ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560 |
|||
บรรทัด 100: | บรรทัด 100: | ||
[[File:Bundesarchiv Bild 101I-721-0352-31A, Frankreich, Besprechung deutscher Offiziere.jpg|thumb|คลูเกอกับเจ้าหน้าที่นายทหารคนอื่น ๆ ของโอบีเวสต์ในฝรั่งเศส มิถุนายน ค.ศ. 1944]] |
[[File:Bundesarchiv Bild 101I-721-0352-31A, Frankreich, Besprechung deutscher Offiziere.jpg|thumb|คลูเกอกับเจ้าหน้าที่นายทหารคนอื่น ๆ ของโอบีเวสต์ในฝรั่งเศส มิถุนายน ค.ศ. 1944]] |
||
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944 คลูเกอได้รับแต่งตั้งให้เป็น[[โอบี เวสต์|โอบีเวสต์]](ผู้บัญชาการแห่งกองทัพเยอรมันในตะวันตก) ภายหลังจากคนก่อนหน้านี้ [[แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท]] ถูกสั่งปลดเพราะมีความเชื่อว่ากำลังจะพ่ายแพ้สงคราม ด้วยความคิดริเริ่มที่เป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร คลูเกอได้พยายามแสดงสิทธิ์อำนาจเหนือร็อมเมิล ซึ่งรับผิดชอบดูแลกองทัพกลุ่มบี และสร้างความมั่นใจให้แก่กองบัญชาการของเขาในการป้องกันนอร์ม็องดี เมื่อถึงวันที่ 12 กรกฏาคม คลูเกอได้ออกตรวจแนวหน้าและได้รับฟังการบรรยายสรุปจากผู้บัญชาการภาคสนาม คลูเกอได้แสดงความคิดเห็นถึงข้อสงสัยของเขาแก่[[อัลเฟรท โยเดิล]] : "ผมไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ร้าย แต่ในความคิดของผม สถานการณ์ก็ไม่น่าจะเลวร้ายลง" ห้าวันต่อมา ร็อมเมิลได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเครื่องบินรบของ[[กองทัพอากาศแคนาดา]](RCAF) ระดมยิงใส่รถประจำตำแหน่งของเขา ทำให้รถได้เบี่ยงออกจากถนน คลูเกอได้ช่วงต่อจากเขาในการบังคับบัญชาการแก่กองทัพกลุ่มบี ในขณะที่ยังคงดำรงตำแหน่งอื่น ๆ เอาไว้ |
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944 คลูเกอได้รับแต่งตั้งให้เป็น[[โอบี เวสต์|โอบีเวสต์]](ผู้บัญชาการแห่งกองทัพเยอรมันในตะวันตก) ภายหลังจากคนก่อนหน้านี้ [[แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท]] ถูกสั่งปลดเพราะมีความเชื่อว่ากำลังจะพ่ายแพ้สงคราม{{sfn|Barnett|1989|p=405}} ด้วยความคิดริเริ่มที่เป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร คลูเกอได้พยายามแสดงสิทธิ์อำนาจเหนือร็อมเมิล ซึ่งรับผิดชอบดูแลกองทัพกลุ่มบี และสร้างความมั่นใจให้แก่กองบัญชาการของเขาในการป้องกันนอร์ม็องดี{{sfn|Hastings|1984|pp=175–176}} เมื่อถึงวันที่ 12 กรกฏาคม คลูเกอได้ออกตรวจแนวหน้าและได้รับฟังการบรรยายสรุปจากผู้บัญชาการภาคสนาม คลูเกอได้แสดงความคิดเห็นถึงข้อสงสัยของเขาแก่[[อัลเฟรท โยเดิล]] : "ผมไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ร้าย แต่ในความคิดของผม สถานการณ์ก็ไม่น่าจะเลวร้ายลง"{{sfn|Hastings|1984|pp=175–176}} ห้าวันต่อมา ร็อมเมิลได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเครื่องบินรบของ[[กองทัพอากาศแคนาดา]](RCAF) ระดมยิงใส่รถประจำตำแหน่งของเขา ทำให้รถได้เบี่ยงออกจากถนน คลูเกอได้ช่วงต่อจากเขาในการบังคับบัญชาการแก่กองทัพกลุ่มบี ในขณะที่ยังคงดำรงตำแหน่งอื่น ๆ เอาไว้{{sfn|Hastings|1984|pp=175–176}} |
||
[[File:Breakout.jpg|thumb|ฝ่ายสัมพันธมิตรได้บุกทะลวงจากหัวหาดนอร์ม็องดี, 1 – 13 สิงหาคม ค.ศ. 1944]] |
[[File:Breakout.jpg|thumb|ฝ่ายสัมพันธมิตรได้บุกทะลวงจากหัวหาดนอร์ม็องดี, 1 – 13 สิงหาคม ค.ศ. 1944]] |
||
ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ขับไล่เยอรมันออกจากเนินเขาที่สำคัญของแซ็ง-โลในเดือนกรกฎาคม ได้จัดตั้งเวทีสำหรับการรุกครั้งใหญ่ในการทัพนอร์ม็องดี การเปิดฉาก[[ปฏิบัติการคอบรา]] เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เป็นการมุ่งเป้าหมายโดยกองทัพสหรัฐเพื่อใช้ประโยชน์จากกองทัพเยอรมันผู้ยึดครองโดยการโจมตีของบริติชและแคนาดาบริเวณรอบ ๆ เมืองก็องและบรรลุในการบุกทะลวงที่เด็ดขาดในฝรั่งเศสตะวันตกเฉียงเหนือ ในวันที่ 28 กรกฎาคม ปฏิบัติการได้ประสบความสำเร็จในการบุกทะลวงแนวรบเยอรมัน และการต้านทานต่ออเมริกันอย่างไม่เป็นระเบียบ จากการขาดแคลนทรัพยากรที่จะรักษาแนวหน้า หน่วยกองกำลังเยอรมันได้เปิดฉากการโจมตีตอบโต้กลับอย่างสิ้นหวังเพื่อหลบหนีจากการถูกโอบล้อม ในขณะที่คลูเกอได้ส่งการเสริมกำลัง ซึ่งประกอบได้ด้วยองค์ประกอบของกองพลยานเกราะที่ 2 และที่ 116 ไปยังทางตะวันตกโดยคาดหวังว่าจะหลีกเลี่ยงการละลายหายทั้งหมด ในการสู้รบที่ดุเดือด กองกำลังของเขาได้ประสบความสูญเสียอย่างหนักทั้งกำลังคนและรถถถังที่เขาไม่สามารถหามาแทนที่ได้ |
ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ขับไล่เยอรมันออกจากเนินเขาที่สำคัญของแซ็ง-โลในเดือนกรกฎาคม ได้จัดตั้งเวทีสำหรับการรุกครั้งใหญ่ในการทัพนอร์ม็องดี{{sfn|Hastings|1984|p=249}} การเปิดฉาก[[ปฏิบัติการคอบรา]] เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เป็นการมุ่งเป้าหมายโดยกองทัพสหรัฐเพื่อใช้ประโยชน์จากกองทัพเยอรมันผู้ยึดครองโดยการโจมตีของบริติชและแคนาดาบริเวณรอบ ๆ เมือง[[ก็อง]]และบรรลุในการบุกทะลวงที่เด็ดขาดในฝรั่งเศสตะวันตกเฉียงเหนือ ในวันที่ 28 กรกฎาคม ปฏิบัติการได้ประสบความสำเร็จในการบุกทะลวงแนวรบเยอรมัน และการต้านทานต่ออเมริกันอย่างไม่เป็นระเบียบ{{sfn|Hastings|1984|pp=256–258}} จากการขาดแคลนทรัพยากรที่จะรักษาแนวหน้า หน่วยกองกำลังเยอรมันได้เปิดฉากการโจมตีตอบโต้กลับอย่างสิ้นหวังเพื่อหลบหนีจากการถูกโอบล้อม ในขณะที่คลูเกอได้ส่งการเสริมกำลัง ซึ่งประกอบได้ด้วยองค์ประกอบของกองพลยานเกราะที่ 2 และที่ 116 ไปยังทางตะวันตกโดยคาดหวังว่าจะหลีกเลี่ยงการละลายหายทั้งหมด ในการสู้รบที่ดุเดือด กองกำลังของเขาได้ประสบความสูญเสียอย่างหนักทั้งกำลังคนและรถถถังที่เขาไม่สามารถหามาแทนที่ได้{{sfn|Hastings|1984|pp=260–263; 265}} |
||
ในวันสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม กองทัพเยอรมันในนอร์ม็องดีได้ถูกลดทอนกำลังลงในสภาพที่ย่ำแย่จากการรุกของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งคลูเกอไม่อาจรักษาตำแหน่งป้องกันในนอร์ม็องดีได้อีกต่อไป เขาไม่มีโอกาสในการได้รับการเสริมกำลัง ภายหลังจาก[[ปฏิบัติการบากราติออน]] การรุกช่วงฤดูร้อนของโซเวียตซึ่งต่อกรกับกองทัพกลุ่มกลาง และมีชาวเยอรมันเพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าพวกเขาสามารถกอบกู้ชัยชนะไว้ได้ ระหว่างวันที่ 1 และ 4 สิงหาคม กองพลทั้งเจ็ดของกองทัพสหรัฐที่ 3 ภายใต้บัญชาการของพลโท [[จอร์จ เอส. แพตตัน]] ได้เข้ารุกอย่างรวดเร็วผ่านทาง Avranches และข้ามสะพานที่ Pontaubault เข้าสู่บริตทานี |
ในวันสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม กองทัพเยอรมันในนอร์ม็องดีได้ถูกลดทอนกำลังลงในสภาพที่ย่ำแย่จากการรุกของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งคลูเกอไม่อาจรักษาตำแหน่งป้องกันในนอร์ม็องดีได้อีกต่อไป เขาไม่มีโอกาสในการได้รับการเสริมกำลัง ภายหลังจาก[[ปฏิบัติการบากราติออน]] การรุกช่วงฤดูร้อนของโซเวียตซึ่งต่อกรกับกองทัพกลุ่มกลาง และมีชาวเยอรมันเพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าพวกเขาสามารถกอบกู้ชัยชนะไว้ได้{{sfn|Hastings|1984|pp=277–278}} ระหว่างวันที่ 1 และ 4 สิงหาคม กองพลทั้งเจ็ดของกองทัพสหรัฐที่ 3 ภายใต้บัญชาการของพลโท [[จอร์จ เอส. แพตตัน]] ได้เข้ารุกอย่างรวดเร็วผ่านทาง Avranches และข้ามสะพานที่ Pontaubault เข้าสู่บริตทานี{{sfn|D'Este|1983|pp=408–410}} |
