting their political and religious values. It was this local state, rather than a distant and usually indifferent Westminster authority, that in effect routinely governed Scotland"
  13. "Gaelic Language". Outer Hebrides (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  14. "Gaelic in modern Scotland". Open Learning (ภาษาอังกฤษ).
  15. "Scotland: Independence Referendum Date Set". BSkyB. 21 March 2013. สืบค้นเมื่อ 4 May 2013.
  16. Gardham, Magnus (2 May 2011). "Holyrood election 2011: Alex Salmond: Referendum on Scottish independence by 2015". Daily Record. Scotland. สืบค้นเมื่อ 14 October 2011.
  17. "Scottish MEPs". Europarl.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 May 2014. สืบค้นเมื่อ 26 May 2014.
  18. "Scotland / Alba". British-Irish Council. สืบค้นเมื่อ 4 May 2013.
  19. "A Beginners Guide to UK Geography (2023)". geoportal.statistics.gov.uk (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  20. The History Of Ireland. สืบค้นเมื่อ 17 September 2014.
  21. Ayto, John; Crofton, Ian. Brewer's Britain & Ireland: The History, Culture, Folklore and Etymology of 7500 Places in These Islands. WN. ISBN 0-304-35385-X.
  22. Keay, John; Keay, Julia (2001). Collins Encyclopedia of Scotland (2nd ed.). Harper Collins. p. 1101.
  23. McSherry, Mark. "Edinburgh 4th in Europe in new Financial Centres index – Scottish Financial Review". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 January 2021. สืบค้นเมื่อ 4 February 2021.
  24. "Scotland retains status as the UK's second largest international financial hub - Scottish Business News". scottishbusinessnews.net (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2023-09-05.
  25. "GFCI 19 The Overall Rankings". web.archive.org. 2016-04-08.
  26. "Scotland's national investment bank launches". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2020-11-23. สืบค้นเมื่อ 2024-10-27.
  27. "GDP in nominal terms". www.gov.scot (ภาษาอังกฤษ). 2023-11-01.
  28. "International trade in UK nations, regions and cities - Office for National Statistics". www.ons.gov.uk.
  29. "Scotch Whisky Association - Scotch Whisky Exports Hit Record Level". web.archive.org. 2014-05-31.
  30. "Scotch whisky exports remain flat". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2014-04-11. สืบค้นเมื่อ 2024-10-27.
  31. "Scotch Whisky Association - Scotch Whisky Briefing 2014". web.archive.org. 2014-05-31.
  32. "Profile: Scotland" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2012-10-17. สืบค้นเมื่อ 2024-10-27.
  33. "Scottish Goods and Services | Scotland.org | Scotland.org". Scotland (ภาษาอังกฤษ).
  34. "Financial and Business Services". www.gov.scot (ภาษาอังกฤษ).
  35. "statistics.gov.scot : http://statistics.gov.scot/data/earnings/year/2021/S92000003/gender/all/working-pattern/all-patterns/population-group/workplace-based/pounds-gbp/mean". statistics.gov.scot. {{cite web}}: แหล่งข้อมูลอื่นใน |title= (help)
  36. "Annual Housing Statistics, 2020-21". www.gov.scot (ภาษาอังกฤษ).
  37. "UK House Price Index Scotland: August 2022". GOV.UK (ภาษาอังกฤษ).
  38. "One in 10 Scots living in 'very deep poverty'" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2023-10-02. สืบค้นเมื่อ 2024-10-27.
  39. "Airports & Flights in Scotland". VisitScotland (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  40. Bell, Ryan. "Destinations from Inverness Airport". Highlands and Islands Airports Limited (ภาษาอังกฤษ).
  41. "Data and analysis | Civil Aviation Authority". www.caa.co.uk.
  42. "Request Rejected". www.gov.im.
  43. "125". www.spt.co.uk.
  44. "Ferries from Northern Ireland to Scotland | Compare Tickets | Direct Ferries". www.directferries.co.uk (ภาษาอังกฤษ).
