แอร์วีน ร็อมเมิล
แอร์วีน ร็อมเมิล | |
---|---|
15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1891 | – 14 ตุลาคม ค.ศ. 1944 (52 ปี)|
![]() ร็อมเมิลในปี 1942 | |
ชื่อเล่น | "จิ้งจอกทะเลทราย" |
ที่เกิด | ไฮเดินไฮม์ ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค จักรวรรดิเยอรมัน |
ที่ตาย | แฮร์ลิงเงิน นาซีเยอรมนี |
รับใช้ | ![]() ![]() ![]() |
สังกัด | ![]() ![]() ![]() |
ประจำการ | 1911–1944 |
ชั้นยศ | ![]() |
บังคับบัญชา | |
การยุทธ์ | สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามโลกครั้งที่สอง |
บำเหน็จ |
โยฮันเนิส แอร์วีน อ็อยเกน ร็อมเมิล (15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1891 – 14 ตุลาคม ค.ศ. 1944) เป็นนายพลและนักทฤษฏีทางทหารชาวเยอรมัน เป็นที่รู้จักกันในสมญานามของเขาคือ จิ้งจอกทะเลทราย เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นจอมพลในแวร์มัคท์(กองทัพ) ของนาซีเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เช่นเดียวกับการรับใช้ในไรชส์แวร์แห่งสาธารณรัฐไวมาร์และกองทัพบกของจักรวรรดิเยอรมัน
ร็อมเมิลเป็นเจ้าหน้าที่นายทหารที่ได้รับการประดับด้วยเหรียญเกียรติยศระดับสูงในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และได้รับเหรียญอิสริยาภรณ์พัวร์เลอเมรีท จากการปฏิบัติหน้าที่ของเขาบนแนวรบอิตาลี ในปี ค.ศ. 1937 เขาได้ตีพิมพ์หนังสือคลาสสิคเกี่ยวกับยุทธวิธีทางทหาร การโจมตีของทหารราบ (Infantry Attacks) ซึ่งเป็นภาพวาดเขียนด้วยประสบการณ์ของเขาในสงครามครั้งนั้น ในสงครามโลกครั้งที่สอง เขามีความโดดเด่นของตัวเองในฐานะผู้บัญชาการกองพลยานเกราะที่ 7 ในช่วงการบุกครองฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1940 ความเป็นผู้นำของเขาในกองกำลังเยอรมันและอิตาลีในการทัพแอฟริกาเหนือได้สร้างชื่อเสียงให้กับเขาในฐานะหนึ่งในผู้บัญชาการรถถังที่มีความสามารถที่สุดในสงคราม และทำให้เขาได้รับสมญานามว่า "จิ้งจอกทะเลทราย" (เดอ วูสเตนฟุคส์ - der Wüstenfuchs) ในบรรดาฝ่ายศัตรูชาวบริติชของเขา เขาได้มีชื่อเสียงในเรื่องความกล้าหาญและวลีของเขาด้วยคำว่า "สงครามที่ปราศจากความเกลียดชัง" ถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายในการทัพแอฟริกาเหนือ นักประวัติศาสตร์หลายคนได้ปฏิเสธวลีนี้ว่า เป็นเรื่องปรัมปรา และได้เปิดเผยตัวอย่างของอาชญากรรมสงครามและการทารุณกรรมต่อทั้งทหารฝ่ายข้าศึกและประชากรพื้นเมืองในแอฟริกาในช่วงความขัดแย้ง นักประวัติศาสตร์บางคนได้เชื่อมโยงร็อมเมลตัวเขาเองกับอาชญากรรมสงคราม แม้ว่านี่จะไม่ใช่ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ก็ตาม นักประวัติศาสตร์คนอื่น ๆ ได้บันทึกว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนใด ๆ ว่า ร็อมเมิลมีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับอาชญากรรมเหล่านี้ (แม้ว่า Caron และ Müllner ได้ชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จทางทหารของเขาที่ทำให้อาชญากรรมเหล่านี้เกิดขึ้นได้) โดยมีบางคนชี้ให้เห็นว่า สงครามในทะเลทราย เมื่อการต่อสู้โดยร็อมเมิลและฝ่ายข้าศึกของเขา ยังคงใกล้เคียงกับการสู้รบที่ขาวสะอาดเช่นเดียวกับในสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาเขาได้บัญชาการกองทัพเยอรมันในการต้านทานการบุกครองนอร์ม็องดีที่ข้ามช่องแคบของฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944