||
ด้วยการที่ไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำในการถอนกำลังของคลูเกอ ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งให้โจมตีตอบโต้กลับใน[[ปฏิบัติการลึททิช]] ระหว่าง Mortain และ Avranches เขาได้เรียกร้องให้หน่วยรบยานเกราะที่มีอยู่ทั้งหมดให้ร่วมมือกันในการโจมตีมุ่งเป้าหมายไปที่การเข้ายึดครองคาบสมุทรคอนเตนตินกลับคืนมา และตัดกองกำลังสหรัฐในบริตทานีจากการจัดหาเสบียง ตามรายงานของเจ้าหน้าที่นายทหารในปฏิบัติการของโอบีเวสต์ Bodo Zimmermann คลูเกอรับรู้ว่า "คงจะดีกว่าที่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ซึ่งอาจหมายถึงการล่มสลายของแนวรบนอร์ม็องดี" แต่ความวิตกกังวลของเขาถูกเพิกเฉย คลูเกอสามารถรวบรวมกองพลยานเกราะที่หมดสภาพได้เพียงสี่กองพล โดยช่วงเวลาของปฏิบัติการได้เริ่มต้นในวันที่ 7 สิงหาคม การรุกได้หยุดชะงักลงในระยะทาง 15 กิโลเมตร(9.3 ไมล์) จาก Avranches สาเหตุหลักมาจากอำนาจเหนือน่านฟ้าของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้หน่วยกองกำลังเยอรมันนั้นมีความเสี่ยงที่จะถูกดักล้อม |
ด้วยการที่ไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำในการถอนกำลังของคลูเกอ ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งให้โจมตีตอบโต้กลับใน[[ปฏิบัติการลึททิช]] ระหว่าง Mortain และ Avranches{{sfn|D'Este|1983|pp=413–415}}{{sfn|Barnett|1989|p=407}} เขาได้เรียกร้องให้หน่วยรบยานเกราะที่มีอยู่ทั้งหมดให้ร่วมมือกันในการโจมตีมุ่งเป้าหมายไปที่การเข้ายึดครองคาบสมุทรคอนเตนตินกลับคืนมา และตัดกองกำลังสหรัฐในบริตทานีจากการจัดหาเสบียง{{sfn|D'Este|1983|pp=413–415}} ตามรายงานของเจ้าหน้าที่นายทหารในปฏิบัติการของโอบีเวสต์ Bodo Zimmermann คลูเกอรับรู้ว่า "คงจะดีกว่าที่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ซึ่งอาจหมายถึงการล่มสลายของแนวรบนอร์ม็องดี" แต่ความวิตกกังวลของเขาถูกเพิกเฉย{{sfn|D'Este|1983|pp=413–415}} คลูเกอสามารถรวบรวมกองพลยานเกราะที่หมดสภาพได้เพียงสี่กองพล โดยช่วงเวลาของปฏิบัติการได้เริ่มต้นในวันที่ 7 สิงหาคม การรุกได้หยุดชะงักลงในระยะทาง 15 กิโลเมตร(9.3 ไมล์) จาก Avranches สาเหตุหลักมาจากอำนาจเหนือน่านฟ้าของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้หน่วยกองกำลังเยอรมันนั้นมีความเสี่ยงที่จะถูกดักล้อม{{sfn|D'Este|1983|pp=418–420}}{{sfn|Graeger|1998|p=62}} |
||
การรุกครั้งสุดท้าย [[ปฏิบัติการแทร็กทาเบิล]] ซึ่งถูกเปิดฉากโดยกองทัพแคนาดา เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ซึ่งร่วมกับการรุกของอเมริกาไปยังทางเหนือช็องบัว เป้าหมายของพวกเขาคือการโอบล้อมและทำลายกองทัพเยอรมันที่ 7 และกองทัพยานเกราะที่ 5 ใกล้กับเมืองฟาเลส์ ในคำสั่งสุดท้ายของเขาในฐานะผู้บัญชาการแห่งโอบีเวสต์ คลูเกอได้ออกคำสั่งให้ล่าถอยอย่างเต็มรูปแบบไปทางตะวันออก เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม{{sfn|Hastings|1984|pp=302–303}} ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ได้เข้ายึดครองฟาเลส์จนกระทั่งวันเดียวกันนั่นเอง โดยทิ้งช่องว่างที่มีระยะทาง 24 กิโลเมตร(17 ไมล์) ระหว่างกองกำลังแคนาดาและอเมริกัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันคือ [[ฟาเลส์พ็อกเก็ต|ช่องว่างฟาเลส์]]{{sfn|D'Este|1983|pp=430–431}} ในวันที่ 22 สิงหาคม ช่องว่างซึ่งถูกปกป้องอย่างหมดรูปโดยเยอรมันเพือให้กองกำลังทหารที่ถูกล้อมสามารถหลบหนีไปได้ จนกระทั่งถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ เป็นการยุติของยุทธการที่นอร์ม็องดีด้วยชัยชนะที่เด็ดขาดของฝ่ายสัมพันธมิตร{{sfn|Hastings|1984|pp=304–305; 313}} ในขณะส่วนที่เหลือของกองทัพกลุ่มบีได้หลบหนีไปทางตะวันออก ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ารุกโดยปราศจากการต่อต้านผ่านทางดินแดนที่ไม่มีการป้องกัน แม้ว่าชาวเยอรมันจำนวน 100,000 นายที่สามารถหลบหนีไปได้ จำนวน 10,000 นายที่ถูกสังหาร และอีก 40,000–50,000 นายที่ถูกจับกุม{{sfn|D'Este|1983|pp=430–431}} |
การรุกครั้งสุดท้าย [[ปฏิบัติการแทร็กทาเบิล]] ซึ่งถูกเปิดฉากโดยกองทัพแคนาดา เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ซึ่งร่วมกับการรุกของอเมริกาไปยังทางเหนือช็องบัว เป้าหมายของพวกเขาคือการโอบล้อมและทำลายกองทัพเยอรมันที่ 7 และกองทัพยานเกราะที่ 5 ใกล้กับเมืองฟาเลส์{{sfn|Hastings|1984|pp=301–302}} ในคำสั่งสุดท้ายของเขาในฐานะผู้บัญชาการแห่งโอบีเวสต์ คลูเกอได้ออกคำสั่งให้ล่าถอยอย่างเต็มรูปแบบไปทางตะวันออก เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม{{sfn|Hastings|1984|pp=302–303}} ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ได้เข้ายึดครองฟาเลส์จนกระทั่งวันเดียวกันนั่นเอง โดยทิ้งช่องว่างที่มีระยะทาง 24 กิโลเมตร(17 ไมล์) ระหว่างกองกำลังแคนาดาและอเมริกัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันคือ [[ฟาเลส์พ็อกเก็ต|ช่องว่างฟาเลส์]]{{sfn|D'Este|1983|pp=430–431}} ในวันที่ 22 สิงหาคม ช่องว่างซึ่งถูกปกป้องอย่างหมดรูปโดยเยอรมันเพือให้กองกำลังทหารที่ถูกล้อมสามารถหลบหนีไปได้ จนกระทั่งถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ เป็นการยุติของยุทธการที่นอร์ม็องดีด้วยชัยชนะที่เด็ดขาดของฝ่ายสัมพันธมิตร{{sfn|Hastings|1984|pp=304–305; 313}} ในขณะส่วนที่เหลือของกองทัพกลุ่มบีได้หลบหนีไปทางตะวันออก ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ารุกโดยปราศจากการต่อต้านผ่านทางดินแดนที่ไม่มีการป้องกัน แม้ว่าชาวเยอรมันจำนวน 100,000 นายที่สามารถหลบหนีไปได้ จำนวน 10,000 นายที่ถูกสังหาร และอีก 40,000–50,000 นายที่ถูกจับกุม{{sfn|D'Este|1983|pp=430–431}} |
||
=== แผนลับต่อต้านฮิตเลอร์ === |
=== แผนลับต่อต้านฮิตเลอร์ === |
||
