ผู้ใช้:Adrich/ทดลองเขียน12

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กองทัพบกพม่า
တပ်မတော် (ကြည်း)   (พม่า)
แปลว่า กองทัพ (กองทัพบก)
ตราสัญลักษณ์กองทัพพม่า[a][1]
ประจำการพ.ศ. 2488; 79 ปีที่แล้ว (2488)
ประเทศ พม่า (ที่รู้จักในชื่อ เมียนมาร์)
รูปแบบกองทัพภาคพื้นดิน
กำลังรบทหารประจำการ 325,000 นาย[2]
กำลังสำรอง:
  • กองกำลังป้องกันชายแดน, BGF (23 กองพัน)
  • กลุ่มกองกำลังติดอาวุธประชาชน, PMG (46 กลุ่ม),[3]
  • กองทัพน้อยฝึกอบรมมหาวิทยาลัย, UTC (5 กองทัพน้อย)[4]
ขึ้นกับ พม่า
สมญาTatmadaw Kyi
คำขวัญ
  • ရဲသော်မသေ၊ သေသော်ငရဲမလား။
  • ရဲရဲတက်၊ ရဲရဲတိုက်၊ ရဲရဲချေမှုန်း။
สีหน่วย
  •   สีเขียวมะกอก
  •   สีเขียวอ่อน
  •   สีแดง
วันสถาปนา27 มีนาคม พ.ศ. 2488
ปฏิบัติการสำคัญความขัดแย้งภายในพม่า
การทัพตามแนวชายแดนจีน-พม่า
ผู้บังคับบัญชา
Commander-in-Chief (Army) Vice-Senior General Soe Win
ผบ. สำคัญ
เครื่องหมายสังกัด
Flag of the Myanmar Army
Shoulder sleeve of Office of the Commander-in-Chief of Army
Shoulder sleeve infantry and light infantry
former Flag (1948-1994)

กองทัพบกพม่า (อังกฤษ: Myanmar Army พม่า: တပ်မတော် (ကြည်း), ออกเสียง: [taʔmədɔ̀ tɕí]) เป็นเหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพพม่า (ตะมะดอ) (เมียนมาร์) รับผิดชอบปฏิบัติการทางทหารบนบก กองทัพบกพม่ายังคงเป็นกองกำลังประจำการที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากกองทัพประชาชนเวียดนาม[5] ซึ่งกองทัพบกพม่ามีการปะทะกับกลุ่มก่อความไม่สงบทางชาติพันธุ์และการเมืองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491

กองกำลังดังกล่าวนำโดยผู้บัญชาการทหารบกพม่า ปัจจุบันเป็นคือรองพลเอกอาวุโส โซวิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดพม่า พร้อมด้วย พลเอกอาวุโส มี่นอองไลง์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดพม่า ตำแหน่งสูงสุดของกองทัพบกพม่าคือพลเอกอาวุโส เทียบเท่ากับจอมพลในกองทัพบกตะวันตก และปัจจุบันดำรงตำแหน่งโดย มี่นอองไลง์ หลังจากเลื่อนจากตำแหน่งรองพลเอกอาวุโส

ในปี พ.ศ. 2554 หลังจากการเปลี่ยนจากรัฐบาลทหารมาเป็นรัฐบาลรัฐสภาพลเรือน กองทัพพม่าได้บังคับใช้ร่างกฎหมายทหารกับพลเมืองทุกคน โดยผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ถึง 35 ปี และผู้หญิงทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ถึง 27 ปี สามารถเกณฑ์เข้ารับราชการทหารได้ 2 ปีในช่วงภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ ส่วนอายุสำหรับทหารอาชีพคือไม่เกิน 45 ปี สำหรับผู้ชาย และ 35 ปี สำหรับผู้หญิง โดยประจำการ 3 ปี ในการรับราชการทั้งในระดับชั้นสัญญาบัตรและชั้นประทวน

รัฐกิจจานุเบกษา รายงานว่างบประมาณปี 2554 เป็นงบประมาณทางการทหาร 1.8 ล้านล้านจั๊ต (ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือร้อยละ 23.6 ของงบประมาณแผ่นดิน[6]

ประวัติโดยย่อ[แก้]

Burmese troops surveying the Burma–China border, circa April 1954, on the lookout for Chinese Nationalist troops who fled to Burma following their defeat in the Chinese Civil War.

การปกครองของสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น[แก้]

ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 ในช่วงที่สหราชอาณาจักรปกครอง องค์กรหรือพรรคการเมืองของพม่าจำนวนหนึ่งได้ก่อตั้งพันธมิตรชื่อกลุ่ม Htwet-Yet (ปลดปล่อย) ของพม่า หนึ่งในนั้นคือสมาคมเราชาวพม่า (Dobama Asiayone) เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่เป็นคอมมิวนิสต์ พวกเขาจึงต้องการความช่วยเหลือจากคอมมิวนิสต์จีน แต่เมื่อ ทขิ่น อองซาน และคู่หูแอบไปจีนเพื่อขอความช่วยเหลือ พวกเขาพบเพียงนายพลญี่ปุ่นและได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกองทัพญี่ปุ่น ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1940 อองซานและผู้เข้าร่วมอีก 29 คนแอบไปฝึกทหารภายใต้กองทัพญี่ปุ่น และคน 30 คนเหล่านี้ ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ "30 ทหาร" ในประวัติศาสตร์พม่า และถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของกองทัพบกพม่าสมัยใหม่

เมื่อญี่ปุ่นพร้อมบุกพม่า กลุ่ม 30 ทหารจึงเกณฑ์ชาวพม่าในประเทศไทยและก่อตั้งกองทัพเพื่อเอกราชพม่า (Burma Independence Army: BIA) ซึ่งเป็นระยะแรกของกองทัพบกพม่า ในปี พ.ศ. 2485 กองทัพเพื่อเอกราชพม่าได้ช่วยเหลือกองทัพญี่ปุ่นในการพิชิตพม่าซึ่งการรบครั้งนั้นประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นกองทัพญี่ปุ่นได้เปลี่ยนกองทัพเพื่อเอกราชพม่าเป็นกองทัพป้องกันพม่า (Burmese Defence Army: BDA) ซึ่งเป็นระยะที่ 2 ต่อมาในปี พ.ศ. 2486 ญี่ปุ่นได้ประกาศให้พม่าเป็นประเทศเอกราชอย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลพม่าชุดใหม่ไม่ได้ครอบครองการปกครองประเทศโดยพฤตินัย

ขณะช่วยเหลือกองทัพสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2488 กองทัพบกพม่าได้เข้าสู่ระยะที่ 3 ในฐานะกองกำลังรักชาติพม่า (Patriotic Burmese Force: PBF) และประเทศก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรอีกครั้ง ต่อมาโครงสร้างของกองทัพตกอยู่ภายใต้อำนาจของสหราชอาณาจักร ด้วยเหตุนี้ สำหรับผู้ที่ยินดีรับใช้ชาติแต่ไม่ได้อยู่ในกองทัพนั้น นายพลอองซานจึงได้จัดตั้งกองกำลังสหายประชาชน (People's Comrades force) ขึ้น

ยุคหลังได้รับเอกราช[แก้]

ช่วงที่พม่าได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2491 กองทัพพม่ายังคงอ่อนแอ เล็ก และมีความแตกแยก รอยแตกปรากฏขึ้นตามภูมิหลังทางชาติพันธุ์ ความเกี่ยวข้องทางการเมือง ที่มาขององค์กร และบริการต่าง ๆ ความสามัคคีและประสิทธิภาพการดำเนินงานของกองทัพอ่อนแอลงอีกจากการแทรกแซงของพลเรือนและนักการเมืองในกิจการทหาร และช่องว่างระหว่างนายทหารเสนาธิการและผู้บังคับบัญชาภาคสนาม

Myanmar Army Honour Guards saluting the arrival of the Thai delegation in October 2010

ตามข้อตกลงที่บรรลุในการประชุมแคนดี้ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2488 กองทัพพม่าได้รับการจัดระเบียบใหม่โดยผสมผสานกองทัพบริติชพม่าและกองทัพรักชาติพม่า (PBF) เข้าด้วยกัน นายทหารในแต่ละเหล่าจะมาจากอดีตนายทหารกองทัพรักชาติพม่า และนายทหารจากกองทัพบริติชพม่า และกองทัพขององค์การกำลังสำรองพม่า (Army of Burma Reserve Organisation: ARBO) รัฐบาลอาณานิคมในเวลานั้นยังได้ตัดสินใจที่จะจัดตั้งสิ่งที่เรียกว่า "กองพันชนชาติ" ตามเชื้อชาติ ในช่วงเวลาที่ได้รับเอกราชมีกองพันปืนเล็กยาวทั้งหมด 15 กองพัน และสี่กองพันประกอบด้วยอดีตสมาชิกของกองทัพรักชาติพม่า (PBF) ตำแหน่งที่มีอำนาจทั้งหมดภายในสำนักงานสงครามและการบังคับบัญชาได้รับการดูแลจากนายทหารที่ไม่ใช่กองทัพรักชาติพม่า (PBF) บริการทั้งหมดรวมทั้งวิศวกรทหาร การจัดหาและขนส่ง อาวุธยุทโธปกรณ์และบริการทางการแพทย์ กองทัพเรือและกองทัพอากาศ ล้วนได้รับคำสั่งจากอดีตนายทหารจากกองทัพขององค์การกำลังสำรองพม่า (ABRO) และกองทัพบริเตนพม่า