  45. "Quarterly energy statistics bulletins: March 2017 to June 2022". www.gov.scot (ภาษาอังกฤษ). 2022-06-30.
  46. "Quarterly energy statistics bulletins: March 2017 to June 2022". www.gov.scot (ภาษาอังกฤษ). 2022-06-30.
  47. "Scottish Energy Statistics Hub". scotland.shinyapps.io.
  48. "Chapter 3. Scotland's Route To 2050: Targets, Priorities And Actions". www.gov.scot (ภาษาอังกฤษ).
  49. "Record renewable energy output". www.gov.scot (ภาษาอังกฤษ).
  50. Cruickshank, Robert (1955-04-01). "Sir Alexander Fleming, F.R.S." Nature. 175: 663. doi:10.1038/175663a0. ISSN 0028-0836.
  51. "Sir Alexander Fleming - Biography". web.archive.org. 2011-01-30.
  52. "The Falkirk Wheel Forth & Clyde". Scottish Canals (ภาษาอังกฤษ).
  53. "More than 3,000 jobs created as space sector grows across the UK". GOV.UK (ภาษาอังกฤษ).
  54. "Boldly going towards the new age of space". The Herald (ภาษาอังกฤษ). 2021-02-20.
  55. "Space sector". www.gov.scot (ภาษาอังกฤษ).
  56. Carrell, Severin; Morris, Steven; Sample, Ian (2018-07-16). "Rocket men: locals divided over plans for UK's first spaceport". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-10-27.
  57. "Scotland's Population at its Highest Ever". National Records of Scotland. 30 April 2015. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
  58. Jonathan, McMullan (28 June 2018). "Population estimates for UK, England and Wales, Scotland and Northern Ireland". Ons.gov.uk. Office for National Statistics.
  59. "2011 Census population data for localities in Scotland". Scotlandscensus.gov.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-28. สืบค้นเมื่อ 10 July 2014.
  60. "Scotland's Census 2022 - Ethnic group, national identity, language and religion". Scotland's Census (ภาษาอังกฤษ).
  61. L. Alcock, Kings and Warriors, Craftsmen and Priests in Northern Britain AD 550–850 (Edinburgh: Society of Antiquaries of Scotland), ISBN 0-903903-24-5, p. 63.
  62. "Church of Scotland 'struggling to stay alive' - The Scotsman". web.archive.org. 2015-10-05.
  63. "These are the 10 songs tipped to top Spotify Wrapped for 2023". Bracknell News (ภาษาอังกฤษ). 2023-10-25.
  64. R. T. Lambdin and L. C. Lambdin, Encyclopedia of Medieval Literature (London: Greenwood, 2000), ISBN 0-313-30054-2, p. 508.
  65. I. Brown, T. Owen Clancy, M. Pittock, S. Manning, eds, The Edinburgh History of Scottish Literature: From Columba to the Union, until 1707 (Edinburgh: Edinburgh University Press, 2007), ISBN 0-7486-1615-2, p. 94.
  66. J. Wormald, Court, Kirk, and Community: Scotland, 1470–1625 (Edinburgh: Edinburgh University Press, 1991), ISBN 0-7486-0276-3, pp. 60–67.
  67. R. D. S. Jack, "Poetry under King James VI", in C. Cairns, ed., The History of Scottish Literature (Aberdeen University Press, 1988), vol. 1, ISBN 0-08-037728-9, pp. 137–138.
  68. Buchan, James (2003). Crowded with genius : the Scottish enlightenment : Edinburgh's moment of the mind. Internet Archive. New York : HarperCollins Publishers. ISBN 978-0-06-055888-8.
  69. L. McIlvanney (Spring 2005). "Hugh Blair, Robert Burns, and the Invention of Scottish Literature". Eighteenth-Century Life. 29 (2): 25–46. doi:10.1215/00982601-29-2-25. S2CID 144358210.
  70. "Scotland: OVERVIEW: The Scottish 'Renaissance' and beyond". web.archive.org. 2011-09-30.