ด้วยการติดต่อผ่านทาง[[คาร์ล-ไฮน์ริช ฟ็อน ชตึลพ์นาเกิล]] คลูเกอได้ทราบแผนลับ 20 กรกฎาคมเพื่อต่อต้านฮิตเลอร์ เขาตกลงที่จะสนับสนุนการยึดอำนาจของเหล่าผู้สมรู้ร่วมคิด ถ้าฮิตเลอร์ถูกสังหาร{{sfn|Barnett|1989|pp=406–407}} ในกรุงปารีส เหล่าผู้สมรู้ร่วมคิดได้เข้าจับกุมสมาชิกของ[[ชุทซ์ชตัฟเฟิล|หน่วยเอ็สเอ็ส]]และ[[ซิชเชอร์ไฮทซ์ดีนสท์|เอ็สดี]]จำนวนกว่า 1,200 คน และภายหลังจากการลอบสังหารได้ล้มเหลว ชตึลพ์นาเกิลและ Caesar von Hofacker ได้เข้าพบกับคลูเกอที่กองบัญชาการของเขาใน La Roche-Guyon{{sfn|Barnett|1989|pp=406–407}}{{sfn|Reuth|2005|p=182}} เมื่อทราบว่าฮิตเลอร์ยังมีชีวิตอยู่ คลูเกอจึงถอนตัวการสนับสนุนและยกเลิกหมายจับกุม{{sfn|Barnett|1989|pp=406–407}} |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม รถของคลูเกอได้รับความเสียหายจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร และเขาถูกตัดขาดจากการติดต่อทั้งหมดกับกองกำลังของเขาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ฮิตเลอร์เคลือบแคลงสงสัยทันทีว่าคลูเกอกำลังจะเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร เขาถูกปลดออกในอีกสองวันต่อมาและถูกแทนที่โดยโมเดิล{{sfn|Hastings|1984|pp=302–303}} เมื่อเขาถูกเรียกตัวกลับไปยังกรุงเบอร์ลินเพื่อเข้าพบฮิตเลอร์ คลูเกอมีความเชื่อว่า ฮิตเลอร์รับรู้แล้วว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในแผนลับ 20 กรกฎาคม และตัดสินใจเลือกที่จะฆ่าตัวตาย เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม โดยการกินยาพิษ[[โพแทสเซียมไซยาไนด์]]{{sfn|Shirer|1990|pp=1076–1077}} ในคำให้การครั้งสุดท้ายของเขา เขายืนยันในความจงรักภักดีต่อฮิตเลอร์และแสดงความเห็นว่า เยอรมนีจำเป็นต้องยุติสงคราม โดยเขียนว่า "ประชาชนชาวเยอรมันได้รับคามทุกข์ทรมานอย่างนับไม่ถ้วน คงถึงเวลาที่จะต้องยุติความน่าสะพรึงกลัวนี้ได้แล้ว"{{sfn|Hastings|1984|pp=302–303}}{{sfn|Barnett|1989|p=408}} |
|||
== รางวัลเกียรติยศ == |
== รางวัลเกียรติยศ == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:17, 30 กันยายน 2564
กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ | |
---|---|
จอมพล กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ | |
ชื่อเล่น | แดร์คลูเกอฮันส์ |
เกิด | 30 ตุลาคม ค.ศ. 1882 โพเซิน, ราชอาณาจักรปรัสเซีย, จักรวรรดิเยอรมัน |
เสียชีวิต | 19 สิงหาคม ค.ศ. 1944 แม็ส, นาซีเยอรมนี | (61 ปี)
รับใช้ | เยอรมนี เยอรมนี ไรช์เยอรมัน |
แผนก/ | กองทัพเยอรมัน 1901–1919 ไรชส์แวร์ 1919–1935 แวร์มัคท์ 1935–1944 |
ประจำการ | 1901–1944 |
ชั้นยศ | จอมพล |
หน่วย | 46th Field Artillery Regiment XXI Corps |
บังคับบัญชา | 4th Army Army Group Centre |
การยุทธ์ | สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง |
บำเหน็จ | กางเขนเหล็กกางเขนอัศวินประดับด้วยใบโอ๊กและดาบ |
กึนเทอร์ อดอล์ฟ แฟร์ดีนันท์ ฟ็อน คลูเกอ (30 ตุลาคม ค.ศ. 1882 – 19 สิงหาคม ค.ศ. 1944) ยังเป็นรู้จักกันคือ ฮันส์ กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ เป็นจอมพลชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งได้บัญชาการการรบทั้งแนวรบตะวันออกและแนวรบตะวันตก เขาได้บัญชาการแก่กองทัพที่ 4 ของแวร์มัคท์ในช่วงการบุกครองโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 และยุทธการที่ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1940 ได้รับเลื่อนตำแหน่งยศเป็นจอมพลไรช์ คลูเกอยังคงบัญชาการกองทัพที่ 4 ในปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา(การบุกครองสหภาพโซเวียต) และยุทธการที่มอสโกในปี ค.ศ. 1941
ท่ามกลางวิกฤตของการรุกตอบโต้กลับของโซเวียตในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 คลูเกอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการแห่งกองทัพกลุ่มกลาง เข้ามาแทนที่กับจอมพล เฟดอร์ ฟ็อน บ็อค สมาชิกหลายคนของกลุ่มทหารเยอรมันฝ่ายต่อต้านอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ซึ่งทำหน้าที่ในคณะเสนาธิการของเขา รวมทั้งเฮ็นนิง ฟ็อน เทร็สโค คลูเกอได้รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของผู้วางแผนก่อกบฏ แต่ปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนยกเว้นแต่เพียงฮิตเลอร์จะถูกสังหาร การบัญชาการของเขาในแนวรบด้านตะวันออกได้ดำเนินไปจนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1943 เมื่อคลูเกอได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ภายหลังจากได้พักฟื้นรักษาตัวเป็นเวลานาน คลูเกอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตะวันตก(OB West) ในเขตยึดครองฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944 ภายหลังคนก่อนหน้านี้ จอมพล แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท ถูกสั่งปลดเพราะมีความเชื่อว่าจะพ่ายแพ้สงคราม กองกำลังของคลูเกอไม่สามารถหยุดยั้งแรงผลักดันของการบุกครองนอร์ม็องดีของฝ่ายสัมพันธมิตรไว้ได้ และเขาเริ่มตระหนักแล้วว่าสงครามทางด้านตะวันตกกำลังจะพ่ายแพ้แล้ว แม้ว่าคลูเกอจะไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในแผนลับ 20 กรกฎาคม แต่ภายหลังการก่อรัฐประหารได้ล้มเหลว เขาได้กระทำอัตวินิบาตกรรมในวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1944 หลังจากที่ถูกเรียกตัวกลับไปยังกรุงเบอร์ลินเพื่อเข้าพบกับฮิตเลอร์ ดังนั้นตำแหน่งของคลูเกอร์จึงถูกแทนที่โดยจอมพล วัลเทอร์ โมเดิล
ช่วงชีวิตตอนต้นและอาชีพ
คลูเกอเกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1882 ในโพเซิน ปรัสเซีย และปัจจุบันคือทางตะวันตกของโปแลนด์[1] พ่อของเขา แม็กซ์ ฟ็อน คลูเกอ ซึ่งมาจากครอบครัวทหารปรัสเซียชนชั้นสูง ด้วยการเป็นผู้บัญชาการที่มีความโดดเด่น แม็กซ์เป็นนายทหารตำแหน่งยศพลโทในกองทัพบกปรัสเซีย ซึ่งประจำการอยู่ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้แต่งงานกับ lise Kühn-Schuhmann[1] ในปี ค.ศ. 1881 คลูเกอเป็นหนึ่งในลูกชายสองคน ซึ่งมีน้องชายที่ชื่อว่า ว็อล์ฟกัง (ค.ศ. 1892-1976)[1] ว็อล์ฟกังได้ปฏิบัติหน้าที่ในสงครามโลกสองครั้ง ได้รับเลื่อนยศตำแหน่งเป็นพลโท ในปี ค.ศ. 1943, และเป็นผู้บัญชาการแห่งป้อมปราการดันเคิร์ก ระหว่างเดือนกรกฏาคม ถึง เดือนกันยายน ค.ศ. 1944[2]
ในปี ค.ศ. 1901 คลูเกอได้รับหน้าที่ในกรมทหารปืนใหญ่ภาคสนามที่ 46 แห่งกองทัพบกปรัสเซีย เขาได้ทำหน้าที่ในคณะเสนาธิการทั่วไป ระหว่างปี ค.ศ. 1910 และ ค.ศ. 1918 ได้รับเลื่อนตำแหน่งยศเป็นร้อยเอกบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขายังคงประจำการอยู่ในไรชส์แวร์ภายหลังความขัดแย้ง จนได้เป็นพันเอกในปี ค.ศ. 1930 พลตรีในปี ค.ศ. 1933 และพลโทในอีกหนึ่งปีต่อมา[1] วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1934 คลูเกอได้บัญชาการแก่กองพลที่ 6 ในมึนส์เทอร์[1] คำประกาศแวร์มัคท์ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในปี ค.ศ. 1935 ได้เร่งรัดการกำหนดของเขาให้กับกองพลน้อยที่ 6 และกองทัพกลุ่มที่ 6 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกองทัพที่ 4 [1]
คลูเกอเชื่อว่า "ลัทธิแสนยนิยมที่หยาบประด้าง" ของฮิตเลอร์จะนำพาเยอรมนีไปสู่หายนะ ในช่วงวิกฤตการณ์ซูเดเทินลันท์ เขาเป็นสมาชิกของกลุ่มลับต่อต้านสงครามซึ่งนำโดยลูทวิช เบ็ค และ Ernst von Weizsäcker ได้คาดหวังว่าจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในดินแดนข้อพิพาท วิกฤตดังกล่าวได้ถูกเบี่ยงเบนโดยข้อตกลงมิวนิก เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1938 แม้ว่าเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ถึงพวกนาซีเป็นการส่วนตัว แต่คลูเกอมีความเชื่อมั่นในหลักการของเลเบินส์เราม์ (พื้นที่อยู่อาศัย) และภาคภูมิใจในการฟื้นแสนยานุภาพของแวร์มัคท์[3]
เขาได้มีชื่อเล่นว่า เดอ คลูเกอ ฮันส์ ("เคลฟเวอร์ ฮันส์") ตามชื่อของม้าเยอรมันที่สามารถคำนวณคิดเลขได้[4]
สงครามโลกครั้งที่สอง