การประกอบกำลังของกองทัพพม่าในปี พ.ศ. 2491
กองพัน การประกอบกำลัง
ปืนเล็กยาวพม่าที่ 1 ชาวพม่า (สารวัตรทหารพม่า)
ปืนเล็กยาวพม่าที่ 2 ชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ + ชนชาติอื่นที่ไม่ใช่ชาวพม่า (ได้รับคำสั่งจากพันโทซอ ชิต คิน [นายทหารกะเหรี่ยงจากกองทัพบริติชพม่า])
ปืนเล็กยาวพม่าที่ 3 ชาวพม่า / อดีตสมาชิกของกองกำลังพม่ารักชาติ (Patriotic Burmese Force)
ปืนเล็กยาวพม่าที่ 4 ชาวพม่า / อดีตสมาชิกของกองกำลังพม่ารักชาติ (Patriotic Burmese Force) – ได้รับคำสั่งจากพันโทเนวี่นในขณะนั้น
ปืนเล็กยาวพม่าที่ 5 ชาวพม่า / อดีตสมาชิกของกองกำลังพม่ารักชาติ (Patriotic Burmese Force)
ปืนเล็กยาวพม่าที่ 6 ชาวพม่า / อดีตสมาชิกของกองกำลังพม่ารักชาติ (Patriotic Burmese Force)
ปืนเล็กยาวกะเหรี่ยงที่ 1 ชาวกะเหรี่ยง / อดีตสมาชิกของกองทัพบริติชพม่าและ ABRO
ปืนเล็กยาวกะเหรี่ยงที่ 2 ชาวกะเหรี่ยง / อดีตสมาชิกของกองทัพบริติชพม่าและ ABRO
ปืนเล็กยาวกะเหรี่ยงที่ 3 ชาวกะเหรี่ยง / อดีตสมาชิกของกองทัพบริติชพม่าและ ABRO
ปืนเล็กยาวกะชีนที่ 1 ชาวกะชีน / อดีตสมาชิกของกองทัพบริติชพม่าและ ABRO
ปืนเล็กยาวกะชีนที่ 2 ชาวกะชีน / อดีตสมาชิกของกองทัพบริติชพม่าและ ABRO
ปืนเล็กยาวชีนที่ 1 ชาวชีน / อดีตสมาชิกของกองทัพบริติชพม่าและ ABRO
ปืนเล็กยาวชีนที่ 2 ชาวชีน / อดีตสมาชิกของกองทัพบริติชพม่าและ ABRO
กรมทหารพม่าที่ 4 กูรข่า
กองพันเทือกเขาชีน ชาวชีน

รูปขบวนและโครงสร้าง[แก้]

กองทัพบก ถือเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในพม่ามาโดยตลอด และได้รับส่วนแบ่งงบประมาณด้านการป้องกันประเทศสูงมาโดยตลอด[7][8] กองกำลังนี้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ของพม่าต่อกลุ่มก่อความไม่สงบ 40 กลุ่ม หรือมากกว่านั้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 และได้รับชื่อเสียงว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งและมีไหวพริบสูง ในปี พ.ศ. 2524 ได้รับการขนานนามว่าเป็น "กองทัพบกที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกเหนือจากเวียดนาม"[9] คำตัดสินดังกล่าวสะท้อนให้เห็นในปี พ.ศ. 2526 เมื่อผู้สังเกตการณ์อีกคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า "โดยทั่วไปแล้ว ทหารราบของพม่าถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในทหารที่แข็งแกร่งที่สุดและมีประสบการณ์การรบมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"[10] ในปี พ.ศ. 2528 นักข่าวต่างประเทศผู้มีประสบการณ์ได้มีโอกาสเห็นทหารพม่าต่อสู้กับกลุ่มก่อความไม่สงบชาติพันธุ์และกองทัพค้ายาเสพติด "ประทับใจอย่างมากกับทักษะการต่อสู้ ความอดทน และวินัยของพวกเขา"[11] ผู้สังเกตการณ์คนอื่น ๆ ในช่วงเวลานั้นระบุว่ากองทัพบกพม่าเป็น "กองกำลังทหารราบเบาที่แข็งแกร่งที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดที่ปฏิบัติการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"[12] แม้แต่คนไทยซึ่งไม่รู้จักกองทัพบกพม่ามากนักยังกล่าวถึงกองทัพบกพม่าว่า "เชี่ยวชาญด้านศิลปะการสงครามในป่า"[13]

การจัดหน่วย[แก้]

กองทัพบกพม่ามีกำลังประจำการประมาณ 370,000 นายจากทุกยศ ในปี พ.ศ. 2543 มีกองพันทหารราบ 337 กองพัน ซึ่งรวมถึงกองพันทหารราบเบา 266 กองพัน ณ พ.ศ. 2543 แม้ว่าโครงสร้างหน่วยของกองทัพบกพม่าจะอิงตามระบบกรมทหาร แต่การดำเนินกลยุทธ์ขั้นพื้นฐานและหน่วยรบก็อยู่ที่กองพันที่รู้จักกันในชื่อ ตาดยิน (တပ်ရင်း) ในภาษาพม่า ประกอบด้วยกองบัญชาการ กองร้อยปืนเล็กยาวจำนวน 5 กองร้อย เรียกว่า ตาดเขว (တပ်ခွဲ) พร้อมด้วยหมวดปืนเล็กยาว 3 หมวด เรียกว่า ตาดซู (တပ်စု) ในแต่ละกองร้อยบริหาร (administrative company) มีหน่วยการแพทย์, การขนส่ง, การส่งกำลังบำรุง และการสื่อสาร ในกองร้อยอาวุธหนักประกอบไปด้วย ปืนครก, ปืนกล และหมวดปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง แต่ละกองพันอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พันโท Du Ti Ya Bo Hmu Gyi หรือ Du Bo Hmu Gyi โดยมี พันตรี (bo hmu) เป็นผู้บังคับบัญชาเป็นอันดับสอง มีกำลังนายทหารทั้งหมด 27 นาย และระดับอื่น ๆ อีก 723 นาย กองพันทหารราบเบาในกองทัพบกพม่ามีกำลังการจัดตั้งที่ต่ำกว่ามากประมาณ 500 นาย ทำให้ผู้ตรวจการณ์มักระบุหน่วยเหล่านี้ผิดว่าเป็นกองพันทหารราบที่มีกำลังรบที่ต่ำกว่า

ด้วยจำนวนบุคลากร อาวุธ และความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กองทัพบกพม่า หรือ ทัดมาดอว์ จี (Tatmadaw Kyee, တပ်မတော် (ကြည်း)) ในปัจจุบันจึงเป็นกองกำลังป้องกันประเทศตามแบบที่น่าเกรงขามสำหรับสหภาพพม่า ทหารที่มีความพร้อมรบมีจำนวนสูงขึ้นอย่างน้อยสองเท่านับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 โครงสร้างพื้นฐานด้านลอจิสติกส์และการสนับสนุนการยิงปืนใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ได้มาใหม่นี้ถูกนำมาใช้งานอย่างเปิดเผยในปฏิบัติการช่วงฤดูแล้งของกองทัพพม่าต่อฐานที่มั่นของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ในเมืองมาเนอปลอว์และคอมูรา ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ในการสู้รบเหล่านี้มาจากการโจมตีอย่างของกองทัพบกพม่า ปัจจุบัน กองทัพพม่ามีขนาดใหญ่กว่าก่อนปี พ.ศ. 2531 อย่างมาก มีความคล่องตัวมากขึ้น และมีการปรับปรุงยานเกราะ ปืนใหญ่ และการป้องกันภัยทางอากาศ ระบบ C3I (การบังคับบัญชา, ควบคุม, สื่อสาร, คอมพิวเตอร์ และข่าวกรอง) ได้รับการขยายและปรับปรุง โดยกองทัพบกพม่ากำลังพัฒนารูปแบบที่ใหญ่ขึ้นและบูรณาการมากขึ้น และพึ่งพาตนเองได้ เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติการประสานกันด้วยอาวุธต่อสู้ต่าง ๆ กองทัพบกอาจจะมีอาวุธที่ค่อนข้างเรียบง่ายเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีขนาดกองทัพใหญ่กว่า แต่กองทัพบกพม่านั้นอยู่ในจุดที่ดีกว่าในการยับยั้งการรุกรานจากภายนอกและตอบสนองต่อภัยคุกคามต่าง ๆ หากเกิดขึ้น แม้ว่าทหารเด็กอาจทำงานได้ไม่ดีนักในการต่อสู้กับศัตรู[14]

