ข้ามไปเนื้อหา

เอมมา สโตน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Emma Stone)
เอมมา สโตน
สโตนในปี 2011
สโตนในปี 2011
สารนิเทศภูมิหลัง
ชื่อเกิดเอมิลี จีน สโตน
เกิด (1988-11-06) 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1988 (35 ปี)
สก็อตส์เดล รัฐอาริโซนา สหรัฐอเมริกา
คู่สมรสเดฟ แม็คแครี่ (สมรส 2020)
บุตร1
อาชีพนักแสดง
ปีที่แสดง2004–ปัจจุบัน
รางวัล
ออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
2017 นครดารา
ลูกโลกทองคำนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลก
2017 นครดารา
แบฟตานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
2017 นครดารา

เอมิลี จีน "เอมมา" สโตน (อังกฤษ: Emily Jean "Emma" Stone; เกิดวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1988)[1] เป็นนักแสดงหญิงชาวอเมริกัน อายุ 35 ปี ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง นครดารา (2016) ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[2][3], รางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลแบฟตา และ รางวัลแซกอวอร์ดส์ โดยเธอเคยเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่มีค่าตัวสูงที่สุดคนหนึ่งของโลก[4] และเคยได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ให้เป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก 100 อันดับ ใน ไทม์ 100 ประจำปี 2017[5]

เอมมา สโตน เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงทางโทรทัศน์ด้วยการเป็นนักแสดงละครซิตคอมและแสดงเป็นตัวประกอบในละครโทรทัศน์ของสถานีเอ็นบีซี, ฟ็อกซ์ และ เอชบีโอ โดยหลังจากที่เธอได้แสดงเป็นตัวละครหลักในละครชุดของสถานีฟ็อกซ์เรื่อง ไดรฟ์ (2007) ก็ทำให้เธอเป็นที่รู้จักมากขึ้น ก่อนที่เธอจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เป็นเรื่องแรกใน ซูเปอร์แบด คู่เฉิ่มฮ็อตฉ่า (2007) และตามมาด้วยการแสดงบทบาทนักแสดงสมทบในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ เช่น เดอะ ร็อคเกอร์ มือกลองขาร็อค เก๋าเกินพิกัด (2008), บันนี่สาว หัวใจซี้ด (2008), วิวาห์จุ้นผีวุ่นรัก (2009), ซอมบี้แลนด์ แก๊งคนซ่าส์ล่าซอมบี้ (2009) ต่อมาในปี 2010 เธอได้พากย์เสียงตัวละครเมซีใน Marmaduke ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นสู่ความสำเร็จในวงการของเธอ

สโตนเกิดและเติบโตที่เมืองสกอตส์เดล รัฐแอริโซนา[6] โดยเธอเริ่มการเป็นนักแสดงตั้งแต่ยังเด็กและเริ่มมีผลงานจากละครเรื่อง The Wind in the Willows ในปี 2000 ต่อมาเมื่อเป็นวัยรุ่นเธอย้ายไปอยู่ที่ลอสแอนเจลิสกับแม่ของเธอและได้เปิดตัวในรายการ In Search of the New Partridge Family (2004) หลังจากมีรับบทบาททางโทรทัศน์เล็ก ๆ น้อยๆ ต่อมาเธอได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Superbad (2007) และได้รับความสนใจจากสื่อในเชิงบวกสำหรับบทบาทของเธอในภาพยนตร์เรื่องต่อมาคือ Zombieland (2009), ภาพยนตร์ตลกวัยรุ่นปี 2010 เรื่อง Easy A ซึ่งเป็นการรับบทบาทตัวนำเรื่องแรกของเธอโดยสโตนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA Rising Star Award และรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และตามมาด้วยความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง Crazy, Stupid, Love (2011) และละครเรื่อง The Help (2011) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างชื่อเสียงของเธออย่างแท้จริง[7]

เธอได้รับบทบาทสำคัญเป็น "เกว็น สเตซี" ในการแสดงเรื่อง ดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน ในปี 2012 ประกบคู่กับ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์[8] รวมถึงภาคต่อซึ่งออกฉายในปี 2014 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก สโตนได้พากย์เสียงตัวละครนำหญิงชื่อ Eep ในเรื่อง The Croods (2013) และภาคต่อในปี 2020 สโตนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากการรับบทเป็นนักแสดงตลกที่หายจากการติดยาในภาพยนตร์ตลกแนวเสียดสีสังคมเรื่อง Birdman (2014) และการเปิดตัวในละครบรอดเวย์ครั้งแรกของเธอก็ถือเป็นการคืนชีพให้กับวงการละครเพลงในฐานะนางเอกในภาพยนตร์เพลงโรแมนติก นครดารา La La Land (2016) ซึ่งทำให้สโตนได้รับรางวัลออสการ์ไปครอง ต่อมาเธอรับบทเป็น บิลลี จีน คิง (Billie Jean King) ในภาพยนตร์กีฬาชีวประวัติเรื่อง Battle of the Sexes (2017) และ Abigail Masham ผู้เป็นข้าราชบริพารชาวอังกฤษและเป็นคนโปรดของควีนแอนน์ ในละครตลกอิงประวัติศาสตร์เรื่อง The Favorite (2018) ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ ตั้งแต่นั้นมาเธอได้แสดงในมินิซีรีส์แนวดาร์กคอมเมดี้ของเน็ตฟลิกซ์ เรื่อง Maniac (2018) และหนังตลกภาคต่อ Zombieland: Double Tap (2019)

ประวัติและชีวิตในช่วงต้น

[แก้]

เอมิลี จีน "เอมมา" สโตน เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1988 ในเมืองสกอตส์เดล รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา บิดาของเธอมีนามว่า "เจฟฟรีย์ ชาร์ลส์ สโตน" ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ บริษัท รับจ้างทั่วไป และ มารดาของเธอ "คริสตา จีน สโตน" (née Yeager) เป็นแม่บ้าน สโตนอาศัยอยู่ในรีสอร์ทย่าน Camelback Inn จนกระทั่งสิบห้าปี[9] เธอมีน้องชายชื่อสเปนเซอร์ และ Conrad Ostberg Sten ปู่ของเธอมาจากครอบครัวชาวสวีเดนที่เปลี่ยนนามสกุลมาเป็น "สโตน" เมื่อพวกเขาอพยพไปยังสหรัฐอเมริกา สโตนเธอยังมีเชื้อสายเยอรมัน, อังกฤษ, สกอต และไอริชอีกด้วย

