กฎของโลปีตาล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก หลักเกณฑ์โลปีตาล)
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ของกฎของโลปีตาล เมื่อ และ ของฟังก์ชัน จะไม่นิยาม ณ ตำแหน่ง x = 0 แต่สามารถทำให้ฟังก์ชันนั้นต่อเนี่องใน โดยนิยามให้ .

ในแคลคูลัส กฎของโลปีตาล (อังกฤษ: L'Hôpital's rule) หรือ กฎของแบร์นูลลี (อังกฤษ: ฺBernoulli's rule) เป็นทฤษฎีบทคณิตศาสตร์ที่ว่าด้วยการหาค่าลิมิตที่อยู่ในรูปแบบยังไม่กำหนด (อังกฤษ: indeterminate forms) ด้วยการใช้อนุพันธ์กฎนี้มักนำมาใช้ในการเปลี่ยนรูปแบบยังไม่กำหนด เป็นรูปแบบกำหนด เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณลิมิตโดยการแทนค่าเข้าไปตรง ๆ กฎนี้ถูกตั้งชื่อตามนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสกีโยม เดอ โลปีตาล ถึงแม้กฎนี้มักถูกพิจารณาว่าถูกเขียนโดยเดอ โลปีตาล แต่ทฤษฎีบทนี้แบร์นูลลีเป็นคนเสนอให้กับเขา

กฏของโลปีตาล — ฟังก์ชัน และ ที่หาอนุพันธ์ได้บนช่วงเปิด ยกเว้นเมื่อที่จุด อยู่ใน

ถ้า หรือ และ สำหรับทุก ใน ที่ และ หาค่าได้

แล้ว

ประวัติ[แก้]

กีโยม เดอ โลปีตาลเผยแพร่กฎนี้ในปีพ.ศ.2239 (ค.ศ.1696) ในหนังสือชื่อ Analyse des Infiniment Petits pour l'Intelligence des Lignes Courbes เป็นหนังสือเล่มแรกที่เขียนเกี่ยวกับแคลคูลัสเชิงอนุพันธ์[1] ถึงอย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่ากฎนี้ถูกค้นพบโดยนักคณิตศาสตร์ชาวสวิสชื่อโยฮันน์ แบร์นูลลี[2]

รูปทั่วไป[แก้]

รูปทั่วไปของกฎของโลปีตาลครอบคลุมหลากหลายกรณี ให้ และ เป็นจำนวนจริงส่วนขยาย (ต.ย. จำนวนจริง อนันต์บวก อนันต์ลบ) ให้ เป็นช่วงเปิดที่มี อยู่ (สำหรับลิมิตสองข้าง) หรือช่วงเปิดที่มี เป็นจุดปลาย (สำหรับลิมิตข้างเดียว หรือลิมิตที่อนันต์ ถ้า เป็นอนันต์) สมมติให้ฟังก์ชันค่าจริง และ หาอนุพันธ์ได้บน อาจยกเว้นที่ และ บน อาจยกเว้นที่ ด้วย ยังสมมติให้ ดังนั้นกฎนี้สามารถใช้ได้ในสถานการณ์เมื่ออัตราส่วนของอนุพันธ์มี่ค่าจำกัดหรือไม่จำกัด แต่ใข้ไม่ได้ในสถานการณ์อัตราส่วนแปรปรวนตลอดที่ มีค่าเข้าไกล้

ถ้า

หรือ

อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว

ถึงแม้ว่าเราจะเขียนในรูป ตลอด ลิมิตนั้นอาจเป็นลิมิตข้างเดียว ( หรือ ) เมื่อ เป็นจุดปลายจำกัดของ

ในกรณีที่สองนั้น สมมุติฐานให้ ลู่ออกไปอนันต์จะไม่ได้ถูกใช้ในบทพิสูจน์ (ดูหมายเหตุตรงท้ายหัวเรื่องบทพิสูจน์) ดั้งนั้นโดยปกติเงื่อนไขของกฎจะกล่าวไว้ตามข้างบน เงื่อนไขที่เพียงพอที่สองที่จะทำให้กระบวนการของกฎนี้ถูกต้องสามารถกล่าวได้อย่างสั้น ๆ ว่า

สมมุติฐานที่ว่า จะพบเห็นได้บ่อยตามงานเขียน แต่บางผู้เขียนละสมมุติฐานนี้โดยการเขียนสมมติฐานอื่น วิธีหนึ่ง[3]คือการนิยามลิมิตของฟังก์ชันนั้นโดยเพิ่มข้อกำหนดทีฟังก์ชันที่ใช้หาลิมิตนั้นต้องถูกนิยามทุกที่บนช่วงที่เกี่ยวข้อง อาจยกเว้นที่ อีกวิธี[4]คือให้ทั้ง และ จำเป็นที่จะต้องหาอนุพันธ์ได้ทุกที่บนช่วงที่มี อยู่