การขยายตัว[แก้]

กองพลแรกที่จะจัดตั้งขึ้นหลังจากการรัฐประหาร พ.ศ. 2531 คือ กองพลทหารราบเบาที่ 11 (Light Infantry Division: LID) ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2531 โดยมี พันเอก วิน มี้น เป็นผู้บัญชาการ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2533 ได้มีการจัดตั้ง กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (Regional Military Command: RMC) ใหม่ขึ้นในเมืองโมนยวา โดยมี พลจัตวา จ่อ มิน เป็นผู้บัญชาการ และตั้งชื่อองบัญชาการภูมิภาคทหารภาคตะวันตกเฉียงเหนือ (กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงเหนือ) หนึ่งปีต่อมา กองพลทหารราบเบาที่ 101 ได้ก่อตั้งขึ้นที่ปะโคะกู โดยมี พันเอก ซอ ตุน เป็นผู้บัญชาการ มีการจัดตั้ง หน่วยบัญชาการยุทธการภาค (Regional Operations Commands: ROC) จำนวน 2 หน่วยขึ้นในเมืองมะริดและลอยกอ เพื่อปรับปรุงการบังคับบัญชาและการควบคุม พวกเขาได้รับคำสั่งจาก พลจัตวา โซ ติน และ พลจัตวา หม่องจี ตามลำดับ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2538 กองทัพพม่ามีการขยายตัวอย่างมาก โดยได้จัดตั้ง หน่วยบัญชาการยุทธการทหาร (Military Operation Command: MOC) ขึ้น 11 หน่วยในเดือนนั้น หน่วยบัญชาการยุทธการทหาร (MOC) มีความคล้ายคลึงกับกองพลทหารราบยานเกราะ (Mechanized infantry division) ในโลกตะวันตก โดยแต่ละหน่วย มีกองพันทหารราบประจำการจำนวน 10 กองพัน (Chay Hlyin Tatyin) โดยมีกองบัญชาการและหน่วยสนับสนุนขึ้นตรงและปืนใหญ่สนามในแต่ละหน่วย ในปี พ.ศ. 2539 มีการก่อตั้งกองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) ขึ้นใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ กองบัญชาการภูมิภาคทหารภาคชายฝั่ง (กองทัพน้อยชายฝั่ง) ในเมืองมะริด โดยมี พลจัตวา ซิท เมือง เป็นผู้บังคับบัญชา และกองบัญชาการภูมิภาคทหารภาคสามเหลี่ยม (กองทัพน้อยภาคสามเหลี่ยม) ในเมืองเชียงตุง โดยมีนายจัตวา เต้นเซน เป็นผู้บัญชาการ นอกจากนี้หน่วยบัญชาการยุทธการภาค (ROC) ใหม่ 3 แห่งถูกสร้างขึ้น ในกะเล่, บะมอ, และเมืองสาด ปลายปี พ.ศ. 2541 มีการจัดตั้งหน่วยบัญชาการยุทธการทหาร (MOC) ใหม่ 2 แห่ง ที่เมืองบกเปี้ยนและเมืองสาด[15]

การขยายตัวที่สำคัญที่สุด หลังจากการปรับปรุงระบบทหารราบในกองทัพบกร่วมกับยานเกราะและปืนใหญ่ เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2533 กองทัพพม่าได้จัดหารถถังหลัก ไทป์ 69II จำนวน 18 คัน และรถถังเบาสะเทินน้ำสะเทินบก ไทป์ 63 จำนวน 48 คันจากประเทศจีน มีการจัดซื้อเพิ่มเติมรวมทั้งรถลำเลียงพลหุ้มเกราะ ไทป์ 85 และ ไทป์ 92 หลายร้อยคัน เมื่อต้นปี พ.ศ. 2541 กองทัพพม่ามีรถถังหลัก ไทป์ 69II ประมาณ 100 คัน รถถังเบาสะเทินน้ำสะเทินบก ไทป์ 63 จำนวนใกล้เคียงกัน และรถถัง T-59D หลายคัน รถถังและรถหุ้มเกราะเหล่านี้ถูกกระจายไปตามกองพันทหารราบยานเกราะ 5 กองพัน และกองพันรถถัง 5 กองพัน และได้จัดตั้งกองพลยานเกราะชุดแรกของกองทัพพม่าขึ้น เป็นหน่วยบัญชาการยุทธการยานเกราะที่ 71 (71st Armoured Operations Command) โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองปยอ-บแว

กองยุทธการพิเศษ (BSO)[แก้]

กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) in 2010

กองยุทธการพิเศษ[16][17] (Bureau of Special Operation: BSO, ကာကွယ်ရေးဌာန စစ်ဆင်ရေး အထူးအဖွဲ့) in the Myanmar Army are high-level field units equivalent to field armies in Western terms and consist of two or more กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) commanded by a lieutenant general and six staff officers.

The units were introduced under the General Staff Office on 28 April 1978 and 1 June 1979. In early 1978, the Chairman of BSPP, General Ne Win, visited the กองบัญชาการกองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ in Lashio to receive a briefing about Burmese Communist Party (BCP) insurgents and their military operations. He was accompanied by Brigadier General Tun Ye from the Ministry of Defence. Brigadier General Tun Ye was the regional commander of the กองทัพน้อยภาคตะวันออก for three years and before that he served in กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ areas as commander of Strategic Operation Command (SOC) and commander of Light Infantry Divisions for four years. As BCP military operations were spread across three กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) areas (Northern, Eastern, and Northeastern), Brigadier General Tun Ye was the most informed commander about the BCP in the Myanmar Army at the time. At the briefing, General Ne Win was impressed by Brigadier General Tun Ye and realised that co-ordination among various กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) was necessary; thus, decided to form a bureau at the Ministry of Defence.

Originally, the bureau was for "special operations", wherever they were, that needed co-ordination among various กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC). Later, with the introduction of another bureau, there was a division of command areas. The BSO-1 was to oversee the operations under the กองทัพน้อยภาคเหนือ, กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, the กองทัพน้อยภาคตะวันออก, and the กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงเหนือ. BSO-2 was to oversee operations under the กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงใต้, กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้, กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้ and กองบัญชาการภาคกลาง.

Initially, the chief of the BSO had the rank of brigadier general. The rank was upgraded to major general on 23 April 1979. In 1990, it was further upgraded to lieutenant general. Between 1995 and 2002, Chief of Staff (Army) jointly held the position of Chief of BSO. However, in early 2002, two more BSO were added to the General Staff Office; therefore there were altogether four BSOs. The fifth BSO was established in 2005 and the sixth in 2007.

Currently there are six Bureaus of Special Operations in the Myanmar order of battle.[18]

กองยุทธการพิเศษ กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) ผู้บัญชาการกองยุทธการพิเศษ หมายเหตุ
กองยุทธการพิเศษที่ 1 กองทัพน้อยภาคกลาง (Central Command)
กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงเหนือ (Northwestern Command)
กองทัพน้อยภาคเหนือ (Northern Command)
พลโท Tay Zar Kyaw
กองยุทธการพิเศษที่ 2 กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Command)
กองทัพน้อยภาคตะวันออก (Eastern Command)
กองทัพน้อยภาคสามเหลี่ยม (Triangle Region Command)
กองทัพน้อยภาคตะวันออกกลาง (Eastern Central Command)
พลโท Aung Zaw Aye
กองยุทธการพิเศษที่ 3 กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้ (Southwestern Command)
กองทัพน้อยภาคใต้ (Southern Command)
กองทัพน้อยภาคตะวันตก (Western Command)
พลโท Phone Myat
กองยุทธการพิเศษที่ 4 กองทัพน้อยชายฝั่ง (Coastal Command)
กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงใต้ (Southeastern Command)
พลโท Aung Soe
กองยุทธการพิเศษที่ 5 กองทัพน้อยย่างกุ้ง (Yangon Command) พลโท Thet Pon
กองยุทธการพิเศษที่ 6 กองทัพน้อยภาคเนปยีดอ (Naypyidaw Command) พลโท Than Hlaing

กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC)[แก้]

For better command and communication, the Tatmadaw formed a กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (Regional Military Commands: RMC, တိုင်း စစ်ဌာနချုပ်) structure in 1958. Until 1961, there were only two regional commands, they were supported by 13 infantry brigades and an infantry division. In October 1961, new กองบัญชาการภูมิภาคทหาร were opened and leaving only two independent infantry brigades. In June 1963, the กองทัพน้อยภาคเนปยีดอ was temporarily formed in Yangon with the deputy commander and some staff officers drawn from Central Command. It was reorganised and renamed as กองบัญชาการภาคกลาง on 1 June 1965.[ต้องการอ้างอิง]