การบุกครองโปแลนด์
ฮิตเลอร์ได้อนุมัติเค้าโครงสำหรับการรุกรานโปแลนด์ของกองบัญชาการใหญ่กองทัพบกเยอรมันกับกองทัพสองกลุ่มในช่วงการบรรยายสรุปทางทหาร เมื่อวันที่ 26-27 เมษายน ค.ศ. 1939[5] กองทัพที่ 4 ของคลูเกอได้รับมอบหมายให้เป็นกองกำลังของกองทัพกลุ่มเหนือภายใต้การบัญชาการโดยเฟดอร์ ฟ็อน บ็อค[6] การทัพโปแลนด์ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อวันที่ 1 กันยายน โดยใช้ประโยชน์จากชายแดนที่ยืดยาวติดกับประเทศเยอรมนี กองทัพที่ 4 ได้เคลื่อนทัพไปทางตะวันออกเข้าสู่ฉนวนจากทางตะวันตกของพอเมอเรเนียเพื่อเข้าสมทบกับกองทัพที่ 3 เมืองท่าเรือดันท์ซิชได้ถูกยึดครองภายในวันแรก[7]
ในวันต่อมา ด้วยความวิตกกังวลต่อแนวป้องกันของโปแลนด์ที่แข็งแกร่งตามแนวแม่น้ำเบรดาไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน กองทัพที่ 4 ได้ข้ามแม่น้ำ ทำการปิดล้อมกองพลทหารราบที่ 9 กองพลทหารราบที่ 27 และกองพลน้อยทหารม้าพอเมอเรเนียของโปแลนด์ไว้ในฉนวน คลูเกอได้ส่งกองพลยานเกราะที่ 10 จากกองทัพของเขาเองให้ข้ามแม่น้ำวิสตูล่า ไปสมทบกับกองทัพที่ 3 เมื่อวันที่ 3 กันยายน[8] กองทัพน้อยยานเกราะที่ 19 (ไฮนทซ์ กูเดรีอัน) ได้เข้ายึดครองเมืองเบรสท์ เมื่อวันที่ 17 กันยายน ภายหลังสามวันของการสู้รบในยุทธการที่เบรสท์-ลีตอฟสก์[9] กองทัพกลุ่มเหนือได้รับแจ้งข่าวว่า การบุกครองโปแลนด์ทางตะวันออกของกองทัพในวันเดียวกัน และได้รับคำสั่งให้อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ Bug เมืองเบรสท์ได้ถูกส่งไปให้กับกองทัพโซเวียต เมื่อวันที่ 22 กันยายน สำหรับการโอบล้อมต่อกองกำลังโปแลนด์ในช่วงเริ่มต้นของการบุกครอง คลูเกอได้รับการยกย่องจากฮิตเลอร์ว่าเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการที่เก่งกาจที่สุดของเขา[6]
ยุทธการที่ฝรั่งเศส
ในการเตรียมความพร้อมสำหรับฟัลเก็ลพ์ ("กรณีเหลือง") การบุกครองฝรั่งเศส คลูเกอและกองทัพที่ 4 ได้ถูกย้ายไปอยู่ในกองทัพกลุ่มเอภายใต้บัญชาการของแกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท[10] ฮิตเลอร์ยังคงมองหาทางเลือกที่ดูก้าวร้าวมาแทนที่ในแผนการเดิม ได้ยอมรับความคิดของเอริช ฟ็อน มันชไตน์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันคือ แผนมันชไตน์ ภายหลังการประชุมกับพวกเขา เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1940[10] แผนการได้ระบุว่า กองทัพที่ 4 จะให้การสนับสนุนเพื่อเข้าโจมตีผ่านภูมิประเทศอาร์แดนที่ดูขรุขระจากทางตอนใต้ของเบลเยียมและลักเซมเบิร์กมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำเมิซ คลูเกอได้มอบหมายให้กองทัพน้อยกองทัพบกที่ 15 ทำการห้อมล้อมกองพลยานเกราะที่ 5 และที่ 7 เพื่อจัดตั้งปีกคุ้มกันแก่กองทัพน้อยของ Georg-Hans Reinhardt โดยการข้ามแม่น้ำเมิซที่ Dinant[11]
การเปิดฉาก เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม กรณีเหลืองเริ่มประสบความสำเร็จ กองทัพน้อยของคลูเกอได้เข้ารุกอย่างรวดเร็ว จนมาถึงแม่น้ำเมิซในสองวัน[12] ในการข้ามแม่น้ำ ผู้นำหัวหอกโดยแอร์วีน ร็อมเมิล ผู้บัญชาการยานเกราะที่ 7 ได้สร้างหัวสะพานบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเมิซ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม และบีบบังคับให้กองทัพฝรั่งเศสที่ 9 ต้องล่าถอย[13] กองกำลังของคลูเกอ - โดยเฉพาะกองพลยานเกราะที่ 7 ได้ประสบความเร็วในการบุกทะลวงอย่างรวดเร็วจากหัวสะพานของพวกเขาในวันต่อมา ระหว่างวันที่ 16 และ 17 พฤษภาคม ร็อมเมิลได้จับกุมเชลยศึกจำนวน 10,000 นาย และยึดรถถัง 100 คัน และกวาดล้างกองทัพฝรั่งเศสที่ 9 ที่หลงเหลืออยู่โดยสูญเสียกำลังคนไปเพียง 35 นาย[14] ด้วยการเคลื่อนทัพที่ยาวไกลเกินไปและนำหน้าอย่างเต็มที่ของกองทัพกลุ่ม กองพลยานเกราะที่ 5 และที่ 7 ได้ป้องกันการโจมตีตอบโต้กลับร่วมกันของบริติช-ฝรั่งเศส ใกล้กับเมืองอารัส เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม[15]
หลังจากการประชุมกับฮิตเลอร์และรุนท์ชเต็ท คลูเกอได้ออกคำสั่งแก่หน่วยยานเกราะของเขาให้หยุด เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ซึ่งอยู่ห่างระยะทางเพียง 16 กิโลเมตร(9.9 ไมล์) จากเดิงแกร์ก ซึ่งในขณะนั้นเป็นเส้นทางการหลบหนีที่เป็นไปได้สำหรับกองกำลังรบนอกประเทศบริติช[15] การหยุดพักชั่วคราวเพียงสองวันทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรทำการรวบรวมกำลังคนบริเวณรอบเดิงแกร์กและเตรียมความพร้อมสำหรับการอพยพ[15] เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ณ จุดเริ่มต้นของฟัลโรท (กรณีแดง) ระยะที่สองของแผนการบุกครอง กองทัพที่ 4 ของคลูเกอได้ช่วยเหลือในการบรรลุการบุกทะลวงครั้งแรกที่อาเมียงและมุ่งหน้าไปถึงแม่น้ำแซน เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน[16][17] การบัญชาการของคลูเกอและการนำทัพของร็อมเมิลในช่วงตลอดของการบุกครองทำให้เขาได้รับเลื่อนตำแหน่งยศเป็นแกเนอราลเฟ็ลท์มาร์ชัล(จอมพล) เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม[16]
การบุกครองสหภาพโซเวียต
คลูเกอได้บัญชาการแก่กองทัพที่ 4 ในการเปิดฉากปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพกลุ่มกลาง นอกเหนือจากการบัญชาการของเขา กองทัพกลุ่มซึ่งรวมทั้งกองทัพบกภาคสนาม กองทัพที่ 9 และขบวนเคลื่อนที่เร็วสองหน่วย กลุ่มยานเกราะที่ 2 (ไฮนทซ์ กูเดรีอัน) และที่ 3 (แฮร์มันน์ โฮท)[18]
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน คลูเกอได้ออกคำสั่งว่า ผู้หญิงที่อยู่ในชุดเครื่องแบบจะต้องถูกยิงทิ้ง ตามที่สอดคล้องกับโลกทัศน์ในอุดมการณ์นาซี ซึ่งถือว่า ผู้ต่อสู้รบที่เป็นผู้หญิงเป็นการแสดงให้เห็นถึงรูปแบบหนึ่งของลัทธิบอลเชวิคที่ดู"ป่าเถื่อน" ซึ่งบทบาททางเพศตามธรรมชาติได้พลิกกลับ คำสั่งดังกล่าวได้ถูกยกเลิกในวันต่อมา และให้จับกุมผู้หญิงที่อยู่ในชุดเครื่องแบบแทน[19] เมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม กองบัญชาการใหญ่กองทัพบกเยอรมัน (OKH) ได้ส่งมอบกลุ่มยานเกราะที่ 2 และที่ 3 ให้อยู่ภายใต้บัญชาการของคลูเกอ เพื่อปรับปรุงการประสานงานระหว่างหัวหอกยานเกราะที่เคลื่อนที่เร็วและทหารราบที่เชื่องช้า ผลลัพธ์ได้ก่อตัวขึ้นทำให้เกิดสามัคคีบนกระดาษ ในความเป็นจริง ผู้บัญชาการกลุ่มยานเกราะมักจะขัดคำสั่งของคลูเกอและกูเดรีอัน และคลูเกอหมั่นไส้แต่ละคนเป็นการส่วนตัว[20][21] คลูเกอได้ยอมแพ้ทั้งหมดยกเว้นแต่กองทัพน้อยทหารราบสองหน่วยของเขา กองทัพน้อยหน่วยอื่น ๆ ของเขาได้รับมอบหมายให้เป็นกองทัพที่ 2 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ถูกจัดให้เป็นกองกำลังสำรอง[22]
ด้วยการคาดหวังว่า สงครามในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งไม่มีความจำเป็นในการแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานโซเวียตสำหรับความพยายามในการทำสงครามของเยอรมัน กองบัญชาการใหญ่และผู้นำทางทหารไม่ได้เตรียมความพร้อมที่เพียงพอสำหรับที่พักเชลยศึกและพลเรือนที่ถูกคุมขัง ในเขตบังคับบัญชาการของคลูเกอ เชลยศึก 100,000 นายและพลเรือน 40,000 คนได้ถูกต้อนเข้าไปในค่ายกลางแจ้งขนาดเล็กในมินสค์ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 ท่ามกลางสภาพที่ดูทรุดโทรมและความอดอยากในค่าย องค์กรท็อทได้ร้องขอให้คลูเกอปล่อยคนงานที่มีความสามารถจำนวน 10,000 คน คลูเกอได้ปฏิเสธและต้องการตัดสินใจเกี่ยวกับนักโทษด้วยตัวเขาเอง[23]