เมื่อนาซีได้เข้ามามีอำนาจในเยอรมนี ร็อมเมิลค่อย ๆ ยอมรับระบอบการปกครองใหม่ โดยนักประวัติศาสตร์ได้ให้เรื่องราวที่แตกต่างกันเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจงและแรงจูงใจของเขา โดยทั่วไป เขาได้ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนและเป็นเพื่อนสนิทของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อย่างน้อยก็จนกระทั่งใกล้จะสิ้นสุดสงคราม หากไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นใจต่อพรรคและกองกำลังกึ่งทหารที่เกี่ยวข้อง จุดยืนของเขาต่ออุดมการณ์นาซีและระดับความรู้เกี่ยวกับฮอโลคอสต์ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในท่ามกลางนักวิชาการ ในปี ค.ศ. 1944 ร็อมเมิลได้ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนลับ 20 กรกฎาคม ในการลอบสังหารฮิตเลอร์ เนื่องจากสถานะของร็อมเมิลในฐานะวีรบุรุษของชาติ ฮิตเลอร์ต้องการที่จะกำจัดเขาอย่างเงียบ ๆ แทนที่จะประหารชีวิตเขาทันทีเช่นเดียวกับผู้วางแผนก่อกบฎคนอื่น ๆ เขาได้รับทางเลือกอยู่สองทางเลือก ระหว่างให้ฆ่าตัวตายไปซะ เพื่อเป็นการรับประกันว่าชื่อเสียงของเขาจะยังคงอยู่และครอบครัวของเขาจะไม่ถูกข่มเหงใด ๆ ภายหลังจากการเสียชีวิตของเขา หรือจะต้องเผชิญหน้ากับการพิจารณาคดีที่จะส่งผลทำให้เขาได้รับความอัปยศอดสูและถูกประหารชีวิต เขาจึงเลือกทางเลือกแรกและฆ่าตัวตายโดยใช้ยาแคปซูลบรรจุไซยาไนด์ พิธีศพของเขาได้ถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติในพิธีระดับรัฐ และมีการประกาศว่า เขาถูกเครื่องบินข้าศึกยิงกราดขณะโดยสารรถยนต์ทหารประจำตัวในนอร์ม็องดี
ร็อมเมิลได้กลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตในโฆษณาชวนเชื่อของทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายนาซี และในวัฒนธรรมหลังสงครามที่ได้แพร่หลาย โดยมีนักเขียนจำนวนมากได้กล่าวถึงเขาว่า เป็นผู้บัญชาการทหารที่มีความฉลาดหลักแหลม ไม่สนใจการเมือง และเป็นเหยื่อของอาณาจักรไรช์ที่สาม แม้ว่าคำกล่าวนี้จะถูกโต้แย้งโดยผู้เขียนคนอื่น ๆ ว่า เป็นเรื่องปรัมปราของร็อมเมิล ชื่อเสียงของร็อมเมิลสำหรับการทำสงครามที่ขาวสะอาดได้ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์แก่การฟื้นฟูกองทัพเยอรมันตะวันตกและรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างศัตรูในอดีต - สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาในด้านหนึ่ง และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในอีกด้านหนึ่ง อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของร็อมเมิลหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวหน้าทหารส่วนตัวของเขา Hans Speidel ได้มีบทบาทสำคัญในการรื้อฟื้นกองทัพเยอรมันขึ้นมาใหม่และการเข้าร่วมกับเนโทในยุคหลังสงคราม ฐานทัพทหารที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพบกเยอรมันคือ ค่ายจอมพลร็อมเมิล, เอากุสท์ดอร์ฟ เป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