A total of 337 infantry and light infantry battalions organised in Tactical Operations Commands, 37 independent field artillery regiments supported by affiliated support units including armoured reconnaissance and tank battalions. RMCs are similar to corps formations in Western armies. The RMCs, commanded by major general, are managed through a framework of กองยุทธการพิเศษ (BSOs), which are equivalent to field army group in Western terms.[ต้องการอ้างอิง]

กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) ตรา รัฐและกองพล กองบัญชาการ กำลัง
กองทัพน้อยภาคเหนือ (Northern Command)

(မြောက်ပိုင်းတိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

Kachin State Myitkyina 32 × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Command)

(အရှေ့မြောက်ပိုင်းတိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

Northern Shan State Lashio 30 × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยภาคตะวันออก (Eastern Command)

(အရှေ့ပိုင်းတိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

Southern Shan State and Kayah State Taunggyi 42 × กองพันทหารราบ
ประกอบด้วย 16 × กองพันทหารราบเบา ภายใต้
หน่วยบัญชาการยุทธการภาค (ROC) ซึ่งประจำอยู่ที่ลอยกอ
กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงใต้ (Southeastern Command)

(အရှေ့တောင်တိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

Mon State and Kayin State Mawlamyine 40 × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยภาคใต้ (Southern Command)

(တောင်ပိုင်းတိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

Bago and Magwe Divisions Toungoo 27 × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยภาคตะวันตก (Western Command)

(အနောက်ပိုင်းတိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

Rakhine State and Chin State Ann 31 × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้ (Southwestern Command)

(အနောက်တောင်တိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

Ayeyarwady Division (Irrawaddy Division) Pathein (Bassein) 11 × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงเหนือ (Northwestern Command)

(အနောက်မြောက်တိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

Sagaing Division Monywa 25 × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยย่างกุ้ง (Yangon Command)

(ရန်ကုန်တိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

ภาคย่างกุ้ง Mayangone Township-Kone-Myint-Thar 11 × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยชายฝั่ง (Coastal Region Command)

(ကမ်းရိုးတန်းတိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

ภาคตะนาวศรี มะริด (Mergui) 43 × กองพันทหารราบ
รวมทั้งกองพันภายใต้ 2 หน่วยบัญชาการยุทธการทหาร (MOC) ซึ่งประจำอยู่ที่ทวาย
กองทัพน้อยภาคสามเหลี่ยม (Triangle Region Command)

(တြိဂံတိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

รัฐฉานตะวันออก Kyaingtong (Kengtung) 23 × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยภาคกลาง (Central Command)

(အလယ်ပိုင်းတိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

ภาคมัณฑะเลย์ Mandalay 31 × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยภาคเนปยีดอ (Naypyidaw Command)

(နေပြည်တော်တိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

เนปยีดอ Pyinmana ก่อตั้งปี 2549 –? × กองพันทหารราบ
กองทัพน้อยภาคตะวันออกกลาง (Eastern Central Command)

(အရှေ့အလယ်ပိုင်းတိုင်းစစ်ဌာနချုပ်)

รัฐฉานตอนกลาง Namsang ก่อตั้งปี 2554 – 7 × กองพันทหารราบ

ผู้บัญชาการภูมิภาคทหาร[แก้]

กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) ก่อตั้ง ผู้บัญชาการคนแรก คนปัจจุบัน หมายเหตุ
กองทัพน้อยภาคตะวันออก 1961 Brigadier General San Yu Brigadier General Ni Lin Aung Initially in 1961, San Yu was appointed as Commander of กองทัพน้อยภาคตะวันออก but was moved to NW Command and replaced with Col. Maung Shwe then.
กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงใต้ 1961 Brigadier General Sein Win Major General Ko Ko Maung In 1961 when SE Command was formed, Sein Win was transferred from former กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้ but was moved to กองบัญชาการภาคกลาง and replaced with Thaung Kyi then.
กองทัพน้อยภาคกลาง 1961 Colonel Thaung Kyi Major General Ko Ko Oo Original NW Command based at Mandalay was renamed กองบัญชาการภาคกลาง in March 1990 and original กองบัญชาการภาคกลาง was renamed กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้
กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงเหนือ 1961 Brigadier General Kyaw Min Major General Than Htike Southern part of original กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงเหนือ in Mandalay was renamed กองบัญชาการภาคกลาง in March 1990 and northern part of original NW Command was renamed NW Command in 1990.
กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้ 1961 Colonel Kyi Maung Major General Aung Aung Kyi Maung was sacked in 1963 and was imprisoned a few times. He became Deputy Chairman of NLD in the 1990s.
กองทัพน้อยย่างกุ้ง 1969 Colonel Thura Kyaw Htin Major General Nyunt Win Swe Formed as กองทัพน้อยภาคเนปยีดอ in 1963 with deputy commander and some staff officers from กองบัญชาการภาคกลาง. Reformed and renamed กองทัพน้อยย่างกุ้ง on 1 June 1969.
กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้ 1969 Colonel Hla Tun Major General Htin Latt Oo
กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1972 Colonel Aye Ko Brigadier General Naing Naing Oo
กองทัพน้อยภาคเหนือ 1947 Brigadier Ne Win Brigadier General Myat Thet Oo Original กองทัพน้อยภาคเหนือ was divided into กองทัพน้อยภาคตะวันออก and NW Command in 1961. Current กองทัพน้อยภาคเหนือ was formed in 1969 as a part of reorganisation and is formed northern part of previous NW Command
กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้ 1947 Brigadier Saw Kya Doe Brigadier General Htein Win Original กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้ in Mandalay was renamed กองบัญชาการภาคกลาง in March 1990
กองทัพน้อยภาคตะวันออก 1996 Brigadier General Thein Sein Brigadier General Myo Min Tun Thein Sein later became Prime Minister and elected as president in 2011
กองทัพน้อยชายฝั่ง 1996 Brigadier General Thiha Thura Thura Sit Maung Major General Saw Than Hlaing
กองทัพน้อยภาคเนปยีดอ 2005 Brigadier Wei Lwin Major General Zaw Hein
กองทัพน้อยภาคตะวันออกกลาง 2011 Brigadier Mya Tun Oo Brigadier General Hla Moe

หน่วยบัญชาการยุทธการภาค (ROC)[แก้]

หน่วยบัญชาการยุทธการภาค (Regional Operations Commands: ROC; ဒေသကွပ်ကဲမှု စစ်ဌာနချုပ်) ได้รับคำสั่งจากพลจัตวา คล้ายกับกองพลน้อยทหารราบในกองทัพตะวันตก แต่ละกองประกอบด้วยกองพันทหารราบ 4 กองพัน (Chay Hlyin Tatyin) กองบัญชาการและหน่วยสนับสนุนขึ้นตรง ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการยุทธการภาคเป็นตำแหน่งระหว่างผู้บังคับบัญชา LID/MOC และผู้บังคับบัญชาปฏิบัติการทางยุทธวิธี (TOC) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากองพันทหารราบสามกองพัน ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการยุทธการภาคมีอำนาจทางการเงิน การบริหาร และตุลาการ ในขณะที่ผู้บัญชาการกระทรวงศึกษาธิการและ LID ไม่มีอำนาจตุลาการ

are commanded by a brigadier general, are similar to infantry brigades in Western Armies. Each consists of 4 Infantry battalions (Chay Hlyin Tatyin), HQ and organic support units. Commander of ROC is a position between LID/MOC commander and tactical Operation Command (TOC) commander, who commands three infantry battalions. The ROC commander holds financial, administrative and judicial authority while the MOC and LID commanders do not have judicial authority.[8][19]

Regional Operation Command (ROC) กองบัญชาการ Notes
Loikaw Regional Operations Command Loikaw (လွိုင်ကော်) Kayah State
Laukkai Regional Operations Command Laukkai (လောက်ကိုင်), Shan State
Kalay Regional Operations Command Kalay (ကလေး), Sagaing Division
Sittwe Regional Operations Command Sittwe (စစ်တွေ), Rakhine State
Pyay Regional Operations Command Pyay (ပြည်), Bago Division
Tanaing Regional Operations Command Tanaing (တနိုင်း), Kachin State Formerly ROC Bhamo
Wanhseng Regional Operations Command Wanhseng, Shan State Formed in 2011[20]

หน่วยบัญชาการยุทธการทหาร (MOC)[แก้]

หน่วยบัญชาการยุทธการทหาร (Military Operations Commands: MOC) (စစ်ဆင်ရေးကွပ်ကဲမှုဌာနချုပ်), commanded by a brigadier-general are similar to Infantry Divisions in Western Armies. Each consists of 10 Mechanised Infantry battalions equipped with BTR-3 armoured personnel carriers, Headquarters and support units including field artillery batteries. These ten battalions are organised into three Tactical Operations Commands: one Mechanised Tactical Operations Command with BTR-3 armoured personnel carriers, and two Motorized Tactical Operations Command with EQ-2102 6x6 trucks.