ในส่วนหนึ่งของแผนความหิว ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของสงครามของการทำลายล้างกับสหภาพโซเวียต แวร์มัคท์ส่วนใหญ่คาดหวังว่า "พื้นที่ที่จะได้อยู่อาศัย" ดังนั้น การฉกชิงทรัพย์ การปล้นสะดม และการกระทำทารุณต่อประชากรพลเรือนได้ลุกลามมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ด้านหลัง ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1941 คลูเกอได้ออกคำสั่งให้กองทหารของเขามุ่งเป้าไปที่การฟื้นฟูกฎระบียบวินัย โดยกล่าวว่า "ถึงเวลาแล้วที่จะต้องยุติวิธีการได้รับเสบียงอย่างไม่ยุติธรรม การโจมตีโฉบฉวย การเที่ยวปล้นสะดมในระยะทางอันกว้างใหญ่ การกระทำที่ไร้สติและอาชญากรรมทั้งหมด " คลูเกอได้ข่มขู่ว่าจะใช้มาตรการรุนแรงต่อผู้รับผิดชอบพร้อมกับผู้บัญชาการทหารระดับสูงของพวกเขาที่ล้มเหลวในการรักษากฎระบียบวินัย[24]
ยุทธการที่มอสโก
ในช่วงปฏิบัติการไต้ฝุ่น เยอรมันได้เข้ารุกสู่กรุงมอสโก คลูเกอได้กลุ่มยานเกราะที่ 4 ภายใต้บัญชาการโดยเอริช เฮิพเนอร์ ซึ่งมาอยู่ใต้บังคับบัญชาการของกองทัพที่ 4 ในช่วงต้นเดือนตุลาคม กลุ่มยานเกราะที่ 4 ได้ทำการโอบล้อมที่ Vyazma อย่างสมบูรณ์ ด้วยความไม่พอใจอย่างมากของเฮิพเนอร์ คลูเกอได้สั่งให้เขาหยุดการรุก เนื่องจากหน่วยของเขามีความจำเป็นเพื่อขัดขวางการตีฝ่าวงล้อมของกองทัพโซเวียต เฮิพเนอร์นั้นมีความมั่นใจว่า จะสามารถเคลียร์วงล้อมและรุกเข้าสู่กรุงมอสโกซึ่งสามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน เขามองว่า การกระทำของคลูเกอเป็นการแทรกแซง ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งและ"การปะทะ" กับหัวหน้าของเขา ในขณะที่เขาได้เขียนจดหมายไปทางบ้าน เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม[25] ดูเหมือนว่า เฮิพเนอร์จะไม่ปลื้มที่หน่วยของเขามีเชื้อเพลิงน้อยมาก กองพลยานเกราะที่ 11 ได้รายงานว่าไม่มีเชื้อเพลิงเลย มีเพียงแต่กองพลยานเกราะที่ 20 ซึ่งมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงมอสโกท่ามกลางสภาพถนนที่ทรุดโทรม[26]
วันที่ 17 พฤศจิกายน กลุ่มยานเกราะที่ 4 เข้าโจมตีมอสโกอีกครั้งพร้อมกับกองทัพน้อยกองทัพที่ 5 ของกองทัพที่ 4 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการไต้ฝุ่นโดยกองทัพกลุ่มกลาง กลุ่มยานเกราะและกองทัพน้อยกองทัพบกได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นกองกำลังที่ดีที่สุดของคลูเกอ ซึ่งมีความพร้อมอย่างมากสำหรับการรุกอย่างต่อเนื่อง ในการสู้รบสองสัปดาห์ กองทัพเยอรมันได้เข้ารุกเพียงระยะทาง 60 กิโลเมตร (37 ไมล์)(4 กิโลเมตร (2.5 ไมล์) ต่อวัน)[27] การขาดแคลนรถถัง การขนส่งทางรถยนต์ที่ไม่เพียงพอ และสถานการณ์ด้านเสบียงที่ดูล่อแหลม พร้อมกับการต้านทานที่เหนี่ยวแน่นของกองทัพแดง และอำนาจเหนือน่านฟ้าที่ทำได้โดยเครื่องบินรบของโซเวียตได้เข้าขัดขวางการโจมตี[28]
เมื่อเผชิญแรงกดดันจากกองบัญชาการใหญ่ ในที่สุดคลูเกอได้ส่งกองกำลังเข้าโจมตีปืกใต้ที่อ่อนแอ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ในภายหลังจากการสู้รบ เฮิพเนอร์และกูเดรีอันได้กล่าวโทษความมุ่งมั่นที่ล่าช้าของคลูเกอที่ปีกใต้ของกองทัพที่ 4 เพื่อเข้าโจมตีสำหรับความล้มเหลวของเยอรมันในการเข้าถึงมอสโก นักประวัติศาสตร์ที่ชื่อว่า David Stahel ได้เขียนว่า การประเมินผลครั้งนี้ได้ประเมินความสามารถสูงเกินไปอย่างไม่ลดละของกองกำลังที่เหลืออยู่ของคลูเกอ[29] พวกเขายังมองไม่เห็นถึงความเป็นจริงที่ว่ากรุงมอสโกเป็นเมืองขนาดใหญ่ และกองกำลังเยอรมันก็ขาดแคลนกำลังคนจำนวนมากเพื่อการโอบล้อม ด้วยแนวป้องกันชั้นนอกได้เสร็จสิ้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน มอสโกจึงเป็นตำแหน่งที่มีป้อมปราการซึ่งแวร์มัคท์ขาดแคลนกำลังคนเพื่อเข้าจู่โจมส่วนหน้า การโจมตีที่ไกลห่างออกไปได้ถูกยกเลิก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม กองทัพแดงได้เปิดฉากการรุกตอบโต้กลับฤดูหนาวในวันเดียวกัน[30]
กองทัพกลุ่มกลาง
ภายหลังจากเฟดอร์ ฟ็อน บ็อคถูกปลดออกจากการบังคับบัญชาการแก่กองทัพกลุ่มกลาง เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม คลูเกอได้รับตำแหน่งหน้าที่แทนที่เขา[31][32] การสู้รบอันขมขืนยังคงดำเนินต่อไปในภาคส่วนของกองทัพกลุ่มกลางในฤดูหนาวและช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถรุกคืบหน้าไปได้มากนัก กองทัพเยอรมันยังยึดครองอยู่แต่แทบไม่ได้มากนัก[33] ในช่วงการทัพฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1942 กรณีสีน้ำเงิน กองทัพกลุ่มได้รับหน้าที่ในตำแหน่งนี้[34]
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1942 คลูเกอได้รับจดหมายอวยพรจากฮิตเลอร์พร้อมกับเช็คเงินสดมูลค่าครึ่งล้านไรชส์มาร์ค[a][35] ซึ่งถูกทำออกมาให้แก่เขาจากกองคลังเยอรมัน รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาในการจ่ายค่าปรับปรุงที่ดินของเขาซึ่งสามารถเรียกเก็บได้จากรัฐ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการติดสินบนโครงสร้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของแวร์มัคท์[36] คลูเกอได้ยอมรับเงินนี้ ภายหลังการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากหัวหน้าคณะเสนาธิการ เฮ็นนิง ฟ็อน เทร็สโค ที่ได้ประณามเขาเรื่องการทุจริต เขาได้ตกลงที่จะเข้าพบกับคาร์ล ฟรีดริช เกอร์เดอเลอร์ ผู้ต่อต้านระบอบนาซี ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1942[37] คลูเกอได้ให้คำมั่นสัญญากับเกอร์เดอเลอร์ว่า เขาจะจับกุมฮิตเลอร์ในครั้งต่อไป เมื่อเขามาที่แนวรบด้านตะวันออก แต่หลังจากนั้นก็ได้รับ"ของขวัญ" อีกชิ้นหนึ่งจากฮิตเลอร์ เขาจึงเปลี่ยนใจและตัดสินใจที่จะยังคงจงรักภักดีต่อไป[38] ฮิตเลอร์ที่ดูเหมือนว่าจะเคยได้ยินว่า คลูเกอจะไม่พอใจกับความเป็นผู้นำของเขา ซึ่งถือว่า "ของขวัญ"ของเขาเป็นการให้สิทธิ์เขาแก่ความจงรักภักดีทั้งหมดของคลูเกอ[38]
ตลอดช่วงปี ค.ศ. 1942 และต้นปี ค.ศ. 1943 กองทัพกลุ่มกลางได้มีส่วนร่วมในการทำสงครามประจำตำแหน่งบริเวณรอบ ๆ ส่วนยื่นออกมาของรเจฟเพื่อต่อกรกับการรุกของกองทัพแดง หรือที่เรียกโดยรวมกันว่า ยุทธการที่รเจฟ กองทัพโซเวียตได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปฏิบัติการมาส์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับปฏิบัติการยูเรนัส การโอบล้อมกองทัพเยอรมันในยุทธการที่สตาลินกราด กองกำลังของคลูเกอได้หมดกำลังลงอย่างสิ้นเชิงและในช่วงต้นปี ค.ศ. 1943 เขาได้รับอนุญาตให้ถอนกำลังแก่กองทัพที่ 9 (วัลเทอร์ โมเดิล) และองค์ประกอบของกองทัพที่ 4 (นายพล Gotthard Heinrici) ออกจากส่วนยื่นออกมา ผลลัพธ์ของปฏิบัติการบึเฟิลแสดงให้เห็นว่า แวร์มัคท์ได้ละทิ้งส่วนยื่นออกมา ในช่วงระหว่างวันที่ 1 และ 22 มีนาคม ค.ศ. 1943 ปฏิบัติการดังกล่าวได้กำจัดส่วนที่ยื่นออกมาที่ทำให้แนวรบของเยอรมันสั้นลงจากระยะทาง 370 กิโลเมตร (230 ไมล์) การถอนกำลังดังกล่าวได้เกิดขึ้นพร้อมกับกลยุทธ์ผลาญภพที่ดูโหดเหี้ยมและการทัพความมั่นคง ส่งผลทำให้เกิดการทำลายล้างอย่างกว้างขวาง การเผาผลาญหมู่บ้าน การเนรเทศประชากรชายฉกรรจ์สำหรับแรงงานทาส และการสังหารพลเรือนโดยกองกำลังของแวร์มัคท์ ซึ่งอยู่ในลักษณะของ"การสงครามต่อต้านพลพรรค"[39]
วันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1943 ฮิตเลอร์ได้อนุญาตให้เข้าโจมตีหลายครั้ง รวมทั้งครั้งหนึ่งที่ได้เข้าปะทะกับส่วนที่ออกมาของคูสค์[40][41] เมื่อการต่อต้านครั้งสุดท้ายของโซเวียตในยุทธการที่ฮาร์คอฟครั้งที่ 3 ได้ยุติลง เอริช ฟ็อน มันชไตน์ ผู้บัญชาการกองทัพกลุ่มใต้ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้คลูเกอเข้าโจมตีแนวรบกลางของโซเวียตโดยทันที ซึ่งเป็นการป้องกันจากทางตอนเหนือของส่วนที่ยื่นออกมา คลูเกอได้ปฏิเสธ โดยเชื่อว่ากองกำลังของเขาอ่อนแอเกินกว่าที่จะเข้าโจมตีได้[42] ในช่วงกลางเดือนเมษายน ท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้ายและกองทัพเยอรมันที่หมดกำลังลงและจำเป็นต้องปรับปรุง การรุกได้ถูกเลื่อนออกไป[43][44]
วันที่ 15 เมษายน ฮิตเลอร์และกองบัญชาการใหญ่ได้ออกคำสั่งให้เริ่มปฏิบัติการใหม่สำหรับการรุก รหัสนามว่า ซิทาเดล (Zitadelle) ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 3 พฤษภาคมหรือหลังจากนั้นได้ไม่นานในการเข้าปะทะส่วนที่ยื่นออกมาของคูสค์[45] ปฏิบัติการซิทาเดลดังกล่าวได้นำไปสู่ยุทธการที่คูสค์ เพื่อเรียกร้องสำหรับการโอบล้อมสองครั้ง กองทัพกลุ่มกลางได้จัดตั้งกองทัพที่ 9 ของโมเดิลเพื่อเป็นก้ามปูทางเหนือ[46] กองทัพยานเกราะที่ 4 และกองทัพ Detachment Kempf ของกองทัพกลุ่มใต้ได้มุ่งหน้าขึ้นเหนือเพื่อสมทบกับกองทัพที่ 9 ทางตะวันออกของคูสค์[47][48] ในขณะที่กำลังวางแผนและการเตรียมความพร้อมยังคงดำเนินต่อไป ในปลายเดือนเมษายน โมเดิลได้เข้าพบกับฮิตเลอร์ซึ่งแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับตำแหน่งการป้องกันอันแข็งแกร่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยกองทัพแดงในเขตภาคของเขา[49]
ฮิตเลอร์ได้เรียกเจ้าหน้าที่ระดับสูงและที่ปรึกษาของเขาให้เข้ามาประชุมที่มิวนิก เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม มีตัวเลือกมากมายสำหรับความคิดเห็น: ให้เข้าโจมตีทันทีด้วยกองกำลังที่มีอยู่ ชะลอการรุกครั้งต่อไปเพื่อรอการมาถึงของรถถังชนิดใหม่และดีกว่า แก้ไขปฏิบัติการอย่างกระทันหัน หรือยกเลิกโดยสิ้นเชิง มันชไตน์ได้สนับสนุนให้เข้าโจมตีแต่เนิ่น ๆ แต่ได้ร้องขอกองพลทหารราบเพิ่มเติมอีกสองกองพล ซึ่งฮิตเลอร์ได้ตอบว่าแทบจะไม่มีอยู่เลย คลูเกอได้แสดงความคิดเห็นอย่างแข็งกร้าวในการชะลอเลื่อนออกไปและลดเครื่องมิอสำหรับการลาดตะเวนของโมเดิล นายพล ไฮนทซ์ กูเดรีอัน ผู้ตรวจการกองทัพ ได้โต้แย้งถึงปฏิบัติการดังกล่าว โดยระบุว่า "เป็นการโจมตีที่ไร้จุดหมาย"[50] การประชุมได้สิ้นสุดลงโดยที่ฮิตเลอร์ไม่อาจตัดสินใจได้ แต่ซิทาเดลไม่ได้ถูกยกเลิก[50]
ปฏิบัติการดังกล่าวได้เปิดฉาก เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ได้เกิดความผิดพลาดนับตั้งแต่เริ่มต้น ในเขตภาคเหนือ กองกำลังโซเวียตสามารถหยุดยั้งการรุกของเยอรมันอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 10 กรกฎาคม[51] เมื่อวันที่ 12 กรกฏาคม กองทัพแดงได้เปิดฉากปฏิบัติการคูตูซอฟ ซึ่งเป็นการรุกตอบโต้กลับต่อส่วนที่ยื่นออกมาของโอเริล ซึ่งได้เข้าคุกคามทางด้านปีกและด้านหลังของกองทัพที่ 9 ของโมเดิล ในช่วงเย็นของวันที่ 12 กรกฏาคม ฮิตเลอร์ได้เรียกคลูเกอและมันชไตน์มาที่กองบัญชาการของเขาที่ Rastenburg ในปรัสเซียตะวันออก ซึ่งเขาได้ประกาศยกเลิกซิทาเดล[52] ท่ามกลางการสู้รบอย่างหนัก กองทัพแดงได้เข้าสู่โอเริล เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม และในวันที่ 18 สิงหาคม กองทัพแดงได้มาถึงชานเมืองของ Bryansk โดยได้กำจัดส่วนที่ยื่นออกมาของโอเริล[53] เมื่อกองทัพกลุ่มกลางได้ล่าถอยกลับไปยังตำแหน่งการป้องกันที่ได้เตรียมไว้ การต่อต้านของเยอรมันก็แข็งขันและกองทัพโซเวียตต้องใช้เวลานานจนกระทั่งปลายเดิอนกันยายนในการปลดปล่อยสโมเลนสค์[54]
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1943 คลูเกอได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาไม่สามารถกลับไปปฏิบัติหน้าที่ได้จนถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944[55] จอมพล แอ็นสท์ บุช ได้เข้ามาแทนที่คลูเกอในฐานะผู้บัญชาการแห่งกองทัพกลุ่มกลาง[56]
แนวรบด้านตะวันตก
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944 คลูเกอได้รับแต่งตั้งให้เป็นโอบีเวสต์(ผู้บัญชาการแห่งกองทัพเยอรมันในตะวันตก) ภายหลังจากคนก่อนหน้านี้ แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท ถูกสั่งปลดเพราะมีความเชื่อว่ากำลังจะพ่ายแพ้สงคราม[57] ด้วยความคิดริเริ่มที่เป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร คลูเกอได้พยายามแสดงสิทธิ์อำนาจเหนือร็อมเมิล ซึ่งรับผิดชอบดูแลกองทัพกลุ่มบี และสร้างความมั่นใจให้แก่กองบัญชาการของเขาในการป้องกันนอร์ม็องดี[58] เมื่อถึงวันที่ 12 กรกฏาคม คลูเกอได้ออกตรวจแนวหน้าและได้รับฟังการบรรยายสรุปจากผู้บัญชาการภาคสนาม คลูเกอได้แสดงความคิดเห็นถึงข้อสงสัยของเขาแก่อัลเฟรท โยเดิล : "ผมไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ร้าย แต่ในความคิดของผม สถานการณ์ก็ไม่น่าจะเลวร้ายลง"[58] ห้าวันต่อมา ร็อมเมิลได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเครื่องบินรบของกองทัพอากาศแคนาดา(RCAF) ระดมยิงใส่รถประจำตำแหน่งของเขา ทำให้รถได้เบี่ยงออกจากถนน คลูเกอได้ช่วงต่อจากเขาในการบังคับบัญชาการแก่กองทัพกลุ่มบี ในขณะที่ยังคงดำรงตำแหน่งอื่น ๆ เอาไว้[58]
ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ขับไล่เยอรมันออกจากเนินเขาที่สำคัญของแซ็ง-โลในเดือนกรกฎาคม ได้จัดตั้งเวทีสำหรับการรุกครั้งใหญ่ในการทัพนอร์ม็องดี[59] การเปิดฉากปฏิบัติการคอบรา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เป็นการมุ่งเป้าหมายโดยกองทัพสหรัฐเพื่อใช้ประโยชน์จากกองทัพเยอรมันผู้ยึดครองโดยการโจมตีของบริติชและแคนาดาบริเวณรอบ ๆ เมืองก็องและบรรลุในการบุกทะลวงที่เด็ดขาดในฝรั่งเศสตะวันตกเฉียงเหนือ ในวันที่ 28 กรกฎาคม ปฏิบัติการได้ประสบความสำเร็จในการบุกทะลวงแนวรบเยอรมัน และการต้านทานต่ออเมริกันอย่างไม่เป็นระเบียบ[60] จากการขาดแคลนทรัพยากรที่จะรักษาแนวหน้า หน่วยกองกำลังเยอรมันได้เปิดฉากการโจมตีตอบโต้กลับอย่างสิ้นหวังเพื่อหลบหนีจากการถูกโอบล้อม ในขณะที่คลูเกอได้ส่งการเสริมกำลัง ซึ่งประกอบได้ด้วยองค์ประกอบของกองพลยานเกราะที่ 2 และที่ 116 ไปยังทางตะวันตกโดยคาดหวังว่าจะหลีกเลี่ยงการละลายหายทั้งหมด ในการสู้รบที่ดุเดือด กองกำลังของเขาได้ประสบความสูญเสียอย่างหนักทั้งกำลังคนและรถถถังที่เขาไม่สามารถหามาแทนที่ได้[61]
ในวันสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม กองทัพเยอรมันในนอร์ม็องดีได้ถูกลดทอนกำลังลงในสภาพที่ย่ำแย่จากการรุกของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งคลูเกอไม่อาจรักษาตำแหน่งป้องกันในนอร์ม็องดีได้อีกต่อไป เขาไม่มีโอกาสในการได้รับการเสริมกำลัง ภายหลังจากปฏิบัติการบากราติออน การรุกช่วงฤดูร้อนของโซเวียตซึ่งต่อกรกับกองทัพกลุ่มกลาง และมีชาวเยอรมันเพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าพวกเขาสามารถกอบกู้ชัยชนะไว้ได้[62] ระหว่างวันที่ 1 และ 4 สิงหาคม กองพลทั้งเจ็ดของกองทัพสหรัฐที่ 3 ภายใต้บัญชาการของพลโท จอร์จ เอส. แพตตัน ได้เข้ารุกอย่างรวดเร็วผ่านทาง Avranches และข้ามสะพานที่ Pontaubault เข้าสู่บริตทานี[63]
ด้วยการที่ไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำในการถอนกำลังของคลูเกอ ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งให้โจมตีตอบโต้กลับในปฏิบัติการลึททิช ระหว่าง Mortain และ Avranches[64][65] เขาได้เรียกร้องให้หน่วยรบยานเกราะที่มีอยู่ทั้งหมดให้ร่วมมือกันในการโจมตีมุ่งเป้าหมายไปที่การเข้ายึดครองคาบสมุทรคอนเตนตินกลับคืนมา และตัดกองกำลังสหรัฐในบริตทานีจากการจัดหาเสบียง[64] ตามรายงานของเจ้าหน้าที่นายทหารในปฏิบัติการของโอบีเวสต์ Bodo Zimmermann คลูเกอรับรู้ว่า "คงจะดีกว่าที่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ซึ่งอาจหมายถึงการล่มสลายของแนวรบนอร์ม็องดี" แต่ความวิตกกังวลของเขาถูกเพิกเฉย[64] คลูเกอสามารถรวบรวมกองพลยานเกราะที่หมดสภาพได้เพียงสี่กองพล โดยช่วงเวลาของปฏิบัติการได้เริ่มต้นในวันที่ 7 สิงหาคม การรุกได้หยุดชะงักลงในระยะทาง 15 กิโลเมตร(9.3 ไมล์) จาก Avranches สาเหตุหลักมาจากอำนาจเหนือน่านฟ้าของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้หน่วยกองกำลังเยอรมันนั้นมีความเสี่ยงที่จะถูกดักล้อม[66][67]
การรุกครั้งสุดท้าย ปฏิบัติการแทร็กทาเบิล ซึ่งถูกเปิดฉากโดยกองทัพแคนาดา เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ซึ่งร่วมกับการรุกของอเมริกาไปยังทางเหนือช็องบัว เป้าหมายของพวกเขาคือการโอบล้อมและทำลายกองทัพเยอรมันที่ 7 และกองทัพยานเกราะที่ 5 ใกล้กับเมืองฟาเลส์[68] ในคำสั่งสุดท้ายของเขาในฐานะผู้บัญชาการแห่งโอบีเวสต์ คลูเกอได้ออกคำสั่งให้ล่าถอยอย่างเต็มรูปแบบไปทางตะวันออก เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม[69] ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ได้เข้ายึดครองฟาเลส์จนกระทั่งวันเดียวกันนั่นเอง โดยทิ้งช่องว่างที่มีระยะทาง 24 กิโลเมตร(17 ไมล์) ระหว่างกองกำลังแคนาดาและอเมริกัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันคือ ช่องว่างฟาเลส์[70] ในวันที่ 22 สิงหาคม ช่องว่างซึ่งถูกปกป้องอย่างหมดรูปโดยเยอรมันเพือให้กองกำลังทหารที่ถูกล้อมสามารถหลบหนีไปได้ จนกระทั่งถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ เป็นการยุติของยุทธการที่นอร์ม็องดีด้วยชัยชนะที่เด็ดขาดของฝ่ายสัมพันธมิตร[71] ในขณะส่วนที่เหลือของกองทัพกลุ่มบีได้หลบหนีไปทางตะวันออก ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ารุกโดยปราศจากการต่อต้านผ่านทางดินแดนที่ไม่มีการป้องกัน แม้ว่าชาวเยอรมันจำนวน 100,000 นายที่สามารถหลบหนีไปได้ จำนวน 10,000 นายที่ถูกสังหาร และอีก 40,000–50,000 นายที่ถูกจับกุม[70]
แผนลับต่อต้านฮิตเลอร์
ด้วยการติดต่อผ่านทางคาร์ล-ไฮน์ริช ฟ็อน ชตึลพ์นาเกิล คลูเกอได้ทราบแผนลับ 20 กรกฎาคมเพื่อต่อต้านฮิตเลอร์ เขาตกลงที่จะสนับสนุนการยึดอำนาจของเหล่าผู้สมรู้ร่วมคิด ถ้าฮิตเลอร์ถูกสังหาร[72] ในกรุงปารีส เหล่าผู้สมรู้ร่วมคิดได้เข้าจับกุมสมาชิกของหน่วยเอ็สเอ็สและเอ็สดีจำนวนกว่า 1,200 คน และภายหลังจากการลอบสังหารได้ล้มเหลว ชตึลพ์นาเกิลและ Caesar von Hofacker ได้เข้าพบกับคลูเกอที่กองบัญชาการของเขาใน La Roche-Guyon[72][73] เมื่อทราบว่าฮิตเลอร์ยังมีชีวิตอยู่ คลูเกอจึงถอนตัวการสนับสนุนและยกเลิกหมายจับกุม[72]
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม รถของคลูเกอได้รับความเสียหายจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร และเขาถูกตัดขาดจากการติดต่อทั้งหมดกับกองกำลังของเขาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ฮิตเลอร์เคลือบแคลงสงสัยทันทีว่าคลูเกอกำลังจะเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร เขาถูกปลดออกในอีกสองวันต่อมาและถูกแทนที่โดยโมเดิล[69] เมื่อเขาถูกเรียกตัวกลับไปยังกรุงเบอร์ลินเพื่อเข้าพบฮิตเลอร์ คลูเกอมีความเชื่อว่า ฮิตเลอร์รับรู้แล้วว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในแผนลับ 20 กรกฎาคม และตัดสินใจเลือกที่จะฆ่าตัวตาย เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม โดยการกินยาพิษโพแทสเซียมไซยาไนด์[74] ในคำให้การครั้งสุดท้ายของเขา เขายืนยันในความจงรักภักดีต่อฮิตเลอร์และแสดงความเห็นว่า เยอรมนีจำเป็นต้องยุติสงคราม โดยเขียนว่า "ประชาชนชาวเยอรมันได้รับคามทุกข์ทรมานอย่างนับไม่ถ้วน คงถึงเวลาที่จะต้องยุติความน่าสะพรึงกลัวนี้ได้แล้ว"[69][75]
รางวัลเกียรติยศ
- กางเขนเหล็ก (ค.ศ. 1914) ชั้นที่ 2 และชั้นที่ 1
- กางเขนอัศวินแห่งเครื่องราชอิสรยาภรณ์ราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น ประดับด้วยดาบ[76]
- เข็มกลัดกางเขนเหล็ก (ค.ศ. 1939) ชั้นที่ 2 (5 กันยายน ค.ศ. 1939) และชั้นที่ 1[77]
- กางเขนอัศวินติดใบโอ๊กคาดดาบแห่งกางเขนเหล็ก
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 Barnett 1989, pp. 395–396.
- ↑ Mitcham 2008, p. 201.
- ↑ Barnett 1989, pp. 396–398.
- ↑ Margaritis 2019, p. 29.
- ↑ Kennedy 2015, p. 71.
- ↑ 6.0 6.1 Barnett 1989, pp. 396–397.
- ↑ Barnett 1989, pp. 79–80.
- ↑ Kennedy 2015, p. 82.
- ↑ Kennedy 2015, p. 98.
- ↑ 10.0 10.1 Horne 1969, pp. 204–207.
- ↑ Horne 1969, p. 208.
- ↑ Barnett 1989, pp. 397–398.
- ↑ Horne 1969, pp. 324–326, 329–331.
- ↑ Horne 1969, pp. 472–479.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 Barnett 1989, pp. 399–400.
- ↑ 16.0 16.1 Barnett 1989, pp. 401–402.
- ↑ Horne 1969, pp. 641–643.
- ↑ Glantz & House 2015, p. 35.
- ↑ Die Zeit 2011.
- ↑ Glantz & House 2015, p. 62.
- ↑ https://www.youtube.com/watch?v=0GogjX5SppE&t=419s
- ↑ Klink 1998, p. 527.
- ↑ Müller 1998, pp. 1146–1147.
- ↑ Förster 1998, pp. 1210–1211.
- ↑ Stahel 2013, pp. 74–75, 95.
- ↑ Stahel 2013, p. 95.
- ↑ Stahel 2015, p. 228.
- ↑ Stahel 2015, pp. 240–244.
- ↑ Stahel 2015, pp. 229–230.
- ↑ Stahel 2015, pp. 306–307.
- ↑ Megargee 2006, p. 139.
- ↑ Glantz & House 2015, p. 111.
- ↑ Glantz & House 2015, pp. 111–115.
- ↑ Citino 2007, p. 157.
- ↑ historicalstatistics.org.
- ↑ Wheeler-Bennett 2005, p. 529.
- ↑ Wheeler-Bennett 2005, pp. 529–530.
- ↑ 38.0 38.1 Wheeler-Bennett 2005, p. 530.
- ↑ Newton 2006, pp. 212–216.
- ↑ Clark 2012, p. 186.
- ↑ Glantz & House 2004, p. 354.
- ↑ Glantz & House 2004, p. 14.
- ↑ Glantz & House 2004, p. 13.
- ↑ Clark 2012, pp. 178, 186.
- ↑ Citino 2012, p. 121.
- ↑ Newton 2002, p. 13.
- ↑ Clark 2012, p. 194,196.
- ↑ Glantz & House 2004, pp. 51–53.