ประวัติ[แก้]
ช่วงต้น[แก้]
แอร์วีนเกิดในเมืองไฮเดินไฮม์ ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค ส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเยอรมัน เป็นบุตรคนที่สามในจำนวนห้าคนของครอบครัว บิดาเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นและเป็นอดีตทหารปืนใหญ่ เมื่ออายุได้ 18 ปี เขาบรรจุเป็นร้อยตรีในกองทัพเวือร์ทเทิมแบร์คในปี 1910 และเรียนโรงเรียนนายร้อยนครดันท์ซิช เขาจบการศึกษาในปี 1911 และได้รับบรรจุเป็นร้อยโทในกองทัพบกจักรวรรดิในต้นปี 1912[1]
อาชีพทหาร[แก้]
ร็อมเมิลเป็นนายทหารที่ได้รับการเชิดชูเกียรติขั้นสูงในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้รับอิสริยาภรณ์พัวร์เลอเมรีทจากการปฏิบัติหน้าที่ในแนวรบอิตาลี ในปี 1937 เขาตีพิมพ์หนังสือเรื่อง ทหารราบจู่โจม (Infanterie greift an) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับหลักยุทธวิธีและประสบการณ์ของเขาในสงคราม ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เป็นผู้บัญชาการกองพลยานเกราะที่ 7 สมญา "กองพลผี"[2] ในยุทธการที่ฝรั่งเศส ซึ่งในครั้งนี้เอง เขาและพลเอกกูเดรีอันตัดสินใจฝ่าฝืนคำสั่งของหน่วยเหนือที่ให้หยุดรอทหารราบมาสมทบ ร็อมเมิลนำกองยานเกราะข้ามแม่น้ำเมิซบุกทะลวงแนวรบของฝรั่งเศสต่อทันทีเพื่อไม่ให้เสียจังหวะบลิทซ์ครีค โดยมีกองพลยานเกราะของกูเดรีอันตามมาติดๆ การตัดสินใจบุกต่อของทั้งสองคนเป็นเหตุผลสำคัญที่สร้างความได้เปรียบแก่เยอรมัน

ร็อมเมิลถูกส่งตัวไปเป็นผู้บัญชาการทหารในการทัพแอฟริกาเหนือ เขาได้แสดงฝีมือและได้รับการยอมรับนับถือเป็นผู้บัญชาการรถถังที่เก่งกาจที่สุดในช่วงสงครามและได้รับสมญา "จิ้งจอกทะเลทราย" แม้แต่ศัตรูอย่างผู้บัญชาการทหารชาวบริติชก็ยังยกย่องเขาเป็นอัศวิน ร็อมเมิลเคยอธิบายการทัพแอฟริกาเหนือไว้ว่าเป็น "สมรภูมิปราศความเกลียดชัง"[3] ร็อมเมิลได้รับยศจอมพลเมื่อ 22 มิถุนายน 1942 หลังได้รับชัยชนะในยุทธการที่กาซาลาในประเทศลิเบีย[4] ต่อมาเขาได้เป็นแม่ทัพกลุ่ม B ประจำการในอิตาลี ต่อมาหน่วยนี้ถูกสั่งการไปต้านการยกพลข้ามช่องแคบเพื่อขึ้นบกที่นอร์ม็องดีของฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนมิถุนายน 1944
จุดยืนทางการเมืองและการเสียชีวิต[แก้]
ทหารส่วนใหญ่ในกองทัพรวมทั้งตัวร็อมเมิลล้วนยินดีต่อการเถลิงอำนาจของฮิตเลอร์และพรรคนาซี[5][6] พวกเขาเชื่อว่าเยอรมนีต้องการระบอบการปกครองที่มั่นคงและเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ร็อมเมิลไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคนาซี[7] และไม่เห็นด้วยกับการต่อต้านยิวและอุดมการณ์นาซี นักวิชาการยังคงถกเถียงกันว่าร็อมเมิลมีส่วนรับรู้ต่อเหตุการณ์ฮอโลคอสต์มากน้อยเพียงใด[8][9][10][11][12] ร็อมเมิลเคยสร้างความตะลึงใจแก่ฮิตเลอร์ในปี 1943 ด้วยข้อเสนอให้แต่งตั้งชาวยิวดำรงตำแหน่งเกาไลเทอร์ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ต่อประชาคมโลกและแก้ต่างให้พ้นจากข้อกล่าวหาของพวกอังกฤษที่ว่าเยอรมนีปฏิบัติไม่ดีต่อชาวยิว แต่ฮิตเลอร์ตอบกลับเขาว่า "ร็อมเมิลที่รัก คุณไม่เข้าใจความคิดผมเลย"[12][13]