MOC are equivalent to Light Infantry Divisions (LID) in the Myanmar Army order of battle as both command 10 infantry battalions through three TOC's (Tactical Operations Commands). However, unlike Light Infantry Divisions, MOC are subordinate to their respective กองบังคับการกองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC)[19] Members of MOC does not wear distinguished arm insignias and instead uses their respective RMC's arm insignias. For example, MOC-20 in Kawthaung wore the arm insignia of Coastal Region Military Command.

Military Operation Command (MOC) กองบัญชาการ Notes
1st Military Operations Command (MOC-1) Kyaukme, Shan State
2nd Military Operations Command (MOC-2) Mong Nawng, Shan State
3rd Military Operations Command (MOC-3) Mogaung, Kachin State
4th Military Operations Command (MOC-4) Hpugyi, ภาคย่างกุ้ง Designated Airborne Division
5th Military Operations Command (MOC-5) Taungup, Rakhine State
6th Military Operations Command (MOC-6) Pyinmana (ပျဉ်းမနား), Mandalay Region
7th Military Operations Command (MOC-7) Hpegon (ဖယ်ခုံ), Shan State
8th Military Operations Command (MOC-8) Dawei (ထားဝယ်), Tanintharyi Region
9th Military Operations Command (MOC-9) Kyauktaw (ကျောက်တော်), Rakhine State
10th Military Operations Command (MOC-10) Kyigon (ကျီကုန်း (ကလေးဝ)), ภาคซะไกง์
11th Military Operations Command (MOC-11)
12th Military Operations Command (MOC-12) Kawkareik (ကော့ကရိတ်), Kayin State
13th Military Operations Command (MOC-13) Bokpyin (ဘုတ်ပြင်း), Tanintharyi Region
14th Military Operations Command (MOC-14) Mong Hsat (မိုင်းဆတ်), Shan State
15th Military Operations Command (MOC-15) Buthidaung (ဘူးသီးတောင်), Rakhine State
16th Military Operations Command (MOC-16) Theinni (သိန်းနီ), Shan State
17th Military Operations Command (MOC-17) Mong Pan (မိုင်းပန်), Shan State
18th Military Operations Command (MOC-18) Mong Hpayak (မိုင်းပေါက်), Shan State
19th Military Operations Command (MOC-19) Ye (ရေး), Mon State
20th Military Operations Command (MOC-20) Kawthaung (ကော့သောင်း), Tanintharyi Region
21st Military Operations Command (MOC-21) Bhamo (ဗန်းမော်), Kachin State

กองพลทหารราบเบา (LID)[แก้]

กองพลทหารราบเบา (Light Infantry Division: LID, ခြေမြန်တပ်မ or တမခ), commanded by a brigadier general, each with 10 Light Infantry Battalions organised under 3 Tactical Operations Commands, commanded by a Colonel (3 battalions each and 1 reserve), 1 Field Artillery Battalion, 1 Armour Squadron and other support units.[8][19]

These divisions were first introduced to the Myanmar Army in 1966 as rapid reaction mobile forces for strike operations. 77th Light Infantry Division was formed on 6 June 1966, followed by 88th Light Infantry Division and 99th Light Infantry Division in the two following years. 77th LID was largely responsible for the defeat of the Communist forces of the CPB (Communist Party of Burma) based in the forested hills of the central Bago Mountains in the mid-1970s. Three more LIDs were raised in the latter half of the 1970s (the 66th, 55th and 44th) with their headquarters at Pyay, Aungban and Thaton. They were followed by another two LIDs in the period prior to the 1988 military coup (the 33rd LID with headquarters at Sagaing and the 22nd LID with headquarters at Hpa-An). 11th LID was formed in December 1988 with headquarters at Inndine, Bago Division and 101st LID was formed in 1991 with its headquarters at Pakokku.[8][19]

Each LID, commanded by Brigadier General (Bo hmu gyoke) level officers, consists of 10 light infantry battalions specially trained in counter-insurgency, jungle warfare, "search and destroy" operations against ethnic insurgents and narcotics-based armies. These battalions are organised under three Tactical Operations Commands (TOC; Nee byu har). Each TOC, commanded by a Colonel (Bo hmu gyi), is made up of three or more combat battalions, with command and support elements similar to that of brigades in Western armies. One infantry battalion is held in reserve. As of 2000, all LIDs have their own organic Field Artillery units. For example, 314th Field Artillery Battery is now attached to 44th LID. Some of the LID battalions have been given Parachute and Air Borne Operations training and two of the LIDs have been converted to mechanised infantry formation with divisional artillery, armoured reconnaissance and tank battalions[8]

LIDs are considered to be a strategic asset of the Myanmar Army, and after the 1990 reorganisation and restructuring of the Tatmadaw command structure, they are now directly answerable to Chief of Staff (Army).[8][19]

กองพลทหารราบเบา (LID) ตรา ปีก่อตั้ง กองบัญชาการ ผู้บัญชาการคนแรก คนปัจจุบัน หมายเหตุ
กองพลทหารราบเบาที่ 11
11th Light Infantry Division
11th Light Infantry Division
2531 Inndine Col. Win Myint เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2531
กองพลทหารราบเบาที่ 22
22nd Light Infantry Division
22nd Light Infantry Division
2530 พะอัน Col. Tin Hla เกี่ยวข้องกับการปราบปรามผู้ประท้วงที่ไม่มีอาวุธระหว่างการลุกฮือในระบอบประชาธิปไตย การก่อการกำเริบ 8888
กองพลทหารราบเบาที่ 33
33rd Light Infantry Division
33rd Light Infantry Division
2527 มัณฑะเลย์/ต่อมาไปที่ ซะไกง์ Col. Kyaw Ba เกี่ยวข้องกับการปราบปรามชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ทางตอนเหนือ[21]

มีส่วนร่วมในความขัดแย้งในรัฐกะชีน

กองพลทหารราบเบาที่ 44
44th Light Infantry Division
44th Light Infantry Division
2522 สะเทิม Col. Myat Thin
กองพลทหารราบเบาที่ 55
55th Light Infantry Division
55th Light Infantry Division
2523 ซะไกง์/ต่อมาไปที่ กาลอ Col. Phone Myint
กองพลทหารราบเบาที่ 66
66th Light Infantry Division
66th Light Infantry Division
2519 อินน์มา Col. Taung Zar Khaing
กองพลทหารราบเบาที่ 77
77th Light Infantry Division
77th Light Infantry Division
2509 มอบี/ต่อมาไปที่ พะโค Col. Tint Swe
กองพลทหารราบเบาที่ 88
88th Light Infantry Division
88th Light Infantry Division
2510 มะกเว Col. Than Tin
กองพลทหารราบเบาที่ 99
99th Light Infantry Division
99th Light Infantry Division
2511 เมะทีลา Col. Kyaw Htin เกี่ยวข้องกับการปราบปรามชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ทางตอนเหนือ[21]
กองพลทหารราบเบาที่ 101
101st Light Infantry Division
101st Light Infantry Division
2534 ปะโคะกู Col. Saw Tun กองพลทหารราบเบาที่ 101 ถูกส่งไปในระหว่างการกวาดล้างฝ่ายข่าวกรองทางทหารในปี พ.ศ. 2547

หน่วยขีปนาวุธ ปืนใหญ่ และรถหุ้มเกราะ[แก้]

หน่วยขีปนาวุธ ปืนใหญ่ และรถหุ้มเกราะไม่ได้ใช้ถูกใช้งานในบทบาทอิสระ แต่กระทรวงกลาโหมได้นำไปใช้ในการสนับสนุนทหารราบตามการร้องขอ กรมการทหารปืนใหญ่และเหล่ายานเกราะก็ถูกแบ่งออกเป็นเหล่าแยกกันในปี พ.ศ. 2544 กรมการทหารปืนใหญ่และเหล่าทหารขีปนาวุธก็แบ่งออกเป็นเหล่าที่แยกจากกันในปี พ.ศ. 2552 การขยายกำลังภายใต้กรมทหารเหล่านี้ตามมาด้วยอุปกรณ์ที่จัดหาจากจีน รัสเซีย ยูเครนและอินเดีย[8][19]

กรมการทหารขีปนาวุธ (หน่วยปืนใหญ่ขีปนาวุธพม่า)[แก้]

หน่วยบัญชาการยุทธการขีปนาวุธที่ 1[แก้]

หน่วยบัญชาการยุทธการขีปนาวุธที่ 1 (Missile Operational Command: MOC) ประกอบไปด้วย

กรมการทหารปืนใหญ่ (หน่วยทหารปืนใหญ่พม่า)[แก้]

กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2495 โดยมีปืนใหญ่จำนวน 3 กระบอก อยู่ภายใต้กองอำนวยการของเหล่าทหารปืนใหญ่ มีการจัดตั้งกองพันปืนใหญ่อีก 3 กองพันในปลายปี พ.ศ. 2495 รูปแบบนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจนกระทั่ง พ.ศ. 2531 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 กรมการทหารปืนใหญ่ได้ดูแลการขยายหน่วยบัญชาการยุทธการทหารปืนใหญ่ (Artillery Operations Command: AOC) จาก 2 เป็น 10 หน่วย ความตั้งใจที่ระบุไว้ของกองทัพพม่าคือการจัดตั้งหน่วยบัญชาการยุทธการทหารปืนใหญ่ที่ขึ้นตรงต่อทั้ง 12 กองบังคับการกองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC)

ในปี พ.ศ. 2543 ทหารปืนใหญ่ของกองทัพพม่ามีกองพันประมาณ 60 กองพัน และกองร้อยทหารปืนใหญ่อิสระอีก 37 กองร้อย สังกัดกองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) กองพลทหารราบเบา (LID) หน่วยบัญชาการยุทธการทหาร (MOC) และกองบัญชาการปฏิบัติการภูมิภาค ( ร็อค) ตัวอย่างเช่น กองร้อยปืนใหญ่ที่ 314 อยู่ภายใต้ LID ที่ 44, กองร้อยปืนใหญ่ 326 สังกัดกระทรวงพลังงานที่ 5, กองร้อยปืนใหญ่ 074 อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ ROC (บาโม) และกองร้อยปืนใหญ่ 076 อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กองพันทหารปืนใหญ่จำนวน 20 กองพันนี้จัดกลุ่มอยู่ภายใต้กองบัญชาการปฏิบัติการปืนใหญ่ที่ 707 (AOC) ในเมืองจอก์ปะดอง และกองบัญชาการปฏิบัติการปืนใหญ่ที่ 808 (AOC) ในเมืองโอ๊คทวิน ใกล้เมืองตองอู กองพันที่เหลืออีก 30 กองพัน รวมถึงกองพันปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยาน 7 กองพันอยู่ภายใต้กองอำนวยการกองพลปืนใหญ่

As of 2000, the Artillery wing of the Tatmadaw has about 60 battalions and 37 independent Artillery companies/batteries attached to various กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC), Light Infantry Divisions (LID), Military Operation Command (MOC) and Regional Operation Command (ROC). For example, 314th Artillery Battery is under 44th LID, 326 Artillery Battery is attached to 5th MOC, 074 Artillery Battery is under the command of ROC (Bhamo) and 076 Artillery Battery is under North-Eastern RMC. Twenty of these Artillery battalions are grouped under 707th Artillery Operation Command (AOC) headquarters in Kyaukpadaung and 808th Artillery Operation Command (AOC) headquarters in Oaktwin, near Taungoo. The remaining 30 battalions, including 7 Anti-Aircraft artillery battalions are under the Directorate of Artillery Corps.[8] [19]

Artillery Operations Command (AOC)[แก้]

Light field artillery battalions consists of 3 field artillery batteries with 36 field guns or howitzers (12 guns per battery). Medium artillery battalions consists of 3 medium artillery batteries of 18 field guns or howitzers (6 guns per one battery).[ต้องการอ้างอิง] As of 2011, all field guns of Myanmar Artillery Corps are undergoing upgrade programs including GPS Fire Control Systems.

Artillery Operations Command (AOC) กองบัญชาการ Notes
505th Artillery Operations Command มะริด (မြိတ်)
707th Artillery Operations Command Kyaukpadaung (ကျောက်ပန်းတောင်း)
606th Artillery Operations Command สะเทิม (သထုံ)
808th Artillery Operations Command Oktwin (အုပ်တွင်းမြို့)
909th Artillery Operations Command Mong Khon--Kengtung
901st Artillery Operations Command Baw Net Gyi (ဘောနက်ကြီး--ပဲခူးတိုင်း)
902nd Artillery Operations Command Nawnghkio
903rd Artillery Operations Command Aungban
904th Artillery Operations Command Mohnyin (မိုးညှင်း)
905th Artillery Operations Command Padein--Ngape

กรมการทหารยานเกราะ (เหล่ายานเกราะพม่า)[แก้]

No. 1 Armour Company and No. 2 Armour Company were formed in July 1950 under the Directorate of Armour and Artillery Corps with Sherman tanks, Stuart light tanks, Humber Scout Cars, Ferret armoured cars and Universal Bren Carriers. These two companies were merged on 1 November 1950 to become No. 1 Armour Battalion with headquarters in มีนกะลาโดน. On 15 May 1952 No. Tank Battalion was formed with 25 Comet tanks acquired from the United Kingdom. The Armour Corps within Myanmar Army was the most neglected one for nearly thirty years since the Tatmadaw had not procured any new tanks or armoured carriers since 1961.[ต้องการอ้างอิง]

Armoured divisions, known as Armoured Operations Command (AROC), under the command of Directorate of Armour Corps, were also expanded in number from one to two, each with four Armoured Combat battalions equipped with Infantry fighting vehicles and armoured personnel carriers, three tank battalions equipped with main battle tanks and three Tank battalions equipped with light tanks. [19] In mid-2003, Tamadaw acquired 139+ T-72 main battle tanks from Ukraine and signed a contract to build and equip a factory in Myanmar to produce and assemble 1,000 BTR armoured personnel carriers in 2004.[22] In 2006, the Government of India transferred an unspecified number of T-55 main battle tanks that were being phased out from active service to Tatmadaw along with 105 mm light field guns, armoured personnel carriers and indigenous HAL Light Combat Helicopters in return for Tatmadaw's support and co-operation in flushing out Indian insurgent groups operating from its soil.[23]

Armoured Operations Command (AROC)[แก้]

Armoured Operations Commands (AROC) are equivalent to Independent armoured divisions in western terms. Currently there are 5 Armoured Operations Commands under Directorate of Armoured Corps in the Tatmadaw order of battle. Tatmadaw planned to establish an AROC each in 7 กองบัญชาการภูมิภาคทหาร.[ต้องการอ้างอิง] Typical armoured divisions in the Myanmar Army are composed of Headquarters, Three Armored Tactical Operations Command – each with one mechanised infantry battalion equipped with 44 BMP-1 or MAV-1 Infantry Fighting Vehicles, Two Tank Battalions equipped with 44 main battle tanks each, one armoured reconnaissance battalion equipped with 32 Type-63A Amphibious Light Tanks, one field artillery battalion and a support battalion. The support battalion is composed of an engineer squadron, two logistic squadrons, and a signal company.[ต้องการอ้างอิง]

The Myanmar Army acquired about 150 refurbished EE-9 Cascavel armoured cars from an Israeli firm in 2005.[24] Classified in the army's service as a light tank, the Cascavel is currently deployed in the eastern Shan State and triangle regions near the Thai border.

Armoured Operations Command (ArOC) กองบัญชาการ Notes
71st Armoured Operations Command Pyawbwe (ပျော်ဘွယ်)
72nd Armoured Operations Command Ohntaw (အုန်းတော)
73rd Armoured Operations Command Malun (မလွန်)
74th Armoured Operations Command Intaing (အင်းတိုင်)
75th Armoured Operations Command Thagara (သာဂရ)

Office of the Chief of Air Defence (Myanmar Air Defence Artillery)[แก้]

The Office of the chief of Air Defence (လေကြောင်းရန်ကာကွယ်ရေးတပ်ဖွဲ့အရာရှိချုပ်ရုံး) is one of the major branches of Tatmadaw. It was established as the Air Defence Command in 1997, but was not fully operational until late 1999. It was renamed the Bureau of Air Defence in the early 2000s. In early 2000, Tatmadaw established the Myanmar Integrated Air Defence System (MIADS) (မြန်မာ့အလွှာစုံပေါင်းစပ်လေကြောင်းရန်ကာကွယ်ရေးစနစ်) with help from Russia and China. It is a tri-service bureau with units from all three branches of the armed forces. All air defence assets except the Army's anti-aircraft artillery battalions are integrated into the MIADS.[25]

กรมการทหารสื่อสาร (เหล่าทหารสื่อสารพม่า)[แก้]

ไม่นานหลังได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2491 เหล่าทหารสื่อสารพม่าได้ก่อตั้งขึ้นโดยมีหน่วยจากหน่วยสื่อสารพม่า หรือที่รู้จักในชื่อเหล่า "เอ็กซ์" ประกอบด้วยกองบัญชาการสื่อสารพม่า กองร้อยการฝึกสัญญาณพม่า (Burma Signal Training Squadron: BSTS) และกองร้อยสัญญาณพม่า (Burma Signals Squadron: BSS) กองบัญชาการสัญญาณพม่าตั้งอยู่ภายในสำนักงานสงคราม กองร้อยการฝึกสัญญาณพม่าซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองปยีนอู้ลวีน ก่อตั้งขึ้นโดยมีกองฝึกอบรมปฏิบัติการการเข้ารหัส, กองฝึกอบรมการสื่อสารเร่งด่วน, กองฝึกอบรมการสื่อสารด้วยสาย, กองกำลังฝึกอบรมช่างวิทยุ และกองกำลังฝึกอบรมสัญญาณกรมทหาร กองร้อยสัญญาณพม่ามีฐานอยู่ในมีนกะลาโดน ประกอบด้วย 9 แผนก ได้แก่

  • หน่วยสารบรรณ
  • หน่วยซ่อมบำรุง
  • หน่วยปฏิบัติการ
  • หน่วยการเข้ารหัส
  • หน่วยสื่อสารด้วยสายและการสื่อสารเร่งด่วน
  • หน่วยทหารสัญญาณ NBSD
  • หน่วยทหารสัญญาณ SBSD
  • หน่วยสัญญาณกองพลน้อยเคลื่อนที่ และ
  • หน่วยทหารสัญญาณยะไข่

หัวหน้าเจ้าหน้าที่สัญญาณ (Chief of Signal Staff Officer: CSO) ในขณะนั้นคือ พันโท ซอ ออง ดิน ภายหลังเปลี่ยนชื่อกองร้อยการฝึกสัญญาณพม่า (BSTS) และกองร้อยสัญญาณพม่า (BSS) เป็นกองพันทหารสื่อสารที่ 1 และกองพันฝึกอบรมทหารสื่อสารที่ 1 ในปี พ.ศ. 2495 กรมทหารสื่อสารกองพลทหารราบได้ถูกก่อตั้งขึ้น และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น กองพันทหารสื่อสารที่ 2 กองบัญชาการทหารสื่อสารพม่าได้รับการจัดรูปแบบใหม่และกลายเป็น กรมการทหารสื่อสาร และผู้บัญชาการได้รับการยกระดับการบัญชาการเป็นพันเอก ในปี พ.ศ. 2499 กองพันรักษาความปลอดภัยทหารสื่อสาร 1 ได้รับการจัดตั้งขึ้น ตามมาด้วยกองพันทหารสื่อสารที่ 3 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2501 และกองพันทหารสื่อสารที่ 4 ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2502

พ.ศ. 2504 ได้มีการจัดกองพันทหารสื่อสารใหม่ให้อยู่ในกองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) เป็น กองพันทหารสื่อสารที่ 11 สังกัดกองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, กองพันทหารสื่อสารที่ 121 สังกัดกองทัพน้อยภาคตะวันออก, กองพันทหารสื่อสารที่ 313 สังกัดกองทัพน้อยภาคกลาง, กองพันทหารสื่อสารที่ 414 สังกัดกองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้ และกองพันทหารสื่อสารที่ 515 สังกัดกองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่กองพันฝึกอบรมทหารสื่อสารที่ 1 เปลี่ยนชื่อเป็น โรงฝึกทหารสื่อสารพม่า (บาโฮ-เซตเวเย-ตาด)

ภายในปี พ.ศ. 2531 กรมการทหารสื่อสารประกอบไปด้วยโรงฝึกทหารสื่อสาร 1 แห่ง กองพันทหารสื่อสาร 8 กองพัน กองพันรักษาความปลอดภัยทหารสื่อสาร 1 กองพัน คลังทหารสื่อสาร 1 แห่ง และโรงปฏิบัติการทหารสื่อสาร 2 แห่ง เหล่าทหารสื่อสารภายใต้กรมการทหารสื่อสารได้มีการปรับขยายขนาดหน่วยอีกในช่วงปี พ.ศ. 2533 โดยขยายและการปรับโครงสร้างเข้าไปไปในกองทัพพม่า ภายในปี พ.ศ. 2543 กองพันทหารสื่อสารนั้นมีประจำอยู่ในแต่ละกองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) และกองร้อยทหารสื่อสารจะประจำอยู่ในกองพลทหารราบเบา (LID) และหน่วยบัญชาการยุทธการทหาร (MOC)

ในปี พ.ศ. 2543 ระบบบัญชาการ การควบคุม และการสื่อสารของกองทัพบกพม่าได้รับการยกระดับครั้งใหญ่ โดยการจัดตั้งเครือข่ายการสื่อสารใยแก้วนำแสงของกองทัพ ซึ่งจัดการโดยกรมการทหารสื่อสารทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 กองบัญชาการภูมิภาคทหารของกองทัพบกพม่าทั้งหมดใช้ระบบโทรคมนาคมของตนเอง นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมต่อการสื่อสารผ่านดาวเทียมไปยังกองพันทหารราบส่วนหน้า อย่างไรก็ตาม ระบบการสื่อสารภายในสนามรบยังคงย่ำแย่ หน่วยทหารราบยังคงใช้วิทยุสื่อสารแบบ TRA 906 และ PRM 4051 ซึ่งได้มาจากสหราชอาณาจักรในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 กองทัพบกพม่ายังใช้ชุดวิทยุแบบ TRA 906 Thura และ XD-D6M ของจีนที่ผลิตในท้องถิ่น ชุดแฮนด์เซ็ตแบบกระโดดความถี่ที่ได้รับการติดตั้งไว้กับหน่วยในแนวหน้าทั้งหมด[26]

ระหว่างปี พ.ศ. 2543 ถึง พ.ศ. 2548 กองทัพบกพม่าซื้อชุดวิทยุ Brett 2050 Advanced Tech จำนวน 50 เครื่องจากออสเตรเลียผ่านบุคคลที่สามจากสิงคโปร์ วิทยุเหล่านั้นจะถูกแจกจ่ายให้กับหน่วยบัญชาการยุทธการภาค (ROC) ในภาคกลางและตอนบนเพื่อใช้ในการปฏิบัติการต่อต้านการก่อความไม่สงบ[19]

กรมการแพทย์[แก้]

ในช่วงที่ได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2491 เหล่าทหารแพทย์มีโรงพยาบาลทหารประจำฐานสองแห่ง แต่ละแห่งมีเตียง 300 เตียงในมีนกะลาโดนและปยีนอู้ลวีน ซึ่งเป็นคลังการแพทย์ในย่างกุ้ง หน่วยทันตกรรม 1 แห่ง และสถานีรับรองของค่าย 6 แห่ง ตั้งอยู่ในมยิจีนา, ซิตตเว, ตองอู, ปยี่นมะน่า, พะโค และเมะทีลา ระหว่างปี พ.ศ. 2501 ถึง พ.ศ. 2505 เหล่าทหารแพทย์ได้รับการปรับโครงสร้างใหม่ และสถานีรับรองของค่ายทั้งหมดได้รับการจัดระเบียบใหม่เป็นกองพันทหารเสนารักษ์

ในปี พ.ศ. 2532 กรมการแพทย์ได้ขยายขีดความสามารถไปพร้อมกับทหารราบอย่างมีนัยสำคัญ ในปี พ.ศ. 2550 มีโรงพยาบาลกองทัพ (Defence Services General Hospital) ขนาด 1,000 เตียงจำนวน 2 แห่ง (มีนกะลาโดนและเนปยีดอ), โรงพยาบาลขนาด 700 เตียงจำนวน 2 แห่ง ในเมืองปยีนอู้ลวีนและอองบัน, โรงพยาบาลทหารขนาด 500 เตียงจำนวน 2 แห่ง ในเมืองเมะทีลาและย่างกุ้ง, โรงพยาบาลกองทัพด้านกระดูกและข้อขนาด 500 เตียง 1 แห่ง ในมีนกะลาโดน, โรงพยาบาลกองทัพด้านสูตินรีเวชและเด็ก ขนาด 300 เตียงจำนวน 2 แห่ง (มีนกะลาโดนและเนปยีดอ), โรงพยาบาลทหารขนาด 300 เตียงจำนวน 3 แห่ง (มยิจีนา, แอน และเชียงตุง), โรงพยาบาลทหารขนาด 100 เตียงจำนวน 18 แห่ง (เมืองเพชร, บาน, อินไดง์, บาทู , มะริด, แปร, ลอยกอ, น้ำซำ, ล่าเสี้ยว, กะเล, มองสาด, ทวาย, เกาะสอง, เล่าไก่, ตานดอง, มะกเว, ซิตตเว และหอมมาลิน) กองพันทหารเสนารักษ์สนามจำนวน 14 กองพัน ซึ่งสังกัดกองบัญชาการภูมิภาคทหารต่าง ๆ ทั่วประเทศ กองพันทหารเสนารักษ์สนามแต่ละกองพันประกอบด้วยกองร้อยทหารเสนารักษ์สนาม 3 กองร้อย โดยมีหน่วยทหารเสนารักษ์สนาม 3 หน่วย และทีมผู้เชี่ยวชาญแต่ละหน่วย หน่วยควบคุมโรคและสุขภาพ (HDCU) มีหน้าที่ป้องกัน ควบคุม และขจัดโรค