ตัวอย่าง[แก้]

  • ตัวอย่างพื้นฐานที่มีฟังก์ชันเลขชี้กำลัง ในรูปแบบยังไม่กำหนด ที่
  • ตัวอย่างที่ซับซ้อนขึ้นที่เป็น การใช้กฎของโลปีตาลเพียงครั้งเดียวผลลัพท์ยังคงเป็นรูปแบบยังไม่กำหนดอยู่ ในที่นี้ ลิมิตอาจหาค่าได้โดยการใชกฎของโลปีตาลสามครั้ง

  • ตัวอย่างที่เป็น
    ใช้กฎของโลปีตาลซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าเลขชี้กำลังจะเป็นศูนย์ (ถ้า เป็นจำนวนเต็ม) หรือติดลบ (ถ้า เป็นเศษส่วน) ถีงจะสรุปได้ว่าลิมิตมีค่าเป็นศูนย์
  • ตัวอย่างที่เป็นรูปแบบยังไม่กำหนด (ดูข้างล่าง) ซึ่งเขียนใหม่ได้ในรูป
  • สามารถใช้กฎของโลปีตาลในการพิสูจน์ทฤษฎีบทที่ว่า ถ้า หาอนุพันธ์ได้สองครั้งในบริเวณใกล้เคียงกับ และอนุพันธ์อันดับสองต่อเนื่องในบริเวณใกล้เคียงนี้ แล้ว
  • บางครั้งมีวิธีพลิกแพลงที่ใช้กฎของโลปีตาล เช่นสมมติให้ ลู่เข้าเมื่อ และ ลู่เข้าหาอนันต์บวกหรืออนันต์ลบ แล้ว
    ดังนั้นถ้า หาค่าได้ แล้ว

รูปแบบยังไม่กำหนดอื่น ๆ[แก้]

รูปแบบยังไม่กำหนดอื่น ๆ เช่น และ สามารถหาค่าโดยใช้กฎของโลปีตาลได้ เช่นการหาลิมิตทีมี โดยการเปลี่ยนสองฟังก์ชันที่ลบกันเป็นการหาร

กฎของโลปีตาลถูกใช้ในขั้นตอนจาก (1) ไป (2) และอีกครั้งในขั้นตอน (3) ไป (4)

กฎของโลปีตาลใช้ได้กับรูปแบบยังไม่กำหนดที่มีเลขยกกำลังโดยใช้ลอการิทึมช่วย"ตบเลขยกกำลังลงมา" ตัวอย่างเช่น

ย้ายลิมิตเข้าไปในฟังก์ชันเลขชี้กำลังได้เพราะฟังก์ชันเลขชี้กำลังเป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง และการที่เลขชี้กำลัง "อยู่ข้างล่าง" ลิมิต อยู่ในรูปแบบยังไม่กำหนด แต่จากที่ได้แสดงในตัวอย่างข้างบนมา กฎของโลปีตาลยังสามารถบอกได้ว่า

ดังนั้น

ตารางต่อไปนี้คือรายการรูปแบบยังไม่กำหนดที่พบบ่อย กับการแปลงโดยใช้กฎโลปีตาล

รูปแบบยังไม่กำหนด เงื่อนไข การแปลงเป็น

บทพิสูจน์กฎโลปีตาล[แก้]

กรณีพิเศษ[แก้]

การพิสูจน์กฎโลปีตาลนั้นง่ายในกรณีที่ และ ต่อเนื่องและหาค่าอนุพันธ์ได้ที่จุด และหลังหาอนุพันธ์ครั้งแรกจะเจอลิมิตจำกัด จึงไม่ใช่การพิสูจน์กฎโลปีตาลทั่วไปเพราะมีความจำกัดกว่านิยาม ฟังก์ชันทั้งสองต้องต่อเนื่องและหาค่าอนุพันธ์ได้ และ เป็นจำนวนจริง เนื่องจากฟังก์ชันทั่วไปต่อเนื่องและหาค่าอนุพันธ์ได้ (ต.ย. พหุนาม ไซน์และโคไซน์ ฟังก์ชันเลขชี้กำลัง) จึงเป็นกรณีที่สมควรแก่การสนใจ

ให้ และ ต่อเนื่องและหาค่าอนุพันธ์ได้ที่จำนวนจริง โดย และ แล้ว

มาจากนิยามอัตราส่วนเชิงผลต่างของอนุพันธ์ การเท่ากันครั้งสุดท้ายเกิดจากความต่อเนื่องของอนุพันธ์ที่ ลิมิตทีสรุปมาได้เป็นรูปแบบกำหนดเพราะ

บทพิสูจน์ทั่วไปของกฎโลปีตาลได้รับการอธีบายไว้ข้างล่างนี้

บทพิสูจน์ทั่วไป[แก้]

บทพิสูจน์ต่อไปนี้เป็นของเทย์เลอร์ (1952) ซึ่งพิสูจน์รูปแบบยังไม่กำหนดทั้ง และ เทย์เลอร์ยังทราบว่ามีบทพิสูจน์อื่นอยู๋ในเลตเทินมาเยอร์ (1936) และวาเซวสกี (1949)

ให้ และ เป็นฟังชันที่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ในหัวข้อรูปทั่วไป ให้ เป็นช่วงเปิดในสมมติฐานที่มีจุดปลาย พิจรณาให้ บนช่วงนี้ และ ต่อเนื่อง สามารถเลือก ที่เล็กกว่าที่ทำให้ ไม่เป็นศูนย์บน ได้

สำหรับทุก ในช่วง นิยามให้ และ โดยที่ มีค่าอยู่ระหว่าง และ (ฟังก์ขัน กับ คืออินฟิมัมกับซูพรีมัมตามลำดับ)

จากการหาอนุพันธ์ได้ของ และ บน ทฤษฎีบทค่าเฉลี่ยของโคชียืนยันได้ว่าสำหรับจุดสองจุดใด ๆ และ ใน จะมี ระหว่างค่า และ ที่ทำให้ ส่งผลให้ สำหรับทุกตัวเลือกค่า และ ที่แตกต่างในช่วง

ค่า ไม่เป็นศูนย์เมื่อ และ แตกต่างกันในช่วง เพราะถ้ามีค่าเป็นศูนย์ ทฤษฎีบทค่าเฉลี่ย จะนิรนัยได้ว่ามี ที่อยู่ระหว่าง และ ที่ทำให้

จากนิยามของ และ ทำให้ค่าเป็นจำนวนจริงขยาย และอาจสามารถมีค่าเป็น ได้ ในกรณีต่อไปนี้ และ จะเป็นขอบเขตของอัตราส่วน

กรณีที่ 1

สำหรับทุก ในช่วง และจุด ระหว่าง และ

และเมื่อ มีค่าเข้าใกล้ ทั้ง และ จะมีค่าเท่ากับศูนย์ ทำให้

กรณีที่ 2

สำหรับทุก บนช่วง นิยาม อยู่ระหว่าง และ สำหรับทุกจุด ระหว่าง และ

โดยที่เมือ มีค่าเข้าใกล้ ทั้ง และ จะเท่ากับศูนย์ ดังนั้น

ลิมิตอินฟิเรียร์ และลิมิตซูพีเรียร์นั้นจำเป็นเนื่องจากการมีอยู่ของลิมิต ยังไม่ได้รับการยืนยัน

แบ่งได้เป็นสองกรณีได้แก่

และ

และ

ในกรณีแรก ทฤษฎีบทการบีบบอกได้ว่า หาค่าได้และเท่ากับ ในกรณีที่สอง ทฤษฎีบทการบีบยังบอกได้ว่า ดังนั้น หาค่าได้และเท่ากับ นี่เป็นผลลัพท์ที่ต้องพิสูจน์

ในกรณีที่สอง สมมติฐานที่ว่า ลู่ออกไปหาอนันต์ไม่ได้ถูกใช้ในบทพิสูจน์ หมายความว่าถ้า ลู่ออกหาอนันต์เมื่อ เข้าใกล้ และทั้ง และ สอดคล้องกับสมมติฐานของกฎของโลปีตาล แล้ว ไม่จำเป็นที่ต้องมีสมมติฐานเพิ่ม ลิมิตของ อาจไม่มีก็ได้ ในกรณีนี้ทฤษฎีบทของโลปีตาลเป็นผลสืบเนื่องจากทฤษฎีบทสโตลซ์-เชซาโร[5]

อ้างอิง[แก้]

  1. O'Connor, John J.; Robertson, Edmund F. "De L'Hopital biography". The MacTutor History of Mathematics archive. Scotland: School of Mathematics and Statistics, University of St Andrews. สืบค้นเมื่อ 21 December 2008.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  2. Boyer, Carl B.; Merzbach, Uta C. (2011-01-25). A History of Mathematics (ภาษาอังกฤษ) (3rd illustrated ed.). John Wiley & Sons. p. 321. ISBN 978-0-470-63056-3.
  3. (Chatterjee 2005, p. 291)
  4. (Krantz 2004, p.79)
  5. "L'Hopital's Theorem". IMOmath. International Mathematical Olympiad.

แหล่งข้อมูล[แก้]