เมื่อตอนเป็นทารก สโตนมีอาการปวดท้องและร้องไห้บ่อยๆ เธออธิบายว่าตัวเองเป็นคนที่เจ้ากี้เจ้าการและเอาแต่ใจเมื่อตอนเป็นเด็ก[10] ในช่วงที่เติบโตขึ้นสโตนได้รับการศึกษาที่โรงเรียนประถมศึกษา Sequoya และเข้าเรียนที่ Cocopah Middle School ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แม้ว่าเธอจะไม่ชอบเรียน[11] แต่เธอก็สามารถบังคับตนเองให้เรียนจนจบชั้นประถมได้ เธอเคยได้รับการกลั่นแกล้งให้ตกใจกลัวบ่อยครั้งในวัยเด็กซึ่งส่งผลต่อทักษะในการเข้าสังคมของเธอตลอดมา เธอได้เข้ารับการบำบัดและกล่าวว่าการมีส่วนร่วมในงานแสดงท้องถิ่นของเธอเป็นสิ่งที่ช่วยบำบัดอาการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี[12]

เธอใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุ 4 ขวบ และเคยอยากประกอบอาชีพเป็นนักวาดภาพแนวตลกในช่วงแรก แต่ได้เปลี่ยนความสนใจไปที่งานด้านละครเพลงและเรียนร้องเพลงเป็นเวลาหลายปี การแสดงครั้งแรกของเธอเริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนอายุ 11 ปี ในละครเวทีเรื่อง The Wind in the Willows ซึ่งเธอรับบทเป็นตัวนาก[13] สโตนได้เรียนหนังสือที่บ้าน (Homeschooling) เป็นเวลาสองปีในระหว่างนั้นเธอปรากฏตัวในผลงานการแสดง 16 เรื่อง ณ โรงละคร Phoenix's Valley Youth Theatre และยังร่วมแสดงละครเวทีกับคณะตลกบ่อยครั้ง ในช่วงเวลานี้ เธอเดินทางไปลอสแอนเจลิสแต่ไม่ประสบความสำเร็จในการคัดเลือกเพื่อรับบทในภาพยนตร์เรื่อง All That ต่อมาพ่อแม่ของเธอส่งเธอไปเรียนการแสดงกับผู้ฝึกสอนการแสดงในท้องถิ่นซึ่งเคยทำงานที่ William Morris Agency ในช่วงปี 1970[14]

โรงละคร Valley Youth Theatre ที่ซึ่งสโตนมีบทบาทในการแสดงถึง 16 เรื่อง ณ โรงละครแห่งนี้

สโตนเข้าเรียนต่อที่สถาบัน Xavier College Preparatory ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมคาทอลิกหญิงล้วน แต่ได้ตัดสินใจลาออกหลังจากเรียนไปได้เพียง 1 ภาคการศึกษาเพื่อมาเป็นนักแสดงเต็มตัว ในช่วงเวลาดังกล่าวเธอนำเสนอเรื่องราวความฝันของเธอผ่าน PowerPoint ให้พ่อแม่ของเธอได้รับชมภายใต้ชื่อ "Project Hollywood" (ซึ่งมีเพลง "Hollywood" ของ มาดอนนา ในปี 2003 ประกอบ) เพื่อโน้มน้าวให้พวกเขายอมย้ายไปแคลิฟอร์เนียเพื่อให้โอกาสในการประกอบอาชีพนักแสดงของเธอเปิดกว้างขึ้น[15] ต่อมาในเดือนมกราคมปี 2004 เธอย้ายไปอยู่กับแม่ของเธอที่อพาร์ตเมนต์ในลอสแอนเจลิส เธอจำได้ว่า "ฉันขึ้นแสดงทุกรายการทางดิสนีย์แชนแนลและได้ร่วมคัดเลือกเพื่อรับบทในซิทคอมหลายเรื่อง" แต่ "ฉันไม่ได้รับการตอบรับเลย" ในระหว่างช่วงการคัดเลือกบทบาท เธอลงทะเบียนเรียนออนไลน์และทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านเบเกอรี่สำหรับสุนัข[16]

อาชีพนักแสดง

[แก้]

2004–2008: บทบาทแรกเริ่ม

[แก้]

สโตนเปิดตัวทางโทรทัศน์ในรายการเรียลลิตี้การแข่งขันความสามารถ VH1 In Search of the New Partridge Family (2004) เธอเข้าร่วมคัดเลือกในแสดงเป็นแคลร์เบนเน็ตในละครแนววิทยาศาสตร์ NBC เรื่อง Heroes (2007) แต่ไม่ประสบความสำเร็จและเธอเรียกประสบการณ์ครั้งนี้ว่าเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตของเธอ[17] ในเดือนเมษายน 2007 เธอรับบทในละครแอ็คชั่น ไดรฟ์ แต่การแสดงถูกยกเลิกหลังจากออกฉายไปได้ 7 ตอน

ความล้มเหลวดังกล่าวส่งผลให้เธอพัฒนาตนเองและกลับมาในภาพยนตร์ตลกเรื่อง Superbad (2007) ร่วมแสดงนำโดยไมเคิล เซร่า และ โจนาห์ ฮิลล์ ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของนักเรียนมัธยมปลายสองคนที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ หลังจากที่พวกเขาวางแผนที่จะซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับงานปาร์ตี้ เธอได้ย้อมผมเป็นสีแดงในการแสดงครั้งนี้ด้วย ผู้เชี่ยวชาญจากฮอลลีวูดชื่นชมว่าการแสดงของเธอ "น่าสนใจ" สโตนได้อธิบายถึงประสบการณ์การแสดงในภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอว่า "น่าทึ่ง ... [แต่] แตกต่างจากประสบการณ์อื่น ๆ ที่ฉันเคยได้รับมา" ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จในแง่ของรายได้และทำให้เธอได้รับรางวัล Young Hollywood Award สำหรับนักแสดงหน้าใหม่[18]

ปีต่อมาสโตนแสดงในภาพยนตร์ตลกเรื่องThe Rocker (2008) รับบทเป็น อะมีเลีย สโตน มือกีตาร์เบสประจำวง; เธอได้ฝึกเล่นเบสเพื่อรับบทบาทนี้โดยเฉพาะ เธอพบว่ามันยากที่จะเล่นเป็นตัวละครที่มีบุคลิกแตกต่างจากตัวเธอเองมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้และการแสดงของเธอได้รับคำวิจารณ์เชิงลบจากนักวิจารณ์และล้มเหลวในแง่รายได้[19] ต่อมาเธอแสดงในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่องThe House Bunny และภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จด้านรายได้ในระดับปานกลาง สโตนได้รับคำชมในบทบาทการแสดงของเธอและถือเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นในเวลาต่อมา[20]