  71. Soccer in South Asia: Empire, Nation, Diaspora by James Mills, Paul Dimeo: Page 18 – Oldest Football Association is England's FA, then Scotland and third oldest is the Indian FA.
  72. "FIFA.com The Official web site of the Fédération Internationale de Football Association". web.archive.org. 2006-08-10.
  73. "PGATOUR.COM - Scotland is the home of golf and some amazing golf travel values". web.archive.org. 2008-08-28.
  74. "1574 St Andrews - The Student Golfer - Scottish Golf History". www.scottishgolfhistory.org.
  75. Cochrane, Alistair (ed) Science and Golf IV: proceedings of the World Scientific Congress of Golf. Page 849. Routledge.
  76. UEFA.com. "The official website for European football". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  77. "Scottish Cup History | Scottish Cup | Scottish FA". www.scottishfa.co.uk.
  78. Moore, Kevin (2019). "FIFA does not make the rules, and never has". What you think you know about football is wrong. Bloomsbury. ISBN 9781472955678.
  79. "Edinburgh's Pantry: Tatties, neeps, oranges and lemons". National Trust for Scotland (ภาษาอังกฤษ).
  80. "The auld alliance and it's influence on Scots cuisine". web.archive.org. 2015-09-24.

บรรณานุกรม

[แก้]
  • Devine, T. M. [1999] (2000). The Scottish Nation 1700–2000 (New Ed. edition). London:Penguin. ISBN 0-14-023004-1
  • Donnachie, Ian and George Hewitt. Dictionary of Scottish History. (2001). 384 pp.
  • Keay, John; Keay, Julia (2001). Collins Encyclopedia of Scotland (2nd ed.). Harper Collins. p. 1101.
  • Koch, J. T. Celtic Culture: a Historical Encyclopedia (ABC-CLIO, 2006), ISBN 1-85109-440-7, 999pp
  • Tabraham, Chris, and Colin Baxter. The Illustrated History of Scotland (2004) excerpt and text search
  • Trevor-Roper, Hugh, The Invention of Scotland: Myth and History, Yale, 2008, ISBN 0-300-13686-2
  • Watson, Fiona, Scotland; From Prehistory to the Present. Tempus, 2003. 286 pp.
  • Wilson, Neil; Symington, Andy (2013). Discover Scotland. Lonely Planet. ISBN 9781742205724.
  • Wormald, Jenny, The New History of Scotland (2005) excerpt and text search

ตำราข้อมูลเฉพาะเรื่อง

[แก้]
  • Brown, Dauvit (1999) Anglo-French acculturation and the Irish element in Scottish Identity in Smith, Brendan (ed.), Insular Responses to Medieval European Change, Cambridge University Press, pp. 135–53
  • Brown, Michael (2004) The Wars of Scotland, 1214–1371, Edinburgh University Press., pp. 157–254
  • Dumville, David N. (2001). "St Cathróe of Metz and the Hagiography of Exoticism". Irish Hagiography: Saints and Scholars. Dublin: Four Courts Press. pp. 172–176. ISBN 978-1-85182-486-1.
  • Flom, George Tobias. Scandinavian influence on Southern Lowland Scotch. A Contribution to the Study of the Linguistic Relations of English and Scandinavian (Columbia University Press, New York. 1900)
  • Herbert, Maire (2000). "Rí Érenn, Rí Alban, kingship and identity in the ninth and tenth centuries". ใน Simon Taylor (บ.ก.). Kings, Clerics and Chronicles in Scotland, 500–1297. Dublin: Four Courts Press. pp. 63–72. ISBN 1-85182-516-9.
  • MacLeod, Wilson (2004) Divided Gaels: Gaelic Cultural Identities in Scotland and Ireland: c.1200–1650. Oxford University Press.
  • Pope, Robert (ed.), Religion and National Identity: Wales and Scotland, c.1700–2000 (University of Wales Press, 2001)
  • Sharp, L. W. The Expansion of the English Language in Scotland, (Cambridge University PhD thesis, 1927), pp. 102–325.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]