นักประวัติศาสตร์หลายคนระบุว่าร็อมเมิลเป็นนายพลสุดโปรดคนหนึ่งของฮิตเลอร์ และความสัมพันธ์อันใกล้ชิดนี้ทำให้เขาได้รับประโยชน์ในอาชีพการงาน[14][15][6]ความโน้มเอียงทางการเมืองของร็อมเมิลนั้นเป็นหัวข้อถกเถียงกันอยู่แม้แต่ในหมู่นาซีร่วมสมัย ร็อมเมิลเองเห็นชอบกับบางแง่มุมของอุดมการณ์นาซี[16] และนิยมโฆษณาชวนเชื่อที่นาซีสร้างขึ้นเกี่ยวกับเขา แต่ก็รู้สึกโกรธที่โฆษณานั้นพรรณนาว่าเขาเป็นสมาชิกพรรคนาซีคนแรก ๆ และเป็นบุตรช่างหิน ทำให้ต้องแก้ไขโฆษณา[17][18]
สำหรับแผนลับเพื่อสังหารฮิตเลอร์ในปี 1944 นั้น ไม่ชัดเจนว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงหรือไม่ มีผู้ก่อการให้การปรักปรำเขา แต่เนื่องจากร็อมเมิลมีสถานะเป็นวีรบุรุษของชาติ ฮิตเลอร์จึงไม่อาจลงโทษเขาอย่างโจ่งแจ้งได้ ร็อมเมิลได้รับข้อเสนอสามข้อจากพลโทบวร์คดอร์ฟ ทางเลือกหนึ่ง; ไปแก้ตัวต่อฮิตเลอร์ด้วยตนเองที่กรุงเบอร์ลิน ทางเลือกสอง; เข้ารับการพิจารณาคดีในชั้นศาลและถูกพิพากษาประหารชีวิต ทางเลือกสาม; ปลิดชีพตัวเองแลกกับการดำรงเกียรติยศและสิทธิทุกอย่าง ครอบครัวจะไม่ถูกลงโทษและได้รับบำนาญตามปกติ ร็อมเมิลเลือกทางเลือกสุดท้าย เขาฆ่าตัวตายโดยการกัดแคปซูลไซยาไนด์[19] ฮิตเลอร์จัดรัฐพิธีศพให้ร็อมเมิลอย่างสมเกียรติ กองทัพประกาศว่าเขาถูกเครื่องบินข้าศึกยิงกราดขณะโดยสารรถยนต์ทหารประจำตัวในนอร์ม็องดี
วีรตำนาน[แก้]
ร็อมเมิลได้รับกิตติศัพท์ว่าเป็นผู้บัญชาการที่มีมนุษยธรรมสูงและนายทหารมืออาชีพ กองทัพน้อยแอฟริกาใต้บัญชาของเขาไม่เคยถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมสงครามเลย ทหารที่ตกเป็นเชลยระหว่างการทัพแอฟริกาของร็อมเมิลได้ให้การว่าได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมด้วยการแบ่งส่วนอาหารที่เท่ากับทหารเยอรมัน เพราะร็อมเมิลคิดว่านักโทษควรได้รับสิทธิ์เท่าเทียบกับพลเรือนเยอรมัน ทหารเยอรมันที่ประจำการที่แอฟริกาเล่าว่า ขณะที่รถของร็อมเมิลติดทราย ร็อมเมิลยังลงมาช่วยทหาร ยิ่งไปกว่านั้น ร็อมเมิลยังปฏิเสธคำสั่งฆ่าคอมมานโด ทหาร และพลเรือนชาวยิวในทุกเขตสงครามใต้บังคับของเขา ร็อมเมิลไม่เคยเกณฑ์พลเรือนมาช่วยงานเขาฟรีๆ เขาจะมีค่าจ้างให้เสมอ[20]
วินสตัน เชอร์ชิลเคยกล่าวต่อรัฐสภาอังกฤษว่าร็อมเมิลเป็น "คู่ปรับที่ชาญฉลาดและใจกล้าเกินธรรมดา" และเป็น "แม่ทัพบกผู้ยิ่งใหญ่"[21][22] ภายหลังสงครามสิ้นสุด ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษได้ยกย่องร็อมเมิลเป็น "คนดีเยอรมัน" และเป็น "สหายร็อมเมิล" ชื่อของเขาถูกนำไปตั้งให้ฐานทัพบกที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีหลังสงคราม นั่นคือค่ายจอมพลร็อมเมิล (Generalfeldmarschall-Rommel-Kaserne) ในเมืองเอากุสท์ดอร์ฟ รัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Butler 2015, pp. 30–31.