2009-2011: เริ่มโด่งดังอย่างต่อเนื่อง

[แก้]

สโตนปรากฏตัวในภาพยนตร์ 3 เรื่องที่ออกฉายในปี 2009 เรื่องแรกประกบคู่ แมทธิว แม็คคอนาเฮย์, เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ และ ไมเคิล ดักลาส ในเรื่อง Ghosts of Girlfriends Past[21] ของผู้กำกับ มาร์ค วอลเตอร์ ในภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดี้ที่สร้างขึ้นจากโนเวลลา A Christmas Carol ในปี 1843 ของ ชาร์ลส์ ดิกคินส์ ซึ่งเธอรับบทเป็นวิญญาณหญิงสาวที่ตามหลอกหลอนแฟนเก่า ปฏิกิริยาที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนมากเป็นแง่ลบแม้ว่ามันจะประสบความสำเร็จในเชิงรายได้เล็กน้อยก็ตาม ผลงานที่ทำกำไรได้มากที่สุดของเธอในปีนั้นคือภาพยนตร์ตลกสยองขวัญ Zombieland ที่ทำรายได้ 102.3 ล้านดอลลาร์ของผู้กำกับ Ruben Fleischer ซึ่งเธอแสดงร่วมกับ Jesse Eisenberg, Woody Harrelson และ Abigail Breslin ในภาพยนตร์เรื่องนี้เธอรับบทบาทนักต้มตุ๋นและผู้รอดชีวิตจากการตามล่าของซอมบี้ และผลงานเรื่องที่ 3 ในปีนี้คือ Paper Man ของผู้กำกับ Michelle Mulroney ซึ่งมีกระแสตอบรับที่น่าผิดหวัง[22]

สโตนพากย์เสียงเป็นสุนัขพันธุ์ Australian Shepherd ใน Marmaduke (2010) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ตลกจากผู้กำกับ ทอม เดย์ ซึ่งสร้างจากการ์ตูนชื่อเดียวกันของ แบรด แอนเดอร์สัน[23] ความก้าวหน้าในอาชีพของเธอเกิดขึ้นในปีเดียวกันนี้ด้วยการแสดงนำในเรื่อง Easy A ซึ่งเป็นหนังตลกวัยรุ่นที่กำกับโดย วิล กลัค[24] ซึ่งสร้างขึ้นจากนวนิยายโรแมนติกอิงประวัติศาสตร์ของ นาธาเนียล ฮอว์ธอร์น ในปี 1850 The Scarlet Letter ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของโอลีฟ เพนเดอร์แกสต์ นักเรียนมัธยมปลายที่เข้าไปพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวทางเพศหลังจากมีข่าวลือว่าเธอมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ สโตนอ่านบทและพบว่าบทบาทนี้ "แตกต่างและไม่เหมือนใครจากสิ่งที่ฉันเคยอ่านมาก่อน" เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เริ่มการผลิตแล้วเธอได้พบกับกลัคซึ่งแสดงความกระตือรือร้นที่มีต่อโครงการนี้ ไม่กี่เดือนต่อมากระบวนการคัดเลือกนักแสดงก็เริ่มต้นขึ้นและเธอก็ได้พบกับกลัคอีกครั้งและเธอเป็นนักแสดงหญิงคนแรกที่ได้คัดเลือก ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกและการแสดงของสโตนถือเป็นหัวใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้โดยทำรายได้ 75 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับงบประมาณจำนวน 8 ล้าน[25]ดอลลาร์ และสโตนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA Rising Star Award และรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม รวมทั้งยังได้รับรางวัล MTV Movie Award สาขาการแสดงยอดเยี่ยม

สโตนในเทสกาลภาพยนตร์นานาชาติโทรอนโตในปี 2010

ในเดือนตุลาคม 2010 สโตนเป็นผู้ดำเนินรายการของเอ็นบีซีสเก็ตช์คอมเมดี้ในรายการ Saturday Night Live; การปรากฏตัวของเธอออกมาในภาพลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับ ลินเซย์ โลฮาน[26] สโตนอธิบายว่ามันเป็น "สัปดาห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉัน" เธอเป็นผู้ดำเนินรายการอีกครั้งในปี 2011 และร่วมปรากฏตัวในปี 2014 รวมถึงในวาระพิเศษครบรอบ 40 ปีของรายการในปี 2015 การรับบทบาทเป็นตัวประกอบในช่วงสั้น ๆ ในภาพยนตร์ตลก Friends with Benefits (2011) ทำให้เธอกลับมาพบกับกลัคอีกครั้ง ต่อมาเธอได้แสดงในภาพยนตร์ตลกโรแมนติกของผู้กำกับ John Requa ใน Crazy Stupid, Love (2011) ร่วมกับ สตีฟ คาเรลล์, ไรอัน กอสลิ่ง และ จูเลียนส์ มัวร์ ในงาน Teen Choice Awards ปี 2012 เธอได้รับรางวัล Choice Movie Actress - Comedy จากการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่องนี้ และ Crazy, Stupid, Love ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศโดยทำรายได้ 142.9 ล้านดอลลาร์ทั่วโลกเทียบกับงบประมาณการผลิตที่ 50 ล้านดอลลาร์[27]

สโตนแสดงร่วมกับ วิโอลา เดวิส ในละครเรื่อง The Help (2011) ของเทต เทย์เลอร์ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่เธอพบว่ามีความท้าทายมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Kathryn Stockett ในปี 2009 และ ดำเนินเรื่องในปี 1960 ที่เมืองแจ็คสัน, รัฐมิสซิสซิปปี เธอได้พบกับเทย์เลอร์เพื่อแสดงความปรารถนาที่จะทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอรับบทเป็น Eugenia "Skeeter" Phelan นักเขียนผู้ใฝ่รู้เกี่ยวกับชีวิตของสาวใช้ชาวแอฟริกัน - อเมริกัน เธอได้ฝึกพูดสำเนียงตอนใต้และได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองผ่านวรรณกรรมและภาพยนตร์ด้วยตัวเองในการเตรียมตัวสำหรับบทนี้ ด้วยรายรับทั่วโลก 216 ล้านดอลลาร์เทียบกับงบประมาณ 25 ล้านดอลลาร์ The Help กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของสโตนในขณะนั้น[28] ภาพยนตร์และการแสดงของเธอได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกจากนักวิจารณ์ แอนนา สมิธ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและสโตนได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจาก Women Film Critics Circle และ Broadcast Film Critics Association[29]