- ↑ Clark 2012, p. 193.
- ↑ 50.0 50.1 Showalter 2013, p. 50.
- ↑ Overy 1995, p. 204.
- ↑ Overy 1995, pp. 204–205.
- ↑ Glantz & House 2015, pp. 220–221.
- ↑ Glantz & House 2015, pp. 223–224.
- ↑ DHM 2014.
- ↑ Mitcham 1988, p. 272.
- ↑ Barnett 1989, p. 405.
- ↑ 58.0 58.1 58.2 Hastings 1984, pp. 175–176.
- ↑ Hastings 1984, p. 249.
- ↑ Hastings 1984, pp. 256–258.
- ↑ Hastings 1984, pp. 260–263, 265.
- ↑ Hastings 1984, pp. 277–278.
- ↑ D'Este 1983, pp. 408–410.
- ↑ 64.0 64.1 64.2 D'Este 1983, pp. 413–415.
- ↑ Barnett 1989, p. 407.
- ↑ D'Este 1983, pp. 418–420.
- ↑ Graeger 1998, p. 62.
- ↑ Hastings 1984, pp. 301–302.
- ↑ 69.0 69.1 69.2 Hastings 1984, pp. 302–303.
- ↑ 70.0 70.1 D'Este 1983, pp. 430–431.
- ↑ Hastings 1984, pp. 304–305, 313.
- ↑ 72.0 72.1 72.2 Barnett 1989, pp. 406–407.
- ↑ Reuth 2005, p. 182.
- ↑ Shirer 1990, pp. 1076–1077.
- ↑ Barnett 1989, p. 408.
- ↑ Hürter 2007, p. 639.
- ↑ Thomas 1997, p. 378.
- ↑ 78.0 78.1 78.2 78.3 Scherzer 2007, p. 451.
บรรณานุกรม
- Barnett, Correlli (1989). Hitler's Generals. Grove Weidenfeld Publications. ISBN 1-55584-161-9.
- Boog, Horst; Förster, Jürgen; Hoffmann, Joachim; Klink, Ernst; Müller, Rolf-Dieter; Ueberschär, Gerd R., บ.ก. (1998). "The Army and the Navy". Germany and the Second World War: Attack on the Soviet Union. Vol. IV. Oxford and New York: Clarendon Press. ISBN 978-0-19-822886-8.
- Citino, Robert (2007). Death of the Wehrmacht: The German Campaigns of 1942. University Press of Kansas. ISBN 978-0-7006-1531-5.
- Citino, Robert M. (2012). The Wehrmacht Retreats: Fighting a Lost War, 1943. Lawrence, KS: University Press of Kansas. ISBN 978-0-7006-1826-2.
- Clark, Lloyd (2012). Kursk: The Greatest Battle: Eastern Front 1943. London: Headline Publishing Group. ISBN 978-0-7553-3639-5.
- D'Este, Carlo (1983). Decision in Normandy. Konecky & Konecky. ISBN 1-56852-260-6.
- Förster, Jürgen (1998). "Securing 'Living Space'". ใน Boog, Horst; Förster, Jürgen; Hoffmann, Joachim; Klink, Ernst; Müller, Rolf-Dieter; Ueberschär, Gerd R. (บ.ก.). Germany and the Second World War: Attack on the Soviet Union. Vol. IV. Oxford and New York: Clarendon Press. ISBN 978-0-19-822886-8.
- Glantz, David; House, Jonathan (2015). When Titans Clashed: How the Red Army Stopped Hitler. University Press of Kansas. ISBN 978-070062121-7.
- Glantz, David M.; House, Jonathan M. (2004) [First published 1999]. The Battle of Kursk. Lawrence, Kansas: University Press of Kansas. ISBN 978-070061335-9.
- Graeger, Rüdiger (1998). "Field Marshal Gunther von Kluge as C-in-C West in 1944". RUSI Journal. 143 (5): 59–66. doi:10.1080/03071849808446312.
- "Hans Günther von Kluge 1882-1944". Deutsches Historisches Museum. 14 September 2014. สืบค้นเมื่อ 3 January 2019.
- Hastings, Max (1984). Overlord D-Day and the Battle for Normandy. Michael Joseph Ltd. ISBN 0-671-46029-3.
- "Historical currency converter". historicalstatistics.org. สืบค้นเมื่อ 2 February 2019.
- Hoffman, Peter (1977). The History of the German Resistance, 1939–1945. MA: MIT Press. ISBN 978-0-262-08088-0.
- Horne, Alistair (1969). To Lose a Battle: France 1940. Macmillan London. ISBN 978-0-141-03065-4.
- Hürter, Johannes (2007). Hitlers Heerführer. Die deutschen Oberbefehlshaber im Krieg gegen die Sowjetunion 1941/42 [Hitler's army commander. The German commander-in-chief in the war against the Soviet Union 1941/42]. Oldenbourg Verlag. ISBN 978-3-486-57982-6.
- Kennedy, Robert M. (2015). The German Campaign in Poland (1939). Merriam Press. ISBN 978-157638364-3.
- Kinder, Sebastian; Porada, Haik Thomas (2017). Das Havelland um Rathenow und Premnitz: Eine landeskundliche Bestandsaufnahme (ภาษาGerman) (2nd ed.). Böhlau Köln. ISBN 978-341222297-0.
{{cite book}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - Knopp, Guido (2007). Die Wehrmacht: Eine Bilanz (ภาษาเยอรมัน). München: C. Bertelsmann Verlag. ISBN 978-3-570-00975-8.
- Margaritis, Peter (2019). Countdown to D-Day: The German Perspective. Oxford & PA, USA: Casemate. p. 29. ISBN 978-1-61200-769-4.
- Mawdsley, Evan (2005). Thunder in the East: the Nazi-Soviet War, 1941–1945. Hodder Arnold. p. 502. ISBN 0-340-80808-X.
- Megargee, Geoffrey P. (2006). War of Annihilation: Combat and Genocide on the Eastern Front, 1941. Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-7425-4482-6.
- Mitcham, Samuel W. (2008). Rommel's Desert Commanders: The Men Who Served the Desert Fox, North Africa, 1941-42. Stackpole Books. ISBN 978-0-8117-3510-0.
- Mitcham, Samuel W. Jr (1988). Hitler's Field Marshals and Their Battles. London, United Kingdom: Guild Publishing. OCLC 220632577.
- Müller, Rolf-Dieter (1998). "Failure of the Economic 'Blitzkrieg'". ใน Boog, Horst; Förster, Jürgen; Hoffmann, Joachim; Klink, Ernst; Müller, Rolf-Dieter; Ueberschär, Gerd R. (บ.ก.). Germany and the Second World War: Attack on the Soviet Union. Vol. IV. Oxford and New York: Clarendon Press. ISBN 978-0-19-822886-8.
- Newton, Steven (2002). Kursk: The German View. Cambridge: Da Capo Press. ISBN 0-306-81150-2.
- Newton, Steven H. (2006). Hitler's Commander: Field Marshal Walter Model – Hitler's Favorite General. Cambridge, MA: Da Capo Press. ISBN 978-0-306-81399-3.
- Overy, Richard (1995). Why the Allies Won. New York: Norton Press. ISBN 978-0-393-03925-2.
- Reuth, Ralf Georg (2005). Rommel: The End of a Legend. London: Haus Books. ISBN 978-1-904950-20-2.
- Scherzer, Veit (2007). Die Ritterkreuzträger 1939–1945 [The Knight's Cross Bearers 1939–1945] (ภาษาGerman). Jena, Germany: Scherzers Militaer-Verlag. ISBN 978-3-938845-17-2.
{{cite book}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - Shirer, William L. (1990). The Rise and Fall of the Third Reich. New York: Simon & Schuster. ISBN 0-671-72868-7.
- Showalter, Dennis E. (2013). Armor and Blood: The Battle of Kursk, The Turning Point of World War II. New York, USA: Random House. ISBN 978-1-4000-6677-3.
- "Siegen helfen, Das Schreckbild der sowjetischen "Flintenweiber"". Die Zeit (ภาษาเยอรมัน). 24 May 2011.
- Stahel, David (2013). Operation Typhoon: Hitler's March on Moscow, October 1941. Cambridge University Press. ISBN 978-1107035-12-6.
- Stahel, David (2015). The Battle for Moscow. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 978-1-107-08760-6.
- Stargardt, Nicholas (2015). The German War: A Nation Under Arms, 1939–1945. New York: Basic Books. ISBN 978-0-465-01899-4.
- Thomas, Franz (1997). Die Eichenlaubträger 1939–1945 Band 1: A–K [The Oak Leaves Bearers 1939–1945 Volume 1: A–K] (ภาษาGerman). Osnabrück, Germany: Biblio-Verlag. ISBN 978-3-7648-2299-6.
{{cite book}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - Wheeler-Bennett, Sir John (2005) [First published 1953]. The Nemesis of Power: German Army in Politics, 1918 – 1945. New York: Palgrave Macmillan Publishing Company. ISBN 978-1-4039-1812-3.
แหล่งข้อมูลอื่น
ก่อนหน้า | กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
จอมพล เฟดอร์ ฟ็อน บ็อค | แม่ทัพกลุ่มกลาง (19 ธันวาคม 1941 – 12 ตุลาคม 1943) |
จอมพล แอ็นสท์ บุช | ||
จอมพล แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท | แม่ทัพกลุ่ม D (2 กรกฎาคม 1944 – 15 สิงหาคม 1944) |
จอมพล แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท | ||
จอมพล แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท | ผู้บัญชาการใหญ่ตะวันตก (2 กรกฎาคม 1944 – 15 สิงหาคม 1944) |
จอมพล วัลเทอร์ โมเดิล (รักษาการแทน) | ||
จอมพล แอร์วีน ร็อมเมิล | แม่ทัพกลุ่ม B (19 กรกฎาคม 1944 – 17 สิงหาคม 1944) |
จอมพล วัลเทอร์ โมเดิล |
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/>
ที่สอดคล้องกัน