หน่วย กองบัญชาการ กองบัญชาการภูมิภาคทหาร
ศูนย์เหล่าทหารแพทย์ มอบี กองทัพน้อยย่างกุ้ง
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 1 มัณฑะเลย์ กองบัญชาการภาคกลาง
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 2 ตองจี กองทัพน้อยภาคตะวันออก
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 3 ตองอู กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 4 พะสิม กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 5 มอละมไยน์ กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงใต้
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 6 มอบี กองทัพน้อยย่างกุ้ง
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 7 โมนยวา กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงเหนือ
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 8 ซิตตเว กองทัพน้อยภาคตะวันตกเฉียงใต้
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 9 โม่ญี่น กองทัพน้อยภาคเหนือ
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 10 ล่าเสี้ยว กองทัพน้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 11 บะมอ กองทัพน้อยภาคเหนือ
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 12 เชียงตุง กองทัพน้อยภาคตะวันออก
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 13 มะริด กองทัพน้อยชายฝั่ง
กองพันทหารเสนารักษ์สนามที่ 14 ไตจี กองทัพน้อยย่างกุ้ง
หน่วยควบคุมโรคและสุขภาพ มีนกะลาโดน กองทัพน้อยย่างกุ้ง

การฝึก[แก้]

[8][19]

สถาบันและวิทยาลัยป้องกันประเทศ[แก้]

สถาบันการศึกษา ที่ตั้ง
วิทยาลัยป้องกันประเทศ (National Defence College: NDC) เนปยีดอ (နေပြည်တော်)
วิทยาลัยเสนาธิการทหารและกองบัญชาการกลาโหม (Defence Services Command and General Staff College: DSCGSC) กาลอ (ကလော)
สถาบันป้องกันประเทศกลาโหม[27] (Defence Services Academy – DSA) ปยีนอู้ลวีน (ပြင်ဦးလွင်)
สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม[27] (Defence Services Technological Academy – DSTA) ปยีนอู้ลวีน (ပြင်ဦးလွင်)
สถาบันการแพทย์กลาโหม[27] (Defence Services Medical Academy – DSMA) ย่างกุ้ง (ရန်ကုန်)
สถาบันการพยาบาลและแพทย์ศาสตร์ทหาร (Military Institute of Nursing and Paramedical Science: MINP) ย่างกุ้ง (ရန်ကုန်)
สถาบันคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการทหาร (Military Computer And Technological Institute – MCTI) (อดีตวิทยาลัยเทคโนโลยีการทหาร MTC, ปยีนอู้ลวีน) โหโป๊ง (ဟိုပုံး)

โรงเรียนฝึกทหาร[แก้]

โรงเรียนฝึกทหาร ที่ตั้ง
โรงเรียนฝึกนายทหาร (Officer Training School: OTS) ค่ายบาทู
โรงเรียนฝึกการรบขั้นพื้นฐาน ค่ายบาทู
โรงเรียนกำลังรบทหารบกที่ 1 ค่ายบาทู
โรงเรียนกำลังรบทหารบกที่ 2 ค่ายบุเรงนอง
โรงเรียนฝึกทหารปืนใหญ่ โมนไท
โรงเรียนฝึกทหารยานเกราะ เมืองเมา
โรงเรียนสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ปยีนอู้ลวีน
โรงเรียนทหารช่าง ปยีนอู้ลวีน
โรงเรียนสงครามสารสนเทศ ย่างกุ้ง
โรงเรียนฝึกอบรมทางอากาศ ทางบก และพลร่ม มอบี
โรงเรียนกองกำลังพิเศษ ค่ายเยมอน

เครื่องหมายยศ[แก้]

ยศทหารชั้นสัญญาบัตร[แก้]

The rank insignia of commissioned officers.

แม่แบบ:Ranks and Insignia of Non NATO Armies/OF/Myanmar
กลุ่มชั้นยศ นายพล / นายทหารชั้นนายพล นายทหารสัญญาบัตรอาวุโส นายทหารสัญญาบัตร นักเรียนนายร้อย

ยศทหารชั้นประทวน[แก้]

The rank insignia of non-commissioned officers and enlisted personnel.

แม่แบบ:Ranks and Insignia of Non NATO Armies/OR/Myanmar
กลุ่มชั้นยศ นายทหารประทวนอาวุโส นายทหารประทวน พลสมัคร
และพลทหาร

ทำเนียบกำลังรบ[แก้]

  • 14 × กองบัญชาการภูมิภาคทหาร (RMC) จัดอยู่ใน 6 กองยุทธการพิเศษ (BSO)
  • 6 × หน่วยบัญชาการยุทธการภาค (ROC)
  • 20 × หน่วยบัญชาการยุทธการทหาร (MOC) รวมถึง 1 × กองพลทหารราบส่งทางอากาศ
  • 10 × กองพลทหารราบเบา (LID)
  • 5 × Armoured Operation Commands (AOC) (Each with 6 Tank Battalions and 4 Armoured Infantry Battalions (IFVs/APCs).)
  • 10 × Artillery Operation Commands (AOC) (with of 113 Field Artillery Battalions)
  • 9 × Air Defence Operation Commands
  • 1 × Missile Operation Commands
  • 40+ × Military Affairs Security Companies (MAS Units replaces former Military Intelligence Units after the disbandment of the Directorate of Defence Service Intelligence (DDSI))
  • 45 × Advanced Signal Battalions
  • 54 × Field Engineer Battalions
  • 4 × Armoured Engineer Battalions
  • 14 × กองพันทหารเสนารักษ์[19]

ยุทโธปกรณ์[แก้]

ดูเพิ่ม[แก้]

หมายเหตุ[แก้]

  1. ตราสัญลักษณ์นี้ยังเป็นอาร์มติดไหล่ (SSI) ของสำนักงานผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพบกพม่า

อ้างอิง[แก้]

  1. "Official site of Commander-in-Chief's Office of the Myanmar Armed Forces". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 June 2022. สืบค้นเมื่อ 17 June 2022.
  2. International Institute for Strategic Studies (15 February 2023). The Military Balance 2023. London: Routledge. p. 275. ISBN 9781032508955.
  3. "Border Guard Force Scheme". Myanmar Peace Monitor. 11 January 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 August 2020. สืบค้นเมื่อ 8 August 2020.
  4. Maung Zaw (18 March 2015). "Taint of 1988 still lingers for rebooted student militia". Myanmar Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 February 2021. สืบค้นเมื่อ 8 August 2020.
  5. The Asian Conventional Military Balance 2006 (PDF), Center for Strategic and International Studies, 26 มิถุนายน 2006, p. 4, เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 29 เมษายน 2011, สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2011
  6. "Myanmar allocates 1/4 of new budget to military". Associated Press. 1 มีนาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 มิถุนายน 2011. สืบค้นเมื่อ 9 มีนาคม 2011.
  7. Working Papers – Strategic and Defence Studies Centre, Australian National University
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 8.6 8.7 8.8 Selth, Andrew (2002) : Burma's Armed Forces: Power Without Glory, Eastbridge. ISBN 1-891936-13-1
  9. Far Eastern Economic Review, 20 May 1981
  10. FEER, 7 July 1983
  11. Bertil Lintner, Land of Jade
  12. Asiaweek 21 February 1992
  13. The Defence of Thailand (Thai Government issue), p.15, April 1995
  14. "Myanmar's losing military strategy". Asia Times. 7 ตุลาคม 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 พฤษภาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2010.{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  15. WP 342. Australian National University
  16. "พม่าเปลี่ยนผบ.กองยุทธการพิเศษ คาดรับหน้าที่กล่อมกลุ่มหยุดยิง". prachatai.com.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  17. "จัดใหม่ "ครม.พม่า" แยก ก.พลังงาน-ไฟฟ้า โยก พล.ท.ตานหล่าย จาก มท.กลับกองทัพ". mgronline.com. 2022-05-04.
  18. "Myanmar-Army Regional Military Commands". Global Security. GlobalSecurity.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 August 2021. สืบค้นเมื่อ 23 September 2021.
  19. 19.00 19.01 19.02 19.03 19.04 19.05 19.06 19.07 19.08 19.09 19.10 Myoe, Maung Aung: Building the tatmadaw – Myanmar Armed Forces Since 1948, Institute of SouthEast Asian Studies. ISBN 978-981-230-848-1
  20. "Junta Expands Military". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 มีนาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 6 มีนาคม 2011.
  21. 21.0 21.1 "How Myanmar's shock troops led the assault that expelled the Rohingya". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 26 มิถุนายน 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 กรกฎาคม 2018. สืบค้นเมื่อ 28 สิงหาคม 2018.
  22. "The Kiev Connection". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มิถุนายน 2011. สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2011.
  23. "Defense19". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2014.
  24. "Why Russia". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2014. สืบค้นเมื่อ 12 March 2015.{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  25. IndraStra Global Editorial Team (30 ตุลาคม 2020). "Myanmar Integrated Air Defense System". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 ตุลาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 7 ธันวาคม 2015.
  26. "Burmanet " Jane's Intelligence Review: Radio active – Desmond Ball and Samuel Blythe". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 ธันวาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2014.
  27. 27.0 27.1 27.2 "โรงเรียนนายร้อย…กองทัพเมียนมา". www.matichon.co.th.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)

บรรณานุกรม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]