2012-2015: The Amazing Spiderman, Birdman และ สร้างชื่อในละครบรอดเวย์

[แก้]
สโตนในงาน WonderCon ปี 2012

ในปี 2012 ภาพยนตร์เรื่อง The Amazing Spider-Man ของผู้กำกับ แซม ไรมี่[30] ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพของสโตนอีกครั้งหนึ่ง เธอรับบทเป็น เกวน สเตซี่ นางเอก คู่กับ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ สโตนกลับไปใช้สีผมบลอนด์ซึ่งเป็นสีธรรมชาติของเธอสำหรับบทบาทนี้โดยก่อนหน้านี้เธอย้อมผมสีแดง[31] เธอยอมรับว่าไม่เคยอ่านการ์ตูนเรื่องนี้มาก่อนดังนั้นจึงต้องศึกษาล่วงหน้าอย่างจริงจังก่อนมารับบทบาท สโตนกล่าวว่า: "ฉันคุ้นเคยกับภาพยนตร์ของ แซม ไรมี … แต่ฉันเข้าใจมาตลอดว่า แมรี่ เจน เป็นรักแรกของสไปเดอร์แมน" เธอเสริมว่า เธอคุ้นเคยกับตัวละครของสเตซี่จากการแสดงโดย ไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ด ในไอ้แมงมุม 3...The Amazing Spider-Man ประสบความสำเร็จในเชิงรายได้และเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 7 ของปี 2012 ด้วยรายได้ทั่วโลก 757.9 ล้านดอลลาร์ ในพิธีมอบรางวัล People's Choice Awards ประจำปีเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงจำนวน 3 รางวัล รวมถึงนักแสดงภาพยนตร์ยอดนิยม ต่อมาในปีนั้นสโตนได้พากย์เสียงในวิดีโอเกมแนวอาชญากรรมเรื่อง Sleeping Dogs[32] ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัล Spike Video Game Award สาขาการแสดงยอดเยี่ยมจากสถาบัน Human Female[33]

สโตนเริ่มต้นผลงานในปี 2013 ด้วยการพากย์เสียงในภาพยนตร์แอนิเมชั่นดรีมเวิร์คส์เรื่อง The Croods ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม ตามด้วยการปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง 43 ซึ่งเป็นภาพยนตร์กวีนิพนธ์ซึ่งประกอบด้วยเรื่องสั้น 16 เรื่อง - เธอรับบทนำในส่วนชื่อ "เวโรนิกา" ต่อมาเธอร่วมแสดงในภาพยนตร์ Gangster Squad (2013) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในลอสแอนเจลิสในช่วงทศวรรษ 1940 เอ. โอ. สก็อตต์แห่งเดอะนิวยอร์กไทม์ยกย่องการจับคู่ของเธอกับ ไรอัน กอสลิง และสโตนเผยว่าเธอมีความปรารถนาที่จะร่วมงานกับกอสลิงอีกในอนาคต[34]

ในปี 2014 สโตนกลับมารับบทเป็น เกวน สเตซี่ ใน The Amazing Spider-Man 2 การแสดงของเธอได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นักวิจารณ์ของเอ็มไพร์ยกย่องเธอว่า "สโตน เป็น ฮีธ เลดเจอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้" บทบาทนี้ทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงภาพยนตร์ยอดนิยมในงาน 2015 Kids 'Choice Awards[35] ต่อมาในปีนั้นสโตนยังมีบทบาทในเรื่อง Magic in the Moonlight แนวโรแมนติกคอมเมดี้ของ วู้ดดี้ อัลเลน ซึ่งประสบความสำเร็จพอสมควร[36]

สโตนในภาพยนตร์เรื่อง Magic in the Moonlight ปี 2014

Birdman[37] - ภาพยนตร์ดราม่าคอมเมดี้แนวดาร์คกำกับโดย Alejandro González Iñárritu เป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของสโตน ในปี 2014 ร่วมแสดงโดยไมเคิล คีตัน และ เอดเวิร์ด นอร์ตัน เธอรับบทเป็น แซม ทอมสัน[38] ลูกสาวผู้ติดยาเสพติดของนักแสดง ริกแกน ทอมสัน (รับบทโดยคีตัน) Iñárritu สร้างตัวละครขึ้นจากประสบการณ์ตรงของเขากับลูกสาวของเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 87[39]; ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 9 รางวัล และ ชนะเลิศ 4 รางวัล รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดของสโตนจนถึงปัจจุบัน และเธอได้รับรางวัลมากมายจากการแสดงของเธอรวมถึงการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์, A BAFTA, ลูกโลกทองคำ, Screen Actors Guild และรางวัล Critics 'Choice Movie สำหรับนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม

ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2014 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2015 สโตนได้ร่วมแสดงในละครคาบาเร่ต์และละครบรอดเวย์โดยรับทเป็น แซลลี่ โบว์เลส สโตนฟังวิทยุของฝรั่งเศสเพื่อเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับการรับบทบาทนี้[40] ต่อมา ผลงานทั้งสองเรื่องของสโตนในปี 2015 ได้แก่ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง Aloha และ Irrational Man ประสบความล้มเหลวในด้านรายได้และบทบาทของเธอก็ถูกวิจารณ์ในแง่ลบ ใน Aloha ของ ผู้กำกับ คาเมรอน โครว์ เธอรับบทเป็นนักบินของกองทัพอากาศร่วมกับ แบรดลีย์ คูเปอร์ และในเรื่อง Irrational Man ของผู้กำกับ วู้ดดี้ อัลเลน เธอรับบทคู่กับ วาคีน ฟินิกซ์ สโตนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Choice Movie Actress - Comedy ในงาน Teen Choice Awards[41] ปี 2015 เธอยังปรากฏตัวอีกครั้งในมิวสิกวิดีโอสำหรับซิงเกิลใหม่ของ วิล บัตเลอร์ ในเพลง "แอนนา"[42]

2016-ปัจจุบัน: รางวัลออสการ์ และ รางวัลลูกโลกทองคำ

[แก้]

จากผลงานที่สโตนได้กลับมาแสดงในละครคาบาเร่ต์ในช่วงปี 2014-2015 ที่ผ่านมา ทำให้สโตนมีโอกาสได้พบกับ เดเมียน ชาเซลล์ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ซึ่งประทับใจการแสดงของเธอ จึงเชิญให้สโตนมาคัดเลือกเพื่อรับบทหลักในภาพยนตร์เรื่อง นครดารา (La La Land)[43] ซึ่งเป็นการกลับมาร่วมงานกับ ไรอัน กอสลิง เป็นครั้งที่สามในอาชีพของเธอ โดยสโตนรับบทเป็น มีอา โดแลน นักแสดงสาวผู้มีความฝันและอาศัยอยู่ในลอสแอนเจลิส[44] โดยสโตนได้นำประสบการณ์ตรงจากชีวิตเธอมาช่วยถ่ายทอดในการรับบทในครั้งนี้เพื่อให้สมจริงยิ่งขึ้นและเธอมีส่วนร่วมในเพลงประกอบภาพยนตร์ในเรื่องนี้ถึง 6 เพลงด้วยกัน "นครดารา" เป็นภาพยนตร์เปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิสในปี 2016 และได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยสโตนยังได้รับรางวัล Volpi Cup สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมอีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความเร็จอย่างสูงโดยทำรายได้จากการเข้าฉายทั่วโลกสูงถึง 440 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้างจำนวน 30 ล้านดอลลาร์[45] ปีเตอร์ แบรดชอว์ แห่งเดอะการ์เดียนได้กล่าวยกย่องว่า "เป็นการแสดงที่ดีที่สุดในอาชีพของสโตน" จากบทบาทอันยอดเยี่ยมในครั้งนี้ส่งผลให้สโตนได้รับรางวัลวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปี 2017[46], รางวัลลูกโลกทองคำ, SAG และรางวัลแบฟตา (BAFTA) สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[47] เธอได้กล่าวคำพูดสุดซึ้งภายหลังจากได้รับรางวัลลูกโลกทองคำว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้มอบให้สำหรับคนช่างฝัน ฉันคิดว่าความหวังและความคิดสร้างสรรค์คือสองสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกและนั่นคือสิ่งที่ภาพยนตร์นี้เล่าถึง ดังนั้นสำหรับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่ถูกปิดประตูใส่หน้า ทั้งทางคำพูดและทางกายภาพ หรือนักแสดงที่ไม่ผ่านการคัดเลือกหลายๆ ครั้ง หรือรอการเรียกตัวซึ่งไม่เคยมาถึง หรือใครก็ตามที่รู้สึกอยากจะล้มเลิกความฝันในบางครั้งแต่ค้นพบว่าต้องลุกขึ้นก้าวต่อไป ฉันขอแบ่งรางวัลนี้ให้กับพวกคุณ ขอบคุณมากๆ สำหรับสิ่งนี้"

สโตนมีบทบาทในภาพยนตร์เพียงเรื่องเดียวในปี 2017 ใน Battle of the Sexes ซึ่งเป็นภาพยนตร์กีฬาที่สร้างจากเรื่องจริงในปี 1973 ระหว่างนักเทนนิสชื่อดัง บิลลี จีน คิง และ บ็อบบี ริกส์ โดยก่อนการถ่ายทำจะเริ่มสโตนได้พบกับคิงเพื่อให้คิงถ่ายทอดประสบการณ์และอารมณ์ให้เธอได้ฟัง สโตนยังศึกษาประวัติการแข่งขันและภาพถ่ายของคิงเพื่อให้รับบทบาทได้อย่างสมจริงมากที่สุด เธอได้ฝึกฝนการพูดสำเนียงให้คล้ายกับคิงมากที่สุดโดยเข้ารับการฝึกฝนกับผู้เชี่ยวชาญส่วนตัวและต้องดื่มโปรตีนเชคที่มีแคลอรี่สูงเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้ได้ 15 ปอนด์ (6.8 กิโลกรัม)[48] ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวกในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโทรอนโตปี 2017 และถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่โดดเด่นของสโตน เบนจามิน ลี แห่งเดอะการ์เดียนยกย่องเธอในการรับบทบาทครั้งนี้ว่า "แข็งแกร่ง" และ "น่าเชื่อ" อย่างไรก็ตามภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จในด้านทำรายได้เทียบจากทุนสร้างจำนวน 25 ล้านดอลลาร์ สโตนได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งที่ 4 และได้เข้าร่วมพิธีดังกล่าวร่วมกับคิง[49]

ในปี 2018 สโตนและ ราเชล ไวซ์ ได้แสดงเป็น อบิเกล มาแชม และ ซาราห์ เชอร์ชิลล์ ลูกพี่ลูกน้องสองคนที่ต้องต่อสู้เพื่อแย่งความรักของควีนแอนน์ (โอลิเวีย โคลแมน) ในละครตลกอิงประวัติศาสตร์ของ ยอร์กอส แลนธิมอส เรื่อง The Favourite สโตนพบว่าเป็นงานที่ท้าทายมากจากการที่เธอเป็นชาวอเมริกันและต้องทำงานท่ามกลางนักแสดงชาวอังกฤษทั้งหมด และต้องฝึกการควบคุมสำเนียงของตัวละครให้มีสำเนียงอังกฤษ[50] ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 75 และได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดย Michael Nordine จาก IndieWire ยกย่องสโตนในการรับบทบาทดังกล่าวหลังจากประสบความสำเร็จใน La La Land เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งที่ 5 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 3[51] จากนั้นเธอได้รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างและร่วมแสดงในมินิซีรีส์แนวคอมมิดี้ของเน็ตฟลิกซ์ เรื่อง Maniac ซึ่งกำกับโดย แครี่ โจจี้ ฟูคูนากา เธอชื่นชอบงานของ ฟูคูนากา เป็นการส่วนตัวจึงเป็นสาเหตุให้เธอตอบตกลงกับโครงการนี้โดยไม่ได้อ่านสคริปต์ก่อนเลย ในปีเดียวกันนั้น สโตนได้แสดงร่วมกับ เซอร์ พอล แมคคาร์ทนีย์ ศิลปินในดวงใจของเธอในมิวสิกวิดีโอเพลง "Who Cares" [52]

สโตนกลับมารับบทบาทในภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง Zombieland อีกครั้งในปี 2019 โดยในภาคนี้มีชื่อว่า Zombieland: Double tap ซึ่งทำรายได้ไป 122 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก[53][54] และได้รับเสียงวิจารณ์ทั้งในทางบวกและทางลบ ต่อมาสโตนได้บรรยายซีรีส์สารคดีของเน็ตฟลิกซ์จำนวน 2 เรื่องได้แก่ The Mind และ Explained และพากย์เสียงของตัวละคร "Eep" อีกครั้งในเ The Croods: A New Age ในปี 2021 สโตนรับบทบาทสำคัญอีกครั้งในการแสดงเป็น "ครูเอลลา เดอ วิล"[55] (แต่เดิมแสดงโดย เกล็น โคลส ในปี 1996 และ ภาคต่อในปี 2000) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฉบับคนแสดง/และเป็นการรีบูทของดิสนีย์จากเรื่อง One Hundred and One Dalmatians ซึ่งกำกับโดย เครก กิลเลสพี ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 28 พฤษภาคม 2021 และฉายทางทางดิสนีย์พลัสอีกช่องทางหนึ่ง[56] เธอยังมีผลงานเรื่องถัดไปในการแสดงภาพยนตร์ดราม่า Love May Fail[57] ซึ่งสร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Matthew Quick และ แสดงในซีรีส์ตลกเรื่อง The Curse[58]

ภาพลักษณ์

[แก้]
สโตนขณะให้สัมภาษณ์ในงาน ซานดิเอโก คอมมิคคอน อินเตอร์เนชั่นเนล ปี 2011

ปัจจุบันสโตนได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก[59][60][61] เธอเป็นที่รู้จักจากการแสดงหลายบทบาท Daniel D'Addario จากนิตยสารไทม์อธิบายว่า "ความกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆส่งผลให้เธอประสบความสำเร็จ" และ Jessica Kiang จาก IndieWire ตั้งข้อสังเกตว่าสโตนมีพรสวรรค์ในการแสดงได้หลายบทบาทและทำออกมาได้ดีทุกเรื่อง[62]

ในขณะที่อาชีพนักแสดงของเธอได้พัฒนาและโด่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ สโตนได้กลายเป็นนักแสดงหญิงที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่ง โดยในปี 2008 เธอติดอันดับท็อป 20 ดาวรุ่งที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีของนิตยสาร Saturday Night และการแสดงของเธอในเรื่อง Easy A ได้ถูกจัดอันดับอยู่ใน Time's Top 10 Everything ในปี 2010 เธอปรากฏตัวในรายชื่อหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในปี 2013 ซึ่งเป็นการรวบรวม 100 บุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกจากนิตยสารฟอร์บส์ มีการรายงานว่าเธอมีรายได้สูงุถึง 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2013-2014[63] ในปีเดียวกันนั้นเธอได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 10 อันดับดาราที่ดีที่สุดจากหลายสื่อบันเทิง ในปี 2015 ฟอร์บส์ประกาศว่าเธอเป็นนักแสดงหญิงที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกจำนวน 26 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในปี 2017 เธอได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารไทม์ในฐานะเป็น 1 ใน 100 บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก

สโตนยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่สวยและมีเสน่ห์มากที่สุดคนหนึ่ง ทรงผม, ดวงตา และเสียงของเธอเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจนซึ่งอายไลเนอร์ได้กลายเป็นหนึ่งในพื้นฐานการแต่งหน้าของเธอและทำให้แฟนๆจดจำเธอได้เป็นอย่างดี นิตยสารโว้กได้บรรยายถึงบุคลิกภาพของเธอว่า "ทุกสัดส่วนของเธอเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากที่สุดคนหนึ่ง" [64] ในปี 2009 เธอติดอันดับในนิตยสาร FHM ให้เป็น 1 ใน 100 สตรีที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก[65] และได้รับการยกย่องจากนิตยสารและสื่อต่างๆ เช่น วิกตอเรียส์ซีเคร็ต, เม็นส์เฮลต์, แกลเมอร์ ฯลฯ[66] ในฐานะที่เป็นนักแสดงที่สวยและมีเสน่ห์มากที่สุดคนหนึ่ง[67]

ชีวิตส่วนตัว

[แก้]

สโตนป่วยเป็นโรคหอบหืดซึ่งเธอตรวจพบภายหลังจากมีปัญหาในการหายใจในระหว่างการถ่ายทำเรื่อง Easy A[68] สโตนย้ายจากลอสแอนเจลิสไปกรีนิชวิลเลจ นิวยอร์กในปี 2009 ในปี 2016 เธอย้ายกลับไปที่ลอสแอนเจลิส แม้จะได้รับความสนใจจากสื่ออย่างมาก แต่เธอก็ปฏิเสธที่จะพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวต่อสาธารณะ เนื่องด้วยด้วยความต้องการใช้ชีวิตปกติ สโตนกล่าวว่าเธอพบประโยชน์เพียงเล็กน้อยในการเป็นคนดังของสื่อ เธอรักในอาชีพของเธอมากและสโตนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับครอบครัวของเธอ เธอเล่าว่า "ฉันมีความสุขกับครอบครัวที่ยิ่งใหญ่และผู้คนมากมายรอบตัว ฉันโชคดีจริงๆในแง่นั้น" เธอเผยในบทสัมภาษณ์ว่า ผิวเธอแพ้ง่าย เธอจึงหลีกเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและหันไปใช้น้ำมันสกัดจากเมล็ดองุ่นที่วางขายในซูเปอร์มาร์เก็[69]

ความสัมพันธ์

[แก้]

ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Amazing Spider-Man ในปี 2010 สโตนเริ่มคบหากับ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้ต่อสาธารณะแม้ว่าพวกเขาจะปรากฏตัวหลายครั้งด้วยกัน ต่อมาในปี 2015 มีรายงานว่าเธอและการ์ฟิลด์ได้ยุติความสัมพันธ์ลงแล้ว ในปี 2017 สโตนเริ่มคบหากับ เดฟ แม็คแครี่ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ต่อมาพวกเขาหมั้นกันในเดือนธันวาคมปี 2019 และสมรสกันในปีถัดมา[70] ในเดือนมีนาคมปี 2021 สโตนได้คลอดบุตรสาวคนแรกของเธอ[71]

การกุศล

[แก้]

แม่ของสโตนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมและรักษาหายขาดในปี 2008[72] สโตนและแม่ของเธอฉลองด้วยการสักเป็นรูปเท้าของนกซึ่งออกแบบโดย เซอร์ พอล แม็กคาร์ตนีย์[73] โดยอ้างอิงจากเพลง "Blackbird" ของวงดนตรีในตำนานเดอะบีทเทิลส์ซึ่งเธอและแม่ของเธอชื่นชอบ เธอปรากฏตัวในแคมเปญของ "Revlon" ที่ส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม[74] และ ในปี 2011 Stone ได้เข้าร่วมโครงการ "Stand Up to Cancer" ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสำหรับการวิจัยโรคมะเร็ง สองปีต่อมาเธอได้เข้าร่วมกิจกรรมของ "Gilda's Club" ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน ตั้งแต่ปี 2012 ถึงปี 2014 เธอเป็นเจ้าภาพจัดงาน "Revlon Run / Walk" ของมูลนิธิอุตสาหกรรมบันเทิงซึ่งร่วมต่อสู้กับผู้หญิงซึ่งป่วยเป็นมะเร็ง[75]

สโตนยังร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการ " Motion Picture & Television Fund" เพื่อช่วยเหลือผู้คนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ประสบปัญหาทางด้านรายได้[76] ในปี 2018 เธอร่วมมือกับนักแสดงหญิง 300 คนในฮอลลีวูดเพื่อร่วมก่อตั้งโครงการ "Time's Up" เพื่อปกป้องผู้หญิงจากการคุกคามและการเลือกปฏิบัติในสังคม[77]

ความสำเร็จ

[แก้]

สโตนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 3 รางวัล[78] ได้แก่ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Birdman และ The Favorite และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก La La Land; รวมถึงรางวัล British Academy Film Awards 4 รางวัล ได้แก่ รางวัล BAFTA Rising Star, นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Birdman และThe Favorite และ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในบทบาทนำจาก La La Land เธอได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก La La Land ในปี 2017 เธอยังได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมสาขาตลกหรือดนตรีจากงานประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 74 รวมถึงนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมในงาน Screen Actors Guild Awards ครั้งที่ 23 และ Volpi Cup สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์เวนิสสำหรับบทบาทของเธอใน La La Land[79]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Celebrity birthdays on Nov. 6[ลิงก์เสีย]". The Miami Herald. November 6, 2009. Retrieved on June 26, 2010.
  2. La La Land - IMDb, สืบค้นเมื่อ 2021-05-26
  3. Tiffany, Kaitlyn (2017-02-27). "Emma Stone wins the Best Actress Oscar for La La Land". The Verge (ภาษาอังกฤษ).
  4. Robehmed, Natalie. "The World's Highest-Paid Actresses 2017: Emma Stone Leads With $26 Million". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
  5. Larson, Brie. "Emma Stone". TIME.com.
  6. "Emma Stone's Childhood Home in Paradise Valley, AZ (Google Maps)". Virtual Globetrotting (ภาษาอังกฤษ). 2011-10-02.
  7. "Interview: Emma Stone From 'The Help'". FanBolt (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2011-12-06.
  8. Webb, Marc (2012-06-28), The Amazing Spider-Man, Andrew Garfield, Emma Stone, Rhys Ifans, Irrfan Khan, Columbia Pictures, Marvel Entertainment, Laura Ziskin Productions, สืบค้นเมื่อ 2021-05-25
  9. "Emma Stone". Biography (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  10. "Emma Stone | W Magazine". web.archive.org. 2016-04-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-25. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  11. Schuman, Michael A. (2013-07-01). Emma!: Amazing Actress Emma Stone (ภาษาอังกฤษ). Enslow Publishing, LLC. ISBN 978-0-7660-4113-4.
  12. "Emma Stone | W Magazine". web.archive.org. 2016-04-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-25. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  13. "GUESS WHO?". HuffPost (ภาษาอังกฤษ). 2011-11-04.
  14. "Emma Stone: Hollywood Is Her Oyster | Vanity Fair". web.archive.org. 2016-03-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-12. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  15. "'Zombieland's' Emma Stone Dreams of SNL and Mexican Food - BlackBook". web.archive.org. 2011-10-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-22. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  16. Eells, Josh (2015-06-17). "Emma Stone Talks 'Irrational Man,' the Sony Hack and Keeping Her Personal Life Private". Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.
  17. "Emma Stone: Hollywood Is Her Oyster | Vanity Fair". web.archive.org. 2016-03-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-12. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  18. "Emma Stone, une muse qui ne craint pas les défis - L'Express". web.archive.org. 2015-10-19. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-19. สืบค้นเมื่อ 2021-05-26.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  19. Hendrix, Grady. "Rainn Wilson on His New Spiritual Book and How The Rocker's Epic Flop Changed His Life for the Better". Vulture (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  20. "The House Bunny - Movie Reviews and Movie Ratings | TVGuide.com". web.archive.org. 2016-04-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-07. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  21. Carroll, Larry. "Emma Stone Perfects Her 'O' Face For 'The Ghosts Of Girlfriends Past'". MTV News (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-26. สืบค้นเมื่อ 2021-05-26.
  22. "The heart of Stone". independent (ภาษาอังกฤษ).
  23. Kit, Borys (2009-11-03). "Owen Wilson signs on for "Marmaduke"". Reuters (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.
  24. "Emma Stone - NOW Toronto Magazine - Think Free". web.archive.org. 2016-01-14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-01-14. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  25. "Easy A (2010) - Box Office Mojo". web.archive.org. 2016-03-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  26. Setoodeh, Ramin (2011-09-02). "Emma Stone's Lindsay Lohan Problem". The Daily Beast (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.
  27. "The Women Film Critics Circle Awards". Awardsdaily - The Oscars, the Films and everything in between. (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2011-12-20.
  28. "Emma Stone Movie Box Office Results". web.archive.org. 2016-04-09. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-09. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  29. "17th Annual Critics' Choice Movie Awards (2012) – Best Picture: The Artist | Critics Choice Awards" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-08. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.
  30. Ditzian, Eric. "EXCLUSIVE: Emma Stone Not Starring In '21 Jump Street' Reboot". MTV News (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-15. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.
  31. "Emma Stone Goes Blonde for Spiderman : InStyle.com What's Right Now". web.archive.org. 2012-05-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-13. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  32. "Sleeping Dogs (Video Game 2012)". IMDb.
  33. Horg, Richard; Ecember 7; 2012. "Xbox Users Set to Play With Unique Awards Show Component - 'Samuel L. Jackson Mode'" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).{{cite web}}: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์)
  34. "Josh Brolin, Ryan Gosling, Emma Stone, and Director Ruben Fleischer Talk GANGSTER SQUAD | Collider | Page 220638". web.archive.org. 2015-06-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-22. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  35. staff, T. H. R.; staff, T. H. R. (2015-03-28). "Kids' Choice Awards 2015: The Complete Winners List". The Hollywood Reporter (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  36. Allen, Woody (2014-07-31), Magic in the Moonlight, Colin Firth, Emma Stone, Marcia Gay Harden, Hamish Linklater, Gravier Productions, Dippermouth, Perdido Productions, สืบค้นเมื่อ 2021-05-26
  37. Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance) (2014) (ภาษาอังกฤษ), สืบค้นเมื่อ 2021-05-26
  38. "Emma Stone Magic in the Moonlight". www.female.com.au (ภาษาอังกฤษ).
  39. "Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance) (2014) - IMDb". www.imdb.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  40. Miller, Julie. "What Emma Stone Does Before Each Cabaret Performance on Broadway". Vanity Fair (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  41. Staff, Variety; Staff, Variety (2015-08-17). "Teen Choice Awards 2015 Winners: Full List". Variety (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  42. "Emma Stone is absolutely magnetic in Will Butler's "Anna" video -- watch". Consequence (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2015-10-08.
  43. Grobar, Matt; Grobar, Matt (2016-11-05). "Emma Stone Reveals Unorthodox 'La La Land' Audition; Mel Gibson On 'Hacksaw Ridge' Inspiration – The Contenders". Deadline (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  44. "Ryan Gosling, Emma Stone musical 'La La Land' pushed to December". EW.com (ภาษาอังกฤษ).
  45. "La La Land". Box Office Mojo.
  46. Jang, Meena; Jang, Meena (2017-02-26). "Oscars: Emma Stone Wins Best Actress for 'La La Land'". The Hollywood Reporter (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  47. "Here Is the 2017 Golden Globes Winners List". Billboard (ภาษาอังกฤษ).
  48. "Emma Stone on Preparing to Play Billie Jean King: 'I Was a Real Creep'". EW.com (ภาษาอังกฤษ).
  49. "Emma Stone Brings Billie Jean King, Who She She Played in Battle of the Sexes, as Globes Date". PEOPLE.com (ภาษาอังกฤษ).
  50. Galloway, Stephen; Galloway, Stephen (2018-09-02). "Telluride: Emma Stone Reveals Her Acting Breaking Points". The Hollywood Reporter (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  51. Staff, Variety; Staff, Variety (2018-12-06). "Golden Globe Nominations: Complete List". Variety (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  52. Grow, Kory; Grow, Kory (2018-12-19). "See Paul McCartney, Emma Stone Shrug Off Bullies in 'Who Cares' Video". Rolling Stone (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  53. "Zombieland: Double Tap". Box Office Mojo.
  54. Zombieland: Double Tap (2019) (ภาษาอังกฤษ), สืบค้นเมื่อ 2021-06-04
  55. "Cruella (2021) - IMDb". www.imdb.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  56. D'Alessandro, Anthony; D'Alessandro, Anthony (2021-03-23). "Disney Shifts 'Black Widow' & 'Cruella' To Day & Date Release In Theaters And Disney+, Jarring Summer Box Office". Deadline (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  57. "Emma Stone To Star In 'Love May Fail' Movei Based On Matthew Quick Book | Deadline". web.archive.org. 2015-11-19. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-11-19. สืบค้นเมื่อ 2021-06-04.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  58. White, Peter; White, Peter (2020-12-10). "Emma Stone To Star In Comedy Series 'The Curse' From Nathan Fielder & Safdie Brothers For Showtime". Deadline (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  59. "Who Is The Most Famous Actress In The World Right Now?". Ranker (ภาษาอังกฤษ).
  60. "Emma Stone". IMDb.
  61. Jeunesse, Marilyn La. "Every single Emma Stone movie, ranked". Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  62. "Interview: Emma Stone Talks Comedy, 'The Croods' And Cameron Crowe; Scores Off The Charts On Likability | The Playlist". web.archive.org. 2013-05-18. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-18. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  63. Pomerantz, Dorothy. "Celebrity 100 Sneak Peek: Emma Stone Makes Our List For The First Time". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
  64. Nast, Condé. "Emma Stone's Best Red-Carpet Moments". Vogue (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  65. "FHM Girls - The 100 Sexiest Women in the World- Photos, Videos, and Interviews | FHMonline.com". web.archive.org. 2009-07-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-07-07. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  66. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-08. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.
  67. "The 100 Sexiest Movie Stars: The Top 20". Empire.
  68. Herbert, Steve (2018-12-18), "Being Easy Isn't Easy", Too Easy to Keep, University of California Press, pp. 40–66, ISBN 978-0-520-30050-7, สืบค้นเมื่อ 2021-05-26
  69. "เคล็ดลับความงามของเซเลบสวยและรวย ที่คุณนึกไม่ถึง!". mgronline.com (ภาษาอังกฤษ). 2012-09-26.
  70. "Emma Stone and Dave McCary Are Married After 3 Years of Dating". PEOPLE.com (ภาษาอังกฤษ).
  71. "Emma Stone's Sweetie! Actress Welcomes 1st Child With Husband Dave McCary". Us Weekly (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2021-03-26.
  72. "Emma Stone's Mother's Cancer Diagnosis Was 'Terryfing'". PEOPLE.com (ภาษาอังกฤษ).
  73. "Emma Stone Has Paul McCartney Design Mother-Daughter Tattoo". TVGuide.com (ภาษาอังกฤษ).
  74. "Emma Stone Poses With Breast Cancer Survivor Mom in New Awareness Campaign". E! Online. 2012-09-12.
  75. "Join the Fight Against Cancer: Entertainment Industry Foundation's Revlon Run/Walk For Women Announces 2014 Hosts for Annual Event | Entertainment Industry Foundation". web.archive.org. 2016-03-29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-29. สืบค้นเมื่อ 2021-05-26.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  76. MPTF. "2015 MPTF 'Night Before' Host Committee Members George Clooney, Eddie Redmayne, Reese Witherspoon, And More Attend 13th Annual Fundraiser In Support Of MPTF". www.prnewswire.com (ภาษาอังกฤษ).
  77. "Selena Gomez, Reese Witherspoon, And Emma Stone Among 300 Women In Hollywood to Sign Anti-Harassment Action Plan". W Magazine (ภาษาอังกฤษ).
  78. "The 87th Academy Awards | 2015". Oscars.org | Academy of Motion Picture Arts and Sciences (ภาษาอังกฤษ).
  79. "Here Is the 2017 Golden Globes Winners List". Billboard (ภาษาอังกฤษ).