ปลาตะพากเหลือง
ปลาตะพากเหลือง | |
---|---|
![]() | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ ![]() | |
โดเมน: | ยูแคริโอตา Eukaryota |
อาณาจักร: | สัตว์ Animalia |
ไฟลัม: | สัตว์มีแกนสันหลัง Chordata |
ชั้น: | ปลาที่มีก้านครีบ Actinopterygii |
อันดับ: | ปลาตะเพียน |
วงศ์: | วงศ์ปลาตะเพียน |
สกุล: | ปลาตะพาก (H. M. Smith, 1931) |
สปีชีส์: | Hypsibarbus wetmorei |
ชื่อทวินาม | |
Hypsibarbus wetmorei (H. M. Smith, 1931) | |
ชื่อพ้อง | |
|
ปลาตะพากเหลือง หรือ ปลาตะพากทอง[2] (ชื่อวิทยาศาสตร์: Hypsibarbus wetmorei)[3] เป็นปลาน้ำจืดจำพวกปลาตะพากชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาตะพากชนิดที่พบได้หลากหลายและเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด[3]
ลักษณะ
[แก้]ปลาตะพากเหลืองมีลักษณะลำตัวยาวรีและแบนข้าง มีเกล็ดขนาดค่อนข้างใหญ่เป็นมันแวววาว พื้นลำตัวสีขาวเงิน แผ่นหลังสีเขียวอมน้ำตาล มีครีบทั้งหมด 7 ครีบ ครีบอก ครีบท้องและครีบก้นสีเหลืองสด ปลายขอบครีบและหางสีส้ม หางเป็นเว้าแฉกลึก ครีบหลังและครีบหางสีเทาหม่น ปลาขนาดใหญ่เกล็ดใต้ท้องเป็นสีเหลืองอร่าม มีหนวดขนาดเล็ก 2 คู่ อยู่ที่ขากรรไกรบนล่าง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดยาว 66 เซนติเมตร น้ำหนัก 8 กิโลกรัม อาหารกินได้หลากหลาย เช่น พืชน้ำ แมลงน้ำ รวมถึงสัตว์น้ำขนาดเล็กด้วย
อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้เร็วและว่ายน้ำเคลื่อนไหวตลอดเวลา ขยายพันธุ์โดยการวางไข่ระหว่างเดือนมีนาคม–ตุลาคม ไข่มีลักษณะกึ่งลอย กึ่งจม การวางไข่ครั้งหนึ่งจะมีปริมาณไข่นับเป็นแสน ๆ ฟอง และมีพฤติกรรมการผสมพันธุ์หมู่
ถิ่นที่อยู่
[แก้]ปลาตะพากเหลืองอาศัยในแม่น้ำสายใหญ่ตั้งแต่แม่น้ำปิง แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำเจ้าพระยา จนถึงแม่น้ำโขง รวมถึงลำธารน้ำตกในป่าดิบ จัดเป็นปลาเศรษฐกิจ นิยมบริโภคโดยการปรุงสด รมควัน และต้มเค็ม เนื้อมีรสชาติอร่อยกว่าปลาตะเพียนและก้างนิ่มกว่า[4] อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ถือเป็นปลาประจำจังหวัดกำแพงเพชร[5] ขณะที่ในภาษาอีสานเรียกว่า "ปลาปากท้องเหลือง"[3]
ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง โดยสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดกำแพงเพชร แต่ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น เมื่อเพาะได้แล้วจะปล่อยลูกปลาคืนสู่ธรรมชาติที่แม่น้ำปิง อันเป็นถิ่นกำเนิดดั้งเดิม เพื่ออนุรักษ์ไว้ไม่ให้สูญพันธุ์ เพราะยังผลิตลูกปลาได้จำนวนน้อย เนื่องจากพ่อแม่ปลายังมีความสมบูรณ์เพศไม่เพียงพอ อีกทั้งขี้ตกใจเมื่ออยู่ในที่เลี้ยง[4]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Rainboth, W. (2012). "Hypsibarbus wetmorei". IUCN Red List of Threatened Species. 2012: e.T181331A1722850. doi:10.2305/IUCN.UK.2012-1.RLTS.T181331A1722850.en. สืบค้นเมื่อ 11 November 2021.
- ↑ สุรศักดิ์ วงศ์กิตติเวชสกุล. สารานุกรมปลาไทย. กรุงเทพฯ : บริษัทเอม ซัพพลาย, 2540. 170 หน้า. หน้า 111. ISBN 9748990028
- ↑ 3.0 3.1 3.2 สมโภชน์ อัคคะทวีวัฒน์. สาระน่ารู้ ปลาน้ำจืดไทย เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 264 หน้า. หน้า 93. ISBN 974-00-8701-9
- ↑ 4.0 4.1 "สารคดีเกษตร : เพาะพันธุ์ปลาตะพาก". ช่อง 7. 17 August 2012. สืบค้นเมื่อ 11 January 2015.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "ปลา'ตะพาก' หวนคืนสู่ชุมชน". ข่าวสด.