- ↑ David, Saul (1994). Churchill's sacrifice of the Highland Division. France 1940. London: Brassey's (UK) Ltd. p. 42. ISBN 978-1857533781.
- ↑ Bierman, John; Smith, Colin (2004). War Without Hate: The Desert Campaign of 1940–43. Penguin Books. ISBN 978-0142003947.
- ↑ Breuer 2002, p. 131.
- ↑ Naumann 2009, p. 190.
- ↑ 6.0 6.1 Watson 1999, p. 158.
- ↑ Butler 2015, p. 138.
- ↑ Remy 2002, pp. 28, 355, 361.
- ↑ Scheck 2010.
- ↑ Butler 2015, pp. 18, 122, 139, 147.
- ↑ Hart 2014, pp. 128-52.
- ↑ 12.0 12.1 Von Fleischhauer & Friedmann 2012.
- ↑ "Der Mann wusste, dass der Krieg verloren ist". Frankfurter Allgemeine (ภาษาเยอรมัน). 3 November 2012. สืบค้นเมื่อ 15 June 2016.
- ↑ Zabecki 2016.
- ↑ Reuth 2005, p. 54.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อRommel ist und bleibt ein Mythos
- ↑ Butler 2015, p. 240.
- ↑ Seewald, Berthold (21 December 2008). "Erwin Rommel, Held der 'sauberen Wehrmacht'". Die Welt. สืบค้นเมื่อ 15 June 2016.
- ↑ Martin, Douglas (9 November 2013). "Manfred Rommel, Son of German Field Marshal, Dies at 84". The New York Times.
- ↑ AT ROMMEL'S SIDE: The Lost Letters of Hans-Joachim Schraepler Publisher: Frontline Books (September 2009) Language: English ISBN 1-84832-538-X ISBN 978-1-84832-538-8
- ↑ Watson 1999, pp. 166–167.
- ↑ Reuth 2005, pp. 141–143.
ก่อนหน้า | แอร์วีน ร็อมเมิล | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ไม่มี | ![]() |
แม่ทัพกลุ่มแอฟริกา (15 สิงหาคม 1941 – 9 มีนาคม 1943) |
![]() |
พลเอกอาวุโส ฮันส์-เยือร์เกิน ฟ็อน อาร์นิม |
จอมพล มัคซีมีลีอาน ฟ็อน ไวชส์ | ![]() |
แม่ทัพกลุ่ม B (15 กรกฎาคม 1943 – 19 กรกฎาคม 1944) |
![]() |
จอมพล กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ |
- พารามิเตอร์รูปภาพในแม่แบบกล่องข้อมูลบุคลากรทหารต้องการการอัปเดต
- Pages using deprecated image syntax
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2434
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2487
- แอร์วีน ร็อมเมิล
- จอมพลแห่งไรช์ที่สาม
- ผู้ได้รับพัวร์เลอเมรีท (ชั้นทหาร)
- ผู้ถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย
- ผู้ฆ่าตัวตายด้วยพิษไซยาไนด์
- นักยุทธศาสตร์ทหาร
- ทหารชาวเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
- บุคคลในปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด