ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วิวัฒนาการของมนุษย์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
AlphamaBot (คุย | ส่วนร่วม)
Tikmok (คุย | ส่วนร่วม)
เขียนใหม่ รุ่นนี้ยังมีที่อ้างอิงอาจจะมากเกินไป ตั้งใจจะทำให้น้อยลงในรุ่นต่อไป
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{รอการตรวจสอบ}}
{{รอการตรวจสอบ}}
<!-- บทความนี้รวม "วิวัฒนาการของมนุษย์" เข้ากับบทความดัดแปลงจากวิกิภาษาอังกฤษ Human evolution ให้สังเกตว่า รายละเอียดทางวิชาการในเรื่องนี้ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วปีต่อปี บทความภาษาอังกฤษปัจจุบันบางส่วนเริ่มล้าสมัย บางประเด็นกล่าวขัดกันเองในบทความ และบางประเด็นก็ยังไม่มีข้อยุติในหมู่นักวิชาการ ทำให้ข้อมูลเมื่อดูในที่ต่าง ๆ ก็จะไม่เหมือนกัน บทความภาษาไทยนี้ก็คงจะลงเอยในแนวทางเดียวกันเช่นกันทั้งในปัจจุบันและต่อไปในอนาคต -->
'''วิวัฒนาการของมนุษย์''' เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลง พัฒนาหรือ[[วิวัฒนาการ]] ที่ทำให้สิ่งมีชีวิต (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทลิงใหญ่ - Ape) มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ กลายเป็น[[สปีชีส์]]ใหม่ จนในที่สุดพัฒนาไปเป็น[[มนุษย์]]ปัจจุบัน
<!-- บทอื่น ๆ ที่เปลี่ยนทางมายังบทความนี้:
Human evolution, วิวัฒนาการมนุษย์
-->
[[ไฟล์:Human_evolution_scheme.png|thumb|right]]
'''วิวัฒนาการของมนุษย์''' ({{lang-en|Human evolution}})
เป็นกระบวนการ[[วิวัฒนาการ]]ที่นำไปสู่การปรากฏขึ้นของ "'''มนุษย์ปัจจุบัน'''" ({{lang-en|modern human}} มีนามตาม[[อนุกรมวิธาน]]ว่า ''Homo sapiens'' หรือ ''Homo sapiens sapiens'')
ซึ่งแม้ว่าจริง ๆ แล้วจะเริ่มต้นตั้งแต่บรรพบุรุษแรกของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
แต่บทความนี้ครอบคลุมเพียงแค่ประวัติ[[วิวัฒนาการ]]ของสัตว์[[อันดับวานร]] (primate) โดยเฉพาะใน[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''[[โฮโม]]'' (''Homo'')
และการปรากฏขึ้นของมนุษย์[[สปีชีส์]] ''[[Homo sapiens]]'' ที่จัดเป็นสัตว์[[วงศ์ลิงใหญ่]]
การศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์นั้นต้องอาศัยความรู้ทาง[[วิทยาศาสตร์]]หลายสาขา
รวมทั้ง[[มานุษยวิทยา]]เชิงกายภาพ (หรือ มานุษยวิทยาเชิงชีวภาพ), [[วานรวิทยา]], [[โบราณคดี]], [[บรรพชีวินวิทยา]],
[[พฤติกรรมวิทยา]], [[ภาษาศาสตร์]], [[จิตวิทยา]]เชิงวิวัฒนาการ (evolutionary psychology), [[คัพภวิทยา]] และ[[พันธุศาสตร์]]<ref>{{cite journal|author=Heng, HH|title=The genome-centric concept: resynthesis of evolutionary theory |journal=BioEssays |volume=31|issue=5|pages=512-25|date=May 2009 |pmid=19334004 |doi=10.1002/bies.200800182 }}</ref>


กระบวนการวิวัฒนาการเป็นความเปลี่ยนแปลงของลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ของกลุ่ม[[สิ่งมีชีวิต]]ผ่านหลายชั่วยุคชีวิต
วิวัฒนาการของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของวิชาชีววิทยา เป็นสาขาวิชาที่ทำการสืบค้นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจและอธิบาย ว่าการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาจากลิงใหญ่กลายเป็นมนุษย์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดความหลายหลากกับสิ่งมีชีวิตในทุก[[การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์|ระดับชั้น]] รวมทั้งระดับ[[สปีชีส์]] ระดับสิ่งมีชีวิตแต่ละตัว และแม้กระทั่งโครงสร้างระดับ[[โมเลกุล]]เช่น[[ดีเอ็นเอ]]และ[[โปรตีน]]<ref>{{cite book | editor1-last=Hall | editor1-first=B. K. | editor2-last=Hallgrimsson | editor2-first=B. |title = Strickberger's Evolution |year = 2008 |edition = 4th |publisher = Jones & Bartlett |isbn = 0-7637-0066-5}}</ref>
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกสืบสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกันที่มีชีวิตประมาณ 3.8 พันล้านปีก่อน
การเกิดสปีชีส์ใหม่ ๆ และการแยกสายพันธุ์ออกจากกันของสิ่งมีชีวิต สามารถอนุมานได้จากลักษณะสืบสายพันธุ์ทาง[[สัณฐานวิทยา (ชีววิทยา)|สัณฐาน]]และทางเคมีชีวภาพ หรือโดย[[ลำดับดีเอ็นเอ]]ที่มีร่วมกัน<ref>{{cite book | last=Panno |first=Joseph |title=The Cell: Evolution of the First Organism |year=2005 |publisher=Facts on File |isbn=0-8160-4946-7}}</ref>
คือ ลักษณะสืบสายพันธุ์และลำดับดีเอ็นเอที่มีกำเนิดเดียวกัน จะมีความคล้ายคลึงกันระหว่างสปีชีส์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกันเร็ว ๆ นี้มากกว่าระหว่างสปีชีส์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกันมานานแล้ว ดังนั้นความคล้ายคลึงกันและความแตกต่างกันจึงสามารถใช้สร้างแบบของต้นไม้สายพันธุ์สิ่งมีชีวิต ที่แสดงความสัมพันธ์เชิงญาติ โดยใช้สิ่งมีชีวิตที่ยังมีอยู่หรือใช้[[ซากดึกดำบรรพ์]]เป็นหลักฐาน
รูปแบบความหลากลายของสิ่งมีชีวิตในโลกเปลี่ยนแปลงไปเพราะการเกิดขึ้นของสปีชีส์ใหม่ ๆ และการสูญพันธุ์ไปของสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่<ref>{{cite book | editor1-last=Cracraft | editor1-first=J. |year = 2005 |url = http://books.google.ca/books?id=61XTPOYU6kC&printsec=frontcover&dq=Assembling+the+tree+of+life#v=onepage&q&f=false |editor2-last=Donoghue | editor2-first=M. J. |title = Assembling the tree of life |publisher = Oxford University Press |isbn = 0-19-517234-5 }}</ref>
{{ข้อมูลเพิ่มเติม|วิวัฒนาการ}}


งานวิจัยต่าง ๆ ทาง[[พันธุศาสตร์]]แสดงว่า สัตว์[[อันดับวานร]]รวมทั้ง[[มนุษย์]]แยกออกจาก[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม]]ประเภทอื่น ๆ เมื่อประมาณ {{Ma|85}}
การศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์ รวบรวมวิทยาศาสตร์เข้าไว้หลายแขนง ที่เด่นชัดก็คือ[[มานุษยวิทยา|มานุษยวิทยากายภาพ]] (physical anthropology) และ[[พันธุศาสตร์]] (genetics)
โดยมี[[ซากดึกดำบรรพ์]]ปรากฏเป็นครั้งแรกสุดเมื่อประมาณ {{Ma|55}}<ref name=Nova2008>{{cite web |title=Meet Your Ancestors |url=http://www.pbs.org/wgbh/nova/evolution/meet-your-ancestors.html |first=Peter |last=Tyson |publisher=NOVA scienceNOW (PBS) |date=2008-01-07}}</ref><ref name=OLeary2013>{{cite journal |last1=O'Leary |first1=M. A. |last2=Bloch |first2=J. I. |last3=Flynn |first3=J. J. |last4=Gaudin |first4=T. J. |last5=Giallombardo |first5=A. |last6=Giannini |first6=N. P. |last7=Cirranello |first7=A. L. |title=The placental mammal ancestor and the post-K-Pg radiation of placentals |journal=Science |volume=339 |issue=6120 |pages=662-667 |year=2013}} </ref><ref name=Fleagle>{{cite web |title=Primate Evolution |year=2011-2012 |url=http://alltheworldsprimates.org/John_Fleagle_Public.aspx |first1=J |last1=Fleagle |first2=C |last2=Gilbert |accessdate=4 กันยายน 2557}}</ref>
ส่วนลิง[[วงศ์ชะนี]] (Hylobatidae) แยกสายพันธุ์ออกจาก[[วงศ์ลิงใหญ่]] (Hominidae) ซึ่งเป็นวงศ์หนึ่ง ๆ ของสัตว์อันดับวานรนั้น เมื่อ 15-20 ล้านปีก่อน
แล้วลิงวงศ์ Ponginae (ลิง[[อุรังอุตัง]]) ก็แยกออกจากสายพันธุ์เมื่อประมาณ {{Ma|14}}<ref name="Dawkins2004">{{cite book |last=Dawkins |first=Richard |authorlink=ริชาร์ด ดอว์กินส์ |title=The Ancestor's Tale (US hardcover) |year=2004 |isbn=0-618-00583-8 |publisher=Houghton Mifflin |location=US}}</ref><ref>{{cite web | title = Query: Hominidae/Hylobatidae | publisher = Time Tree | year = 2009 | accessdate = 5 กันยายน 2557 | url = http://www.timetree.org/time_e_query.php?taxon_a=Hominidae&taxon_b=Hylobatidae }}</ref>


จากนั้น '''การเดินด้วยสองเท้า''' (bipedalism) ซึ่งเป็นการปรับตัวพื้นฐานที่สุดของสัตว์[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] '''Hominini'''<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|name=hominini|
คำว่า 'มนุษย์' ในบริบทของการวิวัฒนาการของมนุษย์ หมายถึง[[จีนัส]] ''[[โฮโม]]'' (''Homo'') แต่การศึกษาวิวัฒนาการมนุษย์ก็มักจะรวม[[สมาชิกตระกูลมนุษย์]] เรียกว่า [[โฮมินิด]] (hominid) (Family Hominidae) อย่าง [[Australopithecines]] เข้าไปด้วย
[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] '''Hominini''' ({{lang-en|hominin}}) ปกติใช้เรียกสายพันธุ์ของมนุษย์ที่ลิงชิมแปนซีได้แยกออกไปแล้ว ซึ่งในที่สุดกลายเป็นมนุษย์สกุล ''Homo''
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของมนุษย์ที่ลิงชิมแปนซีได้แยกออกไปแล้ว
ก็เริ่มปรากฏในสัตว์สองเท้าแรกสุดใน[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Sahelanthropus''<ref name=Brunet2002 />
หรือ ''Orrorin''<ref name=Henke2007 />
โดยมีสกุล ''Ardipithecus'' ซึ่งเป็นสัตว์สองเท้าที่มีหลักฐานชัดเจนกว่า ตามมาทีหลัง<ref name=BBC20091001 />
ส่วนลิง[[กอริลลา]]และลิง[[ชิมแปนซี]]แยกออกจากสายพันธุ์ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน
คือลิงกอริลลาเมื่อ 6-10 ล้านปีก่อน<ref name=Bradley2008 />
และลิงชิมแปนซีเมื่อ 4-8 ล้านปีก่อน<ref name=Bradley2008 />
โดยอาจจะมี ''Sahelanthropus'' เป็นบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกันระหว่างชิมแปนซีและมนุษย์<ref name=Brunet2002 />
สัตว์สองเท้ายุคเริ่มต้นเหล่านี้ในที่สุดก็วิวัฒนาการมาเป็นเผ่า hominini เผ่าย่อย '''Australopithecina''' ({{lang-en|australopithecine}} ปกติรวมสกุล ''Australopithecus'', ''Paranthropus'', และในบางที่ ''Ardipithecus'') และหลังจากนั้นจึงเป็นเผ่าย่อย '''Hominina''' ซึ่งรวมเอามนุษย์สกุล ''โฮโม'' เท่านั้น<ref name=Wood2000 />


มนุษย์สกุล''โฮโม''ที่มีหลักฐานยืนยันพวกแรกที่สุดอยู่ใน[[สปีชีส์]] ''Homo habilis'' ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ {{Ma|2.3}}<ref name=White2010>{{cite web |title=Human origins |url=http://www.newscientist.com/data/doc/article/dn19554/instant_expert_5_-_human_origins.pdf |format=[[PDF]] |first=Tim |last=White |publisher=New Scientist - Instant Expert |year=2010 }}</ref><ref name=NYT-2007-08-09>{{cite web |title=Fossils in Kenya Challenge Linear Evolution |url=http://www.nytimes.com/2007/08/09/science/08cnd-fossil.html?ref=science |date=August 9, 2007 |publisher=New York Times |quote="Scientists who dated and analyzed the specimens&nbsp;— a 1.44 million-year-old Homo habilis and a 1.55 million-year-old Homo erectus&nbsp;— said their findings challenged the conventional view that these species evolved one after the other. Instead, they apparently lived side by side in eastern Africa for almost half a million years." }}</ref><ref name=Pinker1997>{{cite book |last1=Pinker |first1=Steven |title=How the Mind Works |publisher=W. W. Norton & Company |location= |year=1997 |pages=198 |isbn=978-0-393-04535-2 |chapter=3 Revenge of the Nerds}}</ref>
== ประวัติ ==
โดยเชื่อกันว่า สืบสายพันธุ์มาจาก homonini ในสกุล ''Australopithecus''<ref name=Encarta2006 />
การศึกษามนุษย์วิทยากายภาพ (Physical Anthropology, Paleoanthropology) ยุคใหม่ เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการค้นพบซาก[[มนุษย์นีแอนเดอร์ธาล]]([[Neanderthal man]]) และหลักฐานต่างๆ ของมนุษย์ถ้ำ
เป็นสปีชีส์แรก ๆ ที่มีหลักฐานชัดเจนว่าใช้[[เครื่องมือหิน]]<ref name=raven2002>{{cite web |title=Biology/6e |chapter=23 How Humans Evolved |last1=Johnson |first1=George B. |last2=Raven |first2=Peter H. |last3= Singer |first3=Susan |last4= Losos |first4=Jonathan |year=2002 |publisher=McGraw-Hill Higher Education |accessdate=2557-02-23 |chapterurl=http://highered.mheducation.com/sites/0073031208/student_view0/chapter23/elearning_sessions.html }}</ref><ref name=Sagan1977>{{cite book |title=The Dragons of Eden: Speculations on the Evolution of Human |last1=Sagan |first1=Carl |publisher=Random House |location=United States |year=1977 |pages=60 |isbn=0-394-41045-9 }}</ref><!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua |name=OldestStoneTool |
หลักฐานการใช้[[เครื่องมือหิน]]ที่เก่าที่สุดมีอายุประมาณ 3.4 ล้านปีก่อน ([[สมัยไพลโอซีน]]ปลาย)
คือ มีการพบกระดูกที่มีรอยผ่าที่มีรอยแตกใน[[ประเทศเอธิโอเปีย]]ใกล้กับซากของทารก homonini สปีชีส์ ''Australopithecus afarensis'' เหมือนกับลูซี่<ref>{{Cite doi |10.1038/nature09248}}<!-- {{cite journal author=Shannon P. McPherron et Al. I year=2010 Ititle=Evidence for Stone-tool-assisted Consumption of Animal Tissues before 3.39 Million Years Ago at Dikika, Ethiopia I journal=Nature Ivolume=466 (issue=7308 (pages=857-860 I Amid=20703305}}--></ref><ref> {{cite web |title=Scientists Discover Oldest Evidence of Stone Tool Use and Meat-Eating Among Human Ancestors |url=http://www.calacademy.org/newsroom/releases/2010/oldest_tool_use.php |accessdate=27 November 2013}}</ref>
แต่ว่าเครื่องมือหินเทคโนโลยีแบบ Oldowan ที่เก่าที่สุดมีอายุ 2.6 ล้านปีในสมัยไพลโอซีนปลาย ([[ยุคหินเก่า]]ต้น) พบที่[[เอธิโอเปีย]]<ref name=Semaw2003>{{Cite pmid |14529651}}<!-- {{cite journal I author=Semaw, S. et Al. year=2003 Ititle=2.6-Million-year-old stone tools and associated bones from OGS-6 and OGS-7, Gona, Afar, Ethiopia I journal=Journal of Human Evolution Ivolume=45 (pages=169-177 I pmid=14529651}}--></ref>
ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเกิดขึ้นของ ''H. habilis'' ซึ่งเป็นสกุลที่นัก[[โบราณคดี]]สัมพันธ์กับการใช้เทคโนโลยีนี้มากที่สุด


หลังจากนี้ เทคโนโลยี Oldowan ก็ได้กระจายไปทั่วแอฟริกา แต่ว่านักโบราณคดียังไม่แน่ใจว่า hominin [[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]]ไหนสร้างเทคโนโลยีนี้ขึ้นมาก่อน บางพวกเชื่อว่าเป็น ''Australopithecus garhi'' บางพวกเชื่อว่าเป็น ''Homo habilis''<ref>{{Citation | last=Toth | first=Nicholas | last2=Schick | first2=Kathy year=2009 | contribution=African Origins | title=The Human Past: World Prehistory and the Development of Human Societies | edition=2nd | editor-first=Chris | editor-last=Scarre |location=London |publisher=Thames and Hudson | pages=67-68}}</ref>
ความคิดที่ว่ามนุษย์มีความคล้ายคลึงกับลิงใหญ่มีมานานแล้ว แต่ความคิดเกี่ยวกับทฤษฏีวิวัฒนาการ ที่เป็นที่ยอมรับเริ่มขึ้น เมื่อ [[ชาร์ลส์ ดาร์วิน]]([[Charles Darwin]]) ตีพิมพ์หนังสือ [[On the Origin of Species]] ในปี ค.ศ. 1859 และหนังสือเล่มถัดมาของเขา [[Descent of Man]]
แต่ ''H. habilis'' เป็นพวกที่ใช้เทคโนโลยีนี้มากที่สุดในแอฟริกา จนกระทั่งถึง 1.9-1.8 ล้านปีก่อนที่ ''H. erectus'' สืบทอดเทคโนโลยีนี้ต่อมา
แม้ว่า เทคโนโลยีนี้จะพบในแอฟริกาใต้และตะวันออกในช่วง 2.6-1.7 ล้านปีก่อน แต่ก็มีการกระจายออกไปใน[[ยูเรเชีย]]พร้อมกับการอพยพออกจากแอฟริกาของ ''H. erectus'' ซึ่งนำเทคโนโลยีนี้ไปทางทิศตะวันออกไปจนถึง[[เกาะชวา]] ([[อินโดนีเซีย]]) เมื่อประมาณ 1.8 ล้านปีก่อน และไปถึง[[จีน]]ภาคเหนือเมื่อ 1.6 ล้านปีก่อน
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
และการปรับตัวของสายพันธุ์มนุษย์อีกอย่างหนึ่งคือ '''การขยายขนาดของสมอง'''<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|name=encephalization|
'''การขยายขนาดของสมอง''' ({{lang-en|encephalization}}) เป็นการขยายขนาดของสมองเมื่อเทียบกับตัว คือสัตว์ที่มีร่างกายใหญ่โตต้องมีสมองที่ใหญ่กว่า ดังนั้น การขยายขนาดสมองของมนุษย์จริง ๆ แล้วเป็นการขยายขนาดของสมองในระดับที่สูงกว่าการขยายขนาดของตัว
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
(encephalization) ก็ได้เริ่มขึ้นที่มนุษย์ยุคต้นนี้ ซึ่งมีขนาดสมองที่ประมาณ 610 ซม<sup>3</sup> คือมีขนาดใหญ่กว่าของลิง[[ชิมแปนซี]]เล็กน้อย<ref name=australianmuseum2013>{{cite web |title=Homo habilis |publisher=Australian Museum |url=http://australianmuseum.net.au/Homo-habilis |date=16 September 2013 |accessdate=9 กันยายน 2557 }}</ref><ref name=tolweb2006>{{cite web |title=Human Evolution |url=http://tolweb.org/treehouses/?treehouseid=3710 |last1=Brown |first1=Graham |last2=Fairfax |first2= Stephanie|last3=Sarao |first3=Nidhi |publisher=Tree of Life Web Project |year=2006}} </ref>
(ระหว่าง 282-500 ซม<sup>3</sup><ref name=Tobias1971 />)
มีนักวิทยาศาสตร์ที่เสนอว่า นี้อยู่ในช่วงเวลาที่[[ยีน]]มนุษย์ประเภท SRGAP2 มีจำนวนเป็นสองเท่า<ref>{{Cite doi|10.1016/j.cell.2012.03.033}}<!-- {{cite journal | author = Dennis MY, et al. | title = Evolution of human-specific neural SRGAP2 genes by incomplete segmental duplication | journal = Cell | volume = 149 | issue = 4 pages = 912-22 date=May 2012 1 pmid = 22559943 | pmc = 3365555 }}--></ref><ref>{{Cite doi|10.1016/j.cell.2012.03.034}} <!-- {{cite journal | author = Charrier C et A.| title = Inhibition of SRGAP2 function by its human-specific paralogs induces neoteny during spine maturation | journal = Cell | volume = 149 1 issue = 4 1 pages = 923-935 date=May 2012 1 pmid = 22559944 | pmc = 3357949 }}--></ref>
ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาของ[[สมองกลีบหน้า]]ได้รวดเร็วกว่าในสัตว์อื่น ๆ<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
ในมนุษย์ '''SRGAP2''' เป็น[[ยีน]]ที่เข้ารหัส[[โปรตีน]] "SLIT-ROBO Rho GTPase-activating protein 2"<ref>{{Cite doi|10.1016/j.molbrainres.2004.01.002}}<!-- {cite journal I author = Madura T et Al. I title = Changes in mRNA of Slit-Robo GTPase-activating protein 2 following facial nerve transection I journal = Brain Res. Mol. Brain Res. I volume = 123 1 issue = 1-2 pages = 76-80 Idate=April 2004 1 pmid = 15046868 }} --></ref><ref>{{Cite doi |10.1016/50092-8674(01)00530-X}}{{PDFlink |1=[http://linkinghub.elsevier.com/retrieve/pii/S0092-8674(01)00530-X Full PDF]}}<!--{{cite journal I author = Wong K et Al. I title = Signal transduction in neuronal migration: roles of GTPase activating proteins and the small GTPase Cdc42 in the Slit-Robo pathway I journal = Cell I volume = 107 1 issue = 2 I pages = 209-21 date=October 2001 1 pmid = 11672528 1 doi = }}--></ref>
เป็นหนึ่งใน 23 ยีนที่เกิดการก๊อปปี้ในมนุษย์ที่ไม่ปรากฏใน[[ไพรเมต]]ประเภทอื่น<ref>{{Cite doi |10.1126/science.1197005}}<!--{{cite journal I author = Sudmant PH et Al, 1000 Genomes Project, title = Diversity of Human Copy Number Variation and }4ulticopy Genes I journal volume = 330 1 issue = 6004 1 pages = 64 -6 Idate=Oct 2010 1 pmid = 21030649 doi = }}--></ref>
คือเกิดการทำซ้ำถึงสามครั้งใน[[จีโนม]]มนุษย์ภายใน 3.4 ล้านปีที่ผ่านมา ชุดแรกเรียกว่า SRGAP2B ที่ 3.4 ล้านปีก่อน ชุดที่สองเรียกว่า SRGAP2C ที่ 2.4 ล้านปีก่อน และชุดสุดท้ายเรียกว่า SRGAP2D ที่ 1 ล้านปีก่อน
ส่วนยีน SRGAP2 เป็นชุดที่มีใน[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม]]ทั้งหมด (เป็นชุดที่ในมนุษย์เรียกว่า SRGAP2A) และชุด SRGAP2C ทำให้เกิด[[การแสดงออกของยีน|การแสดงออก]]เป็นโปรตีนแบบสั้นที่มีในมนุษย์ปัจจุบันทั้งหมด<ref>{{Cite doi |10.1016/j.cell.2012.03.033}} [http://www.sciencenews.org/view/generic/id/335200/title/Doubled_gene_means_extra_smarts Lay sumary from sciencenews.org] <!-- {{cite journal I author = Dennis MY et Al. I title = Evolution of human-specific neural SRGAP2 genes by incomplete segmental duplication I journal = Cell I volume = 149 I issue = 4 pages = 912-22 date=May 2012 1 pmid = 22559943 I pmc = 3365555}}--></ref>
เป็นโปรตีนที่มีหน้าที่ยับยั้งการแสดงออกของ SRGAP2A ที่เกิดขึ้นก่อน ทำให้เกิดผลสองอย่างคือ<ref name=Charrier2012>{{Cite doi |10.1016/j.cell.2012.03.034}}<!-- {{cite journal I author = Charrier C et Al I title = Inhibition of SRGAP2 function by its human-specific paralogs induces neoteny during spine maturation I journal = Cell I volume = 149 1 issue = 4 1 pages = 923-935 Idate=May 2012 1 pmid = 22559944 I pmc = 3357949 }}--></ref>
* ช่วยให้[[นิวรอน]]เคลื่อนไปจากแหล่งกำเนิดสู่จุดเป้าหมายได้เร็วขึ้น
* ยืดระยะเวลาที่[[ไซแนปส์]]จะถึงจุดสูงสุดในการพัฒนา และเพิ่มความหนาแน่นของไซแนปส์ใน[[เปลือกสมอง]] (cerebral cortex)
ส่วนโปรตีน SRGAP2 (หรือ SRGAP2A ในมนุษย์) ที่มาจากบรรพบุรุษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีหน้าที่เกี่ยวกับ
*การให้นิวรอนเคลื่อนไปจากแหล่งกำเนิดไปสู่จุดเป้าหมายในสมอง (neuronal migration)<ref name=Guerrier2009>{{Cite doi |10.1016/j.cell.2009.06.047}}<!--{{cite journal author = Guerrier S et Al. I title = The F-BAR domain of SRGAP2 induces membrane protrusions required for neuronal migration and morphogenesis I journal = Cell I volume = 138 1 issue = 5 1 pages = 990-1004 (date=Sep 2009 1 pmid = 19737524 1 pmc = 2797480 }}--></ref>
*การจำแนกเป็นประเภทเฉพาะของนิวรอน (neuronal differentiation)<ref name=Guerrier2009 />
*พัฒนาการของไซแนปส์<ref name=Charrier2012 />
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->


ต่อมา มนุษย์สปีชีส์ ''Homo erectus/ergaster'' ก็เกิดขึ้นในช่วงประมาณ {{Ma|1.9}} ที่มีปริมาตรกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของลิงชิมแปนซีคือ 850 ซม<sup>3</sup><ref name=Swisher2002>{{cite book |last1=Swisher |first1=Carl C. |last2=Curtis |first2=Garniss H |last3=Lewin |first3=Roger |title=Java Man |publisher=Abacus |year=2002 |isbn=0-349-11473-0}}</ref>
ตั้งแต่สมัยของ [[คาโรลัส ลินเนียส]] ([[Carolus Linnaeus]]) ได้จัดให้ [[ลิงไม่มีหาง|ลิงใหญ่]]อยู่ในกลุ่ม ที่เป็นญาติใกล้ชิดมนุษย์ โดยดูจากลักษณะภายนอก
การขยายขนาดของสมองเช่นนี้เทียบเท่ากับมี[[เซลล์ประสาท]]เพิ่มขึ้น 125,000 เซลล์ทุกชั่วยุคคน
นี้เชื่อว่าเป็นสปีชีส์แรก ๆ ที่สามารถควบคุมไฟ<ref name=Luke2012>{{cite web |last=Luke |first=Kim |url =http://www.sciencedaily.com/releases/2012/04/120402162548.htm |title=Evidence That Human Ancestors Used Fire One Million Years Ago |date=2012-04-12 |quote=An international team led by the University of Toronto and Hebrew University has identified the earliest known evidence of the use of fire by human ancestors. Microscopic traces of wood ash, a longside animal bones and stone tools, were found in a layer dated to one million years ago}} </ref><ref name=discover2013>{{cite web |title=Archaeologists Find Earliest Evidence of Humans Cooking With Fire |last1=Miller |first1=Kenneth |date=2013-12-07 |publisher=Discover Magazine |url=http://discovermagazine.com/2013/may/09-archaeologists-find-earliest-evidence-of-humans-cooking-with-fire#.UpHIM2tYCSN }}</ref><ref name=James1989>{{cite journal |last=James |first=Steven R. |date=February 1989 |title=Hominid Use of Fire in the Lower and Middle Pleistocene: A Review of the Evidence |journal=Current Anthropology |volume=30 |issue= 1 |pages=1-261 |publisher=University of Chicago Press |url=http://faculty.ksu.edu.sa/archaeology/Publications/Hearths/Hominid%20Use%20of%20Fire%20in%20the%20Lower%20and%20Middle%20Pleistocene.pdf |doi=10.1086/203705 }}</ref>
และใช้เครื่องมือหินที่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น<ref name=raven2002 /> เป็นมนุษย์[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Homo'' พวกแรกที่อพยพออกไปตั้งถิ่นฐานทั่ว[[ทวีปแอฟริกา]] [[ทวีปเอเชีย]] และ[[ทวีปยุโรป]] ในช่วงระหว่าง {{Ma|1.2|1.8}}<ref name=Garicia2009>{{Cite doi|10.1016/j.quageo.2009.09.012}} <!-- Garcia, T et Al. (2010). "Earliest human remains in Eurasia: New 40Ar/39Ar dating of the Dmanisi hominid-bearing levels, Georgia". Quaternary Geochronology, 5 (4), 443-451. --></ref><ref name=Hopkin2008>{{cite news |url=http://www.nature.com/news/2008/080326/full/news.2008.691.html |title=Fossil find is oldest European yet |date=2008-03-26 |publisher=Nature News |doi=10.1038/news.2008.691 |author=Hopkin M}}</ref><ref name=Finlayson2005 />
ดังนั้น การวิวัฒนาการของสายพันธุ์มนุษย์ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นไปใน[[แอฟริกา]]เท่านั้น<ref name=Encarta2006 />


ส่วนกลุ่มมนุษย์โบราณที่เรียกว่า '''Archaic ''Homo sapiens''''' ก็เกิดวิวัฒนาการขึ้นต่อมาประมาณ 600,000 ปีก่อน<ref name=Wood2000 /> สืบสายพันธุ์มาจาก ''H. erectus/ergaster'' เป็นกลุ่มมนุษย์ที่อาจเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน<ref>{{Cite web | title = Evolution's past is modern human's present | publisher = National Science Foundation | date = September 6, 2011 | url = http://www.nsf.gov/news/news_summ.jsp?org=NSF&cntn_id=121603&preview=false }}</ref><ref>{{Cite web | last = O'Neil | first = Dennis | title = Early Modern Homo sapiens | publisher = Behavioral Sciences Department, Palomar College, San Marcos, California | accessdate = 4 กันยายน 2557 | url = http://anthro.palomar.edu/homo2/mod_homo_4.htm |year=2013 }}</ref>
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คาดกันว่า [[ลิงชิมแปนซี]]และ[[ลิงกอริลล่า]]เป็นญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของมนุษย์ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
หลักฐานโดย[[ดีเอ็นเอ]]ในปี ค.ศ. 2010 บอกเป็นนัยว่า
มี[[ลำดับดีเอ็นเอ]]หลายส่วนที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์โบราณ ''Homo neanderthalensis'' ({{lang-en|Neanderthal}}) ใน[[ดีเอ็นเอ]]ของมนุษย์ปัจจุบันทุกเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่คนแอฟริกา
และว่า Neanderthal และมนุษย์โบราณสกุลอื่น ๆ เช่นที่รู้จักกันว่า ''Denisova hominin'' ({{lang-en|Denisovan}}) รวม ๆ กันแล้ว อาจจะให้[[จีโนม]]เป็นส่วน 1-10% ของจีโนมมนุษย์ปัจจุบัน
ซึ่งบอกเป็นนัยถึง การผสมพันธุ์กัน{{Efn-ua|name=admixture}} ระหว่างสปีชีส์เหล่านี้<ref name=Abi-Rached2011>{{Cite doi|10.1126/science.1209202}} [http://digitalcommons.unl.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=1122&context=publichealthresources archive (Aug 2011)]<!-- {{cite journal| author=Abi-Rached, L et Al. |title=The shaping of modern human immune systems by multiregional admixture with archaic humans |journal=Science |volume=334 |issue=6052 |date=2011-08-25 |doi=10.1126/science.1209202 |pmid=21868630 |bibcode = 2011Sci...334...89A | pages=89-94 | pmc=3677943 }}--></ref><ref name=Reich2010>{{cite pmid |21179161}}<!-- {{cite journal |author=Reich D, Green RE, Kircher M, ''et al. '' |title=Genetic history of an archaic hominin group from Denisova Cave in Siberia |journal=Nature |volume=468 |issue=7327 |pages=1053-60 |date=December 2010 |doi=10.1038/nature09710 |bibcode = 2010Natur.468.1053R}}--></ref><ref name=Noonan2010>{{cite journal |author=Noonan J. P |title=Neanderthal genomics and the evolution of modern humans |journal=Genome Res. |volume=20 |issue=5 |pages=547-53 |date=May 2010 |pmid=20439435 |pmc=2860157 |doi=10.1101/gr.076000.108}}</ref>
อย่างไรก็ดี การผสมพันธุ์มีระดับค่อนข้างที่จะต่ำ
และยังมีงานวิจัยอื่นต่อ ๆ มาที่เสนอว่า กรรมพันธุ์ของ Neanderthal หรือของ Archaic ''Homo sapiens'' อื่น ๆ ที่พบในมนุษย์ปัจจุบันอาจจะอธิบายได้โดยลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่สืบมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อ 500,000-800,000 มาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้<ref name=telegraph9474109>{{cite news | work=The Daily Telegraph |url=http://www.telegraph.co.uk/science/science-news/9474109/Neanderthals-did-not-interbreed-with-humans-scientists-find.html | location=London |title=Neanderthals did not interbreed with humans, scientists find | date=14 August 2012}} </ref><ref name=theguardian20130204>{{cite web |title=Neanderthals 'unlikely to have interbred with human ancestors' |url=http://www.theguardian.com/science/2013/feb/04/neanderthals-modern-humans-research |accessdate=9 กันยายน 2557 }}</ref><ref name=Lowery2013>{{Cite doi|10.1016/j.gene.2013.06.005}}<!-- Neanderthal and Denisova genetic affinities with contemporary humans: Introgression versus common ancestral polymorphisms, Lowery et Al. (2013)--></ref><ref name=StringerCommentary2013>{{cite web |title=The Human Stew |url=http://www.project-syndicate.org/commentary/the-complicated-origins-of-modern-humans-by-chris-stringer |accessdate=9 กันยายน 2557 |date = 2013-02-06 }}</ref><ref name=Alves2012>{{Cite doi |10.1371/journal.pgen.1002837}} <!-- Isabel Alves et al. (2012) Genomic Data Reveal a Complex Making of Humans --> {{PDFlink|[http://www.plosgenetics.org/article/fetchObject.action?uri&#61;info%3Adoi%2F10.1371%2Fjournal.pgen.1002837&representation&#61;PDF Full PDF]}} </ref>


มนุษย์ ''Homo sapiens'' ที่มีกายวิภาคปัจจุบัน (anatomically modern human) เกิดขึ้นโดยมีวิวัฒนาการมาจากมนุษย์โบราณกลุ่ม Archaic ''Homo sapiens'' ใน[[ยุคหินเก่า]]ช่วงกลาง คือประมาณ 200,000 ปีก่อน<ref>{{cite journal |title=Fossil reanalysis pushes back origin of Homo sapiens |date=February 17, 2005 |journal=Scientific American }}</ref>
== ก่อนจะมาเป็นมนุษย์ ==
ตาม[[ทฤษฎี]]กำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา
เราสามารถสืบหาวิวัฒนาการของไพรเมตย้อนหลังไปได้ถึงประมาณ 60 ล้านปีก่อน ไพรเมตมีบรรพบุรุษร่วมกันกับสัตว์จำพวกค้างคาว ซึ่งอาจมีชีวิตอยู่ช่วงประมาณยุค [[ครีเทเชียส]] (ทันยุคท้ายๆของพวกไดโนเสาร์)
มนุษย์ปัจจุบันมีการวิวัฒนาการในทวีปแอฟริกาเป็นไปได้ว่าจากบรรพบุรุษสปีชีส์ ''H. heidelbergensis/rhodesiensis'' (ซึ่งรวมอยู่ในกลุ่ม Archaic ''Homo sapiens'')
แล้วได้อพยพออกจากทวีปประมาณ 50,000-100,000 ปีก่อน (ต่างหากจากมนุษย์ในยุคก่อน ๆ)
ไปตั้งถิ่นฐานแทนที่กลุ่มมนุษย์สปีชีส์ ''H. erectus'', ''H. denisova'', ''H. floresiensis'' และ ''H. neanderthalensis'' ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นเชื้อสายของมนุษย์ที่อพยพออกมาจากทวีปแอฟริกาในยุคก่อน ๆ<ref name=McHenry2009> {{cite book |title=Evolution: the first four billion years |author=McHenry, H. M |chapter=Human Evolution |editors=Michael Ruse & Joseph Travis |year=2009 |publisher=The Belknap Press of Harvard University Press |location=Cambridge, Massachusetts |isbn=978-0-674-03175-3 |page=265}}</ref><ref name=Stringer2003>{{cite journal |last=Stringer |first=Chris |title=Human evolution: Out of Ethiopia |date=2003-06-12 |journal=Nature |url=http://www.radicalanthropologygroup.org/old/class_text_071.pdf |volume=423 |pages=692-695 |doi=10.1038/423692a |format=[[PDF]] }} </ref><ref name=ScienceMag2005>{{cite journal |title=Out of Africa Revisited |journal=Science |url=http://www.sciencemag.org/cgi/content/summary/sci;308/5724/921g |volume=308 |issue=5724 |pages=921 |doi=10.1126/science.308.5724.921g |date=13 May 2005 |accessdate=9 กันยายน 2557 |archiveurl=http://www.webcitation.org/5uQpZWiUP |archivedate=2010-11-22 |deadurl=no}}</ref><ref name=Johanson2001>{{cite web | author = Johanson D |publisher=ActionBioscience |url=http://www.actionbioscience.org/evolution/johanson.html |title=Origins of modern humans: multiregional or out of Africa? |date=May 2001 |accessdate=9 กันยายน 2557 |deadurl=no |archiveurl=http://www.webcitation.org/5uQpZnojk |archivedate=2010-11-22 }}</ref><ref name=Stringer1994>{{cite book |title=The Cambridge Encyclopedia of Human Evolution |author=Stringer, C.B. |chapter=Evolution of Early Humans |editors=Steve Jones, Robert Martin, David Pilbeam |year=1994 |publisher=Cambridge University Press |location=Cambridge |isbn=978-0-521-32370-3 | page=242}} Also ISBN 978-0-521-46786-5 (paperback)</ref>
โดยอาจจะมีการผสมพันธุ์กันกับมนุษย์ก่อน ๆ เหล่านั้น<ref name=Anthropology2012 />


ส่วนการเปลี่ยนมามี[[พฤติกรรม]]ปัจจุบัน<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua |name=ModernBehavior |
ไพรเมต (เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ทราบกัน) มาจากบริเวณอเมริกาเหนือ แพร่กระจายผ่าน ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ในยุค Paleocene และ Eocene
'''Behavioral modernity''' (แปลว่า การมีพฤติกรรมปัจจุบัน) เป็นบัญญัติภาษาอังกฤษที่ใช้ใน[[มานุษยวิทยา]] [[โบราณคดี]] และ[[สังคมวิทยา]]เมื่อกล่าวถึงลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่ทำมนุษย์ปัจจุบันและบรรพบุรุษเมื่อไม่นานนี้ให้ต่างจาก[[ไพรเมต]]ที่ยังมีชีวิตอื่น ๆ และจากสายพันธุ์มนุษย์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
เป็นจุดเริ่มต้นที่มนุษย์[[สปีชีส์]] ''[[Homo sapiens]]'' เริ่มปรากฏความสามารถในการใช้ความคิดเชิงนามธรรม (ความคิดเชิงสัญลักษณ์ คือใช้ตัวแทนที่หมายถึงสิ่งอื่น) และเริ่มแสดงความคิดสร้างสรรค์ทางด้าน[[วัฒนธรรม]]
พัฒนาการเหล่านี้เชื่อว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวกับกำเนิดภาษา<ref>{{Cite doi |10.1073/pnas.0510792103}} {{PDFlink |[http://www.pnas.org/content/103/25/9381.full.pdf Full PDF]}}<!-- Mellars (2006) Why did modern human populations disperse from Africa ca. 60,000 years ago? A new model--></ref>
องค์ประกอบของ[[พฤติกรรม]]ปัจจุบันอาจจะรวมถึง เครื่องมือที่ทำได้อย่างละเอียด การตกปลา การแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกลุ่มที่ไกลกัน
การประดับตัว ศิลปะเชิงรูปลักษณ์ เกม (การละเล่น) ดนตรี การหุงอาหาร และพิธีการฝังศพ
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
พร้อมกับพัฒนาการของ[[วัฒนธรรม]]สัญลักษณ์ (symbolic culture)<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua |name=Symbolic |
'''Symbolic culture''' (แปลว่า วัฒนธรรมสัญลักษณ์) เป็นบัญญัติที่ใช้โดยนัก[[โบราณคดี]]<ref>Marshack, A. (1972). ''The Roots of Civilization. The cognitive beginnings of man's first art, symbol and notation.'' London: Weidenfeld and Nicolson.</ref><ref>Chase. P. G. (1994). "On symbols and the palaeolithic". ''Current Anthropology'' 35 (5): 627-9.</ref><ref>Watts, I. (1999). "The Origins of Symbolic Culture". In: R. Dunbar, C. Knight, C. Power (eds). ''The Evolution of Culture: An Interdisciplinary View''. Edinburgh University Press.</ref>
นัก[[มานุษยวิทยา]]เชิงสังคม<ref>Geertz, C (1973). ''Interpreting Cultures.'' New York: Basic Books.</ref><ref>Knight, C (2010). "[http://www.chrisknight.co.uk/wp-content/uploads/2007/09/The-Origins-of-Symbolic-Culture.pdf The origins of symbolic culture]" ([[PDF]]). In: Frey, U; Stormer, C; Willfuhr, KP (eds). ''Homo Novus - A Human Without Illusions''. Berlin Heidelberg: Springer-Verlag. pp. 193-211.</ref>
และนัก[[สังคมวิทยา]]<ref>Durkheim, E. (1965). ''The Elementary Forms of the Religious Life.'' New York (NY): Free Press.</ref>
เพื่อทำ[[วัฒนธรรม]]ของมนุษย์[[สปีชีส์]] ''Homo sapiens'' ให้แตกต่างจากวัฒนธรรมทั่ว ๆ ไปที่สัตว์อื่น ๆ มากมายมี
การมีวัฒนธรรมสัญลักษณ์ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ความสามารถในการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งเท่านั้น
แต่ต้องมีการบัญญัติสิ่งที่จริง ๆ แล้วไม่มีในโลก แต่ปรากฏเป็นสิ่งที่มีจริง ๆ ในวัฒนธรรมนั้น ๆ
ยกตัวอย่างคือ ความดีความชั่ว [[พระเป็นเจ้า]]และ[[นรก]] และบัญญัติที่เป็นที่ยอมรับของสังคมอื่น ๆ เช่น[[เงินตรา]]และ[[ระบบประชาธิปไตย]]<ref>Chase. P. G. (1994). "On symbols and the palaeolithic". ''Current Anthropology'' 35 (5): 627-9.</ref>
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
ภาษา และเทคโนโลยีหินแบบเฉพาะงานเริ่มขึ้นที่ประมาณ 50,000 ปีก่อนตามข้อมูลทาง[[มานุษยวิทยา]]<ref>{{cite journal |last=Mellars |first=Paul |year=2006 |title=Why did modern human populations disperse from Africa ca. 60,000 years ago? |journal=Proceedings of the National Academy of Sciences |volume=103 |issue=25 |pages=9381-6 |bibcode=2006PNAS..103.9381M. |doi=10.1073/pnas.0510792103 |pmc=1480416 |pmid=16772383}}</ref>
แม้ว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์บางส่วนที่เสนอว่า ความจริงเป็นการพัฒนาทางพฤติกรรมอย่างค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานยิ่งกว่านั้นที่อาจนานถึง 300,000 ปี
และเริ่มมีหลักฐานแล้วว่าพฤติกรรมปัจจุบันนั้น ความจริงมีปรากฏแล้วก่อนหน้านั้น<ref name=Miller2006 /><ref name=Mcbrearty2000>{{cite journal | last1 = Mcbrearty | first1 = Sally | last2 = Brooks | first2 = Alison S | title = The revolution that wasn't: a new interpretation of the origin of modern human behavior | journal = Journal of Human Evolution | volume =39 | issue = 5 |date=November 2000 | pages = 453-563 | doi = 10.1006/jhev.2000.0435 | url = http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0047248400904354 | pmid = 11102266 }}</ref>


คำว่า "มนุษย์" ในบริบทของวิวัฒนาการมนุษย์ จะหมายถึงมนุษย์[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''[[Homo]]'' เท่านั้น
เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงเป็นหนาวเย็นในต้นยุค Oligocene (ประมาณ 40 ล้านปีก่อน) ไพรเมตสูญพันธ์ไปเป็นจำนวนมาก เหลืออยู่เพียงบริเวณแอฟริกาและเอเชียใต้


== การจัดชั้นและการใช้ชื่อในบทความ ==
บรรพบุรุษยุคแรกๆของโฮมินิด (ลิงใหญ่และมนุษย์) ออกจากแอฟริกาเข้าสู่ยุโรปและเอเชีย เมื่อประมาณ 17 ล้านปีก่อน ซึ่งต่อมาวิวัฒนาการไปเป็น บรรพบุรุษของลิงใหญ่ ลิงกอริลลา และลิงชิมแปนซี และก็มีสายพันธุ์หนึ่ง วิวัฒนาการกลายเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เมื่อประมาณ 6 ล้านปีก่อน
นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นไม่เหมือนกับในการ[[การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์|การจำแนกชั้น]]ของสัตว์ใน[[วงศ์ลิงใหญ่]]<ref name=Encarta2006 />
แผนผังด้านล่างแสดงการจำแนกชั้น''แบบหนึ่ง''ของ[[ไพรเมต]]/[[วงศ์ลิงใหญ่]]ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นการจำแนกชั้นที่ให้ความสำคัญกับความใกล้เคียงกันทาง[[กรรมพันธุ์]]ของมนุษย์และลิง[[ชิมแปนซี]]<ref name=Wood2000 /><!-- <ref>{{cite book | last1 = Cartmill | first1 = M. | last2 = Smith | first2 = F. He | title = The Human Lineage | publisher = John Wiley & Sons | year = 2011 | isbn = 978-1-118-21145-8 |url = http://books.google.com/books?id=X058kYnhxCOC&pg=PA90}}</ref><ref>{{cite book |title=Primate Taxonomy |publisher=Smithsonian Institution Press |year=2001 |author=Groves, C. P. |isbn=1-56098-872-X}} </ref> -->
โดยมีชื่อตาม[[อนุกรมวิธาน]]
{{ข้อมูลเพิ่มเติม|การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์|อนุกรมวิธาน}}
{{:วงศ์ลิงใหญ่/การจำแนกชั้นของไพรเมต-วงศ์ลิงใหญ่}}
คำที่อาจจะมีความหมายอื่นในที่อื่น ๆ ที่ใช้บ่อย ๆ ในบทความนี้มีดังต่อไปนี้ (ตามผังด้านบน) เป็นคำที่รวมทั้งสัตว์ที่มีชีวิตอยู่และสูญพันธุ์ไปแล้ว
* '''วงศ์ลิงใหญ่''' หรือ '''ลิงใหญ่''' หรือ '''hominid''' หมายถึงสัตว์ใน[[วงศ์ลิงใหญ่]] หลังจากที่[[วงศ์ชะนี]]ได้แยกสายพันธุ์ไปแล้ว
* '''homininae''' หรือ '''hominine''' หมายถึงสัตว์ใน[[วงศ์ (ชีววิทยา)|วงศ์]]ย่อย Homininae ซึ่งรวมสายพันธุ์ของมนุษย์และสายพันธุ์ของลิง[[ชิมแปนซี]] หลังจากที่สายพันธุ์ของลิง[[กอริลลา]]ได้แยกออกไปแล้ว
* '''hominini''' หรือ '''hominin''' (ไม่มี e ท้ายสุด) หมายถึงสัตว์ใน[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini คือสายพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด (คือบรรพบุรุษมนุษย์ สายพันธุ์ของญาติบรรพบุรุษมนุษย์ และมนุษย์ทั้งหมด) หลังจากที่สายพันธุ์ของลิงชิมแปนซีได้แยกออกไปแล้ว
* '''australopithecina''' หรือ '''australopithecine''' ปกติหมายถึงสายพันธุ์มนุษย์สกุล ''Australopithecus'', ''Paranthropus'' ซึ่งจัดอยู่ในเผ่าย่อย Australopithecina
* '''มนุษย์''' หมายถึงมนุษย์[[สปีชีส์]]ต่าง ๆ ใน[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''[[Homo]]'' เท่านั้น ซึ่งจัดอยู่ในเผ่าย่อย Hominina
* '''Archaic ''Homo sapiens''''' (แปลว่ามนุษย์โบราณ) มีความหมายไม่แน่นอน ปกติรวมมนุษย์สปีชีส์ ''H. heidelbergensis/rhodesiensis'', ''H. neanderthalensis'' และบางที่รวม ''H. antecessor''<ref name=Dawkins2005>{{cite book |chapterurl=http://books.google.com/books?id=rR9XPnaqvCMC&printsec=frontcover#PPA62,M1 |chapter=Archaic homo sapiens |last=Dawkins |authorlink=ริชาร์ด ดอว์กินส์ |title=The Ancestor's Tale (US Paperback) |year=2005 |isbn=0-618-61916-X |publisher=Mariner |location=Boston}}</ref><!--*****ต่อ***** -->แต่โดยทั่ว ๆ ไปหมายถึงมนุษย์สปีชีส์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจาก 600,000 ปีก่อน รวมทั้งมนุษย์พวก Denisovans ไม่รวมมนุษย์ปัจจุบัน
* '''มนุษย์ปัจจุบัน''' หมายถึง ''Homo sapiens'' เท่านั้น


== หลักฐาน ==
แม้จะยังไม่ได้ข้อมูลจากฟอสซิล แต่การตรวจสอบทางโมเลกุล (ดีเอ็นเอ) ก็บอกให้เราทราบว่า บรรพบุรุษของมนุษย์ วิวัฒนาการแยกจากลิงกอริลลาเมื่อประมาณ 8 ล้านปีก่อน และแยกจากลิงชิมแปนซี เมื่อประมาณ 4 ล้านปีก่อน
{{multiple image
|direction = horizontal
|align = none


|header = หลักฐานเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ได้โดยปีต่าง ๆ
เมื่อ 8 ล้านปีก่อน ขณะนั้น[[ทวีปแอฟริกา]]ทั้งทวีปถูกปกคลุมด้วยป่าฝนที่รกทึบ แต่การกำเนิดของ[[เทือกเขาหิมาลัย]] ที่สูงเทียมเมฆในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ทิศทางของลมมรสุมต่างๆ เปลี่ยนไป ส่งผลให้ฝนที่ตกในแอฟริกาลดลง ทวีปแอฟริกาจึงกลายสภาพเป็นป่าโปร่งแทนที่จะเป็นป่าฝนที่รกทึบ (แต่ก็ยังมีป่าฝนอยู่บ้างเป็นแห่งๆ)
|header_background = #BBDD99
=== ''Australopithecus afarensis'' ===
ป่าโปร่ง มีต้นไม้ที่น้อยกว่าป่าฝน ลิงที่อยู่ในป่าจึงต้องปรับตัวให้อยู่บนพื้นดินได้ด้วย การปรับตัวเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนในที่สุด 3,900,000 ปีก่อน ลิงกลุ่มนั้นได้วิวัฒนาการมาเป็นสปีชีส์ ''Australopithecus afarensis'' ซึ่งสามารถใช้ชีวิตได้ทั้งบนต้นไม้และบนพื้นดิน สามารถเดินสองขาและเดินสี่ขาได้ ต่างจากลิงในอดีตที่ไม่สามารถเดินสองขาได้


|image1 = Hominins 1850.png
ส่วนสาเหตุของการปรับตัวให้เดินสองขาได้นั้น ในอดีต นักวิทยาศาสตร์คาดว่า อาจเป็นเพราะการเดินสองขานั้นสามารถยืดตัวให้สูงขึ้น มองเห็นศัตรูได้จากระยะไกล แต่ว่า การทำตัวให้สูงขึ้น ย่อมทำให้ศัตรูเห็นตัวได้ง่ายขึ้นเช่นกัน เหตุผลด้านนี้จึงตกไป เพราะในความเป็นจริงแล้ว การเดินสองขานั้น มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานในร่างกายมากกว่าการเดินสี่ขา ดังนั้น ''Australopithecus afarensis'' สามารถประหยัดพลังงานในร่างกาย เพื่อทำกิจกรรมอื่นได้ดีขึ้น เช่น การปกป้องอาณาเขต หรือ การสืบพันธุ์
|caption1 = ค.ศ. 1850
|image2 = Hominins 1900.png
|caption2 = ค.ศ. 1900
|image3 = Hominins 1950.png
|caption3 = ค.ศ. 1950
|image4 = Hominins 2002.png
|caption4 = ค.ศ. 2002
}}
หลักฐานของคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์มาจากงาน[[วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ]]หลายสาขา (ดูรายละเอียดอื่นที่ต้นบทความ)
แหล่งความรู้หลักของกระบวนการ[[วิวัฒนาการ]]ปกติมาจาก[[ซากดึกดำบรรพ์]] ซึ่งเริ่มมีการสั่งสมหลักฐานของพันธุ์มนุษย์เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1829 (ดู "[[#สมัยดาร์วิน|ประวัติการศึกษาสมัยดาร์วิน]]")
แต่เริ่มตั้งแต่มีการพัฒนาด้าน[[พันธุศาสตร์]]ในสาขา[[อณูชีววิทยา]]ที่ต้นคริสต์[[ทศวรรษ]] 1970 (ดู "[[#การปฏิวัติทางพันธุศาสตร์|ประวัติ-การปฏิวัติทางพันธุศาสตร์]]")
การวิเคราะห์[[ดีเอ็นเอ]]ก็ได้กลายมาเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญพอ ๆ กัน
ส่วนงานศึกษาในเรื่องกำเนิดและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต (ontogeny) วิวัฒนาการชาติพันธุ์ (phylogeny) และโดยเฉพาะวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโดยพัฒนาการ (evolutionary developmental biology) ของทั้ง[[สัตว์มีกระดูกสันหลัง]]และ[[สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง]]ได้ให้ความรู้ใหม่ ๆ พอสมควรเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดรวมทั้งของมนุษย์
ส่วนงานศึกษาเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับกำเนิดและชีวิตของมนุษย์ก็คือ[[มานุษยวิทยา]] (anthropology) โดยเฉพาะบรรพมานุษยวิทยา (paleoanthropology) ซึ่งพุ่งความสนใจไปที่การศึกษามนุษย์[[ก่อนประวัติศาสตร์]]<ref>{{cite book |last1=Stanford |first1=Craig |last2=Allen |first2=John S. |last3=Anton |first3=Susan C. |title=Biological Anthropology (2nd Edition). |publisher=Prentice Hall |year=2012 |chapter=1 |isbn=0136011608 }}</ref>


ภายใน[[ศตวรรษ]]ที่ผ่านมาโดยเฉพาะใน[[ทศวรรษ]]ที่เพิ่งผ่าน ๆ มา ได้มีการสั่งสมหลักฐาน[[ซากดึกดำบรรพ์]] (และทาง[[อณูชีววิทยา]]) มากมายที่เริ่มชี้โครงสร้างการวิวัฒนาการอย่างคร่าว ๆ ของมนุษย์ปัจจุบันจากสายพันธุ์ที่แยกออกจาก[[ลิงชิมแปนซี]]<ref name=HHMI2011-Poster>{{cite AV media |title=Bones, Stones, and Genes - The Origin of Modern Humans (Poster) |publisher=Howard Hughes Medical Institute (2011 Holiday Lectures on Science) |format=[[JPG]] |year=2011 |accessdate=4 กันยายน 2557 |url=http://media.hhmi.org/download/biointeractive/posters/2011%20human%20evolution.jpg?download=true}} </ref> โดยที่รายละเอียดประวัติการวิวัฒนาการและการจัดชั้นของสกุลและสปีชีส์ต่าง ๆ ยังมีการเพิ่มและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นปีต่อปี<ref name=raven2002 /> เพราะได้หลักฐานใหม่ ๆ ที่ช่วยยืนยันหรือปฏิเสธ[[สมมติฐาน]]ที่มีอยู่ต่าง ๆ เพราะฉะนั้น เป็นอันหวังได้ว่า บทความจะมีข้อมูลที่ล้าหลังหลักฐานใหม่ ๆ ไปบ้าง
1 ล้านปีถัดมา เมื่อ 2,900,000 ปีก่อน ''Australopithecus afarensis'' เริ่มมีวิวัฒนาการ และพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ คือ ''Paranthropus boisei'' ซึ่งมีพละกำลังเพิ่มขึ้น เข้ามาแทนที่


=== หลักฐานทางอณูชีววิทยา ===
เวลาผ่านไป 400,000 ปี ในช่วง 2,500,000 ปีก่อน โลกเกิดภาวะเย็นตัวลง เกิดน้ำแข็งยักษ์สะสมที่ขั้วโลก ทำให้น้ำที่เป็นของเหลวลดจำนวนลง แผ่นดินทั่วโลกจึงแล้งขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งแอฟริกาด้วย แอฟริกาในช่วงนี้กลายเป็นทวีปที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ตั้งแต่ป่าฝนรกๆ ป่าโปร่ง ทุ่งหญ้า หรือทะเลทราย
[[ไฟล์:Hominidae.PNG |350px |thumb |<small>
สาขาต่าง ๆ ของ[[เอป]] (hominoid) ที่ยังมีอยู่ คือมนุษย์ ([[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]]''โฮโม'') ลิง[[ชิมแปนซี]]และลิง[[โบโนโบ]] (สกุล ''Pan'') ลิง[[กอริลลา]] (สกุล ''Gorilla'') ลิง[[อุรังอุตัง]] (สกุล ''Pongo'') และ[[ชะนี]] ทุกสกุลยกเว้นชะนีเรียกว่า hominid ***ให้สังเกตว่า การใช้คำว่า "Hominini" เพื่อรวมสกุล ''Homo'' กับ ''Pan'' นั้นมีใช้เป็นบางที่ แต่ไม่ได้ใช้ในบทความนี้ (ดู [[#Primate-Hominidae clade|แผนผังสปีชีส์]]ด้านบน)<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
มีที่อ้างอิงที่แสดงว่า Homininae แบ่งออกเป็น 3 [[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] คือ Gorillini, Panini, และ Hominini (ดังนั้น สกุล ''Pan'' จึงอยู่ใต้เผ่า Panini และ ''Homo'' จึงอยู่ใต้เผ่า Hominini)<!--ที่อ้างอิง 2 ที่แรกสำคัญและดูได้ง่ายกว่า ที่เหลือเรียงตามปี--><ref name=Wood2000 /><ref name=Evolution2007>{{cite web |title=FIGURE 25.1. Organization of the order Primates (จากหนังสือ Evolution) |year=2007 |accessdate=4 กันยายน 2557 |url=http://www.evolution-textbook.org/content/free/figures/25_EVOW_Art/01_EVOW_CH25.jpg |format=[[JPG]] |publisher=Cold Spring Harbor Laboratory Press }}</ref><ref name=Bradley2008>{{cite journal | author = Bradley, B. J. | year = 2008 | title = Reconstructing Phylogenies and Phenotypes: A Molecular View of Human Evolution | journal = Journal of Anatomy | volume = 212 | issue = 4 | pages = 337-353 | pmid = 18380860 | doi = 10.1111/j.1469-7580.2007.00840.x | pmc = 2409108}}</ref><ref name=Mikko-hominoidea2005>{{Cite web | url = http://www.helsinki.fi/~mhaaramo/metazoa/deuterostoma/chordata/synapsida/eutheria/primates/hominoidea/hominoidea.html | title = Hominoidea - Great apes and humans | publisher = Mikko's Phylogeny Archive | first = Mikko | last = Haaramo | date = 2005-01-14 }} </ref><ref name=Mikko-hominidae2007>{{Cite web | title = Hominidae | publisher = Mikko's Phylogeny Archive) | first = Mikko | last = Haaramo | date = 2007-11-10 | url = http://www.helsinki.fi/~mhaaramo/metazoa/deuterostoma/chordata/synapsida/eutheria/primates/hominoidea/hominidae_1.html#hominidae_2 }}</ref>
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
</small>
]]


สำหรับสัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือสำหรับสัตว์ที่สูญพันธุ์แล้ว (รวมทั้งสายพันธุ์ต่าง ๆ ของมนุษย์) แต่ยังหา[[สารอินทรีย์]]ที่ประกอบด้วย[[ดีเอ็นเอ]]ได้ หลักฐานทาง[[อณูชีววิทยา]]นั้นสามารถให้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ โดยใช้ประกอบร่วมกับข้อมูล[[ซากดึกดำบรรพ์]]และข้อมูลสัตว์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้<ref name=Bradley2008 /> คือ
== มนุษย์ ==
* ช่วงเวลาที่สัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) สองพันธุ์ โดยเฉพาะพันธุ์ที่ใกล้ชิดกัน
** เกิดการแยกสายพันธุ์กัน (เช่นการแยกสายพันธุ์ของมนุษย์จากลิง[[ชิมแปนซี]]) หรือ
** มีบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกัน (เช่นมนุษย์ปัจจุบันมีบรรพบุรุษหญิงร่วมกันสุดท้ายที่ 90,000-200,000 ปีก่อน)
* ความสัมพันธ์ทาง[[กรรมพันธุ์]]ระหว่างพันธุ์สัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่สามารถใช้ในการสร้างต้นไม้สายพันธุ์ (เช่นมนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลิงชิมแปนซีมากกว่าลิงกอริลลา)
* [[ยีน]]ของสัตว์นั้นอาจแสดง[[ลักษณะทางพันธุกรรม]]ที่ปรากฏ (ซึ่งเริ่มการสั่งสมหลักฐานตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001)
**ทางกายภาพ (เช่น[[สัณฐานวิทยา (ชีววิทยา)|สัณฐาน]]ของอวัยวะต่าง ๆ)
**ทาง[[สรีรภาพ]] เช่นระบบการทำงานของร่างกาย
**ทาง[[พฤติกรรม]]
โดยที่สองข้อแรกได้ช่วยความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์ให้ดีขึ้นแล้ว และข้อสุดท้ายอาจมีประโยชน์ยิ่ง ๆ ขึ้นต่อ ๆ ไปในอนาคต


หลักฐานทาง[[อณูชีววิทยา]] ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์มีตัวอย่างสำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
[[ไฟล์:Humanevolutionchart.png|การกระจายตัวของประชากรมนุษย์และวิวัฒนาการ|thumbnail|400px]]
* สกุลสัตว์ที่ยังไม่สูญพันธุ์ที่ใกล้กับมนุษย์ที่สุดเป็นลิง[[โบโนโบ]] ลิง[[ชิมแปนซี]] (ทั้งสองในสกุล ''Pan'') และลิง[[กอริลลา]] (สกุล ''Gorilla'')<ref name=Wood2000>{{cite journal |author=Wood, Bernard; Richmond, Brian G. |title=Human evolution: taxonomy and paleobiology |journal=Journal of Anatomy |volume=197 |issue=1 |pages=19-60 |year=2000 |pmid=10999270 |pmc=1468107 |doi=10.1046/j.1469-7580.2000.19710019.x}} {{PDFlink |1=[http://onlinelibrary.wiley.com/store/10.1046/j.1469-7580.2000.19710019.x/asset/j.1469-7580.2000.19710019.x.pdf?v=1&t=hzurtdq2&s=723ee83c0fd0fbf114e3204ccd5c7125b28ad21c Full PDF] |2=1.1&nbsp;MB}}</ref><!--*****ต่อ***** --> [[การหาลำดับดีเอ็นเอ]]ใน[[จีโนม]]ของทั้งมนุษย์และลิงชิมแปนซี พบว่า มีความคล้ายคลึงกันถึงประมาณ 95-99%<ref name=Sayers2012>{{cite journal |last1=Sayers |first1=Ken |last2=Raghanti |first2=Mary Ann |last3=Lovejoy |first3=C. Owen |title=Human Evolution and the Chimpanzee Referential Doctrine |journal=Annual Review of Anthropology |volume=41 |year=2012 }} </ref><ref name=Varki2007>{{cite journal |last1=Ajit |first1=Varki |last2=Nelson |first2=David L |title=Genomic Comparisons of Humans and Chimpanzees. |journal=Annu. Rev. Anthropol. |volume=36 |pages=191-209 |year=2007 |quote="Sequence differences from the human genome were confirmed to be ∼1% in areas that can be precisely aligned, representing ∼35 million single base-pair differences. Some 45 million nucleotides of insertions and deletions unique to each lineage were also discovered, making the actual difference between the two genomes ∼4%."}} </ref><!--*****ต่อ***** --> เป็นความคล้ายคลึงกันที่แสดงถึงความมีสายพันธุ์เป็นพี่น้องกัน (sister taxon)
* โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า molecular clock (นาฬิกาอาศัยโครงสร้างโมเลกุล) ซึ่งใช้ประเมินระยะเวลาการแยกสายพันธุ์ โดยวัดเวลาก่อนที่[[การกลายพันธุ์]]ที่ไม่เหมือนกันของสายพันธุ์สองสายพันธุ์จะสั่งสมจนมาถึงในระดับปัจจุบัน ได้มีการพบว่า วงศ์ชะนี (Hylobatidae) ตามมาด้วยลิงอุรังอุตัง (สกุล ''Pongo'') เป็นกลุ่มแรกที่แยกออกจากสายพันธุ์มนุษย์ หลังจากนั้นก็เป็นลิง[[กอริลลา]] (สกุล ''Gorilla'') ตามมาด้วยลิง[[ชิมแปนซี]]และลิง[[โบโนโบ]] (สกุล ''Pan'') การแยกสายพันธุ์ของมนุษย์และสายพันธ์ของลิง[[ชิมแปนซี]] อยู่ในช่วงเวลาประมาณ 4-8 ล้านปีก่อนซึ่งอยู่ในช่วงปลายสมัย Miocene (ซึ่งเป็นส่วนปลายของ[[ยุคนีโอจีน]])<ref name=Bradley2008 /> (ดูรายละเอียดในหัวข้อ "[[#การแยกสายพันธุ์ของวงศ์ลิงใหญ่|การแยกสายพันธุ์ของวงศ์ลิงใหญ่]]")
* [[จีโนม]]ของมนุษย์นั้นมีทั้งส่วนที่มีการแสดงออกเป็นลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) และมีบางส่วนที่ไม่มีการแสดงออก ส่วนที่ไม่มีการแสดงออกสามารถใช้ในการสืบหาสายตระกูลได้ คือในส่วนที่ไม่ทำให้เกิดลักษณะสืบสายพันธุ์ [[การกลายพันธุ์]]แบบ Single-nucleotide polymorphism คือมีเบส[[ดีเอ็นเอ]]เปลี่ยนไปเบสเดียว จะสืบต่อไปยังลูกหลานของบุคคลนั้นทั้งหมด แต่ไม่มีในมนุษย์กลุ่มอื่น ดังนั้นสายตระกูลของบุคคลนั้นก็จะสามารถติดตามได้<ref name=Tishkoff2011 /> ส่วนดีเอ็นเอใน[[ไมโทคอนเดรีย]] (mitochondrial DNA ตัวย่อ mtDNA) นั้นสืบสายมาจากมารดาเท่านั้น จึงไม่เกิดการคัดเลือกทางเพศ นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นดีเอ็นเอที่เกิดการกลายพันธุ์ในอัตราความถี่สูง ทำให้สามารถใช้ประเมินเวลาการแยกสายตระกูล (หรือสายพันธุ์) ได้ดี<ref name=Tishkoff2011 />
** ผลงานวิจัยเกี่ยวกับ mtDNA หลายงานแสดงว่า หญิงที่เป็นต้นตระกูลของมนุษย์ปัจจุบันทั้งหมด ซึ่งเป็นหญิงที่เรียกว่า mitochondrial Eve ([[เอวา]]โดย mtDNA) มีชีวิตอยู่ประมาณ 90,000-200,000 ปีก่อน<ref name=Poznik2013>{{Cite doi|10.1126/science.1237619}}<!--{{cite journal (author= Poznik GD, et al. title= Sequencing Y chromosomes resolves discrepancy in time to common ancestor of males versus females journal= Sciencelvolume= 341lissue=6145 I pages= 562-565 Idate=August 2013 |pmid=23908239 }}--></ref><ref name=Soares2009>{{Cite doi|10.1016/j.ajhg.2009.05.001}} [http://www.leeds.ac.uk/news/article/245/new_molecular_clock_aids_dating_of_human_migration_history University of Leeds - New 'molecular clock' aids dating of human migration history] <!--{{Citation |author=Soares P et al. Ititle=Correcting for purifying selection: an improved human mitochondrial molecular clock |journal=Am. J. Hum. Genet. Ivolume=84 (issue=6 (pages=740-59 Idate=June 2009 Ipmid=19500773 |pmc=2694979 }}--></ref><ref name=Cann1987 /><!--*****ต่อ***** --> น่าจะใน[[แอฟริกาตะวันออก]]<ref name=NG2006 /> ซึ่งเป็นหลักฐานที่ให้น้ำหนักกับทฤษฎีกำเนิดมนุษย์จากแอฟริกาเร็ว ๆ นี้มากขึ้น (ดูรายละเอียดเพิ่มที่หัวข้อ "[[#การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์|การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์]]")
** ผลงานวิจัยโดย[[จีโนม]]ในปี ค.ศ. 2010 บอกเป็นนัยว่า มี[[ลำดับดีเอ็นเอ]]หลายส่วนที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์โบราณ ''Homo neanderthalensis'' ({{lang-en|Neanderthal}}) ใน[[ดีเอ็นเอ]]ของมนุษย์ปัจจุบันทุกเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่คนแอฟริกา และว่า Neanderthal และมนุษย์สกุล''โฮโม''สกุลอื่น ๆ เช่นกลุ่มมนุษย์ที่รู้จักกันว่า ''Denisova hominin'' ({{lang-en|Denisovan}}) เป็นต้นกำเนิด[[จีโนม]]ถึง 1-10% ของจีโนมมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งบอกเป็นนัยว่า มีการผสมพันธุ์กัน (admixture{{Efn-ua|name=admixture}}) ระหว่างสปีชีส์เหล่านี้<ref name=Abi-Rached2011 /><ref name=Reich2010 /><ref name=Noonan2010 /> (ดูรายละเอียดเพิ่มที่หัวข้อ "[[#admixtureh|การผสมพันธุ์กันระหว่างมนุษย์กลุ่มต่าง ๆ]]")


=== หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์ ===
=== ''Homo habilis'' ===
[[ไฟล์:Craniums of Homo.svg |thumb |400px |<small>
สภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ทำให้สิ่งมีชีวิตในแอฟริกาเกิดการปรับตัวที่แตกต่าง กลายเป็นมนุษย์วานรหลายสปีชีส์ อยู่รวมกันในบริเวณต่างๆ ของแอฟริกา แต่ทว่า สปีชีส์หนึ่งในนั้น ไม่ใช่มนุษย์วานร แต่เป็นมนุษย์
[[กะโหลกศีรษะ]]จำลองของ[[ซากดึกดำบรรพ์]]ช่วงเปลี่ยนสภาพ{{Efn-ua |name=intermediate}} ของ hominin
1. ลิง ''[[กอริลลา]]'' (ปัจจุบัน)
2. hominin [[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Australopithecus'' (1.7-3.9 ล้านปี)
3. มนุษย์[[สปีชีส์]] ''H. erectus/ergaster'' (27,000 ปี-1.9 ล้านปี)
4. มนุษย์ ''H. neanderthalensis'' (30,000-400,000 ปี)
5. มนุษย์ ''H. heidelbergensis'' (250,000-600,000 ปี)
6. [[มนุษย์]]ปัจจุบัน (''H. sapiens'') (200,000 ปี-ปัจจุบัน)
ให้สังเกตความแตกต่างของมนุษย์ปัจจุบันดังต่อไปนี้
(ก) กระดูกฟันกรามยื่นออกกน้อยลง (ข) สันคิ้วบางลง (ค) ศีรษะกลม ไม่มีส่วนยื่นออกข้างหลัง (ง) หน้าค่อนข้างแบน (จ) โดยทั่ว ๆ ไป ค่อนข้างบอบบาง เรียว (ฉ) คางแหลมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของมนุษย์ปัจจุบันเท่านั้น</small>
]]


[[ซากดึกดำบรรพ์]]หมายถึงส่วนที่หลงเหลืออยู่ หรือร่องรอยของพืชและสัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่เกิดการเก็บรักษาไว้ในชั้นหิน
สปีชีส์แรกที่นับได้ว่าเป็นมนุษย์ ปรากฏขึ้นในแอฟริกาเมื่อ 2,200,000 ปีก่อน ชื่อว่าสปีชีส์ ''Homo habilis'' (Homo เป็นภาษาละติน แปลว่า มนุษย์) พวกเขาวิวัฒนาการให้เป็นสปีชีส์ที่มีความคล่องตัวทุกกรณี และมีสมองที่ฉลาดกว่าสปีชีส์อื่นๆ เขาเป็นสปีชีส์แรกที่คิดค้นการทำอาวุธเครื่องมือต่างๆ จากหิน แต่ไม่มีพละกำลังมากเท่ากลุ่ม ''Paranthropus boisei'' และยังไม่มีการสื่อสารด้วยการพูด
ส่วน '''[[ซากดึกดำบรรพ์]]ช่วงเปลี่ยนสภาพ''' (transitional fossil) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า '''[[สปีชีส์]]ในระหว่าง''' (intermediate species) เป็น[[ซากดึกดำบรรพ์]]ของสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่เหมือนกันกับของทั้งสัตว์กลุ่มบรรพบุรุษ และของสัตว์กลุ่มลูกหลานที่สืบเชื้อสายต่อจากกลุ่มบรรพบุรุษ<ref name=Freeman2007 />{{Efn-ua|name=intermediate}} เป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถใช้แสดงและติดตาม[[วิวัฒนาการ]]ของสัตว์
เมื่อดาร์วินประกาศ[[ทฤษฎี]]วิวัฒนาการในปี ค.ศ. 1859 (ดูรายละเอียดในเรื่อง "[[#สมัยดาร์วิน|ประวัติการศึกษาสมัยดาร์วิน]]") หลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพมีน้อยมากจนเขาได้กล่าวไว้ว่า "...เป็นข้อโต้แย้งที่เห็นได้ง่ายที่สุดที่สาหัสที่สุดต่อทฤษฎีของผม..."<ref name=Darwin1859 /> ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้มีการสั่งสมหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์มากมายที่สามารถช่วยชี้โครงสร้างกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ได้อย่างคร่าว ๆ<ref name=HHMI2011-Poster />


หลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์นั้น สามารถให้ข้อมูลโดยหลัก ๆ มีตัวอย่างดังต่อไปนี้
ทักษะของฮาบิลิส ทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ในหลายสภาพภูมิศาสตร์ เพราะรู้จักการปรับตัวและการใช้สมอง จนกระทั่งเวลาผ่านไป 300,000 ปี ''Homo ergaster'' ปรากฏขึ้นบนโลกเมื่อ 1,900,000 ปีก่อน และเป็นเผ่าแรกที่สือสารด้วยการพูดได้ เป็นคู่แข่งทางวิวัฒนาการของฮาบิลิสที่ได้เปรียบฮาบิลิส เพราะเออร์กัสเตอร์ มีสมองที่ฉลาดกว่า และมีการพูดเป็นการสื่อสาร จนกระทั่งฮาบิลิสได้สูญพันธุ์ไปเมื่อ 1,600,000 ปีก่อน
* ซากดึกดำบรรพ์ของสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งสามารถชี้กระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์เช่น
=== ''Homo erectus'' ===
** ลำดับการวิวัฒนาการทางโครงสร้างจากสัตว์คล้ายลิง มาเป็นมนุษย์ปัจจุบัน (ดู "[[#ซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพ|ซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพ]]" และ "[[#ความเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาค|ความเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาค]]")
ฺฮาบิลิส สูญพันธุ์ไปเมื่อ 1,400,000 ปีก่อน โดยมี ''Homo erectus'' ก้าวแทนที่ มีวิวัฒนาการมาจาก habilis โดยตรง ก้าวเข้ามาต่อสู้ในโลกแห่งความจริงแทนฮาบิลิส มีความเจริญใกล้เคียงมนุษย์ปัจจุบัน หลังจากอีเร็คตัสกำเนิดขึ้นมาได้ 200,000 ปี บอยเซอิก็สูญพันธุ์ไป
** การวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์สองเท้า จากสัตว์ที่อยู่บนต้นไม้ โดยอนุมานจากโครงสร้างกระดูก (ดู "[[#ซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพ|ซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพ]]" และ "[[#การเดินด้วยสองเท้า|การเดินด้วยสองเท้า]]")
** การขยายขนาดของสมอง โดยกระโหลกศีรษะและโครงสร้างกระดูก{{Efn-ua|name=encephalization}} (ดูหัวข้อ "[[#การขยายขนาดสมอง|การขยายขนาดสมอง]]")
** ประเภทอาหารที่บริโภค โดยอนุมานจากลักษณะของใบหน้า กรามและฟัน<ref name=Encarta2006 /><ref name="Plummer2004" /> และโดยการวิเคราะห์อัตราส่วนของ[[ไอโซโทป]]ในเคลือบฟัน (enamel)<ref name=White2010 />
* เครื่องมือหิน สิ่งประดิษฐ์ วัตถุเครื่องใช้อื่น ๆ และซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่อยู่ใกล้ ๆ
** พัฒนาการของเทคโนโลยีเทียบกับกาลเวลา (ดูหัวข้อ "[[#การใช้เครื่องมือ|การใช้เครื่องมือ]]")
** สามารถอนุมานถึงอาหาร ความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ความเฉลียวฉลาด และพฤติกรรมอย่างอื่น ๆ (ดูหัวข้อ "[[#การใช้เครื่องมือ|การใช้เครื่องมือ]]" "[[#เครื่องมือหิน|เครื่องมือหิน]]" และ "[[#การเปลี่ยนมามีพฤติกรรมปัจจุบัน|การเปลี่ยนมามีพฤติกรรมปัจจุบัน]]")
* ร่องรอยอื่น ๆ
** ร่องรอยของไฟ สามารถบ่งการใช้และควบคุมไฟได้
** รอยเท้าสามารถบ่งการเดินด้วยสองเท้าอย่างชัดเจน (ดูหัวข้อ "[[#รอยเท้าจากอดีต|รอยเท้าจากอดีต]]" และ "[[#การเดินด้วยสองเท้า|การเดินด้วยสองเท้า]]")


=== ''Homo sapiens'' ===
==== การหาอายุ ====
โดยคร่าว ๆ แล้ว การหาอายุซากดึกดำบรรพ์แบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะเวลาคือ คือ<ref name=Shea2011 />
อีเร็คตัสมีชีวิตอยู่นาน 1,240,000 ปี ก่อนจะสูญพันธุ์ไปเมื่อ 250,000 ปีก่อน เพราะได้วิวัฒนาการโดยตรงมาเป็น ''Homo sapiens'' ซึ่งก็คือมนุษย์ปัจจุบัน เข้าแทนที่หลังจากนั้นเป็นต้นมา
* [[การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี]] (radiocarbon dating) สำหรับหาอายุจากซาก[[สิ่งมีชีวิต]]น้อยกว่า 40,000 ปี<ref name=Shea2011 /> (หรือ 58,000 - 62,000<ref name=Wolfango2001>{{Cite journal |first=Wolfango |last=Plastino |coauthors=Kaihola, L; Bartolomei, P; Bella, F |year=2001 |title=Cosmic background reduction in the radiocarbon measurement by scintillation spectrometry at the underground laboratory of Gran Sasso |format=[[PDF]] |journal=Radiocarbon |volume=43 |issue=2A |pages=157-161 |url=http://digitalcommons.library.arizona.edu/objectviewer?o=http%3A%2F%2Fradiocarbon.library.arizona.edu%2FVolume43%2FNumber2A%2F%2Fazu_radiocarbon_v43_n2A_157_161_v.pdf }}</ref>)
* วิธีอื่น ๆ รวมทั้งการหาอายุจากธาตุกัมมันตรังสี (radiometric dating) แบบอื่น ๆ สำหรับหาอายุระหว่าง 40,000-100,000 ปี
* การหาอายุจากโพแทสเซียมกัมมันตรังสี (radiopotassium dating) สำหรับหาอายุมากกว่า 100,000 ปี


โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว การหาอายุจากธาตุกัมมันตรังสีเป็นเทคนิคการหาอายุวัตถุต่าง ๆ เช่นหินหรือคาร์บอน โดยเปรียบเทียบ[[ไอโซโทปกัมมันตรังสี]]ที่เกิดเองในธรรมชาติ กับ[[ผลิตภัณฑ์ (เคมี)|ผลิตภัณฑ์]]ที่เกิดจาก[[การสลายตัวของสารกัมมันตรังสี|การสลายตัว]]ของธาตุนั้น ที่มีอัตราการสลายตัวที่รู้อยู่แล้ว<ref>{{GoldBookRef |title=radioactive dating |file=R05082}}</ref> ส่วนการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีนั้นเป็นไปได้เพราะ[[สิ่งมีชีวิต]]มีการบริโภคผลิตภัณฑ์ของพืชที่ได้รับ[[คาร์บอน|คาร์บอน-14]] ผ่านกระบวน[[การสังเคราะห์ด้วยแสง]]และหยุดบริโภคเมื่อหมดชีวิต ดังนั้นจึงสามารถใช้หาอายุของ[[สารประกอบอินทรีย์]]จากซากสิ่งมีชีวิตโดยตรง<ref name=Wolfango2001 /> ส่วนการหาอายุจากโพแทสเซียมกัมมันตรังสีนั้นเป็นไปได้เพราะ[[หินหลอมเหลว]]จากภูเขาไฟ (และเถ้า) มีธาตุนี้ ดังนั้นจึงสามารถใช้ชั้นหินเถ้าภูเขาไฟที่อยู่เหนือและใต้ซากในการประมาณอายุซากดึกดำบรรพ์ที่ต้องการได้<ref name=Shea2011 />
ดูเหมือนว่าพวกโฮมินิด จะเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สามารถพัฒนา การดำรงชีวิต ซากฟอสซิลจากยุคนั้น ที่พบก็เช่น สายพันธุ์
* ''Sahelanthropus tchadensis'' (7-6 ล้านปีก่อน)
* ''Orrorin tugenensis'' (6 ล้านปีก่อน)


==== ตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพ ====
และในยุคต่อๆมาก็พบ
{{multiple image
* ''Ardipithecus'' (5.5-4.4 ล้านปีก่อน)
|direction = horizontal
* ''Australopithecus'' (4-2 ล้านปีก่อน)
|header = หลักฐานซากดึกดำบรรพ์ที่แสดงการเดินด้วยสองเท้า
* ''Paranthropus'' (3-1.2 ล้านปีก่อน)
|image1 = Lucy Skeleton cropped.jpg
* ''Homo'' (1.98 ล้านปีก่อน-ปัจจุบัน)
|caption1 = ''Australopithecus afarensis'' (ลูซี่) แสดงอากัปกิริยาว่าปกติเดินด้วยสองเท้า
|width1 = 100
|image2 = Earliest known human footprints - one set - australopithecus afarensis - Smithsonian Museum of Natural History - 2012-05-17.jpg
|caption2 = รูปจำลองของรอยเท้าพบที่โบราณสถาน Laetoli [[ประเทศแทนซาเนีย]] - นิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา) [[เมืองวอชิงตัน ดี.ซี.]] เป็นรอยเท้ามีอายุ 3.6 ล้านปี ที่เก่าที่สุดรอยเท้าหนึ่งที่พบ
}}

hominin [[สปีชีส์]] ''Australopithecus afarensis'' เป็นสปีชีส์ช่วงเปลี่ยนสภาพ{{Efn-ua|name=intermediate}} ในลำดับ[[วิวัฒนาการ]]ระหว่างบรรพบุรุษ[[เอป]]ที่เดินด้วยสี่เท้า กับมนุษย์ปัจจุบันที่เป็นสัตว์สองเท้า
ลักษณะสายสืบพันธุ์ (trait) ของโครงกระดูกแสดงลักษณะเดินด้วยสองเท้าอย่างชัดเจน จนกระทั่งว่า นักวิชาการบางพวกเสนอว่า การเดินด้วยสองเท้าต้องเป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นก่อนสปีชีส์นี้<ref name=Lovejoy1988>{{cite journal |author=Lovejoy, C. Owen |title=Evolution of Human walking |journal=Scientific American |volume=259 |issue=5 |year=1988 |url=http://www.clas.ufl.edu/users/krigbaum/proseminar/Lovejoy_1988_SA.pdf |format=[[PDF]] |doi=10.1038/scientificamerican1188-118}}</ref>
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว กระดูก[[เชิงกราน]]เหมือนของมนุษย์มากกว่า[[เอป]]
คือ [[กระดูกปีกสะโพก]]นั้นสั้นและกว้าง
ส่วน[[กระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ]] (sacrum) ทั้งกว้างและอยู่ด้านหลังของข้อสะโพกตรงแนวกัน
และมีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีการยึดกันอย่างแน่นระหว่างกระดูกกับกล้ามเนื้อเหยียดเข่า (Rectus femoris) ซึ่งแสดงว่า ต้องมีอิริยาบถที่ตั้งขึ้น<ref name=Lovejoy1988 />

แม้ว่า กระดูกเชิงกรานจะไม่เหมือนกับมนุษย์ร้อยเปอร์เซนต์ (คือกว้างกว่า โดยมีกระดูกปีกสะโพกโค้งยืดออกไปข้าง ๆ)
แต่ว่า ลักษณะเหล่านี้แตกต่างไปจากลิงใหญ่อื่น ๆ อย่างชัดเจน เพื่อที่จะให้สามารถเดินด้วยสองเท้าได้โดยระดับหนึ่ง
นอกจากนั้นแล้ว [[กระดูกต้นขา]]ยังโค้งเข้าไปทางเข่าจากสะโพก
ซึ่งทำให้สามารถวางเท้าเข้าไปใกล้แนวกึ่งกลางของร่างมากขึ้น โดยโค้งไปจากสะโพก
ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า มีการเดินด้วยสองเท้าเป็นปกติ
มนุษย์ปัจจุบัน ลิง[[อุรังอุตัง]] และลิงโลกใหม่ (ใน[[ทวีปอเมริกา]]) [[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Ateles'' ในปัจจุบันล้วนแต่มีลักษณะแบบนี้
ส่วนที่เท้ามีหัวแม่โป้งหันไปทางด้านหน้า (adducted) ซึ่งจะทำให้การจับต้นไม้ด้วยเท้ายากหรือเป็นไปไม่ได้
นอกจากการเดินแล้ว ''A. afarensis'' ยังมีฟันที่เหมือนกับมนุษย์มากกว่า[[เอป]]<ref>{{cite journal | title=Jaws and teeth of Australopithecus afarensis from Maka, Middle Awash, Ethiopia | author=White, T.D.; Suwa, G.; Simpson, S.; Asfaw, B. | journal=American Journal of Physical Anthropology |date=January 2000 | volume=111 | issue=1 | pages=45-68 | doi=10.1002/(SICI)1096-8644(200001)111:1<45::AID-AJPA4>3.0.CO;2-I | pmid=10618588}}</ref> เช่นมีขนาดเล็กกว่าเป็นต้น

==== ตัวอย่างรอยเท้าจากอดีต ====
ในปี ค.ศ. 1978 ทีมของนักบรรพชีวินวิทยา[[แมรี ลีกคี]] ลีกคีพบรอยเท้าของ hominin เดินด้วยสองเท้าที่โบราณสถาน Laetoli [[ประเทศแทนซาเนีย]] เป็นทางยาวประมาณ 24 เมตร เป็นของ hominin 2 ตน มีอายุถึง 3.6 ล้านปีก่อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เป็นรอยเท้าของ homonini [[สปีชีส์]] ''Australopithecus afarensis'' (เหมือนกับลูซี่ข้างบน) รอยเท้าแสดงอย่างหมดสงสัยว่า hominin พวกนี้เดินตัวตรงด้วยสองเท้าจริง ๆ<ref name=Encarta2006 /> เพราะไม่มีรอยใช้ข้อมือยันพื้น (เช่นในลิง[[ชิมแปนซี]]และ[[กอริลลา]]) นอกจากนั้นแล้ว รอยเท้าไม่มีรอยนิ้วแม่โป้งที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนกับของ[[เอป]] แต่มีส่วนโค้งเท้าเหมือนกับมนุษย์ปัจจุบัน ส่วนท่าทางการเดินดูเหมือนจะเป็นแบบสบาย ๆ

งานวิจัยในปี ค.ศ. 2007 โดยใช้[[การจำลอง]]โดยคอมพิวเตอร์ที่ใช้ข้อมูลจากซากดึกดำบรรพ์ของ ''A. afarensis'' และระยะห่างของรอยเท้าที่พบแสดงว่า hominin เหล่านี้เดินด้วยความเร็วประมาณ 1.0 เมตร/วินาที หรือเร็วกว่านั้น ซึ่งเป็นความเร็วประมาณเท่ามนุษย์ปัจจุบัน<ref>{{cite web |url=http://www.liv.ac.uk/premog/premog-sup-info-Laetoli.htm |accessdate=2007-11-01 |date=18 May 2007 |title=The Laetoli Footprint Trail: 3D reconstruction from texture; archiving, and reverse engineering of early hominin gait (PREMOG - Supplementry Info) |publisher=Primate Evolution & Morphology Group (PREMOG), the Department of Human Anatomy and Cell Biology, the School of Biomedical Sciences, University of Liverpool }}</ref>
ผลงานวิจัยอื่น ๆ เช่นในปี ค.ศ. 2010 ยืนยันทฤษฎีว่า รอยเท้านี้เป็นของสัตว์ที่มีท่าทางการเดิน (gait) เหมือนมนุษย์<ref>{{Cite doi |10.1371/journal.pone.0009769}}{{PDFlink |1=[http://www.plosone.org/article/fetchObject.action?uri=info%3Adoi%2F10.1371%2Fjournal.pone.0009769&representation=PDF Full PDF]}}<!-- Raichlen et al (2010). Laetoli Footprints Preserve Earliest Direct Evidence of Human-Like Bipedal Biomechanics Ipmid=20339543 Ipmc=2842428 --></ref>

=== วิวัฒนาการมนุษย์น่าเชื่อถือหรือไม่ ===
วิธีการศึกษาเรื่อง[[วิวัฒนาการมนุษย์]]นั้นเป็น[[กระบวนการทางวิทยาศาสตร์]] ซึ่งโดยคร่าว ๆ เป็นวงจรของการตั้ง[[สมมติฐาน]]และการหาหลักฐานเพื่อยืนยันหรือปฏิเสธสมมติฐานนั้น ๆ เพราะฉะนั้น รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์สามารถทดสอบได้โดยหลักฐานที่สั่งสมโดยนักวิทยาศาสตร์ว่าเข้ากันกันสมมติฐานที่เป็นประเด็นศึกษาได้หรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีสมมติฐานว่า มนุษย์เช่นเราได้มีมาตั้งแต่กำเนิดโลก จะเป็นโลกที่เกิดขึ้นเมื่อ 6,000 ปีก่อนหรือก่อนหน้านี้ก็ตาม เมื่อขุดหาหลักฐานในที่สมควร ก็ควรจะได้ซากของมนุษย์เหมือนกับเราเริ่มต้นตั้งแต่ที่จุดกำเนิดนั้น ๆ<ref name=White2011>{{Cite AV media |title=Bones, Stones and Genes: The Origin of Modern Humans |series=Lecture 4 - Hominid Paleobiology |year=2011 |last=White |first=Tim |publisher=Howard Hughes Medical Institute (2011 Holiday Lecture Series) |format=[[MP4]] |location=rtmp://media.hhmi.org/vod//mp4:11Lect4_2000_jw.mp4 }}</ref>
แต่ถ้าปรากฏว่า กลับมีมนุษย์เหมือนกับเราเริ่มต้นตั้งแต่ 195,000 ปีก่อน<ref name=McDougall2005a /><ref name=McDougall2005b /> สมมติฐานว่าโลกเกิดเมื่อ 6,000 ปีก่อนพร้อมกับมนุษย์ก็ถูกปฏิเสธโดยหลักฐาน และสมมติฐานว่ามีมนุษย์เหมือนกับเราก่อนหน้า 195,000 ปีก่อน ก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะสนับสนุน (แต่กลับมีสัตว์อื่นที่คล้ายกับเราแต่ไม่เหมือนเราก่อนหน้านั้น)

ดังนั้นประเด็นต่าง ๆ ของวิวัฒนาการมนุษย์นั้น จะเชื่อถือได้ก็โดยหลักฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ได้ผ่านการพิจารณาตามศาสตร์ต่าง ๆ ของวิทยาศาสตร์แล้วแสดงข้อสรุปเดียวกันมาแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงแต่อาศัยความเชื่อหรือความเห็น หรือแม้แต่เพียงอาศัย[[สมมติฐาน]]เท่านั้น โดยที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน หรืออาจจะมีหลักฐานค้านด้วยซ้ำ<ref name=White2011 />
ประเด็นต่าง ๆ ที่มีการศึกษาอยู่บางส่วน ก็มีหลักฐานสั่งสมมามากมายจนสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนแล้ว บางส่วนก็ยังต้องมีการสั่งสมหลักฐานเพื่อยืนยันหรือปฏิเสธสมมติฐานต่าง ๆ ต่อไป (ซึ่งหลักฐานใหม่อาจเปลี่ยนประเด็นหรือแม้แต่ข้อสรุปที่นักวิทยาศาสตร์บางส่วนมีมติเห็นด้วย - ดูตัวอย่างในหัวข้อ "[[#การปฏิวัติทางพันธุศาสตร์|การปฏิวัติทางพันธุศาสตร์]]" และ "[[#ทฤษฎีอพยพสองอย่างที่ขัดแย้งกัน|ทฤษฎีอพยพสองอย่างที่ขัดแย้งกัน]]")
และบางส่วนก็อาจจะไม่สามารถหาข้อยุติได้

== ประวัติการศึกษา ==
[[ไฟล์:Fossil hominids.jpg|thumb|220px|นิทรรศการ[[ซากดึกดำบรรพ์]] ที่แสดงวิวัฒนาการของสัตว์[[วงศ์ลิงใหญ่]]ที่พิพิธภัณฑ์วิทยากระดูก ในเมือง Oklahoma City [[รัฐโอกลาโฮมา]] [[ประเทศสหรัฐอเมริกา]]]]

=== ก่อนดาร์วิน ===
คำว่า ''[[Homo]]'' ซึ่งเป็นชื่อ[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]]ทาง[[ชีววิทยา]]ของมนุษย์ เป็นคำ[[ภาษาละติน]]ที่แปลเป็น[[ภาษาอังกฤษ]]ว่า "human" และแปลเป็น[[ภาษาไทย]]ว่า มนุษย์
เป็นคำที่เลือกโดยนัก[[พฤกษศาสตร์]]ชาวสวีเดน[[คาโรลัส ลินเนียส]]ในปี ค.ศ. 1758<ref>{{cite book |last=Linné |first=Carl von |title=Systema naturæ. Regnum animale. | year=1758 |pages=18, 20 |url=http://www.biodiversitylibrary.org/item/80764#page/28/mode/lup | |edition=10 |accessdate=19 November 2012}}</ref> (ผู้เริ่มเรียกสัตว์สกุลต่าง ๆ โดยใช้ทวินาม) ในระบบการจำแนกสิ่งมีชีวิตของเขา
คำว่า "human" ในภาษาอังกฤษ มาจากคำภาษาละตินว่า ''humanus'' ซึ่งก็เป็น[[คำวิเศษณ์]]ของคำว่า ''homo''<ref >{{cite book|author1=American Heritage Dictionary|author2=Houghton Mifflin Company|title=More word histories and mysteries: from aardvark to zombie|url=http://books.google.com/books?id=UbXao0TjfKgC&pg=PA99 |accessdate=10 November 2011|date=October 2006|publisher=Houghton Mifflin Harcourt |isbn=978-0-618-71681-4 |pages=99-}}</ref>
ลินเนียสและนักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ในยุคนั้นพิจารณาว่า [[วงศ์ลิงใหญ่]]เป็นสัตว์ที่ใกล้กับมนุษย์ที่สุด
จากความคล้ายคลึงกันโดย[[สัณฐานวิทยา (ชีววิทยา)|สัณฐาน]]และโดย[[กายวิภาค]]<ref>{{cite book |last=Frangsmyr |first=Tore |last2=Lindroth |first2=Sten |last3=Eriksson |first3=Gunnar |last4=Broberg |first4=Gunnar |title=Linnaeus, the man and his work |url=http://books.google.com/?id=RrKiQgAACAAJ&dq=Linnaeus+the+man+and+his+works |year=1983 |publisher=University of California Press |location=Berkeley and Los Angeles |isbn=978-0-7112-1841-3 |pages=167,170}} </ref><ref>{{cite book |last1=Gribbin |first1=Mary |last2=Gribbin |first2=John |title=Flower Hunters |url=http://books.google.com/?id=yDC7gu-sCMsC |year=2008 |publisher=Oxford University Press |location=Oxford |isbn=978-0-19-956182-7 |pages=173-174}} </ref>

=== สมัยดาร์วิน ===
การศึกษาทางบรรพมานุษยวิทยา (Paleoanthropology) แบบปัจจุบัน<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|name=Paleoanthropology |
'''บรรพมานุษยวิทยา''' ({{lang-en|Paleoanthropology}}) มาจากภาษากรีกแปลว่า การศึกษามนุษย์โบราณ เป็นการรวมการศึกษาของสาขา[[บรรพชีวินวิทยา]]และ[[มานุษยวิทยา]]กายภาพ (physical anthropology) เข้าด้วยกัน เป็นการศึกษามนุษย์โบราณตามหลักฐาน[[ซากดึกดำบรรพ์]]ของสัตว์ในเผ่าย่อย homonini เช่นศึกษากระดูกที่กลายเป็นหิน หรือรอยเท้าที่สัตว์สายพันธุ์มนุษย์ได้ทิ้งไว้ เป็นการศึกษา[[วัฒนธรรม]] [[สังคม]] และชีวภาพของมนุษย์ เพื่อหาต้นกำเนิดของลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมที่สืบมาทางสายพันธุ์<ref name=Encarta2006 />
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
ก็เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการค้นพบซากมนุษย์ Neanderthal ในปี ค.ศ. 1829 ([[ประเทศเบลเยียม]]) 1848 ([[ยิบรอลตาร์]]) และ 1856 ([[ประเทศเยอรมนี]])<ref name=HumOrig>{{cite web |title=Homo neanderthalensis |url=http://anthropology.si.edu/humanorigins/ha/neand.htm |publisher=Smithsonian Institution |accessdate=18 May 2009}}</ref>
ความเป็นไปได้ว่า มนุษย์มีบรรพบุรุษเดียวกับพวกลิง ปรากฏอย่างชัดเจนในปี ค.ศ. 1859 เมื่อ[[ชาลส์ ดาร์วิน]]พิมพ์หนังสือ ''On the Origin of Species (กำเนิดของสปีชีส์)''
ซึ่งเขาได้เสนอไอเดียว่า สัตว์[[สปีชีส์]]ต่าง ๆ มีการ[[วิวัฒนาการ]]มาจากสปีชีส์ก่อน ๆ ที่เป็นบรรพบุรุษ
หนังสือของดาร์วินไม่ได้พูดถึงวิวัฒนาการของมนุษย์โดยตรง แต่ได้กล่าวไว้เพียงแค่นี้ว่า "จะเกิดแสงสว่างในอนาคตเกี่ยวกับต้นกำเนิดและประวัติของมนุษย์"<ref name=Darwin1859>{{cite book |title=On the Origin of Species by Means of Natural Selection |edition=1st |author=Darwin, Charles |url=http://en.wikisource.org/wiki/On%20the%20Origin%20of%20Species%20%281859%29 |location=United Kingdom |publisher=John Murray |year=1859 |oclc=352242 }}</ref>

<!-- [[ไฟล์:Huxley - Mans Place in Nature.jpg |left |300px |thumb |ฮักซ์ลีย์ใช้ภาพต่าง ๆ ที่แสดงว่า [[มนุษย์]]และ[[เอป]]มีโครงสร้างกระดูกพื้นฐานที่เหมือนกัน<ref name=Bowler2003 />]] -->
การอภิปรายถึงวิวัฒนาการมนุษย์เกิดขึ้นครั้งแรกระหว่าง[[นักชีววิทยา]]โทมัส ฮักซ์ลีย์ และ[[ริชาร์ด โอเวน]]
โดยฮักซ์ลีย์เสนอว่า มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจาก[[เอป]]โดยแสดงความคล้ายคลึงกันและความต่างกันระหว่างมนุษย์และเอป<ref name=Bowler2003 />
โดยเฉพาะในหนังสือปี ค.ศ. 1863 ที่ชื่อว่า ''Evidence as to Man's Place in Nature (หลักฐานความเป็นส่วนธรรมชาติของมนุษย์)''
ถึงอย่างนั้น แม้นักวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนทฤษฎีของดาร์วิน (เช่น [[อัลเฟรด วอลเลซ]] และชาลส์ ไลเอลล์) ตอนแรกก็ไม่เห็นด้วยว่า
สมรรถภาพทางใจและความมีศีลธรรมของมนุษย์สามารถอธิบายได้โดย[[ทฤษฎี]][[การคัดเลือกโดยธรรมชาติ]] แม้ว่าความคิดนี้จะเปลี่ยนไปในภายหลัง<ref name=Bowler2003>{{cite book |title=Evolution: The History of an Idea |last1=Bowler |first1=Peter J. |publisher=University of California Press |year=2003 |edition=3rd |pages=208-211, 214-216 |isbn=0-520-23693-9 }}</ref>

ต่อมาในปี ค.ศ. 1871 ดาร์วินได้ประยุกต์ใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการและการคัดเลือกอาศัยเพศ (sexual selection) กับมนุษย์เมื่อเขาพิมพ์หนังสือ ''The Descent of Man, and Selection in Relation to Sex (เชื้อสายมนุษย์ และการคัดเลือกโดยสัมพันธ์กับเพศ)''<ref>{{cite book|last=Darwin|first=Charles|title=The Descent of Man, and Selection in Relation to Sex|year=1871. This edition published 1981, with Introduction by John Tyler Bonner & Robert M. May|publisher=Princeton University Press|location=Princeton NJ|isbn=0-691-02369-7}}</ref>

=== ซากดึกดำบรรพ์ยุคแรก ๆ ===
ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความถูกต้องของทฤษฎีวิวัฒนาการในยุคนั้นก็คือความไม่มีหลักฐานโดย[[ซากดึกดำบรรพ์]]ของ[[สปีชีส์]]ในระหว่าง (intermediate species<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|name=intermediate|
'''[[สปีชีส์]]ในระหว่าง''' (intermediate species) หรือ '''[[ซากดึกดำบรรพ์]]ช่วงเปลี่ยนสภาพ''' (transitional fossil) เป็น[[ซากดึกดำบรรพ์]]ของสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่เหมือนกันกับของทั้งสัตว์กลุ่มบรรพบุรุษ และของสัตว์กลุ่มลูกหลานที่สืบเชื้อสายต่อจากกลุ่มบรรพบุรุษ<ref name=Freeman2007 />
แม้ว่า เราจะไม่สามารถบอกได้ว่าสปีชีส์ในระหว่างนั้นเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของสัตว์กลุ่มลูกหลาน แต่ว่านักวิทยาศาสตร์ก็อาจจะใช้สปีชีส์ในระหว่างนั้น เป็น[[แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์|แบบจำลอง]]ของสัตว์บรรพบุรุษโดยตรง
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->)
[[เอป]]ที่เป็นบรรพบุรุษกับ[[มนุษย์]]ที่เป็นลูกหลาน
ถึงแม้ว่านัก[[กายวิภาค]]ชาวดัตช์ ยูจีน ดูบัว จะได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่เดี๋ยวนี้จัดเป็น ''Homo erectus'' ที่[[เกาะชวา]]ในปี ค.ศ. 1891 (ที่นักวิทยาศาสตร์บางพวกไม่เห็นด้วยว่ากระดูกที่พบทั้งหมดมาจากตัวอย่างบุคคลเดียวกัน<ref>{{cite web |title=The Java Man skullcap |url=http://www.talkorigins.org/faqs/homs/java.html }}</ref>)
นักวิทยาศาสตร์ก็ยังต้องรอจนกระทั่งถึงช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ที่หลักฐานซากดึกดำบรรพ์ของสปีชีส์ในระหว่าง{{Efn-ua|name=intermediate}} จึงเริ่มมีการสั่งสมเพิ่มขึ้นต่อ ๆ มาใน[[ทวีปแอฟริกา]]

ในปี ค.ศ. 1925 นักกายวิภาคชาวออสเตรเลียเรมอนด์ ดาร์ท ได้เขียนคำพรรณนาถึง hominin สปีชีส์ ''Australopithecus africanus''
ซึ่งเป็น[[ตัวอย่างต้นแบบแรก]] ที่เรียกว่า Taung Child ซึ่งเป็นทารก[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini เผ่าย่อย Australopithecina ที่ค้นพบในถ้ำแห่งหนึ่งในเมือง Taung [[ประเทศแอฟริกาใต้]]
ซากมีสภาพดีเป็นหัวกะโหลกเล็ก ๆ และรูปหล่อภายในกะโหลกศีรษะ (endocranial cast) ของสมอง<ref name=mckee>{{Cite book |last=McKee |first=Jeffrey K. |title=The Riddled Chain: Chance, Coincindence, and Chaos in Human Evolution |publisher=Rutgers University Press |place=New Brunswick, NJ |pages= 40-41}} </ref>
ถึงแม้ว่าสมองนั้นยังเล็ก (400-500 ซม<sup>3</sup><ref>{{cite journal |last1=Conroy |first1=G. C. |last2=Falk |first2=D |last3=Guyer |first3=J |last4=Weber |first4=G. W. |last5=Seidler |first5=H |last6=Recheis |title=Endocranial capacity in Sts 71 (Australopithecus africanus) by three-dimensional computed tomography. |journal=Anat. Rec. |volume=258 |pages=391-396 |year=2000}} </ref>)
แต่ก็มีรูปร่างกลมซึ่งไม่เหมือนของลิง[[ชิมแปนซี]]และ[[กอริลลา]] แต่เหมือนกับของมนุษย์ปัจจุบันมากกว่า<ref name=Fagan1999>{{cite book |last=Fagan |first=Brian |title=Eyewitness to Discovery: First-Person Accounts of More Than Fifty of the World's Greatest Archaeological Discoveries |year=11 February 1999 |isbn=0195126513 |url=http://www.amazon.com/Eyewitness-Discovery-First-Person-Archaeological-Discoveries/dp/0195126513 |publisher=Oxford University Press, USAF |pages=512 }}</ref>
นอกจากนั้นแล้ว ตัวอย่างนั้นยังแสดงฟันเขี้ยว (canine teeth) ที่สั้น
และตำแหน่งของช่อง[[ฟอราเมน แมกนัม]]ที่เป็นหลักฐานของการเดินด้วยสองเท้า<ref name=Fagan1999 />
ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ดาร์ทมั่นใจว่า ทารกนั้นเป็นสัตว์บรรพบุรุษมีสองเท้าของมนุษย์ เป็น[[สปีชีส์]]ในระหว่าง{{Efn-ua|name=intermediate}}[[เอป]]กับมนุษย์

=== ซากดึกดำบรรพ์จากแอฟริกาตะวันออก ===
[[ไฟล์:Louis Leakey.jpg|thumb|210px|นัก[[บรรพชีวินวิทยา]]ชาวอังกฤษ[[หลุยส์ ลีกคี]] กำลังตรวจดูหัวกะโหลกจากโกรกธาร Olduvai Gorge [[ประเทศแทนซาเนีย]]]]
ในช่วงระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 มีการค้นพบ[[ซากดึกดำบรรพ์]]เป็นร้อย ๆ โดยเฉพาะจาก[[แอฟริกาตะวันออก]]ในส่วนต่าง ๆ ของโกรกธาร Olduvai Gorge<ref name=Encarta2006 /> และทะเลสาบ Lake Turkana<ref name=MyAnthroLab2011 />
หัวหน้านำงานศึกษาในตอนนั้นก็คือครอบครัวลีกคี โดยตอนแรกเป็นนัก[[บรรพชีวินวิทยา]][[หลุยส์ ลีกคี]]และภรรยาคือ[[แมรี ลีกคี]]
และต่อจากนั้นก็เป็นบุตรชายคือริชาร์ดและลูกสะใภ้มีฟ เป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในการหาซากดึกดำบรรพ์
คือ จากชั้นหินซากดึกดำบรรพ์ของโกรกธาร Olduvai Gorge และทะเลสาป Lake Turkana พวกเขาได้สั่งสมซาก hominin สาย australopithecine<ref name=MyAnthroLab2011 />, มนุษย์[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''โฮโม'' ยุคต้น ๆ<ref name=Encarta2006 /> และแม้กระทั่งซากของ ''Homo erectus''<ref>{{cite journal |author = Brown F, Harris J, Leakey R, Walker A |year=1985 |title=Early ''Homo erectus'' skeleton from west Lake Turkana, Kenya |journal=Nature |volume=316 |issue=6031 |pages=788-7921 pmid=3929141}}</ref><ref name=stef>{{cite book |author=Stefoff R |title=First Humans |url= http://books.google.co.in/books?id=3H4OiNOCyMEC&dq |year=2009 |pages= 87-88 |publisher=Marshall Cavendish |ISBN =9780761441847}}</ref>

การค้นพบเหล่านี้ทำให้มั่นใจได้ว่า แอฟริกาเป็นกำเนิดของมวลมนุษย์
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 [[ประเทศเอธิโอเปีย]]กลายเป็นแหล่งสำคัญใหม่ของบรรพมานุษยวิทยา (palaeoanthropology{{Efn-ua|name=Paleoanthropology}}) เมื่อ ดร. โดนัลด์ โจแฮนสัน ได้ค้นพบ "ลูซี่" ซึ่งเป็นซากดึกดำบรรพ์ของ hominin สปีชีส์ ''Australopithecus afarensis'' ที่สมบูรณ์ที่สุดในหมู่บ้าน Hadar ในเขตบรรพชีวินวิทยาชื่อว่า Middle Awash ด้านเหนือของประเทศเอธิโอเปียที่เป็นเขตทะเลทราย<ref name=MyAnthroLab2011 />
เขตนี้จะเป็นแหล่งของซากดึกดำบรรพ์ของ[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini ใหม่ ๆ มากมาย โดยเฉพาะที่ค้นพบโดยทีมของ ดร. ทิม ไวท์ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 เช่น hominin สปีชีส์ ''Ardipithecus ramidus''<ref name=MyAnthroLab2011 />

=== การปฏิวัติทางพันธุศาสตร์ ===
การปฏิวัติทาง[[พันธุศาสตร์]]เกี่ยวกับการศึกษา[[วิวัฒนาการ]]ของมนุษย์ก็เริ่มขึ้น
เมื่อนัก[[บรรพชีวินวิทยา]]ชาวอเมริกันวินเซ็นต์ ซาริก และนัก[[ชีวเคมี]]ชาวอเมริกันอัลแลน วิลสัน วัดระดับปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันที่เกิดจาก[[โปรตีน]]แอลบูมินใน[[น้ำเลือด]] (serum albumin) ในระหว่างสัตว์ที่เป็นคู่ (คือปฏิกิริยาระหว่าง[[แอนติเจน]]คือแอลบูมินจากสัตว์หนึ่ง กับ[[แอนติบอดี]]ที่สร้างขึ้นต้านแอนติเจนนั้นในอีกสัตว์หนึ่ง)
รวมทั้งมนุษย์และ[[เอป]]จาก[[ทวีปแอฟริกา]] (คือลิง[[กอริลลา]]และลิง[[ชิมแปนซี]])<ref name=MolClock>{{cite pmid| 4964406}}<!-- Sarich, V. M.; Wilson, A. C. (1967). "Immunological time scale for hominid evolution". Science 158 (3805): 1200-1203. doi:10.1126/science.158.3805.1200. PMID 4964406. --></ref>
ระดับปฏิกิริยาสามารถกำหนดเป็นตัวเลขซึ่งเป็นตัวแทนของ "ระยะห่างทางภูมิคุ้มกัน" (immunological distance ตัวย่อ ID)
ซึ่งมีสัดส่วนตามจำนวนความแตกต่างกันของ[[กรดอะมิโน]]ระหว่าง[[โปรตีน]]กำเนิดเดียวกัน (homologous protein) ของสัตว์[[สปีชีส์]]ต่าง ๆ (ดังนั้น ระยะห่างที่ใกล้จึงหมายถึงสัตว์ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด)
โดยสร้างเส้นโค้งเทียบมาตรฐาน (calibration curve) ของ ID ระหว่างคู่สปีชีส์ เทียบกับระยะเวลาที่สายพันธุ์แยกออกจากกันตามที่มีหลักฐานแสดงโดย[[ซากดึกดำบรรพ์]]ที่ชัดเจน
เส้นโค้งนี้สามารถใช้เป็น molecular clock (นาฬิกาอาศัยโครงสร้างโมเลกุล) เพื่อประมาณระยะเวลาที่สายพันธุ์แยกออกจากกันระหว่างสปีชีส์คู่ที่ไม่มีซากดึกดำบรรพ์หรือมีซากที่ให้ข้อมูลได้ไม่ชัดเจน

ในผลงานวิจัยทรงอิทธิพลปี ค.ศ. 1967 ของพวกเขาในวารสาร ''Science''
ซาริกและวิลสันประมาณระยะเวลาที่สายพันธุ์แยกออกจากกันของมนุษย์และ[[ลิงใหญ่]]ว่าเป็น 4-5 ล้านปีก่อน<ref name=MolClock/>
ซึ่งเป็นสมัยที่คำอธิบายโดยใช้ซากดึกดำบรรพ์ประเมินระยะเวลานี้ที่ 10-30 ล้านปีก่อน
แต่ซากดึกดำบรรพ์ที่พบต่อ ๆ มา โดยเฉพาะของลูซี่ (''Australopithecus afarensis'')
และการตีความหมายข้อมูลจากซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบก่อน ๆ ใหม่ โดยเฉพาะของไพรเมตบรรพบุรุษของลิง[[อุรังอุตัง]]สกุล ''Ramapithecus'' ที่มีชีวิตประมาณ 8.5-12.5 ล้านปีก่อน (สมัย Miocene กลาง-ปลาย)<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
คือ ในช่วงนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ลิง[[กอริลลา]]และลิง[[ชิมแปนซี]]เป็นไพรเมตที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่ากับมนุษย์ และประมาณว่า สายพันธุ์ของลิงเหล่านั้นแยกออกจากสายมนุษย์เมื่อประมาณ 15-28 ล้านปีก่อน เมื่อมีการค้นพบลิงใหญ่[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Ramapithecus'' มีอายุ 14 ล้านปี ซึ่งมีลักษณะบางอย่างคล้ายมนุษย์ จึงเข้าใจว่า สกุลนี้อยู่ในสายพันธุ์ของมนุษย์ และสกุลนี้เป็นหลักฐานยืนยันเวลาของการแยกสายพันธุ์ของมนุษย์ (ปี ค.ศ. 1966) ต่อมาเมื่อมีหลักฐานทาง[[กรรมพันธุ์]]เกี่ยวกับเวลาการแยกสายพันธุ์ของมนุษย์ และหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น จึงปรากฏชัดเจนขึ้นว่า ''Ramapithecus'' เป็นบรรพบุรุษของลิงอุรังอุตัง ไม่ใช่เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ (ปี ค.ศ. 1982)<ref name=Bradley2008 />
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
แสดงว่า ค่าประมาณที่ต่ำกว่าของซาริกและวิลสันนั้นถูกต้อง ซึ่งแสดงความถูกต้องของวิธีการวัดโดยแอลบูมิน (แต่มาถึงในสมัยปัจจุบัน ค่านั้นได้เปลี่ยนไปบ้างแล้ว ดู[[#หลักฐานทางอณูชีววิทยา|หลักฐานทางอณูชีววิทยา]])
การประยุกต์ใช้หลักของ molecular clock ได้ปฏิวัติการศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางโครงสร้างโมเลกุล (molecular evolution<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
'''Molecular evolution''' (แปลว่า วิวัฒนาการทางโครงสร้างโมเลกุล หรืออณูวิวัฒนาการ) เป็นการเปลี่ยนแปลงลำดับของ[[โมเลกุล]]ใน[[เซลล์ (ชีววิทยา)|เซลล์]]เช่น [[ดีเอ็นเอ]] [[อาร์เอ็นเอ]] และ[[โปรตีน]] ในระยะเวลายาว
ศาสตร์นี้มุ่งหมายจะอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพที่ระดับโมเลกุลและระดับเซลล์
โดยใช้หลักของศาสตร์ชีววิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary biology) และ[[พันธุศาสตร์ประชากร]] (population genetics)
ประเด็นการศึกษารวมทั้ง
* อัตราการเปลี่ยนแปลง และผลการเปลี่ยนแปลง แบบนิวคลีโอไทด์เดี่ยว (single nucleotide)
* วิวัฒนาการที่ไร้ผล (neutral evolution) เทียบกับ [[การคัดเลือกโดยธรรมชาติ]] (คือวิวัฒนาการที่มีผลบวก)
* กำเนิดของ[[ยีน]]ใหม่ ๆ
* ธรรมชาติของยีนที่ทำให้เกิดลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่ซับซ้อน
* ธรรมชาติของยีนที่ทำให้เกิด[[สปีชีส์]]ขึ้นมาใหม่
* วิวัฒนาการของพัฒนาการ (evolution of development)
* อิทธิพลของกระบวนการวิวัฒนาการต่อความเปลี่ยนแปลงใน[[จีโนม]]และ[[ลักษณะทางพันธุกรรม]]
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->)

=== การสืบหา hominin ที่เก่าแก่ที่สุด ===
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 มีนักบรรพมานุษยวิทยา (paleoanthropologist) หลายทีมทั่วแอฟริกากำลังทำการค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับ[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] Hominini ที่เก่าที่สุดหลังจากการแยกสายพันธุ์ออกจาก[[วงศ์ลิงใหญ่]]
ในปี ค.ศ. 1994 มีฟ ลีกคี ค้นพบซากของ hominin สปีชีส์ ''Australopithecus anamensis'' มีอายุประมาณ 4 ล้านปี แต่ว่าการค้นพบนี้ถูกทำให้อับแสงด้วยการค้นพบ hominin สปีชีส์ ''Ardipithecus ramidus'' ของทิม ไวท์ ในปีเดียวกัน ซึ่งมีประมาณอายุที่ {{Ma|4.4}}<ref name=White2009>{{Cite doi|10.1126/science.1175802}}<!-- Tim D. White, Berhane Asfaw, Yonas Beyene, Yohannes Haile-Selassie, C. Owen Lovejoy, Gen Suwa, Giday WoldeGabrie: ''Ardipithecus ramidus and the Paleobiology of Early Hominids.'' In: Science 326 (5949), 2009, pp. 75-86; PMID 19810190--></ref>

ในปี ค.ศ. 2000 นักบรรพมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสมาร์ติน พิกฟอร์ด และบริกีต์ เซนู ค้นพบ[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini ที่เดินด้วยสองเท้า มีอายุ 6 ล้านปีในบรรพชีวินสถาน Tugen Hills ของ[[ประเทศเคนยา]] ซึ่งพวกเขาได้ตั้งชื่อสปีชีส์ว่า ''Orrorin tugenensis''<ref name="Senut2001">{{Cite doi|10.1016/S1251-8050(01)01529-4}}<!--{{cite journal | author = Senu et A. |title = First hominid from the Miocene (Lukeino Formation, Kenya) |journal = Comptes Rendus de l'Academie de Sciences | year = 2001 |volume=332 |issue=2 |pages=137-144 }}--></ref><ref name="Haviland2007">{{cite book | ref = hary |last1 = Haviland | first1 = William A. |last2 = Prins | first2 = Harald E. L. |last3 = Walrath | first3 = Dana |last4 = McBride | first4 = Bunny |title = Evolution and prehistory: the human challenge |publisher = Cengage Learning | year = 2007 |isbn = 0-495-38190-X |url = http://books.google.com/books?id=LfYirloa_rUC&pg=PAl22&dq=Orrorin |pages=122}} </ref>
ในปี ค.ศ. 2001 ทีมนักวิจัยนำโดยนัก[[บรรพชีวินวิทยา]]ชาวฝรั่งเศสไมเคิล บรูเน ค้นพบกะโหลกศีรษะของสัตว์[[วงศ์ลิงใหญ่]] (หรืออาจจะเป็น[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini) สปีชีส์ ''Sahelanthropus tchadensis'' อายุ 7 ล้านปี<ref name=klages2008>{{cite journal |last1=Klages |first1=Arthur |title=Sahelanthropus tchadensis: An Examination of its Hominin Affinities and Possible Placement |journal=Totem: The University of Western Ontario Journal of Anthropology |volume=16 |issue=1 |article=5 |year=2008 |url=http://ir.lib.uwo.ca/totem/voll6/issl/5}} </ref>
ซึ่งบรูเนอ้างว่า เป็นสัตว์สองเท้า และดังนั้นจึงจัดอยู่ใน[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini<ref name=Brunet2002>{{Cite doi|10.1038/nature00879}}<!--Brunet, M et Al., (2002). "A new hominid from the Upper Miocene of Chad, Central Africa." ''Nature'' 418, 145e151.--></ref><ref>{{Cite doi|10.1038/378273a0}}<!-- {{cite journal |author=Brunet et. Al |title=The first australopithecine 2,500 kilometres west of the Rift Valley (Chad) |journal=Nature |volume=378 |issue=6554 |pages=273-275 |year=1995 }} --></ref>

=== เกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานของมนุษย์ ===
[[ไฟล์:Map-of-human-migrations.jpg|thumb|
[[แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์|แบบจำลอง]]ของวิถีการอพยพของมนุษย์ปัจจุบันแสดงบนแผนที่โลก
ลูกศรแสดงการอพยพออกจาก[[ทวีปแอฟริกา]] ผ่าน[[ทวีปยูเรเชีย]] ไปสู่[[ทวีปออสเตรเลีย]] และ[[ทวีปอเมริกา]]
ส่วน[[ขั้วโลกเหนือ]]อยู่ตรงกลาง [[แอฟริกา]]ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นอยู่ที่ข้างบนด้านซ้าย ส่วน[[อเมริกาใต้]]อยู่ขวาสุด
ดูเชิงอรรถเพื่อข้อมูลเพิ่มเติม<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
ข้อมูลวิถีการอพยพมาจากงานวิจัยเกี่ยวกับ[[ดีเอ็นเอ]]ของ[[ไมโทคอนเดรีย]] เส้นขาดแสดงทางอพยพที่ยังเป็นสมมติฐาน
ตัวเลขบ่งโดยสีมีหน่วยเป็นพันปีก่อน (kya)
เส้นสีน้ำเงินเป็นเขตที่คลุมไปด้วยน้ำแข็งหรือทุ่งทุนดรา (ทุ่งในอากาศหนาวเย็น มีต้นไม้บางประเภทได้เท่านั้น) ในช่วง[[ยุคน้ำแข็ง]]ยุคก่อน
ส่วนอักษรต่าง ๆ เป็น haplogroup ของดีเอ็นเอนของไมโทคอนเดรีย (mtDNA) ซึ่งสืบสายมาจากมารดาเพียงเท่านั้น
และสามารถใช้กำหนดกลุ่มชนต่าง ๆ โดย[[กรรมพันธุ์]] ที่มักจะเป็นไปตามเขตภูมิภาค
ยกตัวอย่างเช่น นี้เป็นการจำแนก mtDNA haplogroup โดยทั่วไป คือ
คน[[แอฟริกา]] (L, L1, L2, L3) คน[[ตะวันออกใกล้]] (J, N) คน[[ยุโรปใต้]] (J, K) คน[[ยุโรป]]ทั่วไป (H, V) คน[[ยุโรปเหนือ]] (T, U, X) คน[[เอเชีย]] (A, B, C, D, E, F, G โดยที่ M หมายถึง C, D, E, G) และ [[กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกา|คนพื้นเมืองอเมริกัน]] (A, B, C, D, และบางครั้ง X)
หลักฐานอ้างอิงเดิม (Behar et al. 2008, Gonder et al. 2007, Reed and Tishkoff) น่าจะหมายถึงงานต่อไปนี้
* {{Cite doi|10.1016/j.ajhg.2008.04.002}} {{PDFlink |[http://www.cell.com/ajhg/pdf/S0002-9297(08)00255-3.pdf Full PDF] |753&nbsp;KB}}<!--Behar et al. (2008). The Dawn of Human Matrilineal Diversity-->
* {{Cite doi|10.1093/molbev/msl209}}<!--Gonder et al. (2007). Whole-mtDNA Genome Sequence Analysis of Ancient African Lineages-->
* ไม่ชัดเจนว่างานของ Reed and Tishkoff ควรจะเป็นอันไหน
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
]]
นัก[[มานุษยวิทยา]]ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ไม่มีมติร่วมกันเกี่ยวกับรายละเอียดการอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]]''[[โฮโม]]''
ต่อจากนั้น ก็เริ่มมีการใช้วิธีการทาง[[กรรมพันธุ์]]เพื่อตรวจสอบและแก้ประเด็นปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้

การอพยพของมนุษย์ยุคต้นก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อมนุษย์ ''H. erectus'' เป็น ''Homo'' รุ่นแรกที่อพยพออกจาก[[แอฟริกา]]ผ่านช่องทางที่เรียกว่า "[[Levantine]] corridor" (ช่องทาง[[เลแวนต์]]) โดยผ่านเขต[[จะงอยแอฟริกา]] ไปทาง[[ยูเรเชีย]] เมื่อประมาณ 1.2-1.8 ล้านปีก่อน<ref name=Garicia2009 /><ref name=Hopkin2008 />
หลังจากนั้นก็ตามด้วย ''H. antecessor'' ไปทาง[[ยุโรป]]เมื่อ 800,000 ปีก่อน แล้วตามด้วย ''H. heidelbergensis'' ซึ่งเป็นสปีชีส์ที่น่าจะเป็นบรรพบุรุษของทั้งมนุษย์ปัจจุบัน (โดยสายที่อยู่ในแอฟริกา) และ Neanderthal (โดยสายที่อยู่ในยูเรเชีย) เมื่อ 600,000 ปีก่อน<ref name=Finlayson2005>{{cite journal |doi=10.1016/j.tree.2005.05.0191 |last=Finlayson |first=Clive |year=2005 |title=Biogeography and evolution of the genus Homol |journal=Trends in Ecology & Evolution |publisher=Elsevier |volume=20 |issue=8 |pages=457-463 |pmid=16701417}}</ref>

==== ทฤษฎีอพยพสองอย่างที่ขัดแย้งกัน ====
โดย"'''[[ทฤษฎี]]กำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา'''" (Recent African origin of modern humans หรือสั้น ๆ ว่า Recent African origin) เสนอว่า มนุษย์ปัจจุบันคือ ''[[H. sapiens]]'' เกิดเป็น[[สปีชีส์]]ใหม่ในทวีปแอฟริกาเมื่อเพียงเร็ว ๆ นี้ (ประมาณ 200,000 ปีก่อน) จากบรรพบุรุษในแอฟริกา ไม่ใช่จากพวกมนุษย์ที่อพยพออกมาแล้ว
และมีการอพยพของมนุษย์สปีชีส์นี้ผ่าน[[ทวีปยูเรเชีย]]ไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่าง ๆ
มีผลเป็นเป็นการทดแทนมนุษย์สกุล ''โฮโม'' อื่น ๆ เกือบสิ้นเชิง
[[แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์]]นี้ มีการพัฒนาโดยคริส สตริงเกอร์ และปีเตอร์ แอนดรูส์ ในปี ค.ศ. 1988<ref>{{cite web|url=http://news.nationalgeographic.com/news/2007/07/070718-african-origin.html|title=Modern Humans Came Out of Africa, "Definitive" Study Says|publisher=News. nationalgeographic.com |date=2010-10-28 |accessdate=2011-05-14 }}</ref><ref>{{cite journal |author=Stringer CB, Andrews P |title=Genetic and fossil evidence for the origin of modern humans |journal=Science |volume=239 |issue=4845 |pages=1263-8 |date=March 1988 |pmid=3125610 |doi=10.1126/science.3125610 |bibcode = 1988Sci...239.1263S |last2=Andrews}}</ref>
และแบบจำลองของการอพยพออกจาก[[แอฟริกาตะวันออก]] เป็นแบบกำเนิดมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับในหมู่นักวิทยาศาสตร์มากที่สุดโดยปี ค.ศ. 2006<ref name=Liu2006>{{cite journal | author = Liu H, Prugnolle F, Manica A, Balloux F | title = A geographically explicit genetic model of worldwideDD human-settlement history | journal = Am. J. Hum. Genet. | volume = 79 | issue = 2 | pages = 230-7 |date=August 2006 | pmid = 16826514 | pmc = 1559480 | doi = 10.1086/505436 | quote = Currently available genetic and archaeological evidence is supportive of a recent single origin of modern humans in East Africa. However, this is where the consensus on human settlement history ends, and considerable uncertainty clouds any more detailed aspect of human colonization history. }}</ref><ref>{{Cite doi|10.1126/science.308.5724.921g}}<!-- {{cite journal | title = This week in Science: Out of Africa Revisited | journal = Science | volume = 308 | issue = 5724 | page = 921 | date = 2005-05-13 }}--></ref><ref>{{cite journal | author = Stringer C | title = Human evolution: Out of Ethiopia | journal = Nature volume = 423 | issue = 6941 | pages = 692-3, 695 |date=June 2003 | pmid = 12802315 | doi = 10.1038/423692a |bibcode = 2003Natur.423..6925 }}</ref><ref name=Johanson2001 />

โดยเปรียบเทียบกัน "'''[[สมมติฐาน]]วิวัฒนาการภายในหลายเขต'''" (Multiregional Evolution) เสนอว่ามนุษย์สกุล ''โฮโม'' มีเพียงสปีชีส์เดียวที่มีกลุ่มประชากรต่าง ๆ ที่มีการติดต่อกันตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มีสปีชีส์ต่าง ๆ กัน
และวิวัฒนาการของมนุษย์ก็เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างสืบเนื่องกันตลอด 2-3 ล้านปีที่ผ่านมา
นี้เป็นแบบจำลองที่เสนอในปี ค.ศ. 1988 โดยนักบรรพมานุษยวิทยาชาวอเมริกันมิลฟอร์ด วอลปอฟฟ์<ref name="multiregional">{{cite journal |last=Wolpoff |first=MH |coauthors=Hawks J, Caspari R |year=2000 |title=Multiregional, not multiple origins |journal=Am J Phys Anthropol |volume=112 |issue=1 |pages=129-36 |url=http://www-personal.umich.edu/~wolpoff/Papers/Multiregional.PDF |format=[[PDF]] |doi=10.1002/(SICI)1096-8644 (200005)112:1<129::AID-AJPA11>3.0.CO;2-K |pmid=10766948}}</ref><ref name="Wolpoff1988">{{cite journal |doi=10.1126/science.3136545 |last=Wolpoff |first=MH |author2=JN Spuhler |author3=FH Smith |author4=J Radovcic |author5=G Pope |author6=DW Frayer |author7=R Eckhardt |author8=G Clark |year=1988 |title=Modern Human Origins |journal=Science |volume=241 |issue=4867 |pages=772-4 |url=http://www.sciencemag.org/cgi/pdf_extract/241/4867/772 |pmid=3136545 |bibcode = 1988Sci...241..772W }}</ref>

==== ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้มีน้ำหนักกว่า====
ภายในสองทศวรรษที่ผ่านมา มีการพบซากมนุษย์ปัจจุบันที่ผู้ค้นพบให้ชื่อ[[สปีชีส์]]ว่า ''Homo sapiens idaltu'' ที่เป็นซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ปัจจุบันที่เก่าที่สุดในโลกที่พบใน[[แอฟริกา]] คือ
* ในปี ค.ศ. 1997 (เผยแพร่ 2003) มีการพบกะโหลกศีรษะ 3 กะโหลกในเขต Middle Awash [[เอธิโอเปีย]] อายุประมาณ 154,000-160,000 ปี<ref name=White2003 />
* ในปี ค.ศ. 2005 มีการหาอายุกลุ่มซากดึกดำบรรพ์ที่เรียกว่า Omo remains ที่ได้ขุดจากเขตใกล้กับ Middle Awash [[เอธิโอเปีย]] โดยใช้เทคนิคใหม่และพบว่ามีอายุประมาณ 195,000 ปี<ref name=McDougall2005a /><ref name=McDougall2005b />
เหล่านี้เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่อาจแสดงว่า มนุษย์ปัจจุบันมีกำเนิดมาจากทวีปแอฟริกา<ref name=Anthropology2012 />
นอกจากนั้นแล้ว งานวิจัยโดยใช้ haplogroup ใน Y-DNA และ mtDNA ต่อมา ยังสนับสนุน[[ทฤษฎี]]กำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้โดยมาก<ref>{{cite journal |author=Jorde LB, Bamshad M, Rogers AR |title=Using mitochondrial and nuclear DNA markers to reconstruct human evolution |journal=BioEssays |volume=20 |issue=2 |pages=126-36 |date=February 1998 |pmid=9631658 |doi=10.1002/(SICI)1521-1878(199802)20:2<126::AID-BIES5>3.0.CO;2-R}}</ref>

ความก้าวหน้าใน[[การหาลำดับดีเอ็นเอ]] โดยเฉพาะใน[[ดีเอ็นเอ]]ของ[[ไมโทคอนเดรีย]] (mtDNA) และต่อจากนั้น ในดีเอ็นเอของ[[โครโมโซม]] Y (Y-DNA) ได้ช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ให้ดีขึ้น<ref>{{cite book |author=Amade M'charek |title=The Human Genome Diversity Project: An Ethnography Of Scientific Practice |year=2005 |publisher=Cambridge University Press |isbn=978-0-521-83222-9 |page=96}}</ref><ref name="DeSalleTattersall2008">{{cite book |author1=Rob DeSalle |author2=Ian Tattersall |title=Human origins: what bones and genomes tell us about ourselves |url=http://books.google.com/books?id=Bf4Sitw7YaIC&pg=PA146 |accessdate=10 November 2011 |year=2008 |publisher=Texas A&M University Press |isbn=978-1-58544-567-7 |page=146}}</ref><ref>{{cite book |author=R. J. Trent |title=Molecular medicine: Genomics to Personalized Healthcare |url=https://www.elsevier.com/books/molecular-medicine/trent/978-0-12-699057-7 |accessdate=4 กันยายน 2557 |year=2005 |publisher=Academic Press |isbn=978-0-12-699057-7 |pages=6-}}</ref>
การหาลำดับของทั้ง mtDNA และ Y-DNA ที่ได้ตัวอย่างมาจากคนพื้นเมืองในที่ต่าง ๆ ได้แสดงข้อมูลเกี่ยวกับบรรพบุรุษที่สืบมาทั้งจากทางมารดาและทางบิดา<ref name="WebsterWells2010">{{cite book |author1=Donovan Webster |author2=Spencer Wells|title=Meeting the Family: One Man's Journey Through His Human Ancestry |date=20 April 2010 |publisher=National Geographic Books |isbn=978-1-4262-0573-6 |page=53}}</ref>
คือได้พบว่า มนุษย์ปัจจุบันทั้งหมดสืบสายโดยไม่ขาดตอนมาจากหญิงคนเดียวกันผู้น่าจะอยู่ใน[[แอฟริกาตะวันออก]]<ref name=NG2006>{{cite web |title='Your Genetic Journey' - The Genographic Project - Haplogroup: A (subclade A) |date=2006-17-8 |url=http://www.nationalgeographic.com/xpeditions/lessons/09/g912/haplogroupA.pdf |format=[[PDF]] |publisher=National Geographic}}</ref>
ระหว่าง 90,000-200,000 ปีก่อน<ref name=Poznik2013 /><ref name=Soares2009 /><ref name="Cann1987">{{cite journal |author=Cann RL, Stoneking M, Wilson AC |title=Mitochondrial DNA and human evolution |journal=Nature |volume=325 |issue=6099 |pages=31-6 |year=1987 |pmid=3025745 |doi=10.1038/325031a0 |url=http://artsci.wustl.edu/~landc/html/cann/ |archiveurl=http://www.webcitation.org/5uQpdJwWR |archivedate=2010-11-22 |deadurl=no |bibcode = 1987Natur.325...31C |last2=Stoneking |last3=Wilson}}</ref>
(ผู้เรียกว่า mitochondrial Eve)
และมาจากชายคนเดียวกันผู้น่าจะอยู่ในแอฟริกากลาง-ตะวันออกเฉียงเหนือ<ref>{{Cite doi|10.1371/journal.pone.0049170}}
{{PDFlink |1=[http://www.plosone.org/article/fetchObject.action?uri=info%3Adoi%2F10.1371%2Fjournal.pone.0049170&representation=PDF Full PDF]}}<!-- {{cite journal lauthor=et al. Ititle=Molecular Dissection of the Basal Clades in the Human Y Chromosome Phylogenetic Tree lyear=2012 Ieditorl-last=Caramelli leditorl-first=David ljournal=PLoS ONE Ivolume=7Iissue=lllpages=e49170Ipmid=231451091pmc=34923191}} --></ref><ref>{{Cite doi|10.1016/j.ajhg.2011.05.002}} {{PDFlink |1=[http://ac.els-cdn.com/S0002929711001649/1-s2.0-S0002929711001649-main.pdf?_tid=b48aa784-455a-11e4-ad6e-00000aacb35e&acdnat=1411721840_6b0e4bf17d19bb1e1fa00a536e7fb391 Full PDF] |2=343&b}} <!-- {{cite journal |author=Cruciani et Al. |title=A Revised Root for the human Y-chromosomal Phylogenetic Tree: The Origin of Patrilineal Diversity in Africa |journal=Cell |year=2011 }}--></ref>
ระหว่าง 180,000-500,000 ปีก่อน<ref>{{Cite doi|10.1016/j.ajhg.2013.02.002}} {{PDFlink|1=[http://ac.els-cdn.com/S0002929713000736/1-s2.0-S0002929713000736-main.pdf?_tid=b2cf4a08-455a-11e4-b011-00000aacb35d&acdnat=1411721837_b3186d720c15364e5ac1e0112cf08a84 Full PDF] |2=330&nbsp;KB}}<!-- Mendez, F, et Al. (2013) An African American paternal lineage adds an extremely ancient root to the human Y chromosome phylogenetic tree pmid=234536681pmc=3591855}}--></ref><ref>{{cite web | url=http://www.newscientist.com/article/dn23240-the-father-of-all-men-is-340000-years-old.html |title=The father of all men is 340,000 years old |publisher=New Scientist |date=6 March 2013 |accessdate=13 March 2013 |last=Barras |first=Colin}}</ref><ref>{{Cite doi|10.1126/science.1237947}}<!-- {{cite journal (author= Francalacci P et Al. title= Low-pass DNA sequencing of 1200 Sardinians reconstructs European Y-chromosome phylogeny Iurl= journal= Science Ivolume=341 issue= 6145 1 pages=565-569 (year= 2013 Ipmid=23908240 }}--></ref>
(ผู้เรียกว่า Y-DNA Adam)

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีงานวิเคราะห์ที่ได้แสดงระดับความหลากหลายของรูปแบบดีเอ็นเอทั่วทวีปแอฟริกาที่สูงกว่านอกทวีป ซึ่งเข้ากับไอเดียว่า แอฟริกาเป็นแหล่งกำเนิดของมารดาที่เป็นต้นแบบของ mtDNA (mitochondrial Eve) และบิดาที่เป็นต้นแบบของ Y-DNA (Y-chromosomal Adam)<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
คือ เมื่อมีการอพยพย้ายถิ่นฐานออกจากที่ที่หนึ่ง ผู้ที่อพยพออกมีส่วนน้อยกว่าส่วนที่ดำรงอยู่ (founder event) ดังนั้นความหลายหลากของ[[จีโนม]]จะมีอยู่ในระดับที่สูงกว่าในกลุ่มประชากรที่เป็นต้นกำเนิดของการอพยพ งานวิจัยในปี ค.ศ. 2009 พบว่า มีระดับความหลายหลากสูงในกลุ่มประชากร[[แอฟริกา]], [[ยุโรป]]และ[[ตะวันออกกลาง]], [[อินเดีย]], [[เอเชียตะวันออก]], [[โอเชียเนีย]], และ[[กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกา|คนพื้นเมืองอเมริกัน]] ไปตามลำดับ<ref name=Tishkoff2011 /> ซึ่งโดยคร่าว ๆ แล้ว เป็นลำดับเวลาการตั้งถิ่นฐานในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกของมนุษย์ปัจจุบัน งานทดลองนี้จึงสนับสนุนว่า แอฟริกาเป็นแหล่งกำเนิดของมนุษย์ที่อพยพไปในที่ต่าง ๆ
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***--><ref name="Kutty2009">{{cite book |author=Dr Kutty|title=Adam's Gene and the Mitochondrial Eve|url=http://books.google.com/books?id=sUqYgipyiGMC&pg=PA40 |accessdate=9 November 2011 |date=14 September 2009 |publisher=Xlibris Corporation |isbn=978-1-4415-0729-7 |page=40}}</ref>
ข้อมูลทางกรรมพันธุ์เช่นนี้มีการตีความหมายว่า สนับสนุน[[ทฤษฎี]]กำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา<ref>{{cite book|author1=Michael R. Speicher |author2=Stylianos E. Antonarakis|author3=Arno G. Motulsky|title=Vogel and Motulsky's Human Genetics: Problems and Approaches |url=http://books.google.com/books?id=FlfPSpBvKLgC&pg=PA606 |accessdate=10 November 2011 |date=3 February 2010 |publisher=Springer |isbn=978-3-540-37653-8 |page=606}}</ref>

{{anchor|admixtureh}}<!-- มีลิงก์มาจากที่อื่น กรุณาอย่าเปลี่ยน -->
==== การผสมพันธุ์กันระหว่างมนุษย์กลุ่มต่าง ๆ ====
อย่างไรก็ดี ก็ยังมีหลักฐานเกี่ยวกับการผสมพันธุ์ (admixture<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|name=admixture|
'''Genetic admixture''' เกิดขึ้นเมื่อสัตว์หรือบุคคลจากกลุ่มประชากรที่ก่อนหน้านี้อยู่แยกขาดจากกันเกิดการผสมพันธุ์กัน มีผลเป็นการสร้างสายพันธุ์ใหม่ในประชากร ซึ่งบางครั้งมีผลเป็นการทำการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ (local adaptation) ให้เนิ่นช้า เพราะว่าได้รับเอา[[ลักษณะทางพันธุกรรม]] (genotype) ที่ไม่ได้มีการปรับตัว ที่ไม่เหมือนกับของบุคคลในพื้นที่ มีผลเป็นการป้องกันการเกิดสปีชีส์ใหม่เพราะทำกลุ่มต่าง ๆ ให้เหมือนกัน
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->)
กันระหว่างมนุษย์ปัจจุบันกับ[[สปีชีส์]]ต่าง ๆ ของกลุ่มมนุษย์โบราณ Archaic ''Homo sapiens'' อีกด้วย<ref>{{Cite journal |volume=26 |issue=8 |doi=10.1093/molbev/msp096 |pmc=2734152 |title=Detecting Ancient Admixture and Estimating Demographic Parameters in Multiple Human Populations |pmid=19420049 |year=2009 |author=Wall, J. D. |journal=Molecular Biology and Evolution |last2=Lohmueller |first2=K. E. |last3=Plagnol |first3=V. |pages=1823-7}}</ref>
คือ
ในปี ค.ศ. 2010 [[การหาลำดับดีเอ็นเอ]]ของ Neanderthal (''Homo neanderthalensis'')<ref>{{Cite doi|10.1126/science.1188021}}<!--{{cite journal | pmid = 20448178 | volume=328 | issue=5979 | title=A draft sequence of the Neandertal genome |date=May 2010 | journal=Science | pages=710-22 | author=Green RE, Krause J, Briggs AW, ''et al. ''}}--></ref>
และของ Denisovan ("Denisova hominin")<ref name=Reich2010 />
พบว่า มีการผสมพันธุ์ของมนุษย์ปัจจุบันกับมนุษย์สปีชีส์อื่น ๆ
คือ มนุษย์ปัจจุบันนอกทวีปแอฟริกามี[[อัลลีล]]ของ Neanderthal ประมาณ 1-4% ใน[[จีโนม]]ของตน และชาว[[เมลานีเซีย]]ยังมีอัลลีลของ Denisovan อีก 4-6% เทียบกับมนุษย์ปัจจุบันอื่น
HLA haplotype ที่มีกำเนิดจาก Neanderthal และ Denisovan มีทั้งในคน[[ยูเรเชีย]] และในคน[[โอเชียเนีย]]ในปัจจุบัน แต่คนในแอฟริกาไม่มี<ref name=Abi-Rached2011/>
นอกจากนั้นแล้ว งานวิจัยอื่นในปี ค.ศ. 2011 และ 2012 ยังพบด้วยอีกว่า กลุ่มชน[[แอฟริกาใต้สะฮารา]]มีเชื้อสายมาจาก Archaic ''Homo sapiens'' ที่ยังไม่รู้จัก ที่ปัจจุบันสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว<ref>{{cite journal | last=Hammer | first=M.F. Iauthor2=Woerner, A.E. |author3= Mendez, F.L. |author4= Watkins, J.C. |author5= Wall, J.D. |title=Genetic evidence for archaic admixture in Africa | journal=Proceedings of the National Academy of Sciences | year=2011 | volume=108 | issue=37 | pages=15123-15128 |doi=10.1073/pnas.1109300108 | pmid=21896735 | pmc=3174671}}</ref><ref>{{cite web | last=Callaway | first=E. | title=Hunter-gatherer genomes a trove of genetic diversity | work=Nature |doi=10.1038/nature.2012.11076 | date=26 July 2012 | url=http://www.nature.com/news/hunter-gatherer-genomes-a-trove-of-genetic-diversity-1.11076 }}</ref><ref>{{Cite doi|10.1016/j.cell.2012.07.009}}<!-- {{cite journal | author=Lachance, J. et al. | title=Evolutionary History and Adaptation from High-Coverage Whole-Genome Sequences of Diverse African Hunter-Gatherers | journal=Cell | date=3 August 2012 | volume=150 | issue=3 | pages=457-469 |doi=}}--></ref>

แต่ว่า ผลงานทาง[[พันธุกรรม]]เหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกับ[[ทฤษฎี]]กำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้ ยกเว้นแต่นัยที่ตีความหมายอย่างแคบที่สุด (คือไม่มีการผสมพันธุ์ระหว่างมนุษย์ปัจจุบันและ Archaic ''Homo sapiens'')
คือมีนักวิทยาศาสตร์บางพวกที่ชอบใจทฤษฏีที่รวมเอาองค์ประกอบของทฤษฎีที่ขัดแย้งกันทั้งสองเพราะว่าสามารถอธิบายข้อมูลได้ดีที่สุด คือว่า ไม่ได้เกิด[[สปีชีส์]]ของมนุษย์ใหม่จริง ๆ ในแอฟริกา (ซึ่งทำให้การผสมพันธุ์กับมนุษย์รุ่นก่อน ๆ เป็นไปได้) แต่ว่า มีมนุษย์รุ่นใหม่ที่มีกายวิภาคปัจจุบันที่อพยพออกไปจากแอฟริกาแล้วเข้าไปตั้งถิ่นฐานแทนที่มนุษย์รุ่นก่อน ๆ โดยในบางที่อาจจะมีการผสมพันธุ์กันกับมนุษย์รุ่นก่อน ๆ แม้ว่าจะมีน้อย<ref name=Anthropology2012 /><ref name=Encarta2006 />
คือ ผลงานทางกรรมพันธุ์ (2010, 2011, 2012) สามารถอธิบายได้ว่า
หลังจากการฟื้นตัวจากจุดติดขัดทางกรรมพันธุ์ (genetic bottleneck) ที่อาจมีสาเหตุมาจากมหันตภัยภูเขาไฟ[[ทะเลสาบโตบา]] (Toba supervolcano catastrophe) ประมาณ 75,000 ปีก่อน
มนุษย์กลุ่มค่อนข้างเล็กได้ผสมสายพันธุ์กับ Neanderthal ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นที่[[ตะวันออกกลาง]] หรือ[[แอฟริกาเหนือ]]ก่อนที่จะอพยพออกจากทวีปแอฟริกา
และลูกหลานของมนุษย์กลุ่มนี้ซึ่งก็ยังเป็นเชื้อสายคนแอฟริกาโดยมาก ก็ได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
และมีส่วนหนึ่งที่ผสมสายพันธุ์กับ Denisovan น่าจะที่[[เอเชียอาคเนย์]] ก่อนที่จะไปถึง[[เมลานีเซีย]]<ref name=Reich2011>{{Cite doi|10.1016/j.ajhg.2011.09.005}}<!-- {{cite journal | pmid = 21944045 | doi= | volume=89 | issue=4 | title=Denisova admixture and the first modern human dispersals into Southeast Asia and Oceania | pmc=3188841 |date=October 2011 | journal=Am. J. Hum. Genet. | pages=516-28 | author=Reich D, Patterson N, Kircher M, ''et al. ''}}--></ref>

อีกอย่างหนึ่ง การผสมพันธุ์กับมนุษย์ Archaic ''Homo sapiens'' มีระดับค่อนข้างที่จะต่ำ (1-10%)
และยังมีงานวิจัยอื่นหลังจาก ปี ค.ศ. 2010 ที่เสนอว่า กรรมพันธุ์ของ Archaic ''Homo sapiens'' อื่น ๆ ที่พบในมนุษย์ปัจจุบันอาจจะอธิบายได้โดยลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่สืบมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อ 500,000-800,000 มาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้<ref name=telegraph9474109 /><ref name=theguardian20130204 /><ref name=Alves2012 />

==== แบบจำลองมีการอพยพหลายครั้ง ====
ถึงกระนั้น [[ทฤษฎี]]กำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้ ก็ยังมีทฤษฎีย่อยต่าง ๆ กันอีกว่า เป็นการอพยพเพียงครั้งเดียว หรือหลายครั้ง
[[แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์|แบบจำลอง]]อพยพหลายครั้ง (multiple dispersal model) รวมเอาทฤษฎีอพยพไปทางทิศใต้ (Southern Dispersal theory) เข้าไว้ด้วย<ref name="lahr">{{cite web |title=Searching for traces of the Southern Dispersal: environmental and historical research on the evolution of human diversity in southern Asia and Australo-Melanesia |url=http://archaeologydataservice.ac.uk/archives/view/field_nerc_2010/ |first1=Marta Mirazón |last1=Lahr |last2=Petraglia |first2=Mike |last3=Stokes |first3=Stephen |last4=Field |first4=Julie |publisher=Uninversity of York |year=2010 }}</ref>
ซึ่งเริ่มได้รับหลักฐานสนับสนุนทาง[[กรรมพันธุ์]] ทาง[[ภาษา]] และทาง[[โบราณคดี]]
เป็นทฤษฎีที่บอกว่า มีการอพยพของมนุษย์ปัจจุบันจากเขตติดทะเลคือจาก[[จะงอยแอฟริกา]] (คือจากแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ หรือแหลมโซมาลี) ประมาณ 70,000 ปีก่อนเป็นกลุ่มแรก
กลุ่มนี้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ใน[[เอเชียอาคเนย์]]และ[[โอเชียเนีย]] ซึ่งอธิบาย[[โบราณสถาน]]ในเขตเหล่านี้ ที่เก่าแก่ยิ่งกว่าในเขต[[เลแวนต์]] (เขตฝั่ง[[ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน]]ทิศตะวันออก)
แต่หลักฐานของการอพยพตั้งถิ่นฐานของมนุษย์กลุ่มแรกโดยมากน่าจะถูกทำลายโดยระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นหลังจากยุคน้ำแข็ง แต่ละยุคสุดสิ้นลง เพราะเป็นการตั้งถิ่นฐานในเขตฝั่งทะเลที่ถูกน้ำท่วมหลังจากน้ำแข็งละลายแล้วทะเลสูงขึ้น<ref name="lahr"/>

ส่วนมนุษย์กลุ่มที่สองออกจากทวีปแอฟริกาข้าม[[คาบสมุทรไซนาย]]เข้าไปใน[[เอเชีย]] แล้วทำการตั้งถิ่นฐานโดยมากใน[[ทวีปยูเรเชีย]]
กลุ่มนี้อาจจะมีเทคโนโลยีเครื่องมือที่ทันสมัยกว่า<ref name="lahr"/>
จึงต้องอาศัยแหล่งอาหารทางทะเลน้อยกว่ากลุ่มแรก
แต่ว่าแบบจำลองอพยพหลายครั้งมีหลักฐานคัดค้านจากงานวิจัยในปี ค.ศ. 2005 ที่แสดงว่า กลุ่มประชากรใน[[ทวีปยูเรเชีย]] (กลุ่มสอง) และใน[[เอเชียอาคเนย์]]และ[[โอเชียเนีย]] (กลุ่มแรก) ล้วนแต่มี mtDNA เชื้อสายเดียวกัน
ซึ่งเป็นข้อมูลที่สนับสนุนว่ามีการอพยพเพียงสายเดียวออกจากแอฟริกาตะวันออกที่เป็นเหตุกำเนิดของประชากรนอกแอฟริกาทั้งหมด<ref>{{Cite doi|10.1126/science.1109792}}<!-- {{cite journal |title=Single, Rapid Coastal Settlement of Asia Revealed by Analysis of Complete Mitochondrial Genomes |year=2005 |url=http://www.sciencemag.org/cgi/content/abstract/308/5724/1034 |author=Macaulay, V. et Al. |journal=Science |volume=308 |pmid=15890885 |issue=5724 |pages=1034-6 |bibcode = 2005Sci...308.1034M |display-authors=8}}--></ref>

== ความเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาค ==
[[ไฟล์:Ape skeletons.png|300px|right|thumbnail|[[เอป]] (หรือ hominoid) ล้วนแต่มีบรรพบุรุษสายเดียวกัน จากซ้ายไปขวา [[ชะนี]] [[มนุษย์]] ลิง[[ชิมแปนซี]] ลิง[[กอริลลา]] และลิง[[อุรังอุตัง]]]]

วิวัฒนาการของมนุษย์สามารถกำหนดได้โดยความเปลี่ยนแปลงทาง[[สัณฐานวิทยา (ชีววิทยา)|สัณฐาน]] (morphological) ทางพัฒนาการ (developmental) ทางสรีรภาพ (physiological) และทาง[[พฤติกรรม]]
ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การแยกออกจากสายพันธุ์ของลิง[[ชิมแปนซี]]
การปรับตัวที่สำคัญที่สุดก็คือการเดินด้วยสองเท้า (bipedalism), การขยายขนาดของสมอง (encephalization{{Efn-ua |name=encephalization}}), ช่วงการพัฒนาและเติบโตที่นานขึ้น (ทั้งในท้องและในวัยเด็ก) และความแตกต่างระหว่างเพศ (sexual dimorphism) ที่ลดลง
แต่ความสัมพันธ์ต่อกันและกันของความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่มีข้อยุติ<ref name=Boyd2003>{{cite book |author=Boyd, Robert; Silk, Joan B. |year=2003 |title=How Humans Evolved |location=New York, New York |publisher=Norton |isbn=0-393-97854-0}}</ref>
การเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานอื่น ๆ ที่สำคัญรวมทั้งวิวัฒนาการของการจับวัตถุได้อย่างแม่นยำและมีกำลัง ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกใน ''H. erectus''<ref name=Brues1965>{{cite journal |author=Brues, Alice M.; Snow, Clyde C. |title=Physical Anthropology |journal=Biennial Review of Anthropology |year=1965 |volume=4 |pages=1-39 |url=http://books.google.com/books?id=9WemAAAAIAAJ&pg=PA1 |isbn=9780804717465}}</ref>

=== การเดินด้วยสองเท้า ===
[[ไฟล์:Bipedalism.jpg|thumb|ความเปลี่ยนแปลงที่มี[[สมมติฐาน]]ว่าจำเป็นในการจะพัฒนาจากสัตว์สี่เท้ามาเป็นสัตว์สองเท้า มุมที่[[กระดูกต้นขา]]ยึดกับ[[กระดูกเชิงกราน]]มีผลให้เดินสองเท้าได้สะดวก<ref>{{cite book |last1=Stringer |first1=Chris |last2=Andrews |first2=Peter |title=The Complete World of Human Evolution |publisher=Thames & Hudson |year=2005 |isbn=0-500-05132-1 }}</ref>]]
การเดินด้วยสองเท้า (bipedalism) เป็นการปรับตัวขั้นพื้นฐานของสัตว์[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini{{Efn-ua|name=hominini}}
และพิจารณาว่าเป็นเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างกระดูกต่าง ๆ ที่ hominin ทุก ๆ [[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]]มี<ref name=raven2002 />{{rp|23}}

[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini ที่เดินด้วยสองเท้าที่เก่าแก่ที่สุดพิจารณาว่าเป็นสกุล ''Sahelanthropus''<ref name=Brunet2002 />
หรือไม่ก็สกุล ''Orrorin''<ref name=Henke2007>{{cite book | last = Henke | first = Winfried |title = Handbook of paleoanthropology: Phylogeny of hominids | pages = 1527-9 |editor1-last = Henke | editor1-first = Winfried |editor2-last = Hardt | editor2-first = Thorolf |editor3-last = Tattersall | editor3-first = Ian |publisher = Springer | year = 2007 |isbn = 978-3-540-32474-4 |url = http://books.google.com/books?id=vhoRdbTrjc8C&pg=PA1527&dq=Orrorin }}</ref>
โดยมีสกุล ''Ardipithecus'' ซึ่งเป็นสัตว์สองเท้าที่มีหลักฐานชัดเจนกว่า ตามมาทีหลัง<ref name=BBC20091001>{{cite news | url = http://news.bbc.co.uk/2/hi/8285180.stm | work=BBC News | title=Fossil finds extend human story | date=2009-10-01 | first=Jonathan | last=Amos |accessdate=4 กันยายน 2557}} </ref>
ส่วนลิงที่เดินโดยใช้ข้อนิ้วมือคือลิง[[กอริลลา]]และลิง[[ชิมแปนซี]]แยกออกจากสายพันธุ์ในเวลาใกล้ ๆ กัน โดยอาจจะมี[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Sahelanthropus''<ref name=Brunet2002 /> เป็นบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกันกับมนุษย์

สัตว์สองเท้ายุคเริ่มต้นเหล่านี้ในที่สุดก็วิวัฒนาการเป็น[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini เผ่าย่อย '''australopithecina''' ({{lang-en|australopithecine}} ปกติรวมเอาสกุล ''Australopithecus'' และ ''Paranthropus'') และหลังจากนั้นจึงเป็นเผ่าย่อย '''hominina''' ซึ่งรวมเอามนุษย์สกุล ''โฮโม'' เท่านั้น
มี[[ทฤษฎี]]หลายทฤษฎีถึงประโยชน์ในการปรับตัวใช้สองเท้า<ref name=Encarta2006 />
เป็นไปได้ว่า การเดินด้วยสองเท้าได้รับ[[การคัดเลือกโดยธรรมชาติ]] เพราะว่า ทำให้มือเป็นอิสระในการจับสิ่งของและในการถืออาหาร, เป็นการประหยัดพลังงานในขณะเดินทาง<ref name=Srivastava2009 />,
ทำให้สามารถวิ่งได้และล่าสัตว์ได้ไกล ๆ,
ทำให้เห็นได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดความร้อนเกินโดยลดเนื้อที่ผิวที่ถูกแสงอาทิตย์
การปรับตัวทั้งหมดนี้ก็เพื่อมีสภาพที่เหมาะสมยิ่งขึ้นกับสิ่งแวดล้อมแบบทุ่งหญ้าที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่แทนที่แบบป่าที่เคยมีมาก่อน<ref name=DeSalleTattersall2008 /><ref name="Curry2008 Child of Earth" />

โดยกายวิภาค การเดินด้วยสองเท้าต้องประกอบพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างกระดูก
ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ที่ขาที่ยาวขึ้นและ[[เชิงกราน]]ที่เปลี่ยนรูปร่างไปเท่านั้น แต่กับที่อื่น ๆ เช่น[[กระดูกสันหลัง]] เท้ากับข้อเท้า และ[[กะโหลกศีรษะ]]ด้วย<ref name=Aiello&Dean>{{cite book |author=Aiello, Leslie and Christopher Dean |title=An Introduction to Human Evolutionary Anatomy|publisher=Elsevier Academic Press |location=Oxford |year=1990 |isbn=0-12-045591-9}}</ref>
คือ [[กระดูกต้นขา]]เกิดวิวัฒนาการโดยโค้งเข้ามาทางศูนย์กลางความโน้มถ่วง คือเข้ามาแนวกลางด้านตั้งของร่างกาย
หัวข้อเข่าและข้อเท้าก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
ส่วนกระดูกสันหลังก็เปลี่ยนไปเป็นรูป S เพื่อที่แต่ละข้อจะรองรับน้ำหนักมากขึ้นเมื่อยืน และกระดูกสันหลังระดับเอว (lumbar vertebrae) ก็สั้นลงและกว้างขึ้น
ส่วนที่เท้า หัวแม่โป้งก็หันไปทางเดียวกันกับนิ้วเท้าอื่น ๆ ที่สั้นลงเพื่อช่วยในการเดินไปข้างหน้า กระดูกเท้าก็เพิ่มส่วนโค้งในทางยาว
แขนทั้งส่วนต้นส่วนปลายก็สั้นลงเทียบกับขาเพื่อทำให้วิ่งสะดวกยิ่งขึ้น
ช่อง[[ฟอราเมน แมกนัม]]ซึ่งเป็นทางออกของไขสันหลังที่กะโหลกศีรษะ ก็ย้ายไปอยู่ทางด้านล่างของกะโหลกเยื้องไปทางด้านหน้า<ref name=Shiro>{{cite book |author=Kondō, Shirō |title=Primate morphophysiology, locomotor analyses, and human bipedalism |publisher=University of Tokyo Press |location=Tokyo |year=1985 |pages= |isbn=4-13-066093-4 |oclc= |doi=}}</ref> เทียบกับของ[[ลิงใหญ่]]ที่เยื้องไปทางด้านหลัง<ref name=Wood2000 />

[[ไฟล์:2920_Stages_of_Childbirth-02.jpg|thumb|right|
ภาพแสดงการหมุนตัวของทารกในเวลาคลอด (แบบที่สามัญที่สุด) ดูรายละเอียดเพิ่มในเชิงอรรถ<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
นี้เป็นคำบรรยายประกอบภาพการหมุนตัวของทารกในเวลาคลอด เบื้องต้น ทารกหันหน้าเยื้องไปทางตะโพกของแม่ด้านใดด้านหนึ่ง (แถวบนสุด) เมื่อกล้ามเนื้อ[[มดลูก]]ของแม่ดันทารกไปถึงฐาน[[เชิงกราน]] [[คาง]]ของทารกก็จะเริ่มไปชิดกันกับหน้าอก เมื่อศีรษะที่ชิดกับหน้าอกมาจรดฐานเชิงกรานแล้ว ก็จะเกิดการหมุนศีรษะ (internal rotation โดยไม่ได้หมุนตัวหรือไหล่) ให้หันหน้าไปทางด้านทวารหนักของแม่ (แถวที่ 2 ซ้าย) เมื่อศีรษะโผล่ออกจากช่องคลอดแล้ว ก็จะเกิดการหมุนศีรษะกลับไปตรงกับแนวตัวและไหล่อีก (restitution) และต่อจากนั้นก็จะมีการหมุนไหล่ให้ด้านหนึ่งอยู่บนด้านหนึ่งอยู่ล่างพร้อมทั้งศีรษะซึ่งหันหน้าไปทางต้นขาของแม่ (แถว 2 ขวา) และเมื่อหมอช่วยให้ไหล่ด้านบนออกมาได้แล้ว ก็จะช่วยให้ไหล่ด้านล่างออกมาได้ต่อไป (แถว 3 ซ้าย)<ref>{{cite web |title=Your baby's journey during the 2nd stage of the labour |url=http://www.birth.com.au/2nd-stage-of-labour/your-babys-journey-during-the-2nd-stage-of-the-labour?view=full#.VA6G5PmSwz4 |publisher=Birth |accessdate=9 กันยายน 2557}}</ref><ref>{{cite web |title=Normal Labour and Childbirth - Definition, Three Stages, The Powers, Passage and passenger |url=http://2womenshealth.com/Childbirth-Normal-Labour.htm |last1=Viniker |first1=David A (MD) |date=9 กันยายน 2557}}</ref><ref>{{cite web |title=Lesson 10: Fetal Positions and Adaptations |url=http://www.brooksidepress.org/Products/Obstetric_and_Newborn_Care_1/lesson_10_Section_1A.htm |publisher=Medical Education Division, Brookside Associates |accessdate=9 กันยายน 2557 |archiveurl= }}</ref>
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
]]
แต่ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอยู่ที่กระดูก[[เชิงกราน]]
โดยที่[[กระดูกปีกสะโพก]]ที่ก่อนหน้านี้ยื่นยาวไปด้านล่าง เกิดสั้นลงและกว้างขึ้น (ดูรูป)
ซึ่งจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพศูนย์กลาง[[ความโน้มถ่วง]]ในขณะเดิน<ref name=Srivastava2009 />
ดังนั้น hominin ที่เดินด้วยสองเท้าจึงมีกระดูกเชิงกรานที่สั้นกว่า แต่กว้าง มีรูปร่างคล้ายชาม
จุดอ่อนก็คือ [[ช่องคลอด]]ในหญิงของ hominin พวกนี้มีขนาดเล็กกว่า[[เอป]]ที่เดินใช้หลังกระดูกข้อนิ้วมือ
แม้ว่าจะมีการขยายใหญ่ขึ้นแล้วในบางสกุล เมื่อเทียบกับของ hominin สาย australopithecine และของมนุษย์ปัจจุบัน
เพื่อให้ทารกที่มีกะโหลกศีรษะใหญ่ขึ้นผ่านออกมาได้
แต่ขนาดที่ใหญ่ขึ้นจำกัดอยู่ที่ด้านบนของเชิงกรานเท่านั้น เพราะว่า ความเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้สามารถเป็นอุปสรรคแก่การเดินด้วยสองเท้าได้<ref name="Strickberger2005 Evolution">{{cite book |author=Monroe W. Strickberger |title=Evolution |url=http://books.google.com/books?id=feMItLo5gwgC&pg=PA476 |accessdate=12 July 2013 |year=2005 |publisher=Jones & Bartlett Learning |isbn=978-0-7637-3824-2 |pages=475-476}}</ref>

เชิงกรานที่สั้นลงและช่องคลอดที่เล็กลงเป็นการวิวัฒนาการเพื่อให้เดินด้วยสองเท้าได้
แต่มีผลสำคัญต่อ[[การคลอด]]ลูกในมนุษย์ปัจจุบัน
ซึ่งยากกว่าใน[[ไพรเมต]]อื่น ๆ
คือ ในขณะออกจากท้องแม่ เพราะว่าส่วนต่าง ๆ ของช่องผ่านเชิงกรานมีขนาดต่าง ๆ กัน ศีรษะของทารกจะต้องเยื้องไปทางตะโพกของแม่ด้านใดด้านหนึ่งเมื่อเริ่มเข้าไปในช่องคลอด และจะต้องหมุนไปในช่วงต่าง ๆ กันประมาณ 90 องศาก่อนที่จะออก (ดูรูป)<ref>{{cite book |author=Wenda R. Trevathan |title=Human Birth: An Evolutionary Perspective |url=http://books.google.com/books?id=Potlqpl-jxgC&pg=PA20 |accessdate=12 July 2013 |date=1 May 2011 |publisher=Transaction Publishers |isbn=978-1-4128-4819-0 |page=20}}</ref>
ช่องคลอดที่เล็กลงกลายเป็นอุปสรรคเมื่อขนาดสมองเริ่มขยายใหญ่ขึ้นในมนุษย์ยุคต้น ๆ
มีผลทำให้มีระยะการตั้งครรภ์ที่สั้นลง ซึ่งเป็นเหตุผลที่มนุษย์คลอดทารกที่ยังไม่สมบูรณ์
ผู้ไม่สามารถเดินได้ก่อนวัย 12 เดือนและมีการเจริญเติบโตที่ยืดเยื้อ (neoteny) เมื่อเทียบกับ[[ไพรเมต]]อื่น ๆ ซึ่งสามารถเดินได้ในวัยเด็กกว่า<ref name="Curry2008 Child of Earth">{{cite book |author=James R. Curry |title=Children of God: Children of Earth |url=http://books.google.com/books?id=-uxT00urDlwC&pg=PA106 |accessdate=12 July 2013 |date=2 October 2008 |publisher=AuthorHouse |isbn=978-1-4678-6390-2 |pages=106-109}}</ref>

สมองที่ต้องมีการพัฒนาในระดับที่สูงขึ้นหลังคลอด และการต้องอาศัยแม่มากขึ้นของเด็ก มีผลอย่างสำคัญต่อวงจรสืบพันธ์ของหญิง{{citation needed |date=August 2013}}
และสำหรับนักวิชาการบางท่าน ต่อการมีคู่ครองคนเดียวที่ปรากฏบ่อยครั้งในมนุษย์เมื่อเทียบกับสกุล[[วงศ์ลิงใหญ่]]อื่น ๆ<ref>{{cite book |title=The Naked Ape: A Zoologist's Study of the Human Animal |author= |last1=Morris |first1=Desmond |chapter=SEX |year=1967 |isbn=0-07-043174-4 }}</ref><ref>{{cite book |title=The Moral Animal |edition=1st edition, hardcover |last1=Wright |first1=Robert |publisher=Vintage Books |location=United States |year=1994 |chapter=Chapter 3: Men and Women |isbn=0-679-76399-6 }}</ref>
แม้ว่า จะมีนักวิชาการท่านอื่นที่มีความเห็นว่า การมีคู่ครองคนเดียวไม่เคยเป็นระบบการสืบพันธุ์หลักของ hominin<ref>Low B.S. (2003) Ecological and social complexities in human monogamy. Monogamy: Mating Strategies and Partnerships in Birds, Humans and Other Mammals:161-176.<!--from article "Monogamy"--></ref><ref>{{cite book |title=Atlas of world cultures |last1=Murdock |first1=GP |publisher=University of Pittsburgh Press |location=Pittsburgh |year=1981}}</ref><ref>{{Cite doi|10.1525/aa.1982.84.4.02a00140}}<!-- {{cite journal |author = Allen et al. | year = 1982 | title = Demography and Human Origins | journal = American Anthropologist | volume = 84 | issue = 41 |pages = 888-896 }}--></ref>
นอกจากมีระยะเวลาmujยืดเยื้อก่อนจะถึง[[วัยเริ่มเจริญพันธุ์]]แล้ว ยังมีวิวัฒนาการเกี่ยวกับวัยหมดระดอีกด้วย
โดยมี[[สมมติฐาน]]หนึ่งว่า หญิงที่สูงวัยขึ้นสามารถสืบสายพันธ์ของตนได้ดีกว่าถ้าช่วยดูแลลูกของลูกสาว ถ้าเทียบกับต้องดูแลลูกของตนที่มีเพิ่มขึ้น<ref name=Scienceews>{{cite web |title=Killer whales, grandmas and what men want: Evolutionary biologists consider menopause |url=http://www.sciencenews.org/view/generic/id/352548/description/Killer_whales_grandmas_and_what_men_want_Evolutionary_biologists_consider_menopause |publisher=Sciencenews |author=Erin Wayman |date=August 19, 2013}}</ref>

=== การขยายขนาดสมอง ===
มนุษย์[[สปีชีส์]]ต่าง ๆ มีสมองที่ใหญ่กว่า[[ไพรเมต]]ประเภทอื่น ๆ
ซึ่งในมนุษย์ปัจจุบันมีขนาดเฉลี่ย 1,330 ซม<sup>3</sup> ใหญ่กว่าของลิง[[ชิมแปนซี]]หรือลิง[[กอริลลา]]มากกว่าสองเท่า<ref name=Schoeneman2006>{{cite journal |title=Evolution of the Size and Functional Areas of the Human Brain |last=Schoenemann |first=P. Thomas |journal=Annu. Rev. Anthropol |year= 2006 |volume=35 |pages=379-406 |accessdate=20 กันยายน 2557 |doi=10.1146/annurev.anthro.35.081705.123210 |format=[[PDF]] |url=http://www.indiana.edu/~brainevo/publications/annurev.anthro.35.pdf }}</ref>
การขยายขนาดสมองเริ่มขึ้นที่มนุษย์[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Homo habilis'' ซึ่งมีขนาดสมองที่ประมาณ 610 ซม<sup>3</sup> เป็นขนาดที่ใหญ่กว่าลิงชิมแปนซีเล็กน้อย (ระหว่าง 282-500 ซม<sup>3</sup><ref name=Tobias1971>{{cite book |author=Tobias, P |title=The Brain in Hominid Evolution |publisher=Columbia University Press |location=New York |year=1971 |url=http://archive.org/details/braininhominidev38tobi }} อ้างอิงโดย Schoenemann PT. 1997. [http://mypage.iu.edu/~toms/papers/dissertation/Dissertation_title.htm An MRI study of the relationship between human neuroanatomy and behavioral ability]. PhD diss. Univ. of Calif., Berkeley</ref>)
ตามมาด้วย ''Homo erectus'' (ที่ 800-1,250 ซม<sup>3</sup><ref name=Encarta2006 /><ref name=Pinker1997 />)
ไปสุดที่ Neanderthal ที่ขนาดเฉลี่ย 1,600 ซม<sup>3</sup><ref name=infoplease>{{cite web |url=http://www.infoplease.com/encyclopedia/society/neanderthal-man.html | title=Neanderthal man | publisher =Infoplease |year=2012 |encyclopedia=The Columbia Electronic Encyclopedia |edition=6th}}</ref>
ซึ่งใหญ่กว่าของมนุษย์ปัจจุบันเสียอีก

นอกจากนั้นแล้ว รูปแบบการพัฒนาของสมองหลังคลอด ก็ยังแตกต่างจาก[[เอป]]ประเภทอื่น ๆ อีกด้วย
ทำให้มนุษย์สามารถศึกษาเรียนรู้ทางด้านสังคมและภาษาเป็นระยะเวลานานในวัยเด็ก
อย่างไรก็ดี ความแตกต่างโดยโครงสร้างสมองของมนุษย์เทียบกับ[[เอป]] อาจจะมีความสำคัญยิ่งกว่าความแตกต่างโดยขนาด<ref name=Potts2012>{{cite journal | author = Potts, Richard | year = 2012 | title = Evolution and Environmental Change in Early Human Prehistory | journal = Annu. Rev. Anthropol | volume = 41 | issue = | pages = 151-67 | doi=10.1146/annurev-anthro-092611-145754}}</ref><ref name=Bruner2007>{{cite journal |author=Bruner, Emiliano |title=Cranial shape and size variation in human evolution: structural and functional perspectives |journal=Child's Nervous System |year=2007 |volume=23 |issue=12 |pages=1357-1365 |pmid=17680251 |url=http://www.emilianobruner.it/pdf/Bruner2007_CNS.pdf |format=[[PDF]] |doi=10.1007/s00381-007-0434-2}}</ref><ref name=Leonard2007>Leonard, William R.; J. Josh Snodgrass, and Marcia L. Robertson. (2007). "Effects of Brain Evolution on Human Nutrition and Metabolism". ''Annu. Rev. Nutr''. 27:311-27</ref><ref name=Park2007>{{cite journal |author=Park, Min S.; Nguyen, Andrew D.; Aryan, Henry E.; U, Hoi Sang; Levy, Michael L.; Semendeferi, Katerina |title=Evolution of the human brain: changing brain size and the fossil record |journal=Neurosurgery |year=2007 |volume=60 |issue=3 |pages=555-562 |pmid=17327801 |doi= 10.1227/01.NEU.0000249284.54137.32}}</ref>

ขนาดที่ขยายใหญ่ในแต่ละเขตของสมองไม่เท่ากัน
คือ [[สมองกลีบขมับ]] ซึ่งมีศูนย์ประมวลผลทางภาษา ได้ขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าเขตอื่น ๆ
และก็เป็นจริงด้วยสำหรับ [[prefrontal cortex]] (คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า) ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวกับการตัดสินใจที่ซับซ้อนและการควบคุม[[พฤติกรรม]]ในสังคม<ref name=Schoeneman2006 /> (ดู [[executive functions]])
การขยายขนาดของสมองเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับการมีเนื้อสัตว์เพิ่มเป็นอาหาร<ref>{{cite news |url=http://berkeley.edu/news/media/releases/99legacy/6-14-1999a.html |title=Meat-eating was essential for human evolution, says UC Berkeley anthropologist specializing in diet |publisher=University of California, Berkeley |date=1999-06-14 |accessdate=2014-09-04 |last=McBroom |first=Patricia }}</ref><ref>{{cite web |url=http://www.thefreelibrary.com/Meat+in+the+human+diet:+an+anthropological+perspective-a0169311689 |title=Meat in the human diet: an anthropological perspective. - Free Online Library |work=Thefreelibrary.com |date=2007-09-01 |accessdate=2012-01-31}}</ref>
หรือกับการหุงอาหาร<ref>{{Cite doi |10.1073/pnas.1107806108}} {{PDFlink |[http://www.pnas.org/content/108/35/14555.full.pdf Full PDF] |586&nbsp;KB}}<!--{{cite web | title = Phylogenetic rate shifts in feeding time during the evolution of Homo |author = Organ et Al. | date = 22 August 2011 }}--></ref>
และมีการเสนอว่า มนุษย์มีเชาวน์ปัญญาที่สูงขึ้นเป็นการตอบสนองต่อความจำเป็นในการแก้ปัญหาทาง[[สังคม]] (เป็นทฤษฎีที่เรียกว่า Social brain hypothesis) เมื่อสังคมมนุษย์มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น<ref>{{Cite journal |author=Dunbar, R.I.M. |date=June 1992 |title=Neocortex size on group size in primates |journal=Journal of Human Evolution |volume=22 |pages=469-493 |doi=10.1016/0047-2484(92)90081-J }}</ref><ref>{{cite journal |last1=Dunbar |first1=R.I.M. |title=Coevolution of neocortical size, group size and language inhumans |journal=Behavioral and Brain Sciences |volume=16 |issue=4 |pages=681-735 |year=1993 }} </ref>

=== ความแตกต่างระหว่างเพศ ===
ระดับความแตกต่างระหว่างเพศ (sexual dimorphism) ที่ลดลงในมนุษย์ จะเห็นได้ในเพศชายโดยหลัก คือขนาดที่เล็กลงของฟันเขึ้ยว (canine tooth) เทียบกับ[[เอป]]ประเภทอื่น ๆ (ยกเว้น[[ชะนี]])<ref name=Willoughby2005>{{cite journal |last1=Willoughby |first1=Pamela R. |title=Palaeoanthropology and the Evolutionary Place of Humans in Nature |journal=International Journal of Comparative Psychology |volume=18 |issue=1 |pages= |year=2005 |pmid= |doi= |url=http://escholarship.org/uc/item/92w669xb |archiveurl= |archivedate= |accessdate=}}</ref>
ขนาดที่เล็กลงของสันคิ้ว<ref name=Encarta2006 /> และความแข็งแรงโดยทั่วไปที่ลดลง

ความแตกต่างที่สำคัญทางกายภาพอีกอย่างหนึ่งทางเพศของมนุษย์ก็คือ การมีช่วงตกไข่ที่ซ่อนเร้น (concealed ovulation)<ref>{{cite journal | author=Sandy J. Andelman | title = Evolution of Concealed Ovulation in Vervet Monkeys (Cercopithecus aethiops) | journal = The American Naturalist | volume = 129 |pages = 785-799 |date=June 1987 | doi = 10.1086/284675 | issue=6}}</ref> ในเพศหญิง
คือมนุษย์เป็น[[เอป]]ประเภทเดียวที่เพศหญิงตั้งครรภ์ได้ตลอดทั้งปี โดยไม่มีสัญญาณพิเศษที่แสดงออกทางร่างกาย (เช่นความบวมขึ้นของอวัยวะเพศเมื่ออยู่ในช่วงตกไข่) แม้ว่าจะมีงานวิจัยเร็ว ๆ นี้ที่แสดงว่า หญิงมักจะมักมีความคิดและอารมณ์ทางเพศเพศเพิ่มขึ้นก่อนที่จะตกไข่<ref>{{cite journal | author=Geoffrey Miller |title=Ovulatory cycle effects on Tip earnings by lap dancers: economic evidence for human estrus? | journal=Evolution and Human Behaviour |date=April 2007 | issue=28 |pages=375-381 |url=http://www.unm.edu/%7Egfmiller/cycle_effects_on_tips.pdf |format=[[PDF]]}}</ref>

อย่างไรก็ดี มนุษย์ก็ยังมีความแตกต่างระหว่างเพศในระดับหนึ่ง เช่นรูปแบบการแพร่กระจายของขนและไขมันใต้ผิว และขนาดทั่วไปของร่างกาย โดยที่ชายมีขนาดใหญ่กว่าหญิงประมาณ 15% (ข้อมูลของ[[สหรัฐอเมริกา]])<ref>{{cite journal |author=Ogden et al |title=Mean Body Weight, Height, and Body Mass Index, United States 1960-2002 |journal=Advance Data from Vital and Health Statistics |issue=347 |date=October 27, 2004 |url=http://www.cdc.gov/nchs/data/ad/ad347.pdf |format=[[PDF]] }}</ref>
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้โดยองค์รวมถือกันว่าเป็นผลจากการเพิ่มความสำคัญของการมีชีวิตคู่ (pair bonding) เป็นการแก้ปัญหาที่พ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกเป็นระยะเวลายาวนานยิ่งขึ้น{{citation needed |date=27 กย 2557}}

=== การปรับตัวทางกายภาพอื่น ๆ ===
[[ไฟล์:Gray907.png |thumb |หูชั้นนอกและหูชั้นกลางด้านขวา [[styloid process]] ของ[[กระดูกขมับ]] อยู่ตรงกลางด้านล่าง]]
มีความเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะของวิวัฒนาการในมนุษย์ รวมทั้ง
* โครงสร้างของมือ ข้อมือ และนิ้วที่ทำให้จับสิ่งของได้อย่างมีกำลังยิ่งขึ้น อย่างละเอียดละออยิ่งขึ้น<ref name=Ward2013 /> อย่างมีอิสระมากขึ้น ซึ่งมีการอ้างว่า เป็นการปรับตัวเพื่อทำและใช้เครื่องมือ<ref name=Wood2000 />
* โครงสร้างของแขนที่ไม่ได้ใช้รับน้ำหนักจึงมีกระดูกที่ตรงกว่า สั้นกว่า มีกล้ามเนื้อที่มีพลังน้อยกว่า แต่สามารถเคลื่อนที่ไปอย่างมีอิสระกว่าและได้ในระดับความเร็วต่าง ๆ กันมากกว่า<ref name=Wood2000 />
* การเพิ่มความสำคัญมากขึ้นของการเห็นเทียบกับการได้กลิ่น
* มีทางเดินอาหารที่สั้นกว่าและเล็กกว่า<ref name=Wood2000 />
* ร่างกายมีขนน้อยลง และผมมีการงอกที่ช้าลง<ref name=Bradley2008 />
* การเปลี่ยนรูปของแนวฟันจากรูปตัว U เป็นรูปพาราโบลา (แนวโค้ง)<ref name=Encarta2006 />
* การยื่นออกของคาง (prognathism) ที่มีน้อยลง<ref name=Wood2000 />
* รูปร่างของกะโหลกศีรษะอย่างอื่น ๆ ที่เปลี่ยนไปเช่นกะโหลกมีลักษณะที่กลมขึ้น และมีโครงจมูกที่เล็กลง<ref name=Bradley2008 />
* การเกิดขึ้นของ [[styloid process]] ของ[[กระดูกขมับ]] (เป็นกระดูกรูปร่างแหลมยื่นออกมาจากกะโหลกศีรษะใต้หูเพียงเล็กน้อย)
* การเกิดขึ้นของ[[กล่องเสียง]]ที่เคลื่อนตำแหน่งลงเมื่อโตขึ้น คือในเด็กวัยต้น อยู่ที่ระดับ C1-C3 ของ[[กระดูกสันหลัง]] และจะเคลื่อนลงจากตำแหน่งนั้นเมื่อเจริญเติบโตขึ้น<ref>{{Cite book |last1 = Laitman | first1 = J.T. |last2 = Noden | first2 = D.M. |last3 = Van De Water | first3 = T.R. |chapter = Formation of the larynx: from homeobox |editor1-last = Rubin | editor1-first = J.S. |editor2-last = Sataloff | editor2-first = R.T. |editor3-last = Korovin | editor3-first = G.S. |title = Diagnosis & Treatment Voice Disorders genes to critical periods | pages = 3-20 |year = 2006 | publisher = Plural | location = San Diego |isbn = 9781597560078}}</ref><ref>{{Cite book |last1 = Laitman | first1 = J.T. |last2 = Reidenberg | first2 = J.S. |chapter = The evolution of the human larynx: Nature's great experiment | pages = 19-38 |editor1-last = Fried | editor1-first = M.P. |editor2-last = Ferlito | editor2-first = A. |title = The Larynx | edition = 3rd |year = 2009 | publisher = Plural | location = San Diego |isbn = 1597560626 | ref = harv}}</ref>
* การเจริญเติบโตของส่วนต่าง ๆ ในร่างกายที่เร็วช้าและมีลำดับที่ไม่เหมือนกัน และระยะเวลาที่นานกว่าที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่<ref name=Wood2000 />

=== ความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม ===
แม้ว่า จะมีความแตกต่างทาง[[พฤติกรรม]]ที่สำคัญหลายอย่างระหว่าง[[เอป]]กับมนุษย์ เช่นความสามารถในการใช้ภาษา แต่นักวิชาการทั้งหลายก็ยังไม่มีข้อยุติว่า จะสามารถใช้อะไรเป็นเครื่องแสดงความแตกต่างทางพฤติกรรมเหล่านี้ในบรรดาหลักฐานทาง[[ซากดึกดำบรรพ์]]ที่สามารถเห็นได้<ref name=Wood2000 /><ref name=StringerCommentary2013 />

== วิวัฒนาการก่อน ''โฮโม'' ==
=== วิวัฒนาการของไพรเมต ===
[[ไฟล์:Teilhardina belgica.jpg|thumb|''Teilhardina belgica'']]

ประวัติวิวัฒนาการของ[[ไพรเมต]]โดย[[ซากดึกดำบรรพ์]]ย้อนเวลาไปประมาณ 55.8 ล้านปีก่อนในช่วงที่มีอากาศร้อน<ref name=OLeary2013 />
[[สปีชีส์]]ของ[[ไพรเมต]]ที่เก่าที่สุด (ที่รู้จัก)
ก็คือสัตว์คล้าย[[มาโมเสท]][[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Teilhardina'' ที่อยู่ใน[[ทวีปยุโรป]] [[อเมริกาเหนือ]] และ[[เอเชีย]] ระหว่าง 47-56 ล้านปีก่อน ในต้นสมัย Eocene (ซึ่งอยู่ในกลาง[[ยุคพาลีโอจีน]])<ref name=Beard2008>{{cite journal | author = Beard, K.C. | year = 2008 | title = The oldest North American primate and mammalian biogeography during the Paleocene-Eocene Thermal Maximum | journal = Proceedings of the National Academy of Sciences | volume = 105 | issue = 10 pages = 3815 | url = http://www.carnegiemnh.org/vp/media/beard.pnas.2008.pdf |format=[[PDF]] | doi = 10.1073/pnas.0710180105 | pmid = 18316721 | pmc = 2268774}}</ref><ref name=Smith2006>{{cite journal | author = Smith, T. | coauthors = Rose, K.D.; Gingerich, P.D. | year = 2006 | title = Rapid Asia-Europe-North America geographic dispersal of earliest Eocene primate ''Teilhardina'' during the Paleocene-Eocene Thermal Maximum | journal = Proceedings of the National Academy of Sciences | volume = 103 | issue = 30 | pages = 11223 | doi = 10.1073/pnas.0511296103 | pmid = 16847264 | pmc = 1544069}}</ref>
แต่ว่า หลักฐานโดยใช้ molecular clock (นาฬิกาอาศัยโครงสร้างโมเลกุล) ในปี ค.ศ. 2009 บอกเป็นนัยว่า ไพรเมตอาจเป็นสัตว์ที่เก่าแก่ยิ่งกว่านั้น คือเริ่มขึ้นในกลาง[[ยุคครีเทเชียส]]ประมาณ 85 ล้านปีก่อน<ref name=ChatterjeeEtal2009>{{Cite doi|10.1186/1471-2148-9-259}} {{PDFlink |[http://www.biomedcentral.com/content/pdf/1471-2148-9-259.pdf Full PDF] |538&nbsp;KB}}<!-- {{Cite journal |year=2009 |author=Helen J et Al. |title=Estimating the phylogeny and divergence times of primates using a supermatrix approach |journal=BMC Evolutionary Biology |volume= 9 |pmid=19860891 | pages=259 | pmc=2774700}}--></ref>
ทันสมัยช่วงที่พวก[[ไดโนเสาร์]]ซึ่งไปยุติที่ท้ายยุคครีเทเชียสที่ 66 ล้านปีก่อน<ref>{{cite book |title=Dinosaurs: The Most Complete, Up-to-Date Encyclopedia for Dinosaur Lovers of All Ages |section=Winter 2011 Appendix |url=http://www.geol.umd.edu/Rtholtz/dinoappendix/HoltzappendixWinter2011.pdf |last1=Holtz |first1=Thomas R. Jr. |year=2011 }}</ref>
และหลักฐานทาง[[อณูชีววิทยา]]อื่นในปี ค.ศ. 2007 แสดงว่า เป็นสัตว์ใกล้ชิดที่สุดกับกับสัตว์[[อันดับบ่าง]]<ref>{{Cite doi|10.1126/science.1147555}}<!-- {{cite journal I author = Jan E. Janecka et Al. I year = 2007 1 title = Molecular and Genomic Data Identify the Closest Living Relative of Primates I journal = Science I volume = 318 1 issue = 5851 1 pages = 792-794 I pmid = 17975064 1 bibcode=2007Sci...318..792J}}--></ref>

[[ไฟล์:Notharctus tenebrosus AMNH.jpg |thumb |ตัวอย่าง[[ไพรเมต]]สกุล ''Notharctus'' อยู่ใน[[ทวีปยุโรป]]และ[[ทวีปอเมริกาเหนือ]] 50 ล้านปีก่อน สัตว์อันดับย่อย Adapiformes ทั้งหมด รวมทั้ง ''Notharctus'' ด้วย ได้[[สูญพันธุ์]]ไปหมดแล้ว]]
แม้ว่า จะยังไม่มีหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์ที่เก่ากว่า 55.8 ล้านปี หลักฐานทางดีเอ็นเอบอกว่า มีการแยกสายพันธุ์ของไพรเมตก่อนหน้านั้นคือ<ref name=Tishkoff2011>{{Cite AV media |title=Bones, Stones and Genes: The Origin of Modern Humans |series=Lecture 2 - Genetics of Human Origins and Adaptation |year=2011 |last=Tishkoff |first=Sarah A. |publisher=Howard Hughes Medical Institute (2011 Holiday Lecture Series) |format=[[MP4]] |location=rtmp://media.hhmi.org/vod//mp4:11Lect2_2000_jw.mp4 }}</ref>
* บรรพบุรุษของ[[ลีเมอร์]]แห่ง[[เกาะมาดากัสการ์]] ที่ 63 ล้านปี
* บรรพบุรุษของ[[ทาร์เซียร์]]แห่งเกาะใน[[เอเชียอาคเนย์]] ที่ 58 ล้านปี
* บรรพบุรุษของลิงโลกใหม่ (สาย Platyrrhini) ที่ 44 ล้านปี
เดวิด บีกัน<ref name=Begun2010 />
ได้สรุปว่า ไพรเมตในยุคต้น ๆ เกิดการขยายพันธุ์ไปทั่ว[[ทวีปยูเรเชีย]]
และสายพันธุ์ที่สืบไปถึง[[เอป]]แอฟริการวมทั้งมนุษย์
ได้อพยพไปทางใต้จาก[[ยุโรป]]และ[[เอเชียตะวันตก]]เข้าไปยัง[[ทวีปแอฟริกา]]
ไพรเมตในเขตร้อนที่มีชีวิตรอดมาได้จนถึงปลายสมัย Eocene ซึ่งเห็นได้มากที่สุดในซากดึกดำบรรพ์ในชั้นหิน[[ยุคพาลีโอจีน]]ปลายสมัย Eocene และต้นสมัย Oligocene ที่แอ่งใกล้เมือง Faiyum ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จาก[[กรุงไคโร]] [[ประเทศอียิปต์]]
เป็นต้นตระกูลไพรเมตของสปีชีส์เขตร้อนที่ยังมีเหลือในปัจจุบันทั้งหมด เช่น
* [[ลีเมอร์]]ของ[[เกาะมาดากัสการ์]]
* [[ลอริส]]ของ[[เอเชียอาคเนย์]]
* สัตว์[[วงศ์ (ชีววิทยา)|วงศ์]] Galagidae ({{lang-en|galago, bush babies}}) ของแอฟริกา
* ลิงใน infraorder "Simiiformes" รวมทั้งลิงใน parvorder "Platyrrhini" หรือลิงโลกใหม่ (New World monkey), และ parvorder "Catarrhini" หรือ[[วงศ์ลิงโลกเก่า]] (Old World monkey คือวงศ์ Cercopithecidae) บวกวงศ์ของ[[เอป]] ซึ่งรวมมนุษย์ด้วย

=== สมัย Oligocene ===
ในบรรดาซากดึกดำบรรพ์ที่พบใกล้เมือง Faiyum มีการค้นพบ
* สกุล ''Parapithecus'' เป็นไพรเมตที่เกิดขึ้นก่อนการแยกสายพันธุ์ของ "Platyrrhini" และ "Catarrhini" เป็นไพรเมตที่เป็นญาติกับบรรพบุรุษของ[[เอป]] (รวมทั้งมนุษย์) มีชีวิตในช่วงต้นสมัย ogliocene ปลายสมัย Eocene<ref>{{cite book |title=The Primate Fossil Record |edition = Reprinted |editor-last=Hartwig |editor-first= Walter |publisher=Cambridge University Press |pages=133-149 |quote = ''Basal anthropoids'' (K. Christopher Beard) |year=2004 |isbn=978-0-521-08141-2 |url = http://books.google.com/?id=EzmlOAs6isC&printsec=frontcover&dq=hartwig+primate&cd=1#v=onepage&q&f=false }}</ref>
* สกุล ''Aegyptopithecus'' เป็น Catarrhini ยุคต้น ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนการแยกสายพันธุ์ของ[[ลิงโลกเก่า]]และ[[เอป]] (รวมทั้งมนุษย์) มีชีวิตระหว่าง 33-35 ล้านปีก่อน<ref>{{Cite pmid|9712474}}<!--{{cite journal |author=Ankel-Simons et Al. Ititle=Femoral Anatomy of ''Aegyptopithecus zeuxis'', An Early Oligocene Anthropoid Ijournal=American Journal of Physical Anthropology Ivolume=106 (issue=4 (pages=413-424 (year=1998 Idoi=10.1002/(SICI)1096-8644 (199808)106:4<413::AID-AJPAI>3.0.CO;2-K}}--></ref> เชื่อว่าเป็นสัตว์บรรพบุรุษหรือว่าเป็นญาติใกล้ชิดกับบรรพบุรุษมนุษย์<ref name=Nova2008 /><ref name=Encarta2006 />
* [[เอป]]สกุล ''Propliopithecus'' มีชีวิตอยู่กลางสมัย Oligocene อยู่ใน[[วงศ์ (ชีววิทยา)|วงศ์]] Pliopithecidae ซึ่งเป็นวงศ์ของเอปที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในซากดึกดำบรรพ์ อาจเป็นสกุลเดียวกับ หรือสืบสายมาจากสกุล ''Aegyptopithecus'' มีฟันกรามที่คล้ายกับ homoinini สกุล ''Australopithecus'' ซึ่งทำให้แตกต่างจาก ''Aegyptopithecus''<ref>{{cite book |title=Le singe, l'Afrique et l'Homme |trans_title=Ape, Africa and Man |last1=Coppens |first1=Yves |editor1-last=Jacob |editor2-first=O |publisher=Fayard |location=Paris |year=1983}}</ref><ref>{{cite book |title=The age of mammals |last1=Kurten |first1=Bjorn |publisher=Columbia University Press |location=New York |year=1971 }}</ref> เชื่อว่าเป็นสัตว์บรรพบุรุษหรือว่าเป็นญาติใกล้ชิดกับบรรพบุรุษมนุษย์<ref name=Encarta2006 />
ในปี ค.ศ. 2010 มีการค้นพบ Catarrhini สกุล ''Saadanius'' ใน[[ซาอุดีอาระเบีย]] มีอายุประมาณ 28-29 ล้านปีก่อน (สมัย Oligocene กลาง) ที่ผู้ค้นพบเสนอว่าเป็นญาติกับบรรพบุรุษร่วมกันสุดท้ายของ[[ลิงโลกเก่า]]และ[[เอป]] (รวมทั้งมนุษย์)<ref name=Zalmout2010>{{Cite doi|10.1038/nature09094}}<!-- {{cite journal |author=Zalmout et al. |year=2010 |title=New Oligocene primate from Saudi Arabia and the divergence of apes and Old World Monkeys |journal=Nature |volume=466 |issue=7304 |pages=360-364 |pmid=20631798 |bibcode = 2010Natur.466..360Z }}--> </ref>
แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่า สปีชีส์ไหนเป็นต้นตระกูลของ[[เอป]] แต่หลักฐานทางดีเอ็นเอแสดงว่า มีการแยกสายพันธุ์ของ[[ลิงโลกเก่า]]และ[[เอป]]ออกที่ 28 ล้านปีช่วงระยะปลายสมัย Oligocene กับต้นสมัย Miocene<ref name=Tishkoff2011 />

=== สมัย Miocene ===
ในสมัย Miocene ตอนต้น ประมาณ 22 ล้านปีก่อน การมีลิง Catarrhini รุ่นต้น ๆ มากมายหลายประเภทที่ได้ปรับตัวอยู่บนต้นไม้ใน[[แอฟริกาตะวันออก]]
บอกเป็นนัยว่า มีประวัติยาวนานก่อนหน้านั้นของการเกิดความหลากหลายของสปีชีส์ต่าง ๆ ในสาย Catarrhini
ซากดึกดำบรรพ์จากสมัย Miocene ตอนกลาง (12-16 ล้านปีก่อน) มีส่วนของลิงสกุล ''Victoriapithecus''
ซึ่งเป็น[[ลิงโลกเก่า]]ที่เก่าแก่ที่สุด (ไม่ใช่สายมนุษย์)<ref>{{cite book | last= Fleagle | first = John G. | date = 25 September 1998 | title = Primate Anatomy and Evolution | publisher = Academic Press | edition = second | pages = 491-495 | isbn = 978-0-12-260341-9}}</ref>
ส่วน[[เอป]]ไร้หาง (ที่เป็นสายมนุษย์) เก่าแก่ที่สุดที่พบเป็นของสกุล ''Proconsul''<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
นักวิทยาศาสตร์บางท่านไม่คิดว่าควรจัดเป็นลิงจำพวก[[เอป]] แต่ควรจะจัดไว้ในอีกหน่วย[[อนุกรมวิธาน]]ที่เป็นพี่น้องกัน<ref>{{Cite journal |last1 = Andrews | first1 = Peter |last2 = Martin | first2 = Lawrence |title = Cladistic relationships of extant and fossil hominoids |journal = Journal of Human Evolution I volume = 16 | issue = 1 |pages=101-118 | doi = 10.1016/0047-2484(87)90062-5 }} </ref>
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
มีอายุประมาณ 16-25 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงท้ายสมัย Oligocene ต้นสมัย Miocene อยู่ในแอฟริกาตะวันออก เป็นสัตว์ที่ลักษณะหลายอย่างคล้ายกับเอปปัจจุบันเช่นไม่มีหาง<ref name=Willoughby2005 />
ส่วนสกุลอื่น ๆ ที่เชื่อกันว่าอยู่ในสายพันธุ์ของ[[เอป]] (รวมทั้งมนุษย์) ที่พบจนกระทั่งถึง 13 ล้านปีก่อน (สมัย Miocene กลาง) รวมสกุล ''Rangwapithecus'', ''Dendropithecus'', ''Limnopithecus'', ''Nacholapithecus'' (15 ล้านปี<ref name=Begun2010>{{cite journal |last1=Begun |first1=David R |title=Miocene Hominids and the Origins of the African Apes and Humans |journal=Annual Review of Anthropology |volume=39 |pages=67-84 |url = http://anthro.vancouver.wsu.edu/media/Course_files/anth-490-edward-h-hagen/begun-2010-miocene-hominids-and-the-origins-of-the-african-apes-and-humans.pdf |format=[[PDF]] |year=2010 |accessdate=9 กันยายน 2557}} </ref><!--*****ต่อ***** -->),
''Equatorius'' (10-16 ล้านปี), ''Nyanzapithecus'', ''Afropithecus'' (17.5 ล้านปี<ref name=Begun2010 />), ''Heliopithecus'' (16 ล้านปี) และ ''Kenyapithecus'' (13.5 ล้านปี) โดยมากมาจาก[[แอฟริกาตะวันออก]]<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
''Heliopithecus'' เป็นสกุลเดียวที่พบใน[[ประเทศซาอุดีอาระเบีย]]<ref name=Henke2007 />
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
[[ไฟล์:Proconsul skeleton reconstitution (University of Zurich).JPG |thumb |โครงกระดูกจำลองของ[[เอป]]ไร้หางสกุล ''Proconsul'' ที่เก่าแก่ที่สุด มีชีวิตอยู่เมื่อ 23-25 ล้านปีก่อนในสมัย Miocene พบใน[[แอฟริกาตะวันออก]]]]

เริ่มตั้งแต่สมัย Miocene กลางคือประมาณ 16-17 ล้านปี ก็เริ่มพบ[[เอป]]เป็นพวกแรก ๆ นอกแอฟริกา เพราะว่าในช่วงเวลานี้ เกิดทางเชื่อมกันระหว่าง[[แอฟริกา]]กับ[[ยูเรเชีย]] และ[[เอป]]ได้อพยพออกนอกแอฟริกาผ่านป่าฝนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นป่าเดียวกัน ในขณะที่มีสัตว์จากยูเรเชียก็ได้อพยพเข้าไปในแอฟริกาด้วย<ref name=Willoughby2005 />
หลักฐานทาง[[อณูชีววิทยา]]แสดงว่า สายพันธุ์ของ[[ชะนี]] ([[วงศ์ (ชีววิทยา)|วงศ์]] Hylobatidae) แยกสายพันธุ์ออกจากสาย[[วงศ์ลิงใหญ่]] ในช่วง 15-20 ล้านปีก่อน<ref name="Dawkins2004" />
แม้ว่าจะยังไม่ปรากฏ[[ซากดึกดำบรรพ์]]ที่แสดงหลักฐานทางบรรพบุรุษของพวกชะนี
ซึ่งอาจมีกำเนิดจากกลุ่ม[[เอป]]ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักใน[[เอเชียอาคเนย์]]


การมีสัตว์[[วงศ์ลิงใหญ่]] (บางสกุลจัดเข้าวงศ์ย่อย Homininae ด้วย) ที่อาจเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ หรือเป็นญาติของบรรพบุรุษมนุษย์ ในกลางสมัย Miocene ในที่ไกล ๆ กัน
เช่นสกุล ''Otavipithecus''{{Efn-ua|หลักฐานที่ "Conroy et al., 1992"<ref name=Mikko-hominoidea2005 /> จัดเข้ากับ[[เอป]] ไม่ได้จัดเข้า[[วงศ์ลิงใหญ่]]}}
จากถ้ำใน[[ประเทศนามิเบีย]] ที่[[แอฟริกาใต้]], และ ''Pierolapithecus'' (มีชีวิตในสมัย Miocene)<ref>{{Cite web | title = 'Original' great ape discovered | first = Paul | last = Rincon | url = http://news.bbc.co.uk/1/hi/sci/tech/4014351.stm | publisher = BBC | date = 18 November 2004 | accessdate = 23 January 2013}}</ref>
กับ ''Dryopithecus'' (9-12 ล้านปี)<ref name=Nova2008 />
จาก[[ประเทศฝรั่งเศส]] [[สเปน]] และ[[ออสเตรีย]] ใน[[ยุโรป]]
เป็นหลักฐานของความหลายหลากของวงศ์ลิงใหญ่ใน[[แอฟริกา]]และ[[บริเวณเมดิเตอร์เรเนียน]]
ในสมัยที่มีอากาศค่อนข้างอุ่นและสม่ำเสมอในช่วงสมัย Miocene ตอนต้นและตอนกลาง
[[ลิงใหญ่]]ที่เกิดใหม่สุด (ที่พบซากดึกดำบรรพ์) ในสมัย Miocene ก็คือสกุล ''Oreopithecus'' ซึ่งมาจากชั้นถ่านหินใน[[ประเทศอิตาลี]]มีอายุประมาณ 7-9 ล้านปีก่อน<ref>{{cite book |last1 = Agusti | first1 = Jordi |last2 = Anton | first2 = Mauricio |title = Mammoths, Sabertooths, and Hominids: 65 Million Years of Mammalian Evolution in Europe| publisher = Columbia University Press | location = New York | year = 2002 |isbn = 0-231-11640-3 }} </ref>
จากบรรดาสปีชีส์ของ[[วงศ์ลิงใหญ่]]เหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีข้อมูลพอที่จะกำหนดได้ว่า พวกไหนเป็นสปีชีส์บรรพบุรุษของลิงใหญ่และมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน<ref name=Encarta2006 /> แม้ว่าเดวิด บีกัน จะเสนอว่าน่าจะเป็นสกุล ''Griphopithecus'' (14-16.5 ล้านปี) จาก[[เยอรมันนี]]และ[[ตุรกี]]<ref name=Begun2010 />

=== การแยกสายพันธุ์ของวงศ์ลิงใหญ่ (Miocene กลาง) ===
โดยหลักฐานทาง[[อณูชีววิทยา]] ลิง[[อุรังอุตัง]] (สกุล ''Pongo'') แยกออกจากสายพันธุ์ Homininae ประมาณ 14 ล้านปีก่อน (สมัย Miocene กลาง)<ref name="Dawkins2004" />
และสัตว์[[วงศ์ (ชีววิทยา)|วงศ์]]ย่อย Homininae ที่ยังไม่สูญพันธุ์คือลิง[[โบโนโบ]] ลิง[[ชิมแปนซี]] (ทั้งสองในสกุล ''Pan'') และลิง[[กอริลลา]] (สกุล ''Gorilla'') เป็นสัตว์ที่ใกล้กับมนุษย์ที่สุด<ref name=Wood2000 />
โดยที่[[จีโนม]]ของมนุษย์และลิงชิมแปนซีมีความคล้ายคลึงกันที่ระดับประมาณ 95-99%<ref name=Wood2000 /><ref name=Varki2007 /><ref name=Sayers2012 />
ซึ่งเป็นความคล้ายคลึงกันที่แสดงถึงความมีสายพันธุ์เป็นพี่น้องกัน (sister taxon)
ส่วนลิง[[กอริลลา]] (สกุล ''Gorilla'') แยกออกจากสายพันธุ์มนุษย์ที่ประมาณ 6-10 ล้านปีก่อน<ref name=Bradley2008 />
ตามมาด้วยลิง[[ชิมแปนซี]]และลิง[[โบโนโบ]] (สกุล ''Pan'') ในช่วงเวลาประมาณ 4-8 ล้านปีก่อนซึ่งอยู่ในช่วงปลายสมัย Miocene (ซึ่งเป็นส่วนปลายของ[[ยุคนีโอจีน]])<ref name=Bradley2008 />

โดยหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ บรรพบุรุษของลิงอุรังอุตัง (proto-orangutan) สามารถใช้สกุล ''Sivapithecus'' (7-12.5 ล้านปี) จาก[[ประเทศอินเดีย]]เป็นตัวแทนได้<ref name=Begun2010 /><ref name="Srivastava2009">{{cite book |author=Srivastava |title=Morphology Of The Primates And Human Evolution |year=2009 |page=87 |url=http://books.google.com/books?id=kCerOsM8XMwC&pg=PA87 |accessdate=6 November 2011 publisher=PHI Learning Pvt. Ltd. |isbn=978-81-203-3656-8 }}</ref>
ส่วนสปีชีส์ที่ใกล้กับบรรพบุรุษร่วมกันสุดท้ายของลิง[[กอริลลา]] ลิง[[ชิมแปนซี]] และมนุษย์ สามารถใช้สกุล ''Nakalipithecus'' (9.8-9.9 ล้านปี) พบใน[[ประเทศเคนยา]]<ref name=Kunimatsu2007>{{Cite doi|10.1073/pnas.0706190104}} {{PDFlink |[http://www.pnas.org/content/104/49/19220.full.pdf Full PDF] |483&nbsp;KB}}<!-- Kunimatsu et al (2007) A new Late Miocene great ape from Kenya and its implications for the origins of African great apes and humans Ipmid=18024593 Ipmc=2148271}}--></ref><ref name=Reuters2007>{{cite news |title=Experts find jawbone of pre-human great ape in Kenya |last1=Nguyen |first1=Katie |url=http://africa.reuters.com/world/news/usnT48931.html |publisher=Reuters |date=13 November 2007 |accessdate=15 November 2007 }}</ref>
และ ''Ouranopithecus'' (7.4-9.6 ล้านปี) พบใน[[ประเทศกรีซ]]<ref>{{Cite doi|10.1038/345712a0}}<!-- de Bonis et Al (1990) New hominid skull material from the late Miocene of Macedonia in Northern Greece | pmid=2193230 -> </ref>
เป็นตัวแทนได้

ส่วนซากดึกดำบรรพ์ของบรรพบุรุษลิงกอริลลาและบรรพบุรุษลิงชิมแปนซีนั้นมีจำกัด
ทั้งการสงวนสภาพที่ไม่ดี (เพราะดินของป่าดิบชื้นที่เป็นที่อยู่ของลิงมักจะมีสภาพเป็นกรดซึ่งทำลายกระดูก) และความเอนเอียงในการคัดตัวอย่าง (sampling bias) เพื่อจะเลือกหาซากที่เป็นของมนุษย์ อาจก่อให้เกิดปัญหานี้
ส่วน Homininae ประเภทอื่น ๆ (รวมทั้งสายพันธุ์มนุษย์) น่าจะเกิดการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่แห้งกว่านอกเขต[[เส้นศูนย์สูตร|ศูนย์สูตร]]
พร้อม ๆ กับ[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม]]อื่น ๆ เช่น[[แอนทิโลป]] [[ไฮยีน่า]] [[สุนัข]] [[หมู]] [[ช้าง]] และ[[ม้า]]
เมื่อถึงประมาณ 8 ล้านปีก่อน เพราะเขตศูนย์สูตรได้เกิดการหดตัวลง

มีหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์น้อยเกี่ยวกับการแยกสายพันธุ์ของ[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini{{Efn-ua|name=hominini}} จากลิงกอริลลาและลิงชิมแปนซี
แต่ว่า '''การเดินด้วยสองเท้า''' (bipedalism) ซึ่งเป็นการปรับตัวพื้นฐานที่สุดของสัตว์[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] '''Hominini''{{Efn-ua|name=hominini}}
ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของมนุษย์ที่ลิงชิมแปนซีได้แยกออกไปแล้ว
ก็เริ่มปรากฏในสัตว์สองเท้าแรกสุดสปีชีส์ ''Sahelanthropus tchadensis''<ref name=Brunet2002 /> มีอายุ {{Ma |7}} (ปลายสมัย Miocene)<ref name=Encarta2006 />
หรือ ''Orrorin tugenensis''<ref name=Henke2007 /> มีอายุ {{Ma |6.2}}<ref name=Encarta2006 />
โดยมีสกุล ''Ardipithecus'' ซึ่งเป็นสัตว์สองเท้าที่มีหลักฐานชัดเจนกว่า<ref name=BBC20091001 /> มีอายุ {{Ma |5.8}}<ref name=Encarta2006 /> ตามมาทีหลัง<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
นักวิทยาศาสตร์ผู้นำทีมที่พบซากของ "Ardi" (ทิม ไวท์) กล่าวว่า hominin สามสปีชีส์นี้คือ ''Sahelanthropus tchadensis'', ''Orrorin tugenensis'' และ ''Ardipithecus kadabba'' (5.8 ล้านปี) เป็นสัตว์สองเท้า มีสังคมที่แตกต่างจาก[[เอป]]ทั้งมีชีวิตอยู่และสูญพันธุ์ไปแล้วซึ่งรู้ได้จากขนาดของฟันที่เล็กกว่าที่ไม่ได้ใช้เพื่อเป็นอาวุธ เป็นสัตว์ที่ไม่เหมือน[[เอป]]ปัจจุบัน และมีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงเหมือนกับสกุล ''Australopithecus'' ที่ตามมาเท่านั้น ส่วนหลักฐานที่พบพร้อมกับ "Ardi" (อาร์ดี้) ซึ่งจัดอยู่ใน[[สปีชีส์]] ''Ardipithecus ramidus'' (4.4 ล้านปี) แสดงว่า อาร์ดี้เป็นสัตว์สองเท้า กินทั้งพืชและสัตว์ มีฟันเขี้ยวเล็ก มีความแตกต่างของเพศที่ลดลงเทียบกับเอป ต่างจากลิง[[ชิมแปนซี]]และ ''Australopithecus'' เกินกว่าที่คาดไว้ และเป็นสัตว์อยู่ในป่าโปร่งไม่ใช่ทุ่งหญ้า ให้สังเกตว่า ในระหว่าง ''A. kadabba'' และ ''A. ramidus'' มีช่องว่างในระหว่างที่ยังไม่พบซากดึกดำบรรพ์ของ hominin ถึงประมาณ 1.2-1.4 ล้านปี นอกจากนั้นแล้ว สามสปีชีส์นั้นก็ยังมีตัวอย่างที่น้อยมาก จนกระทั่งว่า ไม่สามารถกล่าวอะไรหลาย ๆ อย่างได้อย่างชัดเจน<ref name=White2010 />
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
[[สปีชีส์]]เหล่านี้ล้วนแต่มีการอ้างว่า เป็นบรรพบุรุษเดินด้วยสองเท้าของ hominin ที่เกิดต่อ ๆ มา แต่ว่าทุกกรณีก็มีนักวิชาการบางพวกที่ยังไม่เห็นด้วย<ref name=Stanford2012>{{cite journal |quote=Is Ardipithecus a hominin—that question will likely dominate the paleoanthropological debate over this fossil taxon for years to come. |doi=10.1146/annurev-anthro-092611-145724 |title=Chimpanzees of ''Ardipithecus ramidus''* |year=2012 |last1=Stanford |first1=Craig B. |journal=Anthropology |volume=41 |pages=139}} </ref><ref name=klages2008 /><ref name=Pickford2001> {{cite web | ref = hary |last = Pickford | first = Martin |title = Martin Pickford answers a few questions about this month's fast breaking paper in field of Geosciences | publisher = Essential Science Indicators |date=December 2001 | url = http://www.esi-topics.com/fbp/comments/december-01-Martin-Pickford.html }} </ref>
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า สปีชีส์หนึ่งหรือหลายสปีชีส์เหล่านี้เป็นสัตว์บรรพบุรุษของสายพันธุ์ลิงใหญ่แอฟริกา (คือลิง[[ชิมแปนซี]]<ref name=Brunet2002 /> หรือลิง[[กอริลลา]])
หรืออาจจะเป็นบรรพบุรุษที่ hominin มีร่วมกับ[[ลิงใหญ่]]แอฟริกา
หรืออาจจะมี ''Sahelanthropus'' เป็นบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกันระหว่างชิมแปนซีและมนุษย์<ref name=Brunet2002 />
ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้กับ[[เผ่า (ชีววิทยา)|เผ่า]] hominini ยังไม่มีข้อยุติ

=== hominin ก่อน ''Homo'' ===
[[ไฟล์:Cladistic analysis of early hominins.png|thumb|ผังวิเคราะห์แสดงความคล้ายคลึงกันของ hominin แบบหนึ่ง<ref>{{cite journal |last1=Skelton |first1=RR |last2=McHenry |first2=HM |title=Evolutionary relationships among early hominids |journal=Journal of Human Evolution |volume=23 |pages=309-349 |year=1992 }} </ref> ซึ่งแสดงความใกล้เคียงกันของสปีชีส์ต่าง ๆ ]]
จาก[[สปีชีส์]]ในยุคต้น ๆ ที่กล่าวเป็นต้นแล้วนั้น hominin สกุล ''Australopithecus'' (เผ่าย่อย Australopithecina) ก็เกิด[[วิวัฒนาการ]]ใน[[แอฟริกาตะวันออก]]ประมาณ 3.9 ล้านปีก่อน ต้น[[สมัยไพลโอซีน]]<ref name=Encarta2006 /> ก่อนที่จะแพร่พันธุ์ไปทั่วทวีป และมีซากดึกดำบรรพ์ที่พบครั้งสุดท้ายเมื่อ 1.7 ล้านปีก่อน<ref name=Johansson2006 />{{rp|158}}
ในระยะเวลาช่วงนั้น กลุ่มสปีชีส์ที่เรียกว่า gracile australopithecine เป็นกลุ่มที่เกิดก่อน มีหลายสปีชีส์รวมทั้ง ''A. anamensis'' (3.9 ล้านปี), ''A. afarensis'' (3.9 ล้านปี), ''A. africanus'' (3.03 ล้านปี), และ ''A. sediba'' (1.98 ล้านปี)
แต่ว่า นักวิชาการไม่มีมติร่วมกันว่า กลุ่มสปีชีส์ที่เรียกว่า robust australopithecine ที่เกิดต่อ ๆ มา รวมทั้ง ''A. aethiopicus'' (2.7 ล้านปี), ''A. boisei'' (2.3 ล้านปี), และ ''A. robustus'' (2 ล้านปี) ควรจะจัดเป็นสมาชิกของสกุล ''Australopithecus'' หรือไม่
ถ้าเป็น ทั้งสามสปีชีส์ก็จะมีทวินามดังที่กล่าวแล้ว
แต่ว่า ถ้าควรจะอยู่ในอีกสกุลหนึ่ง ก็จะมีสกุลเป็นของตนเอง คือสกุล ''Paranthropus''
รวมทั้งหมดแล้ว เผ่าย่อย Australopithecina มี
* สกุล ''Australopithecus'' (1.7-3.9 ล้านปี กลุ่ม gracile australopithecine) รวมสปีชีส์ ''A. anamensis'', ''A. afarensis'', ''A. africanus'', ''A. bahrelghazali'', ''A. garhi'' และ ''A. sediba''
* สกุล ''Kenyanthropus'' (3.2-3.5 ล้านปี) รวมสปีชีส์ ''Kenyanthropus platyops'' (บางที่รวมเข้ากับ ''Australopithecus'')
* สกุล ''Paranthropus'' (1.2-2.7 ล้านปี กลุ่ม robust australopithecine) รวมสปีชีส์ ''P. aethiopicus'', ''P. boisei'' และ ''P. robustus''

สปีชีส์ที่มีหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์มากที่สุดก็คือ ''Australopithecus afarensis''
คือมีการพบซากเกินกว่า 100 ซาก
พบในที่ต่าง ๆ รวมทั้ง[[ประเทศเอธิโอเปีย]]เหนือ (รวมทั้งซากของลูซี่) [[ประเทศเคนยา]] และ[[ประเทศแอฟริกาใต้]]
ส่วนซากของ robust australopithecine เช่นสปีชีส์ ''Paranthropus robustus'' และ ''Paranthropus boisei'' โดยเฉพาะ
มีอยู่มากในที่ต่าง ๆ ใน[[แอฟริกาใต้]]รวมทั้งเขตสงวน Kromdraai และเขตมรดกแห่งชาติ Swartkrans ใน[[ประเทศแอฟริกาใต้]], และรอบ ๆ ทะเลสาบ Turkana ใน[[ประเทศเคนยา]]

ในบรรดาสกุลเหล่านี้ อาจจะมีสปีชีส์หนึ่งจากสกุล ''Australopithecus'' (gracile australopithecine)
(อาจจะเป็น ''A. garhi''<ref name=Asfaw1999>{{cite journal |last1=Asfaw |first1=B |last2=White |first2=T |last3=Lovejoy |first3=O |last4=Latimer |first4=B |last5=Simpson |first5=S |last6=Suwa |first6=G |title=''Australopithecus garhi'': a new species of early hominid from Ethiopia |journal=Science |volume=284 |issue=5414 |pages=629-635 |year=1999 |pmid = 10213683 |doi = 10.1126/science.284.5414.629}} </ref>
หรือ ''A. sediba''<ref name=Pickering2011>{{cite journal |author=Pickering, R., Dirks, P. H., Jinnah, Z., DeRuiter, D. J., Churchill, S. E., Herries, A. I., et Al. |title=''Australopithecus sediba'' at 1.977 Ma and implications for the origins of the genus Homo |journal=Science |volume=333 |issue=6048 |pages=1421-1423 |year=2011 }} </ref><ref name=Berger2010>{{Cite journal |last=Berger |first=L. R. |last2=de Ruiter |first2=D. J. |last3=Churchill Ifirst3=S. E. |last4=Schmid |first4=P. |last5=Carlson |first5=K. J. |last6=Dirks |first6=P. He G. M. |last7=Kibii |first7=J. M. |year=2010 |title=''Australopithecus sediba'': a new species of ''Homo''-like australopith from South Africa |journal=Science |volume=328 |issue=5975 |pages=195-204 |doi=10.1126/science.1184944 |pmid=20378811 }}</ref>
หรือ ''A. afarensis''<ref name=Cartmill2009>{{cite book |title=The Human Lineage | author=Cartmill, Matt | coauthors=Fred H. Smith, Kaye B. Brown | year=2009 | publisher= Wiley-Blackwell | isbn=978-0-471-21491-5 | page=[http://books.google.com/books?id=5TRHOmTUTP4C&lpg=PP1&pg=PA151#v=onepage&q&f=false 151] }}</ref><ref name=raven2002 />
หรือสปีชีส์อื่นที่ยังไม่พบ)
ที่กลายมาเป็นต้นตระกูลของสกุล ''โฮโม''

== วิวัฒนาการของสกุล ''โฮโม'' ==
สมาชิกเก่าแก่ที่สุดของสกุล ''Homo'' คือ ''H. habilis'' ซึ่งเกิดวิวัฒนาการที่ {{Ma |2.3}}<ref name=White2010 /><ref name=NYT-2007-08-09 /><ref name=Pinker1997 />
เป็น[[สปีชีส์]]แรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่าใช้[[เครื่องมือหิน]]<ref name=raven2002 />{{Efn-ua |name=OldestStoneTool}}
ที่สร้างโดยมีระดับความซับซ้อนที่เรียกว่าเทคโนโลยีหิน Oldowan
เป็นชื่อตามสถานที่คือโกรกธาร Olduvai gorge ที่พบตัวอย่างเครื่องมือหินเป็นครั้งแรก
นักวิทยาศาสตร์บางพวกพิจารณา ''Homo rudolfensis'' ที่ค้นพบต่อมา ซึ่งมีร่างกายใหญ่กว่า แต่มี[[สัณฐานวิทยา (ชีววิทยา)|สัณฐาน]]เหมือนกับซากของ ''H. habilis'' ว่าเป็น[[สปีชีส์]]ต่างหาก แต่บางพวกก็พิจารณาว่า เป็นพวกเดียวกับ ''H. habilis''
คือ มีลักษณะที่แตกต่างกันบ้างภายในสปีชีส์เดียวกัน หรืออาจจะเป็นความแตกต่างระหว่างเพศเลยด้วยซ้ำ (คือเป็นของเพศชาย)<ref name=raven2002 />

วิวัฒนาการทางกายภาพที่ชัดเจนที่สุดของมนุษย์[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Homo'' ที่แตกต่างจากสายพันธุ์ Australopithecina ก็คือ ขนาดกะโหลกศีรษะที่ใหญ่ขึ้น คือจากประมาณ 450 ซม<sup>3</sup> ใน ''Australopithecus garhi''<ref name=Asfaw1999 /> มาเป็น 610 ซม<sup>3</sup> ใน ''H. habilis''<ref name=australianmuseum2013 /><ref name=tolweb2006 />
ในช่วงล้านปีต่อมา กระบวนการขยายขนาดสมองก็ดำเนินต่อไป
คือ ภายในสกุล ''Homo'' เอง ขนาดกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก ''H. habilis'' ผ่าน ''H. erectus/ergaster'' ไปยัง ''H. heidelbergensis'' ที่ 1100-1400 ซม<sup>3</sup> เมื่อ 600,000 ปีก่อน<ref name=Ryan2010 /> ซึ่งมีขนาดที่คาบเกี่ยวกันกับของมนุษย์ปัจจุบัน

หลักฐาน[[ซากดึกดำบรรพ์]]ของมนุษย์ต่อมาคือสปีชีส์ ''H. erectus'' ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ {{Ma|1.9}}<ref name=Swisher2002/>
เป็นมนุษย์[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Homo'' พวกแรกที่อพยพออกไปตั้งถิ่นฐานทั่ว[[ทวีปแอฟริกา]] [[ทวีปเอเชีย]] และ[[ทวีปยุโรป]] ในช่วงระหว่าง {{Ma|1.2|1.8}}<ref name=Garicia2009 /><ref name=Hopkin2008 /><ref name=Finlayson2005 />
กลุ่มหนึ่งของ ''H. erectus'' ที่ดำรงอยู่ในทวีปแอฟริกา (หรือเรียกว่า African ''H. erectus'') ซึ่งบางครั้งจัดเป็นสปีชีส์ต่างหากคือ ''H. ergaster'' (ซึ่งได้รับการเสนอว่า เป็นบรรพบุรุษของ ''H. sapiens'')<ref name=Hazarika2007>{{cite news |last=Hazarika |first=Manji |title= ''Homo erectus/ergaster'' and Out of Africa: Recent Developments in Paleoanthropology and Prehistoric Archaeology |date=16-30 June 2007}}</ref><ref name=Rightmire1998>{{cite journal |author=G. Philip Rightmire |title=Human Evolution in the Middle Pleistocene: The Role of ''Homo heidelbergensis'' |year=1998 |journal=Evolutionary Anthropology}}</ref>
เชื่อกันว่านี้เป็นสปีชีส์แรก ๆ ที่สามารถควบคุมไฟ<ref name=discover2013 /><ref name=Luke2012 /><ref name=James1989 /> และใช้เครื่องมือที่ซับซ้อน

[[ซากดึกดำบรรพ์]]ช่วงเปลี่ยนสภาพ (transitional fossil{{Efn-ua|name=intermediate}}) ที่เก่าที่สุดระหว่าง ''H. ergaster/erectus'' และมนุษย์ที่เกิดต่อ ๆ มา คือกลุ่ม Archaic ''Homo sapiens'' มาจากทวีปแอฟริกา
แต่ซากที่เก่าแก่ที่สุดนอกแอฟริกามีการค้นพบที่โบราณสถาน Dmanisi [[ประเทศจอร์เจีย]] เขต[[คอเคซัส]]
(''H. erectus georgicus''<ref name=Tattersall2009>{{Cite doi |10.1146/annurev.earth.031208.100202}} <!-- Tattersall, Ian & Jeffrey Schwartz. 2009. Evolution of the Genus Homo. --></ref><ref name=Gibbons2003>{{cite journal |url=ftp://ftp.soest.hawaii.edu/engels/Stanley/Textbook_update/Science_300/Gibbons-03b.pdf |title=A Shrunken Head for African ''Homo erectus'' |doi=10.1126/science.300.5621.893a |year=2003 |last=Gibbons |first=A. |journal=Science |volume=300 |issue=5621 |pages=893a }}</ref><ref>{{cite pmid |16271745}} <!-- Rightmire GP et al. (2006). "Anatomical descriptions, comparative studies and evolutionary significance of the hominin skulls from Dmanisi, Republic of Georgia."--></ref><ref>{{cite pmid |10807567}} <!-- Gabunia et al. (2000) "Earliest Pleistocene hominid cranial remains from Dmanisi, Republic of Georgia: taxonomy, geological setting, and age" --></ref>)
มีอายุประมาณ 1.8 ล้านปี<ref>{{Cite doi |10.1038/nature06134}}<!-- Lordkipanidze et al. (2007) Postcranial evidence from early Homo from Dmanisi, Georgia --></ref><ref>{{cite news |first=John Noble |last=Wilford |date=19 September 2007 |title=New Fossils Offer Glimpse of Human Ancestors |url=http://www.nytimes.com/2007/09/19/science/19cnd-fossil.html |work=The New York Times |accessdate=9 September 2009}}</ref>

ต่อมาเริ่มตั้งแต่ประมาณ 1.2 ล้านปีก่อน สปีชีส์ลูกหลานมนุษย์ ''H. ergaster/erectus'' ที่เรียกว่า Archaic ''Homo sapiens'' จึงปรากฏว่าได้ตั้งถิ่นฐานแล้วทั้งในทวีปแอฟริกาและทั่ว[[ทวีปยูเรเชีย]]<ref name=Dawkins2005 />
คือ[[วิวัฒนาการ]]เป็นมนุษย์[[สปีชีส์]] (อายุในวงเล็บแสดงซากเก่าแก่ที่สุดที่พบ)
* ''H. antecessor'' (1.2 ล้านปี พบใน[[ยุโรป]]<ref>{{Cite doi|10.1038/news.2008.691}}<!-- Michael Hopkin (March 26, 2008). "Fossil find is oldest European yet". Nature News.--></ref>),
* ''H. heidelbergensis'' (600,000 ปี พบใน[[แอฟริกา]]<ref name=raven2002 /><!--*****ต่อ***** --> ยุโรป จีน<ref name=Ryan2010 />),
* ''H. rhodesiensis'' (500,000-600,000 ปี<ref name=Ryan2010>{{cite web |title=Human Evolutionary Genetics II |url=http://www.tcd.ie/academicunits/schools/medicine/molecular-medicine/awr_heg/2010_HEG_2.pdf |format=[[PDF]] |last1=Ryan |first1=Anthony |year=2010 |accessdate=4 กันยายน 2557}}</ref><ref name=White2010 /><ref name=Stringer2003 /><!--*****ต่อ***** --> ปี พบใน[[แอฟริกา]]) และ
* ''H. neanderthalensis'' (200,000-300,000 ปี<ref>{{cite web |url=http://humanorigins.si.edu/evidence/human-fossils/species/homo-heidelbergensis |publisher=Smithsonian National Museum of Natural History |title=Homo heidelbergensis: Evolutionary Tree |accessdate=17 March 2013}}</ref><ref>{{cite web |first=Chris |last=Stringer |title=The Ancient Human Occupation of Britain |url=http://www.nhm.ac.uk/resources-rx/files/43feat_ancenct_human_occup_britain-3012.pdf |format=[[PDF]] |publisher=Natural History Museum, London |accessdate=17 March 2013}}</ref><ref name=Stringer2011>{{cite book |first=Chris |last=Stringer |title=The Origin of our Species |pages=26-29, 2021 |publisher=Penguin |year=2011 |isbn=978-0-141-03720-2}}</ref><ref name=Johansson2006>{{cite book |page=38 |title=From Lucy to Language |first=Donald |last=Johansson |first2=Blake |last2=Edgar |publisher=Simon & Schuster |year=2006 |isbn=978-0-7432-8064-8}}</ref><!--*****ต่อ***** --> พบใน[[ยุโรป]]และ[[เอเชียตะวันตก]]<ref name=Willoughby2005 />)

ส่วน[[ซากดึกดำบรรพ์]]ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ที่มีกายวิภาคเหมือนมนุษย์ปัจจุบันมากจากกลาง[[ยุคหินเก่า]] ประมาณ 200,000 ปีก่อน
เช่นจากกลุ่ม[[ซากดึกดำบรรพ์]] Omo remains จาก[[ประเทศเอธิโอเปีย]] โดยเก่าที่สุดมีอายุ 195,000 ปี<ref name=McDougall2005a>{{cite journal |date=February 17, 2005 |journal=Scientific American |url=http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=fossil-reanalysis-pushes |title=Fossil Reanalysis Pushes Back Origin of Homo sapiens }} </ref><ref name=McDougall2005b>{{cite journal |last=McDougall |first=Ian |last2=Brown |first2=Francis |last3=Fleagle |first3=John G. |title=Stratigraphic placement and age of modern humans from Kibish, Ethiopia |journal=Nature |date=17 February 2005 |volume=433 |issue=7027 |pages=733-736 |doi=10.1038/natureO3258 |pmid=15716951 |bibcode = 2005Natur.433..733M }}</ref>
่ส่วนซากอื่น ๆ รวมทั้งสปีชีส์ย่อย ''Homo sapiens idaltu'' มาจากหมู่บ้าน Herto ในโบราณสถาน Herto Formation ใน[[ประเทศเอธิโอเปีย]] โดยมีอายุเกือบ 160,000 ปี<ref name=White2003>{{Cite journal |last=White |first=Tim D. |last2=Asfaw |first2=B. |last3=DeGusta |first3=D. |last4=Gilbert |first4=H. |last5=Richards |first5=G. D. |last6=Suwa |first6=G. |last7=Howell |first7=F. C. |year=2003 |title=Pleistocene ''Homo sapiens'' from Middle Awash, Ethiopia |journal=Nature |volume=423 |issue=6491 |pages=742-747 |doi=10.1038/nature01669 |pmid=12802332 |bibcode = 2003Natur.423..742W}}</ref>
และมาจากถ้ำ Skhul ใน[[ประเทศอิสราเอล]]ที่มีอายุประมาณ 90,000-100,000 ปี<ref name=Smith2010>{{Cite doi |10.1073/pnas.1010906107}} {{PDFlink |[http://www.pnas.org/content/107/49/20923.full.pdf Full PDF] |526&nbsp;KB}}<!-- {{cite journal |author=Smith TM et al. |title=Dental evidence for ontogenetic differences between modern humans and Neanderthals |journal=PNAS |volume=107 |issue=49 |pages=20923-8 |date=December 2010 |pmid=21078988 |pmc=3000267 }}--></ref>
ซึ่งเป็นซากของมนุษย์ปัจจุบันที่เก่าแก่ที่สุดนอกแอฟริกา<ref name=Anthropology2012 />

ตาม[[ทฤษฎี]]กำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา การอพยพเป็นต้นเหตุของประชากรในโลกปัจจุบันเริ่มขึ้นที่ประมาณ 70,000 ปีก่อน
แล้วมนุษย์ปัจจุบันก็ขยายถิ่นฐานไปทั่วโลก แทนที่ hominin รุ่นก่อน ๆ ถ้าไม่โดยการแข่งขันกัน ก็โดยการผสมพันธุ์กัน
และได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานใน[[ทวีปยูเรเชีย]]และในเขต[[โอเชียเนีย]]ก่อน 40,000 ปีก่อน และใน[[ทวีปอเมริกา]]ทั้งเหนือใต้ก่อน 14,500 ปีก่อน<ref>{{cite journal | author = Wood B | year = 1996 | title = Human evolution | journal = BioEssays | volume = 18 | issue = 12 | pages = 945-954 | doi = 10.1002/bies.950181204 | pmid = 8976151 |url=http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/8976151 |accessdate=9 กันยายน 2557}}</ref> (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่[[#การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์|การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์]])

{{multiple image
|direction = horizontal
|align = none
|header = ความเห็นสองอย่างเกี่ยวกับการอพยพไปตั้งถิ่นฐานตามกาลเวลาและภูมิภาคของกลุ่มมนุษย์ โดยที่ความเห็นอื่น ๆ มีความต่างกันโดย[[การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์|การจำแนกชั้น]]ของมนุษย์เป็น[[สปีชีส์]]ต่าง ๆ และภูมิภาคที่สปีชีส์เหล่านั้น เข้าไปตั้งถิ่นฐาน

|image1 = Homo-Stammbaum, Version Stringer.jpg
|width1 = 475
|caption1 = ตาม Stringer 2012<ref name=Stringer2012>{{Cite doi|10.1038/485033a}}<!--Chris Stringers' hypothesis of the family tree of genus Homo, Stringer, C. (2012). "What makes a modern human". Nature 485 (7396): 33-35.--></ref>

|image2 = Humanevolutionchart.png
|width2 = 325
|caption2 = ตาม Reed & al. 2004<ref name=Reed2004>[http://biology.plosjournals.org/perlserv/?request=slideshow&type=figure&doi=10.1371/journal.pbio.0020340&id=15540 Figure 1. Phylogeny of Primate Lice from Morphological and Molecular Data], in {{cite journal |title=Genetic Analysis of Lice Supports Direct Contact between Modern and Archaic Humans |author=Reed DL, Smith VS, Hammond SL, Rogers AR, Clayton DH |journal=PLoS Biol |volume=2 |issue=11 |page=e340 |year=2004 |pmid=15502871 |pmc=521174 |doi=10.1371/journal.pbio.0020340 |archiveurl=http://www.webcitation.org/5uQpahHlX |archivedate=2010-11-22 |deadurl=no}}</ref>
}}

''H. sapiens'' เป็นสปีชีส์เดียวที่ยังเหลือในสกุล ''โฮโม''
แม้ว่า สปีชีส์อื่น ๆ ของ ''โฮโม'' ที่สูญพันธุ์แล้วอาจจะเป็นบรรพบุรุษของ ''H. sapiens'' แต่หลายสปีชีส์ก็น่าจะเป็น "ลูกพี่ลูกน้อง" ของเรามากกว่า เพราะได้แตกสาขาไปจากบรรพบุรุษของเรา<ref>{{cite journal |author=Strait DS, Grine FE, Moniz MA |title=A reappraisal of early hominid phylogeny |journal=J. Hum. Evol. |volume=32 |issue=1 |pages=17-82 |year=1997 |pmid=9034954 |doi=10.1006/jhev.1996.0097}}</ref><ref name="bryson2004">{{cite book |author=Bill Bryson |title=A Short History of Nearly Everything |url=http://books.google.com/books?id=RKHLD9qNs64 C |chapter=28. The Mysterious Biped |year=2004 |publisher=Random House, Inc. |isbn=978-0-385-66004-4 |pages=522-543}}</ref>
ยังไม่มีมติที่เห็นพ้องกันว่า กลุ่มไหนควรจะเป็นสปีชีส์ต่างหาก กลุ่มไหนควรจะนับในสปีชีส์ย่อย (subspecies)
ความไม่ลงเอยกันในบางกรณีเป็นเพราะความขาดแคลนหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์ และในกรณีอื่น เป็นเพราะวิธีการจัดสปีชีส์<ref name=bryson2004/>
ทฤษฎีปัมพ์สะฮารา (Sahara pump theory) ซึ่งแสดงว่า[[ทะเลทรายสะฮารา]]บางครั้งมีแหล่งน้ำเพียงพอที่จะข้ามได้ เสนอคำอธิบายที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับความต่าง ๆ กันของสปีชีส์ในสกุล ''โฮโม''<ref>{{cite journal | author = van Zinderen-Bakker, E. M. | title = A Late-Glacial and Post-Glacial Climatic Correlation between East Africa and Europe | journal = Nature | volume = 194 | pages = 201-203 |date=1962-04-14 |doi = 10.1038/194201a0 | issue = 4824 |bibcode = 1962Natur.194..201V }}</ref> แม้จะไม่กล่าวถึงรายละเอียดในบทความนี้

อาศัยหลักฐานทาง[[โบราณคดี]]และทาง[[บรรพชีวินวิทยา]] จึงสามารถอนุมานโดยส่วนหนึ่งถึง[[โภชนาการ]]ของ ''โฮโม'' สปีชีส์ต่าง ๆ
และศึกษาบทบาทของอาหารต่อวิวัฒนาการทั้งทางกายภาพและพฤติกรรมของสกุล ''โฮโม''<ref name="isbn978-0-19-518346-7">{{cite book |author=Walker, Alan |chapter=Early Hominin Diets: Overview and Historical Perspectives |editor=Peter Ungar |title=Evolution of the Human Diet: The Known, the Unknown, and the Unknowable |publisher=Oxford University Press |location=US |year=2006 |isbn=978-0-19-518346-7 |pages=3-10 |url=http://books.google.com/?id=6mxZ1hNBHgkC&pg=PA357&lpg=PA357&dq=%22The+Calcaneus+of+Australopithecus+afarensis+and+its+implications+for+the+Evolution+of+Bipedality%22&q=%22The%20Calcaneus%20of%20Australopithecus%20afarensis%20and%20its%20implications%20for%20the%20Evolution%20of%20Bipedality%22}} (scroll up to view chapter 1 & part of chapter 2, which is a serendipitous result from another search. Subsequent attempts get a targeted search result gave returns without chapter 1).</ref><ref name="isbn978-0-89789-736-5">{{cite book |author=Peter Ungar & Mark F. Teaford |title=Human Diet: Its Origin and Evolution |publisher=Bergin & Garvey |location=Westport, CT |year=2002 |isbn=978-0-89789-736-5 |page=206}}</ref><ref name="isbn978-0-89789-516-3-Bogin">{{cite book |last=Bogin |first=Barry |editor=Romanucci-Ross, Lola; Moerman, Daniel E.; & Tancredi, Laurence R. |title=The Anthropology of Medicine: From Culture to Method |edition=3 |year=1997 |publisher=Bergen and Garvey |location=South Hadley MA |isbn=978-0-89789-516-3 |pages=96-142 |chapter=The evolution of human nutrition |chapterurl=http://web.archive.org/web/20031203003838/http://citd.scar.utoronto.ca/ANTAO1/Projects/Bogin.html}}</ref><ref>{{cite journal |author=Barnicot NA |title=Human nutrition: evolutionary perspectives |journal=Integr Physiol Behav Sci |volume=40 |issue=2 |pages=114-17 |date=April-June 2005 |pmid=17393680 |doi=10.1007/BF02734246}}</ref><ref>{{cite journal |author=Leonard WR, Snodgrass JJ, Robertson ML |title=Effects of brain evolution on human nutrition and metabolism |journal=Annu Rev Nutr. |volume=27 |pages=311-27 |year=2007 |doi=10.1146/annurev.nutr.27.061406.093659 |pmid=17439362}}</ref>

ตาม[[ทฤษฎี]]มหันตภัยภูเขาไฟ[[ทะเลสาบโตบา]] (Toba catastrophe theory) ที่นัก[[มานุษยวิทยา]]และนัก[[โบราณคดี]]บางส่วนเห็นด้วย
ซูเปอร์ภูเขาไฟของ[[ทะเลสาบโตบา]]บน[[เกาะสุมาตรา]]ใน[[ประเทศอินโดนีเซีย]]เกิดการระเบิดเมื่อ 70,000 ปีก่อนมีผลไปทั่วโลก<ref>{{cite web |title=The new batch - 150,000 years ago |url=http://www.bbc.co.uk/sn/prehistoric_life/human/human_evolution/new_batch1.shtml |archiveurl=http://web.archive.org/web/20100731063920/http://www.bbc.co.uk/sn/prehistoric_life/human/human_evolution/new_batch1.shtml |archivedate=2010-07-31 |publisher=BBC - Science & Nature - The evolution of man. }}</ref>
ทำให้มนุษย์โดยมากในช่วงนั้นเสียชีวิตและสร้างจุดติดขัดในการขยายประชากร (population bottleneck) ที่มีผลต่อสายพันธุ์ที่สืบกันมาจนถึงทุกวันนี้<ref>{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/2975862.stm |title=When humans faced extinction |publisher=BBC |date=2003-06-09 |accessdate=2007-01-05 |archiveurl=http://www.webcitation.org/5uQpdbri7 |archivedate=2010-11-22 |deadurl=no}}</ref>

=== ''H. habilis'' และ ''H. gautengensis'' ===
[[ไฟล์:Homo habilis-2.JPG |right |thumb |220px |รูปจำลองของ ''Homo habilis'' มนุษย์สกุล''โฮโม''ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเกิดขึ้นประมาณ {{Ma|2.3}}<ref name=NYT-2007-08-09/><ref name=Pinker1997 /><ref name=White2010 />]]
'''''H. habilis''''' มีชีวิตอยู่ในช่วง 1.4-2.3 ล้านปีก่อน<ref name=NYT-2007-08-09 /><ref name=Pinker1997 /><ref name=White2010 />
คือเกิด[[วิวัฒนาการ]]ใน[[แอฟริกาใต้]]และ[[แอฟริกาตะวันออก|ตะวันออก]]ใน[[สมัยไพลโอซีน]]ช่วงปลาย หรือสมัยไพลสโตซีน ช่วงต้น คือประมาณ 2-2.5 ล้านปีก่อน และได้แยกออกจาก homonini สายพันธุ์ australopithecine
''H. habilis'' มีฟันกรามที่เล็กกว่า และมีสมองที่ใหญ่กว่า australopithecine (เฉลี่ย 610ซม<sup>3</sup>)<ref name=australianmuseum2013 /><ref name=tolweb2006 />
และใช้เครื่องมือทำจากหิน<ref name=raven2002 /><ref name=Sagan1977 />และอาจจะกระดูกสัตว์<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
มีการพบท่อนกระดูกที่ขัดให้แหลมที่หินชั้น Member I อายุระหว่าง 0.5-1.8 ล้านปี ในมรดกสถานแห่งชาติ Swartkrans ประเทศแอฟริกาใต้
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->ด้วย
เป็น hominin ที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จัก
และมีชื่อเล่นว่า "handy man (ช่างซ่อม)" ตั้งโดยผู้ค้นพบคือนัก[[บรรพชีวินวิทยา]]ชาวอังกฤษ[[หลุยส์ ลีกคี]] เนื่องจากพบซากพร้อมกับ[[เครื่องมือหิน]]<ref name=Leaky1965>{{cite journal |last1=Leakey |first1=L.S.B. |last2=Tobias |first2=P.V. |last3=Napier |first3=J.R |title=A New Species of Genus Homo from Olduvai Gorge |journal=Current Anthropology |volume=6 |issue=4 |date=Oct 1965 |year=1965 |url=http://www.clas.ufl.edu/users/krigbaum/proseminar/leakey_etal_nature_1964.pdf |format=[[PDF]] }} </ref>

แต่ว่า มีนักวิทยาศาสตร์บางพวกที่เสนอการย้ายสปีชีส์นี้ออกจากสกุล ''Homo'' เข้าไปในสกุล ''Australopithecus'' เนื่องจาก[[สัณฐานวิทยา (ชีววิทยา)|สัณฐาน]]ของโครงกระดูกที่ปรับตัวเข้ากับการอยู่บนต้นไม้ มากกว่าที่จะเดินบนสองเท้าเหมือนกับ ''Homo sapiens''<ref>{{cite journal |last1=Wood |first1=B |last2=Collard |first2=M |title=The changing face of Genus Homo |journal=Evol. Anth. |volume=8 |issue=6 |pages=195-207 |year=1999 }} </ref><ref name=Wood2000 /><ref name=australianmuseum2013 />
เป็นสปีชีส์ที่ในตอนแรกพิจารณาว่าเป็นสปีชีส์แรกในสกุล ''Homo'' จนกระทั่งถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 เมื่อมีการเสนอสปีชีส์ใหม่ คือ '''''H. gautengensis''''' ใน[[ประเทศแอฟริกาใต้]] (เป็นงานวิเคราะห์โครงกระดูกที่พบในอดีต) ที่ผู้เสนอเชื่อว่าเป็นสปีชีส์เก่าแก่ที่สุดในสกุล ''Homo''<ref name="toothy">{{cite web |url=http://news.discovery.com/human/human-ancestor-tree-swinger.html |title=Toothy Tree-Swinger May Be Earliest Human |publisher=Discovery News |date=2010-05-21}}</ref><ref>{{cite journal |last1=Curnoe |first1=D |title=A review of early Homo in southern Africa focusing on cranial, mandibular and dental remains, with the description of a new species (Homo gautengensis sp. nov.) |journal=HOMO - Journal of Comparative Human Biology |volume=61 |pages=151-177 |year=2010}} </ref>

=== ''H. rudolfensis'' ===
''H. rudolfensis'' เป็นชื่อที่ให้กับ[[ซากดึกดำบรรพ์]]อายุ 1.78-1.9 ล้านปีก่อน ที่มีตัวอย่างที่ค้นพบในปี ค.ศ. 1972 และปี ค.ศ. 2012<ref name=Leaky2012 /> ใน[[ประเทศเคนยา]]ใกล้ทะเลสาบ Lake Turkana โดยริชาร์ด ลีกคี และมีฟ ลีกคี ผู้สนับสนุนว่า เป็น[[สปีชีส์]]ต่างหาก เพราะเป็นตัวอย่างที่มีกะโหลกศีรษะ โดยเฉพาะ.oส่วนกระดูกขากรรไกรที่แตกต่างจาก ''H. habilis'' อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งให้หลักฐานว่าเป็นสกุล "Homo" ยุคต้น ๆ ที่อยู่ร่วมกับ ''H. habilis''<ref name=Wayman2012>{{cite web |url=http://blogs.smithsonianmag.com/hominids/2012/08/multiple-species-of-early-homo-lived-in-africa/ |title=Multiple Species of Early Homo Lived in Africa |author=Wayman, Erin |date=8 August 2012 |work=Smithsonian Magazine |accessdate=9 August 2012}}</ref><ref name=Leaky2012>{{Cite doi|10.1038/nature11322}}<!--Meave G. Leakey, Fred Spoor, M. Christopher Dean, Craig S. Feibel, Susan C. Antón, Christopher Kiarie & Louise N. Leakey. 2012. New fossils from Koobi Fora in northern Kenya confirm taxonomic diversity in early Homo. Nature 488, 201-204 (9 August 2012) --></ref>

แต่ว่า เรื่องนี้ยังไม่มีข้อยุติ เพราะมีนักวิชาการบางท่านที่เสนอว่า อาจจะเป็นตัวอย่างของสกุล ''Australopithecus''<ref name=Wood2000 /><ref>{{cite web |url=http://lightyears.blogs.cnn.com/2012/08/08/fossils-complicate-human-ancestor-search/?hpt=hp_t3 |title=Fossils complicate human ancestor search |date=8 August 2012 |author=Landau, Elizabeth |publisher=CNN |accessdate=9 August 2012}}</ref>
บางท่านเสนอก็ว่าเป็นของ ''H. habilis'' แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน<ref>{{cite journal |author=Wood B |title='Homo rudolfensis' Alexeev, 1986-fact or phantom? |journal=J. Hum. Evol. |volume=36 |issue=1 |pages=115-8 |year=1999 |pmid=9924136 |doi=10.1006/jhev.1998.0246}}</ref>
และบางท่านก็เสนอว่า ตัวอย่างที่ได้ยังมีน้อยเกินไปกว่าที่จะเป็นข้อยุติในเรื่องนี้ นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังไม่ชัดเจนว่า เป็น ''H. Habiis'' หรือ ''H. rudolfensis'' หรือสปีชีส์อื่นที่ยังไม่พบ ที่เป็นต้นตระกูลของมนุษย์ปัจจุบัน

สปีชีส์นี้มีขนาด[[กะโหลกศีรษะ]]ที่ 526-752 ซม<sup>3</sup><ref>{{cite web | title = KNM-ER 1470 is not a microcephalic | url = http://johnhawks.net/weblog/fossils/habilis/er/bromage_14702007.html | author = John Hawks | date = 31 March 2007 }}</ref><ref>{{cite web | author = Than, Ker | date = 29 March 2007 | work = LiveScience | url = http://www.livescience.com/7224-controversial-human-ancestor-major-facelift.html | title = Controversial Human Ancestor Gets Major Facelift | accessdate = 8 August 2012}}</ref><ref>{{cite pmid|19093651}}<!-- {{cite journal |auhtor=Bromage, TG et A. |title=Craniofacial architectural constraints and their importance for reconstructing the early Homo skull KNM-ER 1470 |journal=The Journal of Clinical Pediatric Dentistry |volume=33 |issue=1 |pages=43-54 |year=2008 }}--></ref>

=== ''H. ergaster/erectus'' ===
[[ไฟล์:Homo erectus adult female - head model - Smithsonian Museum of Natural History - 2012-05-17.jpg |thumb |รูปจำลองของหญิง ''H. erectus'' ใช้รูปหล่อจากกะโหลกศีรษะจริง (KNM-ER 3733 และ 992) แล้วเติมรายละเอียดที่เหลือ จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสมิธโซเนียน [[วอชิงตัน ดี.ซี.]] ค.ศ. 2010]]
ในสมัยไพลสโตซีนช่วงต้น คือ 1.5-2 ล้านปีก่อน ในทวีปแอฟริกา '''''H. erectus''''' เกิดการวิวัฒนาการให้มีสมองใหญ่ขึ้นแล้วใช้[[เครื่องมือหิน]]ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นและสามารถควบคุมไฟได้ ความแตกต่างเช่นนี้และอย่างอื่น ๆ เพียงพอที่จะให้นัก[[มานุษยวิทยา]]จัดเป็นสปีชีส์ใหม่ คือ ''H. erectus''<ref>{{Cite pmid |8208290}}<!-- {{cite journal |title=Implications of early hominid labyrinthine morphology for evolution of human bipedal locomotion |journal=Nature |volume=369 |issue=6482 |pages=645-8 |year=1994 |doi=10.1038/369645a0 |bibcode = 1994Natur.369..645S |author=Spoor F, Wood B, Zonneveld F |last2=Wood |last3=Zonneveld}} --></ref>
[[ซากดึกดำบรรพ์]]แรกของ ''H. erectus'' มีการค้นพบโดยนายแพทย์ชาวดัตช์ ยูจีน ดูบัว ในปี ค.ศ. 1891 ที่[[เกาะชวา]]ใน[[ประเทศอินโดนีเซีย]]
ซึ่งตอนแรกเขาตั้งชื่อว่า ''Pithecanthropus erectus'' โดยอาศัย[[สัณฐานวิทยา (ชีววิทยา)|สัณฐาน]]ที่พิจารณาว่าเป็นสปีชีส์ในระหว่าง{{Efn-ua|name=intermediate}} มนุษย์และ[[เอป]]<ref>{{cite journal |author=Turner W |title=On M. Dubois' Description of Remains recently found in Java, named by him Pithecanthropus erectus: With Remarks on so-called Transitional Forms between Apes and Man |journal=Journal of Anatomy and Physiology |volume=29 |issue=Pt 3 |pages=424-45 |year=1895 |pmid=17232143 |pmc=1328414}}</ref>
ตัวอย่าง[[ซากดึกดำบรรพ์]]ที่มีชื่อเสียงของ ''H. erectus'' ก็คือ[[มนุษย์ปักกิ่ง]]<ref>{{cite book |last1=van Oosterzee |first1=Penny |title=The Story of Peking Man |publisher=Allen & Unwin |year=1999 |isbn=1-86508-632-0}}</ref> ส่วนตัวอย่างอื่น ๆ มีการพบใน[[เอเชีย]] (โดยเฉพาะ[[ประเทศอินโดนีเซีย]]) [[แอฟริกา]] และ[[ยุโรป]]

''H. erectus'' นั้นมีชีวิตอยู่ในระหว่าง 27,000-1.9 ล้านปีก่อน<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
[[กะโหลกศีรษะ]]เลขที่ "NG 6" ใกล้หมู่บ้าน Ngandong [[ประเทศอินโดนีเซีย]] พบในปี ค.ศ. 1931-1933 มีอายุประมาณ 27,000-53,000 ปี<ref name=Anthropology2012>{{cite web |title=The Origin and Dispersal of Modern Humans |url=http://anthropology.msu.edu/iss220-fs12/files/2012/08/understanding_humans_ch12.pdf |format=[[PDF]] |date=August 2012 |accessdate=4 กันยายน 2557}} </ref>
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***--><ref name=Swisher2002 />
และดังนั้น ถ้าหลักฐานที่พบทั้งหมดสามารถจัดเป็นสปีชีส์เดียวกันได้จริง ๆ ก็จะเป็นสกุล ''Homo'' ที่ดำรงอยู่ได้กว่า 1.5 ล้านปี<ref name=Encarta2006 /> ซึ่งนานกว่ามนุษย์สกุล ''Homo'' อื่นทั้งหมด
เชื่อกันว่า ''H. erectus'' สืบสายพันธุ์มาจากสกุลก่อน ๆ เช่น ''Ardipithecus'' หรือ ''Australopithecus'' หรือจาก ''Homo'' สปีชีส์อื่น ๆ เช่น ''H. habilis'' หรือ ''H. ergaster'' แต่ว่าทั้ง ''H. erectus'', ''H. ergaster'', และ ''H. habilis'' ก็ล้วนแต่มีช่วงอายุที่คาบเกี่ยวกัน ดังนั้น จึงอาจจะเป็นสายพันธุ์ต่างหาก ๆ ที่สืบมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน<ref>{{cite journal | title = Implications of new early Homo fossils from Ileret, east of Lake Turkana, Kenya | author = F. Spoor, M. G. Leakey, P. N. Gathogo, F. H. Brown, S. C. Anton, I. McDougall, C. Kiarie, F. K. Manthi & L. N. Leakey | journal = Nature | issue = 7154 | pages = 688-691 | date = 9 August 2007 | doi = 10.1038/nature05986 | volume = 448 | pmid = 17687323}}</ref>

สมองของ ''H. erectus'' มีขนาดประมาณ 725<ref name=Wood2000 />-1,250<ref name=Wood2000 /><ref name=Encarta2006 /> ซม<sup>3</sup>
''H. erectus'' ในยุคต้น ๆ ดูเหมือนจะสืบทอดเทคโนโลยีเครื่องมือหิน Oldowan มาจากมนุษย์ยุคก่อน ๆ แล้วพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยีหินแบบ Acheulean เริ่มตั้งแต่ 1.7 ล้านปีก่อน<ref>{{ Cite journal |last=Richards |first=M.P. |title=A brief review of the archaeological evidence for Palaeolithic and Neolithic subsistence |year=2002 |journal=European Journal of Clinical Nutrition | volume=56 Supplement 1, March 2002 |date=December 2002 |issue =12 |pages =1270-1278 | url=http://www.nature.com/ejcn/journal/v56/nl2/full/1601646a.html | doi=10.1038/sj.ejcn.1601646 | pmid=12494313}} .</ref>
ส่วนหลักฐานถึงการควบคุมไฟได้ของ ''H. erectus'' ตั้งต้นแต่ 400,000 ปีก่อนได้รับการยอมรับจากนักวิชาการเป็นจำนวนมาก และหลักฐานที่เก่ากว่านั้นก็เริ่มที่จะได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์<ref name=Luke2012 /><ref name=discover2013 />
ส่วนการใช้ไฟเพื่อหุงอาหารนั้นยังเป็นเรื่องที่ยังไม่มีข้อยุติ<!--เห็นว่าใช้--><ref name=discover2013 /><ref>{{cite book |last=Wrangham |first=Richard |title=Catching Fire |year=2009 |publisher=Basic Books}}</ref><!--ไม่เห็นด้วย--><ref> {{cite book |title=Female Hierarchies |year=1972 |publisher=Beresford Book Service |pages=220-229 |author=Adrienne Zihlman |coauthors=Nancy Tannerleditor, Lionel Tiger, Heather T. Fowler |chapter=Gathering and the Hominid Adaptation}}</ref><ref>{{cite journal |last=Fedigan |first=Linda Marie |title=The Changing Role of Women in Models of Human Evolution |journal=Annual Review of Anthropology |year=1986 |volume=151 |pages=25-66}}</ref>
เพราะยังไม่มีซากดึกดำบรรพ์ที่แสดงหลักฐานการหุงอาหารอย่างชัดเจน
นอกจากนั้นแล้ว ''H. erectus'' ยังรับการเสนอว่า เป็นมนุษย์พวกแรกที่ใช้แพข้ามทะเล<ref>{{cite journal | title = Paleoanthropology: Ancient Island Tools Suggest Homo erectus Was a Seafarer | journal = Science | volume = 279 | issue = 5357 | pages = 1635-1637 | date = 13 March 1998 | author = Gibbons, Ann | doi = 10.1126/science.279.5357.1635}}</ref> (เพราะพบซากพร้อมกับเครื่องมือบนเกาะที่ไม่ปรากฏทางไปทางบก)

''H. erectus'' เป็นมนุษย์[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Homo'' พวกแรกที่อพยพออกไปตั้งถิ่นฐานทั่ว[[ทวีปแอฟริกา]] [[ทวีปเอเชีย]] และ[[ทวีปยุโรป]] ในช่วงระหว่าง {{Ma|1.2|1.8}}<ref name=Garicia2009 /><ref name=Hopkin2008 /><ref name=Finlayson2005 />
กลุ่มหนึ่งของ ''H. erectus'' ที่ดำรงอยู่ในทวีปแอฟริกา (หรือเรียกว่า African ''H. erectus'') ซึ่งบางครั้งจัดเป็นสปีชีส์ต่างหากคือ '''''H. ergaster''''' ซึ่งต่อมาได้รับการเสนอว่า เป็นบรรพบุรุษของ ''H. sapiens''<ref name=Hazarika2007 /><ref name=Rightmire1998 />
นักบรรพมานุษยวิทยาบางพวกปัจจุบันใช้นามว่า ''H. ergaster'' สำหรับมนุษย์สปีชีส์นี้ที่พบบางส่วนในแอฟริกา (ทั้งหมดจาก[[ประเทศเคนยา]]ใกล้ทะเลสาบ Lake Turkana) ที่มีโครงสร้างกระดูกและฟันที่ต่างจาก ''H. erectus'' เพียงเล็กน้อย และใช้นามว่า ''H. erectus'' สำหรับซากดึกดำบรรพ์พบในที่ ๆ เหลือรวมทั้งแอฟริกาด้วย<ref name=Wood2000 />

ส่วน '''''H. georgicus''''' จาก[[ประเทศจอร์เจีย]] ซึ่งตอนแรกเสนอว่าเป็นสปีชีส์ในระหว่าง{{Efn-ua|name=intermediate}} ''H. habilis'' และ ''H. erectus''<ref>{{cite journal |author=Gabounia L. de Lumley M. Vekua A. Lordkipanidze D. de Lumley H. |title=Discovery of a new hominid at Dmanisi (Transcaucasia, Georgia) |journal=Comptes Rendus Palevol |volume=1 |issue=4 |pages=243-53 |year=2002 |doi=10.1016/S1631-0683(02)00032-5}}</ref>
เดี๋ยวนี้ได้จัดเป็นสปีชีส์ย่อยของ ''H. erectus''<ref>{{cite journal |author=Lordkipanidze D, Vekua A, Ferring R, ''et al. '' |title=A fourth hominin skull from Dmanisi, Georgia |journal=The anatomical record. Part A, Discoveries in molecular, cellular, and evolutionary biology |volume=288 |issue=11 |pages=1146-57 |year=2006 |pmid=17031841 |doi=10.1002/ar.a.20379}}</ref>
คือ ''H. erectus georgicus''

=== ''H. cepranensis'' และ ''H. antecessor'' ===
[[ไฟล์:Homo antecessor female.jpg |thumb |รูปจำลองของหญิง ''Homo antecessor'' พบที่โบราณสถาน Atapuerca [[ประเทศสเปน]] เป็นมนุษย์[[สปีชีส์]]ที่อาจกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน]]
ซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้ได้รับการเสนอว่าเป็น[[สปีชีส์]]ในระหว่าง{{Efn-ua|name=intermediate}} ''H. erectus'' และ ''H. heidelbergensis''
* '''''H. antecessor''''' มาจาก[[ซากดึกดำบรรพ์]]พบใน[[สเปน]]และ[[อังกฤษ]]มีอายุระหว่าง 8 แสนปี-1.2 ล้านปี<ref>{{cite journal |author=Bermúdez de Castro JM, Arsuaga JL, Carbonell E, Rosas A, Martínez I, Mosquera M |title=A hominid from the lower Pleistocene of Atapuerca, Spain: possible ancestor to Neandertals and modern humans |journal=Science |volume=276 |issue=5317 |pages=1392-5 |year=1997 |pmid=9162001 |doi=10.1126/science.276.5317.1392}}</ref><ref>{{cite journal |last=Carbonell |first=Eudald |coauthors=José M. Bermúdez de Castro ''et al. '' |title=The first hominin of Europe |journal=Nature |volume=452 |issue=7186 |pages=465-469 |date=2008-03-27 |pmid=18368116 |doi=10.1038/nature06815 |accessdate=2008-03-26 |url=http://www.nature.com/nature/journal/v452/n7186/full/nature06815.html |archiveurl=http://www.webcitation.org/5uQpaylUN |archivedate=2010-11-22 |deadurl=no |bibcode = 2008Natur.452..465C }}</ref> ในปี ค.ศ. 1995 มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ 80 คนที่อาจจะเป็นของสปีชีส์นี้ใน[[โบราณสถาน]]ในประเทศสเปน มีตัวอย่างของกระดูกที่ปรากฏว่ามีการแล่เนื้ออกจากกระดูก ซึ่งอาจจะบอกว่าสปีชีส์นี้กินเนื้อมนุษย์ (cannibalism)<ref>{{cite journal |author = Fernandez-Jalvo, Y.; Diez, J. C.; Caceres, I. and Rosell, J. |title = Human cannibalism in the Early Pleistocene of Europe (Gran Dolina, Sierra de Atapuerca, Burgos, Spain) |journal = Journal of Human Evolution |volume = 37 |issue = 34 |pages = 591-622 |date = September 1999 |publisher = Academic Press |doi = 10.1006/jhev.1999.0324 |pmid = 10497001 }}</ref> จากชิ้นส่วนซากดึกดำบรรพ์ที่มีอยู่น้อยมาก มีการประมาณว่า ''H. antecessor'' มีความสูงที่ 160-180 ซม และผู้ชายหนักประมาน 90 กก สมองมีขนาดประมาณ 1,000-1,150ซม<sup>3</sup> ซึ่งเล็กกว่าขนาดเฉลี่ยมนุษย์ปัจจุบัน และน่าจะมีร่างกายที่แข็งแรงกว่า ''H. heidelbergensis''
* '''''H. cepranensis''''' มีซากดึกดำบรรพ์เป็นยอดของ[[กะโหลกศีรษะ]] (skull cap) เดียวที่พบใน[[อิตาลี]] ในปี ค.ศ. 1994<ref>{{cite journal |author=Manzi G, Mallegni F, Ascenzi A |title=A cranium for the earliest Europeans: Phylogenetic position of the hominid from Ceprano, Italy |journal=Proc. Natl. Acad. Sci. U.S.A. |volume=98 |issue=17 |pages=10011-6 |year=2001 |pmid=11504953 |doi=10.1073/pnas.151259998 |pmc=55569 |bibcode = 2001PNAS...9810011M |last2=Mallegni |last3=Ascenzi}}</ref> ประเมินว่ามีอายุประมาณ 350,000-500,000 ปี<ref>{{Cite doi|10.1016/j.epsl.2009.06.032}}<!-- {{cite journal | title = Pleistocene magnetochronology of early hominin sites at Ceprano and Fontana Ranuccio, Italy | journal = Earth Planet. Sci. Lett. | year = 2009 | issue = Early online |authors = Muttoni et Al. | volume = 286 | pages = 255}}--></ref> งานวิจัยหนึ่งในปี ค.ศ. 2011 บอกเป็นนัยว่า อาจจะเป็นบรรพบุรุษของ ''Homo neanderthalensis''<ref>{{Cite doi |10.1371/journal.pone.0018821}} {{PDFlink |1=[http://www.plosone.org/article/fetchObject.action?uri=info%3Adoi%2F10.1371%2Fjournal.pone.0018821&representation=PDF Full PDF] |2=584&nbsp;KB}} <!--Mounier et al. (2011). "The Stem Species of Our Species: A Place for the Archaic Human Cranium from Ceprano, Italy " --></ref >

=== ''H. heidelbergensis/rhodesiensis'' ===
'''''H. heidelbergensis''''' หรือบางครั้งเรียกว่า ''H. rhodesiensis''<ref name=Wood2000 /> (และได้รับการเสนอให้เป็น ''H. sapiens heidelbergensis'' หรือ ''H. sapiens paleohungaricus'' ด้วย<ref>{{Cite journal |doi=10.1016/S0047-2484(03)00029-0 |title=Palaeopathological and variant conditions of the Homo heidelbergensis type specimen (Mauer, Germany) |year=2003 |author=Czarnetzki, A |journal=Journal of Human Evolution |volume=44 |pmid=12727464 |issue=4 |last2=Jakob |first2=T |last3=Pusch |first3=CM |pages=479-95}}</ref>) เป็นมนุษย์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ที่มีชีวิตอยู่ใน[[แอฟริกา]] [[ยุโรป]] และ[[เอเชีย]]ประมาณระหว่าง 250,000-600,000 ปีก่อน<ref name=Wood2000 /> แต่อาจเก่าแก่ถึง 1.4 ล้านปีก่อน<ref>{{cite web |title=New Skull from Eritrea |url=http://archive.archaeology.org/9809/newsbriefs/eritrea.html |publisher=Archaeological Institute of America |date=September/October 1998 |accessdate=26 กันยายน 2557 }}</ref>
เป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่มีสมองขนาดใกล้กับมนุษย์ แต่มีร่างกายที่แข็งแรงกว่า<ref name=Wood2000 />
มีการเสนอว่าสืบเชื้อสายมาจาก ''H. erectus/ergaster'' และเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของ ''H. sapiens'' ใน[[แอฟริกา]], ของ ''H. neanderthalensis'' ใน[[ยุโรป]],
และของมนุษย์กลุ่ม Denisovan ใน[[เอเชียกลาง]]<ref name=Stringer2012 /><!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|name=DenisovanDivergence |
ความสัมพันธุ์ระหว่าง Denisovan กับมนุษย์ปัจจุบันและ Neanderthal ยังไม่ชัดเจน คือ งานวิจัยที่หาลำดับ mtDNA ของ Denisovan ในปี ค.ศ. 2010 เสนอว่า
* มนุษย์สาย Denisovan มีบรรพบุรุษเดียวกันกับมนุษย์สาย Neanderthal และสกุล ''Homo'' ประมาณ 1 ล้านปีก่อน<ref name="Scientist2010" />
* Denisovan สืบสายพันธุ์มาจากมนุษย์ที่อพยพออกมาจาก[[แอฟริกา]]ก่อนสายพันธุ์ของมนุษย์ปัจจุบัน และก่อนของ ''Homo erectus'' ที่มาก่อนหน้านั้น<ref name="Scientist2010"/><ref name="Guardian2010">{{cite news |url=http://www.guardian.co.uk/science/2010/mar/24/new-human-species-siberia |title=New species of human ancestor found in Siberia |work=The Guardian |date=24 March 2010 |first=Ian |last=Sample |accessdate=20 กันยายน 2557}}</ref>
ส่วนงานวิจัยโดย[[จีโนม]]จาก[[นิวเคลียสเซลล์]]ต่อมาในปีเดียวกลับพบว่า Denisovan
* มีบรรพบุรุษร่วมกันกับ Neanderthal ที่แยกออกจากสายพันธุ์มนุษย์ 600,000 ปีก่อน<ref name=Reich2010 />
* แยกออกจากสายพันธุ์ของ Neanderthal น่าจะใน[[ตะวันออกกลาง]]เมื่อ 400,000 ปีก่อน<ref name=Stringer2012 />
บทความนี้ใช้ข้อมูลจากงานวิจัยโดยจีโนมจากนิวเคลียสเซลล์
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->

ทั้ง ''H. antecessor'' และ ''H. heidelbergensis'' น่าจะสืบเชื้อสายมาจาก ''H. ergaster'' ใน[[แอฟริกา]]เพราะว่า มี[[สัณฐานวิทยา (ชีววิทยา)|สัณฐาน]]คล้ายกันมาก
แต่เพราะว่า ''H. heidelbergensis'' มีกะโหลกหุ้มสมองที่ใหญ่กว่ามาก คือปกติประมาณ 1,100-1,400 ซม<sup>3</sup> (เทียบกับ ''H. ergaster'' ที่ 700-850 ซม<sup>3</sup> และ ''H. antecessor'' ที่ 1,000-1,150ซม<sup>3</sup>) และมีเครื่องมือและพฤติกรรมที่ทันสมัยกว่า จึงได้รับการจัดให้อยู่ในสปีชีส์ต่างหาก
ผู้ชายสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 175 ซม หนัก 62 กก
และผู้หญิงสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 158 ซม หนัก 55 กก<ref name=O'Neil2012>{{Cite web | title = Homo heidelbergensis | publisher = Anthropology Department, Palomar College | url = http://anthro.palomar.edu/homo2/mod_homo_1.htm |last=O'Neil |first=Dennis |year=2012 | accessdate = 20 กันยายน 2557}}</ref>
เป็นสปีชีส์ที่โดยเฉลี่ยสูงกว่ามนุษย์สาย Neanderthal เพียงเล็กน้อย<ref>{{Cite doi|10.1016/j.jhevol.2011.11.004}} [http://www.sciencedaily.com/releases/2012/06/120606075323.htm ScienceDaily Summary - June 6, 2012]<!-- {{cite journal |title=Stature estimation from complete long bones in the Middle Pleistocene humans from the Sima de los Huesos, Sierra de Atapuerca (Spain) |year=2012 |author= Carretero & Al. |journal=Journal of Human Evolution |volume=62 |issue=2 |pages=242-55 |pmid=22196156 }} --> </ref>
แต่ก็มีนักบรรพมานุษยวิทยาบางท่านที่อ้างว่า มีกลุ่ม "ยักษ์" กลุ่มหนึ่งที่ปกติสูงกว่า 213 ซม อยู่ใน[[แอฟริกาใต้]]ประมาณ 300,000-500,000 ปีก่อน<ref>{{cite web |first=Lee |last=Burger |url=http://www.thenakedscientists.com/HTML/content/interviews/interview/833/ |publisher=The Naked Scientists |title=Our Story: Human Ancestor Fossils |date=November 2007}}</ref>

'''''H. rhodesiensis''''' ({{lang-en|Rhodesian Man}}) มีชีวิตอยู่ช่วง 125,000-400,000 ปีก่อน
มีขนาดสมองประมาณ 1100-1230 ซม<sup>3</sup><ref name=Rightmire1993>{{cite book |title=The Evolution of Homo Erectus: Comparative Anatomical Studies of an Extinct Human Species |last1=Rightmire |first1=G. Philip |url=http://books.google.com/books? id=edFD6el38mAC&dq=Ndutu+hominid&source=gbs_ summary_s&cad=0 |publisher=Cambridge University Press |location= |year=1993 |pages= |isbn=0-521-44998-7 |oclc= |doi=}} ISBN อื่น ๆ - 978-0-521-44998-4</ref><ref name=Rightmire2005>{{cite journal |author=Rightmire, G. Philip |year= 2005 |title=The Lake Ndutu cranium and early Homo Sapiens in Africa |journal=American Journal of Physical Anthropology |volume=61 |issue=2 |pages=245-254 |doi=10.1002/ajpa.1330610214 |pmid=6410925}}</ref>
นักวิจัยปัจจุบันโดยมากจัด ''H. rhodesiensis'' ไว้ในกลุ่มของ ''H. heidelbergensis''<ref name=Wood2000 />
นักวิจัยบางท่านให้ความเห็นว่า เป็นไปได้ที่ Rhodesian Man จะเป็นบรรพบุรุษของ ''Homo sapiens idaltu'' (เป็นชื่อของสปีชีส์ย่อยของมนุษย์ปัจจุบันที่มีซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดซากหนึ่งค้นพบในแอฟริกา) ซึ่งก็เป็นบรรพบุรุษของ ''[[Homo sapiens sapiens]]'' ซึ่งก็คือมนุษย์ปัจจุบัน<ref name=White2003 />

=== Neanderthal และ Denisovan ===
[[ไฟล์:Neandertaler reconst.jpg |right |thumb |190px |รูปจำลองของ ''H. neanderthalensis'' โดยใช้ Dermoplastic]]
'''''H. neanderthalensis''''' ({{lang-en|Neanderthal}}) หรือจัดอยู่ในอีกลุ่มหนึ่งว่า ''Homo sapiens neanderthalensis''<ref>{{cite journal |author=Harvati K |title=The Neanderthal taxonomic position: models of intra- and inter-specific craniofacial variation |journal=J. Hum. Evol. |volume=44 |issue=1 |pages=107-32 |year=2003 |pmid=12604307 |doi=10.1016/S0047-2484(02)00208-7}}</ref>
ชื่อภาษาอังกฤษตั้งขึ้นตามชื่อหุบเขาที่พบซากดึกดำบรรพ์เป็นครั้งแรก (คือหุบเขา Neander ใน[[ประเทศเยอรมัน]])
ใช้ชีวิตอยู่ใน[[ยุโรป]]และ[[เอเชีย]]ประมาณ 30,000-400,000 ปีก่อน<ref>{{Cite doi |10.1111/j.1469-185X.2008.00071.x}} {{PDFlink |1=[http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/j.1469-185X.2008.00071.x/pdf Full PDF] |2=406&nbsp;KB}}<!--Herrera, K. J.; Somarelli, J. A.; Lowery, R. K.; Herrera, R. J. (2009). "To what extent did Neanderthals and modern humans interact?". --></ref>
โดยเพศชายมีขนาดสมองเฉลี่ยที่ 1,600 ซม<sup>3</sup><ref name=infoplease />
ซึ่งใหญ่กว่าขนาดเฉลี่ยเพศชายในมนุษย์ปัจจุบัน (เชื้อสายคน[[ยุโรป]])ที่ 1,260 ซม<sup>3</sup><ref>{{Cite doi|10.1038/nature00879}}<!-- Cosgrove et Al. (2007) Evolving Knowledge of Sex Differences in Brain Structure, Function and Chemistry--></ref><!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
ตัวอย่างขนาดสมองอื่น ๆ ของมนุษยปัจจุบัน
* ขนาดเฉลี่ยที่ 1,330<sup>3</sup><ref name=Schoeneman2006 />
* [[คนพื้นเมือง]][[ออสเตรเลีย]] 1,199 ซม<sup>3</sup><ref>{{cite journal |last1=Klekamp |first1=J |last2=Riedel |first2=A |last3=Harper |first3=C |last4=Kretschmann |title=A quantitative study of Australian aboriginal and Caucasian brains. |journal=J Anat. |volume=150 |issue= |pages=191-210 |date=Feb 1987 |pmc=1261675 |url=http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1261675/ |accessdate=26 กันยายน 2557}} </ref>
* [[ชาวญี่ปุ่น]] 1,318 ซม<sup>3</sup><ref name=Smith1990>{{cite journal |last1=Smith |first1=Courtland L |last2=Beals |first2=Kenneth L |title=Cultural Correlates with Cranial Capacity |journal=American Anthropologist |volume= |issue= |pages= |year=1990 |pmid= |doi= |url= |accessdate=}} </ref>
* คน Zande ใน[[แอฟริกา]] 1,345 ซม<sup>3</sup><ref name=Smith1990 />
* [[ชาวอิตาลี]] 1,411 ซม<sup>3</sup><ref name=Smith1990 />
* [[กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกา|คนพื้นเมืองสหรัฐอเมริกา]]เผ่า Nez Perce 1,483 ซม<sup>3</sup><ref name=Smith1990 />
* [[ชาวอะลิวต์]] 1,518 ซม<sup>3</sup><ref name=Smith1990 />
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
งานวิจัยปี ค.ศ. 2008 โดยใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์พบว่า ทารกของมนุษย์ Neanderthal เมื่อคลอดมีสมองขนาดเท่ากับมนุษย์ปัจจุบัน แต่มีสมองใหญ่กว่าเมื่อถึงวัยผู้ใหญ่<ref>{{cite web |url=http://newswatch.nationalgeographic.com/2008/09/09/neanderthal/ |title=Neanderthal Brain Size at Birth Sheds Light on Human Evolution |publisher=National Geographic |date=2008-09-09 |accessdate=2009-09-19}}</ref>
Neanderthal แข็งแรงกว่ามนุษย์ปัจจุบันมาก โดยเฉพาะที่แขนและมือ<ref>{{cite web |publisher=BBC |url=http://www.bbc.co.uk/nature/wildfacts/factfiles/459.shtml |title=Science & Nature Wildfacts—Neanderthal |accessdate=2009-06-21}}</ref>
ผู้ชายสูงประมาณ 164-168 ซม และผู้หญิงประมาณ 152-156 ซม<ref name="Helmuthl998">{{Cite journal |author=Helmuth H |title=Body height, body mass and surface area of the Neanderthals |journal=Zeitschrift Fur Morphologie Und Anthropologie |volume=82 |issue=1 |pages=1-12 |year=1998 |pmid=9850627}}</ref>

มีหลักฐาน (ค.ศ. 1997, 2004, 2008) โดย[[การหาลำดับดีเอ็นเอ]]ของ[[ไมโทคอนเดรีย]] (mitochondrial DNA ตัวย่อ mtDNA) ที่แสดงว่า ไม่มีการแลกเปลี่ยน[[ยีน]]โดยเป็นนัยสำคัญคือไม่มีการผสมพันธุ์กันระหว่าง ''H. neanderthalensis'' และ ''H. sapiens''
ดังนั้น สองกลุ่มนี้จึงเป็นสปีชีส์ที่แยกจากกันโดยมีบรรพบุรุษเดียวกันเมื่อ 660,000 ปีก่อน<ref>{{cite journal |author=Krings M, Stone A, Schmitz RW, Krainitzki H, Stoneking M, Pääbo S |title=Neandertal DNA sequences and the origin of modern humans |journal=Cell |volume=90 |issue=1 |pages=19-30 |year=1997 |pmid=9230299 |doi=10.1016/S0092-8674(00)80310-4}}</ref><ref>{{cite journal |title=No Evidence of Neandertal mtDNA Contribution to Early Modern Humans |journal=PLoS Biol. |volume=2 |issue=3 |page=E57 |year=2004 |pmid=15024415 |doi=10.1371/journal.pbio.0020057 |pmc=368159 |author=Serre D, Langaney A, Chech M, ''et al. ''}}</ref><ref>{{Cite doi |10.1016/j.cell.2008.06.021}}<!-- Green RE, et al. (2008). "A complete Neandertal mitochondrial genome sequence determined by high-throughput sequencing"--></ref>
โดยอาจมีบรรพบุรุษเป็น ''H. heidelbergensis/rhodesiensis''<ref name=Stringer2012/><ref name=Reed2004 />
แต่ว่า งานหาลำดับดีเอ็นเอทั้ง[[จีโนม]]ของมนุษย์กลุ่มนี้ในปี ค.ศ. 2010 กลับแสดงว่า มีการผสมพันธุ์กับมนุษย์ปัจจุบันเมื่อประมาณ 45,000-80,000 ปีก่อน
(ประมาณช่วงเวลาที่มนุษย์ปัจจุบันออกจากแอฟริกา แต่ก่อนที่จะไปตั้งถิ่นฐานในยุโรป เอเชีย และที่อื่น ๆ)<ref name="neandersequence">{{cite news |url=http://news.discovery.com/human/neanderthal-human-interbreed-dna.html |title=Neanderthals, humans interbred, DNA proves |publisher=Discovery News |first=Jennifer |last=Viegas |date=2010-05-06 |accessdate=2010-08-17 |archiveurl=http://www.webcitation.org/5uQpbFb9 H |archivedate=2010-11-22 |deadurl=no}}</ref>
มนุษย์ปัจจุบันที่ไม่ใช่คนแอฟริกาเกือบทั้งหมดมีดีเอ็นเอ 1-4% สืบมาจากมนุษย์กลุ่มนี้<ref name="neandersequence"/>
ซึ่งเข้ากับงานวิจัยเร็ว ๆ นี้ที่แสดงว่า การแยกออกจากกันของ[[อัลลีล]]ในมนุษย์บางพวกเริ่มขึ้นที่ 1 ล้านปีก่อน
แต่ว่า การตีความหมายข้อมูลจากงานวิจัยทั้งสองที่แสดงผลแตกต่างกันนี้ ยังมีประเด็นที่น่าสงสัย<ref name=Hebsgaard2007>{{cite journal |author=Hebsgaard MB, Wiuf C, Gilbert MT, Glenner H, Willerslev E |title=Evaluating Neanderthal genetics and phylogeny |journal=J. Mol. Evol. |volume=64 |issue=1 |pages=50-60 |year=2007 |pmid=17146600 |doi=10.1007/s00239-006-0017-y}}</ref><ref name=Gutiérrez2002>{{cite journal |author=Gutiérrez G, Sánchez D, Marín A |title=A reanalysis of the ancient mitochondrial DNA sequences recovered from Neandertal bones |journal=Mol. Biol. Evol. |volume=19 |issue=8 |pages=1359-66 |year=2002 |pmid=12140248 |doi=10.1093/oxfordjournals.molbev.a004197}}</ref>

(ดูรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับดีเอ็นเอขอมนุษย์โบราณที่หัวข้อ [[#การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์|การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์]])

''H. neanderthalensis'' และ ''H. sapiens'' อาจจะอยู่ร่วมกันในยุโรปเป็นเวลานานถึง 10,000 ปี
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชากรมนุษย์ปัจจุบันเกิดการประทุมากขึ้นเป็นสิบเท่าทำให้มีจำนวนมากกว่า Neanderthal อย่างมาก
ซึ่งอาจทำให้ Neanderthal แข่งขันสู้ไม่ได้เพียงเพราะเหตุแห่งจำนวนนั้น<ref name=Mellars2011>{{cite journal |journal=Science |date=29 July 2011 |volume= 333 |issue=6042 |pages=623-627 |doi=10.1126/science.1206930 |title=Tenfold Population Increase in Western Europe at the Neandertal - to - Modern Human Transition |author=Mellars, Paul |author2=Jennifer C. French |bibcode = 2011Sci...333..623M |pmid=21798948 }}</ref>

ในปี ค.ศ. 2008 นัก[[โบราณคดี]]ที่ทำงานที่ถ้ำ Denisova ใน[[เทือกเขาอัลไต]]ของเขต[[ไซบีเรีย]]ได้ค้นพบกระดูกชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งจากนิ้วก้อยของเด็กสายพันธุ์ Denisovan<ref>{{cite journal |journal=Nature |volume=464 |pages=838-839 |date=8 April 2010 |doi=10.1038/464838a |title=Human evolution: Stranger from Siberia |author=Brown, Terence A. |bibcode = 2010Natur.464..838B |issue=7290 |pmid=20376137 }}</ref>
และสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ รวมทั้งกำไลมืออันหนึ่งที่ขุดได้จากชั้นหินในระดับเดียวกันโดยหาอายุได้ประมาณ 40,000 ปี<ref>{{cite journal |last1=Marshall |first1=Michael |last2= |first2= |last3= |first3= |last4= |first4= |last5= |first5= |last6= |first6= |last7= |first7= |last8= |first8= |last9= |first9= |title=Mystery Relations |journal=New Scientist |volume= |issue= |pages= |date=5 April 2014 |pmid= |doi= |url= |archiveurl= |archivedate= |accessdate=}} </ref>
นอกจากนั้นแล้ว เนื่องจากว่ามี[[ดีเอ็นเอ]]ที่รอดอยู่ในซากหินเนื่องจากถ้ำมีอากาศเย็น จึงมี[[การหาลำดับดีเอ็นเอ]]ของทั้ง mtDNA และของทั้ง[[จีโนม]]<ref name=Reich2010/><ref name=Krause2010>{{Cite journal |first=Johannes |last=Krause |first2=Qiaomei |last2=Fu |first3=Jeffrey M. |last3=Good |first4=Bence |last4=Viola |first5=Michael V. |last5=Shunkov |first6=Anatoli P. |last6=Derevianko |lastauthoramp=yes |first7=Svante |last7=Pääbo |year=2010 |title=The complete mitochondrial DNA genome of an unknown hominin from southern Siberia |journal=Nature |pmid=20336068 |volume=464 |issue=7290 |pages=894-897 |doi=10.1038/nature08976 |bibcode = 2010Natur.464..894K }}</ref>
ในขณะที่การแยกสายพันธุ์พบใน mtDNA ย้อนไปไกลกว่าที่คาดคิด<ref name="Scientist2010">{{cite web |url=http://www.the-scientist.com/?articles.view/articleNo/28876/title/New-hominin-found-via-mtDNA/ |title=New hominin found via mtDNA |work=The Scientist |date=March 24, 2010 |first=Alla |last=Katsnelson |archiveurl=http://www.webcitation.org/5uQpd7txa |archivedate=2010-11-22 |deadurl=no}}</ref>
ลำดับของ[[จีโนม]]กลับบอกเป็นนัยว่า Denisovan อยู่ในสายพันธุ์เดียวกับ Neanderthal
โดยมีการแยกสายพันธุ์เป็นสองสปีชีส์หลังจากบรรพบุรุษที่ได้แยกสายพันธุ์ออกจากของมนุษย์ปัจจุบันก่อนหน้านั้น<ref name=Reich2010 />{{Efn-ua |name=DenisovanDivergence}}

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า มนุษย์ปัจจุบันอาจอยู่ร่วมกับ Neanderthal ในยุโรปเป็นช่วงเวลากว่า 10,000 ปี
และการค้นพบนี้แสดงความเป็นไปได้ว่า มนุษย์ปัจจุบัน, Neanderthal, และ Denisovan อาจมีช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกัน
การมีอยู่ของสาขาต่าง ๆ ของมนุษย์เช่นนี้ อาจทำให้ภาพพจน์เกี่ยวกับมนุษย์ในสมัยไพลสโตซีน ช่วงปลายซับซ้อนขึ้นกว่าที่คิด<ref name=Krause2010/>
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีหลักฐานที่แสดงว่า[[จีโนม]]ของชาว[[เมลานีเซีย]]ปัจจุบันประมาณ 6% สืบมาจาก Denisovan ซึ่งแสดงถึงการผสมพันธุ์ในระดับจำกัดระหว่างมนุษย์ปัจจุบันกับ Denisovan ใน[[เอเชียอาคเนย์]]<ref name=Reich2011 /><ref name=Martinón-Torres2011>{{cite journal |author=Martinón-Torres, María |coauthor=Robin Dennell, José María Bermúdez de Castro |title=The Denisova hominin need not be an out of Africa story |journal= Journal of Human Evolution |volume=60 |issue=2 |year=2011 |pages= 251-255 |issn=0047-2484 |doi=10.1016/j.jhevol.2010.10.005 |pmid=21129766}}</ref>

มีการค้นพบ[[อัลลีล]]ที่เชื่อว่ามีกำเนิดจาก Neanderthal และ Denisovan ใน[[จีโนม]]ของมนุษย์ปัจจุบันนอกแอฟริกา
คือ HLA type จาก Neanderthal และ Denisovan ปรากฏในครึ่งหนึ่ง ของอัลลีล HLA ในมนุษย์[[ยูเรเชีย]]ปัจจุบัน<ref name=Abi-Rached2011>{{Cite doi|10.1126/science.1209202}}<!-- {{cite journal |author=Laurent Abi-Rached, ''et al. '' |title=The Shaping of Modern Human Immune Systems by Multiregional Admixture with Archaic Humans |journal=Science |volume=334 |issue=6052 |date=2011-08-25 |doi=10.1126/science.1209202 |pmid=21868630 |bibcode = 2011Sci...334...89A |pages=89-94 |pmc=3677943 |display-authors=8}}--></ref>
อันแสดงถึง[[การคัดเลือกโดยธรรมชาติ]]ที่มีกำลังสำหรับอัลลีลเหล่านี้

มีรายละเอียดทางกายวิภาคของ Denisovan น้อย
เพราะซากที่ได้พบมาทั้งหมดมีแต่กระดูกนิ้วมือ, ฟันสองซี่ที่ได้หลักฐานทางดีเอ็นเอ, และกระดูกนิ้วเท้า
นิ้วมือที่มีมีลักษณะกว้างและแข็งแรง เกินกว่าที่เห็นได้ในกลุ่มมนุษย์ปัจจุบัน ที่น่าแปลกใจก็คือ เป็นนิ้วของหญิง ซึ่งอาจจะแสดงว่า Denisovan มีร่างกายที่แข็งแรงมาก อาจจะคล้ายพวกมนุษย์ Neanderthal<ref name=Reich2010 />

=== ''H. floresiensis'' ===
[[ไฟล์:Homo floresiensis Restoration model.jpg |thumb |190px |รูปจำลองของ ''Homo floresiensis'' หรือที่เรียกว่า ''[[ฮ็อบบิท]]'']]
''H. floresiensis'' ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 12,000-94,000 ปีก่อน มีชื่อเล่นว่า ''[[ฮ็อบบิท]]'' เพราะตัวเล็ก ซึ่งอาจเกิดขึ้นผ่านกระบวนการ insular dwarfism (ซึ่งสัตว์ใหญ่ย่อขนาดลงโดยผ่านหลายชั่วรุ่น เมื่อเกิดการจำกัดพื้นที่ เช่นย้ายไปอยู่บนเกาะ)<ref name=Brown2004>{{Cite doi|10.1038/nature02999}}<!-- {{cite journal |author=Brown P, Sutikna T, Morwood MJ, ''et al. '' |title=A new small-bodied hominin from the Late Pleistocene of Flores, Indonesia |journal=Nature |volume=431 |issue=7012 |pages=1055-61 |year=2004 |pmid=15514638 |bibcode = 2004Natur.431.1055B }}--></ref><ref>Morwood, Soejono ''et al.'' 2004</ref>
ที่ผู้ค้นพบเสนอว่า เคยมีชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ปัจจุบัน<ref>{{cite news |url=http://www.guardian.co.uk/science/2010/feb/21/hobbit-rewriting-history-human-race |title=How a hobbit is rewriting the history of the human race |last=McKie |first=Robing |date=February 21, 2010 |work=The Guardian |accessdate=February 23, 2010}}</ref> และมีนักวิชาการบางท่านที่เสนอว่า อาจมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์ตำนานพื้นบ้าน (ของแหล่งที่ค้นพบสปีชีส์นี้) ที่เรียกว่า Ebu gogo<ref>{{cite journal |last1=Forth |first1=Gregory |url=http://www.anthropology.ualberta.ca/People/Academic%20Faculty/~/media/anthropology/Documents/People/Forth/AnthropologyToday2005.ashx |title=Hominids, hairy hominoids and the science of humanity |journal=Anthropology Today |volume=21 |issue=3 |pages=13-17 |date=June 2005 |format=[[PDF]]}} </ref><ref>{{cite web |title=Stalking the wild ebu gogo |url=http://johnhawks.net/weblog/fossils/flores/forth_2005_ebu_gogo.html |last1=Hawks |first1=John D. |date=June 24, 2005 |accessdate= |archiveurl= }}</ref>
เป็น[[สปีชีส์]]ที่น่าสนใจทั้งโดยขนาดและโดยความเก่าแก่ เพราะว่าเป็นตัวอย่างของสปีชีส์หลัง ๆ ของ[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Homo'' ที่มีลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่มนุษย์ปัจจุบันไม่มี
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แม้ว่ามนุษย์สปีชีส์นี้จะมีบรรพบุรุษร่วมกับมนุษย์ปัจจุบัน
แต่ก็ได้เกิดการแยกสายพันธุ์ แล้วมีวิถี[[วิวัฒนาการ]]เป็นของตนเอง
โครงกระดูกหลักที่พบเชื่อว่าเป็นของหญิงอายุประมาณ 30 ปี
ที่พบในปี ค.ศ. 2003 บนเกาะ Flores ใน[[ประเทศอินโดนีเซีย]] โดยมีความเก่าแก่ประมาณ 18,000 ปี
สูงประมาณ 105 ซม และมีขนาดสมองเพียงแค่ 380 ซม<sup>3</sup><ref name=Brown2004 />
(ซึ่งเรียกว่าเล็กแม้ในลิง[[ชิมแปนซี]] และมีขนาดเพียงแค่ 1/3 ของมนุษย์ปัจจุบัน)

อย่างไรก็ดี ก็ยังมีข้อถกเถียงกันว่า ''H. floresiensis'' ควรจะจัดเป็นสปีชีส์ต่างหากหรือไม่<ref>{{cite journal |author=Argue D, Donlon D, Groves C, Wright R |title=Homo floresiensis: microcephalic, pygmoid, Australopithecus, or Homo? |journal=J. Hum. Evol. |volume=51 |issue=4 |pages=360-74 |year=2006 |pmid=16919706 |doi=10.1016/j.jhevol.2006.04.013}}</ref>
เพราะนักวิทยาศาสตร์บางพวกเชื่อว่า เป็น ''[[H. sapiens]]'' ที่มีสภาพแคระโดยโรค<ref name=Martin2006>{{cite journal |author=Martin RD, Maclarnon AM, Phillips JL, Dobyns WB |title=Flores hominid: new species or microcephalic dwarf? |journal=The anatomical record |volume=288 |issue=11 |pages=1123-45 |year=2006 |pmid=17031806 |doi=10.1002/ar.a.20389}}</ref>
[[สมมติฐาน]]นี้มีหลักฐานโดยส่วนหนึ่งว่า มนุษย์ปัจจุบันบางพวกที่เกาะ Flores ที่ค้นพบซากของสปีชีส์ เป็นคนพิกมี (pygmies ซึ่งมักหมายถึงกลุ่มชนที่ผู้ชายโดยเฉลี่ยมีความสูงต่ำกว่า 150-155 ซ.ม.)
เพราะฉะนั้น คนพิกมีที่มีสภาพแคระโดยโรค อาจจะทำให้เกิดมนุษย์ที่มีรูปร่างคล้าย[[ฮ็อบบิท]]
ข้อขัดแย้งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในเรื่องการจัดเป็นสปีชีส์ต่างหากก็คือ เครื่องมือที่พบเป็นชนิดที่ปกติค้นพบเฉพาะกับ ''H. sapiens''<ref name=Martin2006 />

ถึงกระนั้น สมมติฐานสภาพแคระโดยโรคก็ไม่สามารถอธิบายลักษณะอื่น ๆ ของสปีชีส์นี้ ซึ่งเหมือนกับลิง[[ชิมแปนซี]] หรือกับ hominin ในยุคต้น ๆ เช่น ''Australopithecus'' และที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ปัจจุบัน (ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีโรค)
ลักษณะที่ว่านี้ รวมลักษณะต่าง ๆ ของกะโหลกศีรษะ รูปร่างของกระดูกที่ข้อมือ ที่แขนท่อนปลาย ที่ไหล่ ที่เข่า และที่เท้า<ref name=Tocheri2007>Tocheri ''et al.'' 2007</ref><ref name="NS20Sept">''New Scientist'' 2007-09- 20</ref><ref name = Larson2007>Larson ''et al.'' 2007 {{PDFlink|[https://netfiles.uiuc.edu/ro/www/BiologicalAnthropologyJournalClub/Larson%20et%20al.,%0202007.pdf?uniq&#61;vvve70 PDF online]}} </ref><ref>"Guardian '' 2007-09-21</ref>
นอกจากนั้นแล้ว สมมติฐานยังไม่สามารถอธิบายการมีตัวอย่างหลายตัวอย่างที่มีลักษณะเหมือน ๆ กันเช่นนี้
ซึ่งบ่งว่าเป็นเรื่องสามัญในคนหมู่ใหญ่ ไม่ใช่เป็นลักษณะที่มีอยู่เฉพาะบุคคลเท่านั้น
ในปี ค.ศ. 2009 มีงานวิจัยโดยคำนวณความคล้ายคลึงกันระหว่างสปีชีส์ (cladistic analysis)<ref name=l'Argue2009">Argue, Morwood ''et al.'' 2009</ref> และโดยการวัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย<ref name="Jun_Baab">Jungers and Baab 2009</ref> ที่สนับสนุนสมมติฐานว่าเป็นสปีชีส์ต่างหากจาก ''H. sapiens''

=== ''H. sapiens'' ===
'''''H. sapiens''''' ([[คำวิเศษณ์ ]] ว่า ''sapiens'' เป็น[[ภาษาละติน]]แปลว่า ฉลาด<ref>{{cite book |year=2003 |title=Merriam-Webster Collegiate Dictionary, 11th Edition |location=Springfield, Massachusetts, USA |publisher=Merriam-Webster, Inc. |quote="Etymology: New Latin, species name, from ''Homo'', genus name + ''sapiens'', specific epithet, from Latin, wise, intelligent"..."Date: 1802"}}</ref>)
มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ประมาณ 200,000 ปีก่อน<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
มนุษย์ที่มีกายวิภาคปัจจุบันปรากฏครั้งแรกใน[[ซากดึกดำบรรพ์]]จาก[[แอฟริกา]]เมื่อประมาณ 195,000 ปีก่อน
และงานวิจัยทาง[[อณูชีววิทยา]] (ที่ศึกษาโครงสร้างโมเลกุล) ให้หลักฐานว่า มนุษย์ปัจจุบันทั่วโลกมีบรรพบุรุษร่วมกันก่อนที่จะแยกสายพันธุ์ออกจากกันเมื่อ 200,000 ปีก่อน<ref>{{cite news |url =http://www.nsf.gov/news/newssumm.jsp?cntnid=102968 |title=New Clues Add 40,000 Years to Age of Human Species |publisher=National Science Foundation (NSF) News |date=}}</ref><ref>{{cite news |title=Age of ancient humans reassessed |url =http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/4269299.stm |publisher=BBC News |date=February 16, 2005 |accessdate=April 10, 2010}}</ref><ref>{{cite news |title=The Oldest Homo Sapiens |date=22 May 2005 |url=http://www.sciencedaily.com/releases/2005/02/050223122209.htm |publisher=Science Daily |accessdate=May 15, 2009}}</ref><ref>{{cite journal |author=Alemseged, Z., Coppens, Y., Geraads, D. |title=Hominid cranium from Homo: Description and taxonomy of Homo-323-1976-896 |journal=Am J Phys Anthropol |volume=117 |issue=2 |pages=103-112 |year=2002 |pmid=11815945 |doi=10.1002/ajpa.10032}}</ref><ref>{{cite journal |author=Stoneking, Mark; Soodyall, Himla |title=Human evolution and the mitochondrial genome |journal=Current Opinion in Genetics & Development |volume=6 |issue=6 |pages=731-6 |year=1996 |doi=10.1016/50959-437X(96)80028-1}} </ref>
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
จนถึงปัจจุบัน
คือ ในระหว่าง 250,000-400,000 ปีก่อน
เริ่มปรากฏแนวโน้มการขยายขนาดสมอง{{Efn-ua|name=encephalization}}<ref name=Schoeneman2006 /> และความซับซ้อนของเทคโนโลยี[[เครื่องมือหิน]] ในหมู่มนุษย์
ซึ่งเป็นหลักฐานของ[[วิวัฒนาการ]]ที่เริ่มมาจาก ''H. erectus'' (1.9 ล้านปีก่อน) จนถึง ''H. sapiens'' (200,000 ปีก่อน)
และมีหลักฐานโดยตรงที่บอกว่า มีการอพยพออกจาก[[แอฟริกา]]ของ ''H. erectus'' ก่อน<ref name=Garicia2009 /><ref name=Hopkin2008 />
แล้วจึงเกิดการวิวัฒนาการเป็นสปีชีส์ ''H. sapiens'' สืบมาจาก ''H. erectus/ergaster'' ที่ยังคงอยู่ในแอฟริกา<ref name=Rightmire1998 /> (ผ่าน "H. heidelbergensis/rhodesiensis"<ref name=Stringer2012 />)
แล้วก็มีการอพยพต่อ ๆ มาไปทั้งภายในและภายนอกแอฟริกาประมาณ 50,000-100,000 ปีก่อน ซึ่งในที่สุดก็ทดแทนมนุษย์สายพันธุ์ของ ''H. erectus/ergaster'' ในที่ต่าง ๆ ทั้งหมด<ref name=Johanson2001 />
ทฤษฎีกำเนิดและการอพยพของบรรพบุรุษมนุษย์ปัจจุบันนี้มักจะเรียกว่า ""'''Recent Single Origin'''" (ทฤษฎีกำเนิดเดียวเร็ว ๆ นี้), "'''Recent African Origin'''" (ทฤษฎีกำเนิดในแอฟริกาเร็ว ๆ นี้), หรือ "'''Out of Africa theory'''" (ทฤษฎีออกจากแอฟริกา) เป็นทฤษฏีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดในหมู่นักวิทยาศาสตร์<ref name=Liu2006 />

แต่ว่า หลักฐานที่มีในปัจจุบันไม่ได้ห้ามการเกิดการผสมพันธุ์กัน (admixture{{Efn-ua|name=admixture}}) ระหว่างสปีชีส์ของ ''H. sapiens'' กับกลุ่ม ''Homo'' ที่มีมาก่อนแล้ว และก็ยังไม่สามารถล้มทฤษฎีที่แข่งกันคือ '''''Multiregional Origin''''' (ทฤษฏีกำเนิดมนุษย์หลายเขตพร้อม ๆ กัน)<ref name=Abi-Rached2011 />
ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังไม่มีข้อยุติในสาขาบรรพมานุษยวิทยา (paleoanthropology) (ดูรายละเอียดเพิ่มขึ้นที่หัวข้อ "[[#การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์|การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์]]")

งานวิจัยปัจจุบันได้ทำให้ชัดเจนแล้วว่า มนุษย์ทั้งหมดมี[[กรรมพันธุ์]]ที่คล้ายกันในระดับสูง
ซึ่งก็คือ [[ดีเอ็นเอ]]ของแต่ละคนคล้ายกันเกินกว่าที่ทั่วไปกับสปีชีส์อื่น ๆ (เช่นคนสองคนจากกลุ่มเดียวกันมักมีดีเอ็นเอที่คล้ายคลึงกันมากกว่าลิงชิมแปนซีจากกลุ่มเดียวกัน)<ref name=Johanson2001 />
ซึ่งอาจจะเกิดเพราะเพิ่งเกิดวิวัฒนาการขึ้นเร็ว ๆ นี้ หรืออาจะเป็นเพราะเกิดจุดติดขัดในการขยายประชากร (population bottleneck)
ที่เป็นผลมาจาก[[ภัยธรรมชาติ]]เช่น มหันตภัย[[ภูเขาไฟ]][[ทะเลสาบโตบา]] (Toba catastrophe)<ref name=Ambrose2005>{{cite web |author=Ambrose, Stanley H. |year=2005 |title=Volcanic Winter, and Differentiation of Modern Humans |work=Bradshaw Foundation |url=http://www.bradshawfoundation.com/evolution/ | accessdate=2006-04-08}}</ref><ref name=BBC2-1999>{{cite web |title=Supervolcanoes |url=http://www.bbc.co.uk/science/horizon/1999/supervolcanoes_script.shtml |publisher=BBC2 |year=1999 |accessdate=3 February 2000 }}</ref><!--<ref name=ambrose1998>{{cite journal |author=Ambrose, SH |title=Late Pleistocene human population bottlenecks, volcanic winter, and differentiation of modern humans |journal=[[Journal of Human Evolution]] |year=1998 |volume=34 |issue=6 |pmid=9650103 |pages=623-651 |doi=10.1006/jhev.1998.0219}}</ref>-->
ที่ทำให้ผู้คนในที่ต่าง ๆ ล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำให้มนุษย์ปัจจุบันเป็นเชื้อสายสืบทอดมาจากบุคคลกลุ่มค่อนข้างเล็ก
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ มนุษย์ปัจจุบันมีลักษณะทางกรรมพันธุ์ที่ไม่เหมือนกันใน[[จีโนม]]ค่อนข้างน้อย เป็นเหมือนกับสถานการณ์ที่ชนกลุ่มเล็ก ๆ อพยพเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ (จึงเกิดมีลูกหลานที่มีความแตกต่างกันทางกรรมพันธุ์น้อย) และส่วนเล็กน้อยที่ไม่เหมือนกันนั้น ปรากฏเป็นลักษณะต่าง ๆ เช่นสีผิว<ref>{{cite book |last=Muehlenbein |first=Michael |title=Human Evolutionary Biology |year=2010 |publisher=Cambridge University Press |pages=192-213}}</ref>
และรูปร่างจมูก
รวมทั้งลักษณะภายในเช่นสมรรถภาพในการหายใจอย่างมีประสิทธิภาพในที่สูง<ref>{{cite book |author=Frisancho, AR |title=Human Adaptation and Accommodation |year=1993 |publisher=University of Michigan Press |pages=175-301 |ISBN=0472095110 }} </ref><ref>{{cite web |author=Hillary Mayel |title=Three High-Altitude Peoples, Three Adaptations to Thin Air |date=24 February 2004 | url=http://news.nationalgeographic.co.in/news/2004/02/0224_040225_evolution.html |work=National Geographic News |publisher=National Geographic Society}}</ref>

ส่วน '''''H. sapiens idaltu''''' จาก[[ประเทศเอธิโอเปีย]] เป็นสปีชีส์ย่อย (sub-species) ของ ''H. sapiens'' ที่[[สูญพันธุ์]]ไปแล้วเมื่อประมาณ 160,000 ปีก่อน มีขนาดสมองประมาณ 1,450 ซม<sup>3</sup> ซึ่งผู้ค้นพบให้ความเห็นว่า เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน<ref name=White2003 />

== การใช้เครื่องมือ ==
การใช้เครื่องมือได้รับการตีความหมายว่าเป็นนิมิตของสติปัญญา
มีทฤษฎีว่า การใช้เครื่องมืออาจจะช่วยกระตุ้น[[วิวัฒนาการ]]บางอย่างของ[[มนุษย์]]
โดยเฉพาะในเรื่องการขยายขนาดของสมอง{{Efn-ua |name=encephalization}} ที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
แต่หลักทาง[[บรรพชีวินวิทยา]]ยังไม่สามารถอธิบายการขยายขนาดของสมองเป็นช่วงเวลาหลายล้านปีอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าจะเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานสูง
สมองมนุษย์ปัจจุบันกินพลังงานประมาณ 13 [[วัตต์]]ต่อวัน หรือ 260 [[กิโลแคลอรี]] ซึ่งเป็น 1/5 ของพลังงานที่ร่างกายใช้ทั้งหมดต่อวันโดยเฉลี่ย<ref>{{cite web |title=Does Thinking Really Hard Burn More Calories? |first=Ferris |last=Jabr |url=http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=thinking-hard-calories |date=July 18, 2012 |publisher=Scientific American}}</ref>
การใช้เครื่องมือเพิ่มขึ้นทำให้สามารถแล่เอาเนื้อสัตว์ซึ่งมีพลังงานสูงได้
และช่วยให้สามารถบริหารอาหารพืชที่มีพลังงานสูงได้
ดังนั้น นักวิจัยจึงได้เสนอว่า hominin ในยุคต้น ๆ อยู่ใต้ความกดดันทางวิวัฒนาการเพื่อเพิ่มสมรรถภาพในการสร้างและใช้เครื่องมือ<ref><!-- หลักฐานอ้างอิงไม่สนับสนุนคำที่กล่าว แต่ทิ้งไว้เหมือนกับวิกิอังกฤษ -->{{cite journal |author=Gibbons, Ann |title=Solving the Brain's Energy Crisis |journal=Science |volume=280 |issue=5368 |pages=1345-47 |pmid=9634409 |url=http://worldtracker.org/media/library/Science/Science%20Magazine/science%20magazine%201997-1998/root/data/Science%201997-1998/pdf/1998_v280_n5368/p5368_1345.pdf |format=[[PDF]] |date=29 May 1998 | |layurl=http://www.sciencemag.org/content/280/5368/1345.summary |doi=10.1126/science.280.5368.1345 |laysource=Science Magazine | accessdate=21 กันยายน 2557 }}</ref>

เวลาที่มนุษย์ยุคแรก ๆ เริ่มใช้เครื่องมือเป็นสิ่งที่กำหนดได้ยาก
เพราะว่า เครื่องมือยิ่งง่าย ๆ เท่าไร (เช่น หินมีคม)
ก็ยากที่จะกำหนดว่าเป็นวัตถุธรรมชาติหรือเป็น[[สิ่งประดิษฐ์]]
มีหลักฐานบ้างว่า hominin สาย australopithecine (4 ล้านปีก่อน) ใช้ก้อนหินแตกเป็นเครื่องมือ แต่เรื่องนี้ยังไม่มีข้อยุติ<ref name="HowellBourlière2007">{{cite book |author1=F. Howell |author2=François Bourlière |title=African Ecology and Human Evolution |url=http://books.google.com/books?id=-kOvkb-xbU8 C&pg=PA398 |accessdate=6 November 2011 |date=30 November 2007 |publisher=Transaction Publishers |isbn=978-0-202-36136-9 |page=398}}</ref>{{Efn-ua |name=OldestStoneTool}}

ควรจะสังเกตว่า มีสัตว์หลาย[[สปีชีส์]]ที่ทำและใช้เครื่องมือ<ref>{{cite book |last =Hanselli |first=Michael Henry |title=Animal architecture |url=http://books.google.com/books?id=WdIIbokXxDcC |accessdate=29 June 2011 |year=2005 |publisher=Oxford University Press |isbn=978-0-19-850752-9 |page=1}}</ref>
แต่เป็นสกุลต่าง ๆ ของมนุษย์ที่ทำและใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนเหนือกว่าสัตว์อื่น ๆ ทั้งหมด
เครื่องมือหินเก่าแก่ที่สุดที่รู้จักเป็น[[เครื่องมือหิน]]เทคโนโลยี Oldowan จาก[[ประเทศเอธิโอเปีย]] อายุประมาณ 2.6 ล้านปี เป็นชื่อตามสถานที่คือโกรกธาร Olduvai gorge ที่พบตัวอย่างเครื่องมือหินเป็นครั้งแรก<ref name=Semaw2003 />
ซึ่งเกิดขึ้นก่อน[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Homo'' แรกสุด คือ ''H. habilis'' ที่ 2.3 ล้านปี
และยังไม่มีหลักฐานว่ามีสกุล ''Homo'' ที่เกิดขึ้นโดย 2.5 ล้านปีก่อน
แต่ว่า มีซากดึกดำบรรพ์ของ ''Homo'' ที่พบใกล้เครื่องมือ Oldowan แม้ว่าจะมีอายุประมาณเพียง 2.3 ล้านปี (คือเครื่องมือหินที่พบเก่าแก่กว่า)
ซึ่งบอกเป็นนัยว่า บางทีมนุษย์ ''Homo'' อาจจะเป็นผู้สร้างและใช้เครื่องมือเหล่านี้
แต่เป็นเรื่องเป็นไปได้ที่ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน<ref name=Freeman2007>{{cite book |title=Evolutionary Analysis |edition=4th |last1=Freeman |first1=Scott |last2=Herron |first2=Jon C. |publisher=Pearson Education, Inc. |year=2007 |isbn=978-0-13-227584-2 }}</ref>
และมีนักวิชาการบางพวกที่สันนิษฐานว่าเป็น hominin สาย Australopithecine ที่สร้างเครื่องมือหินขึ้นเป็นพวกแรก<ref name=MyAnthroLab2011>{{cite web |title=Human Evolution |url=http://www.pearsonhighered.com/assets/hip/us/hip_us_pearsonhighered/samplechapter/0205158803.pdf |format=[[PDF]] |pages=20-37 |publisher=MyAnthroLab |year=2011 |accessdate=4 กันยายน 2557}}</ref><ref name=Toth2009>{{cite book | last1=Toth | first1=Nicholas | last2=Schick | first2=Kathy |year=2009 | title=The Human Past: World Prehistory and the Development of Human Societies | edition=2nd | editor-first=Chris | editor-last=Scarre |location=London |publisher=Thames and Hudson | pages=67-68}}</ref><ref name=Encarta2006>{{Citation |last=Potts |first=Richard B. |year=2006 |title = Human Evolution |work=Microsoft Encarta 2006}}</ref>{{Efn-ua |name=OldestStoneTool}}

{{multiple image
|direction = horizontal
|align = right

|header = วิวัฒนาการของ[[มือ]]มนุษย์ที่ทำให้สามารถใช้เครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

|image1 = Third metacarpal bone (left hand) 01 palmar view.png
|caption1 = [[กระดูกฝ่ามือ]]ชิ้นที่สามของมือซ้าย (สีแดง) แสดงฝ่ามือ
|width1 = 225
|image2 = Gray231.png
|width2 = 150
|caption2 = แสดงตัวอย่างของ [[styloid process]] ของกระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 2 และ 4
}}
ส่วนยื่น [[styloid process]] ที่สุดของกระดูกติดกับข้อมือ ของ[[กระดูกฝ่ามือ]]ชิ้นที่สาม (ดูรูป) ช่วยให้กระดูกมือล็อกเข้ากับกระดูกข้อมือได้
ซึ่งทำให้นิ้วโป้งและนิ้วมืออื่น ๆ ที่ใช้จับวัตถุสิ่งของอยู่ สามารถสื่อแรงดันไปที่มือและข้อมือในระดับที่สูงขึ้นได้
ทำให้มนุษย์มีความคล่องแคล่วและมีกำลังในการทำและใช้เครื่องมือที่ซับซ้อน
ลักษณะพิเศษทางกายนี้ทำมนุษย์ให้แตกต่างไปจาก[[เอป]]และ[[ไพรเมต]]ที่ไม่ใช่มนุษย์อื่น ๆ
และไม่พบในซากมนุษย์ที่เก่ากว่า 1.8 ล้านปี<ref name=Ward2013>{{cite journal |doi=10.1073/pnas.1316014110 |title=Early Pleistocene third metacarpal from Kenya and the evolution of modern human-like hand morphology |journal=Proceedings of the National Academy of Sciences |volume=111 |pages=121 |year=2013 |last1=Ward |first1=C. V. |last2=Tocheri |first2=M. W. |last3=Plavcan |first3=J. M. |last4=Brown |first4=F. H. |last5=Manthi |first5=F. K.}}</ref>

นักวิชาการบางท่านให้ข้อสังเกตว่า hominii สกุล ''Paranthropus'' อยู่ร่วมกับสกุล ''Homo'' ในเขตที่พบเครื่องมือหิน Oldowan เป็นครั้งแรก ในช่วงเวลาเดียวกัน
ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานโดยตรงที่บ่งว่า ''Paranthropus'' เป็นผู้สร้างเครื่องมือ แต่ลักษณะทางกายวิภาคก็ให้หลักฐานโดยอ้อมถึงความสามารถในเรื่องนี้
แต่นักบรรพมานุษยวิทยาโดยมากมีมติพ้องกันว่า มนุษย์ ''Homo'' รุ่นต้น ๆ เป็นผู้สร้างและผู้ใช้เครื่องมือ Oldowan ที่พบโดยมาก ไม่ใช่ australopithecine เช่น ''Paranthropus''
คือ อ้างว่า เมื่อพบเครื่องมือ Oldowan กับซากมนุษย์ ก็จะพบ ''Homo'' ด้วย แต่บางครั้งจะไม่พบ ''Paranthropus''<ref name=Freeman2007/>

ในปี ค.ศ. 1994 มีงานวิจัยที่ใช้กายวิภาคของหัวแม่มือที่สามารถจับสิ่งของร่วมกับนิ้วอื่นได้ (opposable thumb) เป็นฐานในการอ้างว่า ทั้งสกุล ''Homo'' และ ''Paranthropus'' สามารถสร้างและใช้เครื่องมือได้
คือได้เปรียบเทียบกระดูกและกล้ามเนื้อของหัวแม่มือระหว่างมนุษย์กับลิง[[ชิมแปนซี]] แล้วพบว่า มนุษย์มีกล้ามเนื้อ 3 ชิ้นที่ชิมแปนซีไม่มี
นอกจากนั้นแล้ว มนุษย์ยังมีกระดูกฝ่ามือ (metacarpal) ที่หนากว่าและมีหัวกระดูกที่กว้างกว่า
ซึ่งสามารถทำให้จับสิ่งของได้แม่นยำกว่าชิมแปนซี
นักวิจัยยืนยันว่า กายวิภาคปัจจุบันของหัวแม่มือมนุษย์เป็นการตอบสนองทางวิวัฒนาการเกี่ยวกับการที่ต้องทำและใช้เครื่องมือ ซึ่ง hominii ทั้งสองสปีชีส์สามารถทำเครื่องมือได้<ref name=Freeman2007 />

== เครื่องมือหิน ==
<gallery>
File:Pierre taillée Melka Kunture Éthiopie fond.jpg |"หินคม" เป็น[[เครื่องมือหิน]] Oldowan ซึ่งพบครั้งแรกที่โกรกธาร Olduvai gorge เป็นเครื่องมือหินขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ ([[ยุคหินเก่า]]ต้น) เริ่มตั้งแต่ ''H. habilis''
File:Acheuleanhandaxes.jpg |ขวานมืออะชูเลียน (Acheulean) จาก[[เคาน์ตีของอังกฤษ|เทศมณฑล]][[เคนต์]] [[สหราชอาณาจักร]] เป็นเครื่องมือหินเหล็กไฟของ ''H. erectus/ergaster'' ([[ยุคหินเก่า]]ต้น)
File:Lame213.4 Global.jpg|มีดหินเหล็กไฟจากวัฒนธรรม Aurignacian [[ประเทศฝรั่งเศส]] ([[ยุคหินเก่า]]ปลาย)
File:Venus of Willendorf frontview retouched 2.jpg |Venus of Willendorf พบใน[[ประเทศออสเตรีย]] เป็นตัวอย่างของศิลปะ[[ยุคหินเก่า]]ปลาย
</gallery>

=== เทคโนโลยี Oldowan - ''H. habilis'' - ยุคหินเก่าต้น ===
การใช้[[เครื่องมือหิน]]เริ่มมีหลักฐานเป็นครั้งแรกเมื่อ 2.6 ล้านปีก่อนเมื่อ ''H. habilis''{{Efn-ua|name=OldestStoneTool}}
ใน[[แอฟริกาตะวันออก]]ใช้เครื่องมือหิน Oldowan ประเภท "มีดสับเนื้อ" ที่ทำจากหินก้อนกลม ๆ (ดูรูป) ที่ทำให้แตกโดยการตีแบบง่าย ๆ<ref name="Plummer2004">{{cite journal |author=Plummer T |title=Flaked stones and old bones: Biological and cultural evolution at the dawn of technology |journal=Am. J. Phys. Anthropol. |volume=Suppl 39 |pages=118-64 |year=2004 |pmid=15605391 |doi=10.1002/ajpa.20157 |url=http://qcpages.qc.edu/anthro/plummer/Plummer_2004.pdf |format=[[PDF]] |accessdate=20 กันยายน 2557}} </ref>
ซึ่งเป็นเครื่องหมายบอกการเริ่มต้นของ[[ยุคหินเก่า]]
ซึ่งดำเนินไปจนสุด[[ยุคน้ำแข็ง]]สุดท้ายที่ประมาณ 10,000 ปีก่อน
ยุคหินเก่าที่เริ่มที่ 2.6 ล้านปีก่อนนี้ แบ่งออกเป็น 3 ช่วงคือ
* ยุคหินเก่าต้น (Lower Paleolithic) หรือยุคหินเก่าล่าง<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
ตั้งชื่อตามชั้นหินที่พบ[[ซากดึกดำบรรพ์]] ที่เก่าที่สุดจะอยู่ล่างสุด
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->ซึ่งยุติที่ 350,000-300,000 ปีก่อน
* ยุคหินเก่ากลาง (Middle Paleolithic) ซึ่งยุติที่ 50,000-30,000 years ปีก่อน
* ยุคหินเก่าปลาย (Upper Paleolithic) หรือยุคหินเก่าบน ซึ่งยุติที่ 10,000 ปีก่อน

=== เทคโนโลยี Acheulean - ''H. ergaster/erectus'' - ยุคหินเก่าต้น ===
สวนช่วงระหว่าง 700,000-300,000 ปีก่อนยังรู้จักว่า สมัย Acheulean อีกด้วย
เพราะเป็นช่วงที่ ''H. ergaster/erectus'' ได้ทำขวานมือมีสองคมจากจาก[[หินเหล็กไฟ]]และหินควอร์ตไซต์ก้อนใหญ่ (ดูรูป)
โดยตอนต้นมีลักษณะหยาบ (Acheulian ต้น) และต่อจากนั้นก็เริ่มมี "การแต่ง" (retouch)
โดยมีการตีอย่างเบา ๆ เพื่อแต่งส่วนที่ตีหยาบ ๆ ก่อนให้คมขึ้น

=== เทคโนโลยี Mousterian - Neanderthal - ยุคหินเก่ากลาง ===
[[ไฟล์:Distribution géographique des sites du Moustérien.jpg|400px|thumb|<center>แสดงสถานที่ต่าง ๆ ที่พบเทคโนโลยี Mousterian]]
หลังจาก 350,000 ปีก่อนในช่วง[[ยุคหินเก่า]]กลาง เทคนิคที่ละเอียดขึ้นที่เรียกว่า Levallois technique ก็มีการพัฒนาขึ้น (เป็นสมัย Mousterian) ซึ่งเป็นการตีหินเป็นลำดับ เป็นเทคนิคที่ใช้สร้างหินขูด (scraper) หินแล่ (slicer) เข็ม และเข็มรูปแบน<ref name=Plummer2004 /> เป็นเทคนิคที่เชื่อกันว่าพัฒนาโดยมนุษย์ Neanderthal เพราะพบเครื่องมือหินที่เก่าแก่ที่สุดใน[[ประเทศฝรั่งเศส]] (330,000-30,000 ปีก่อน)<ref>{{cite journal |author=Skinner et al. |title=New ESR Dates for a New Bone-Bearing Layer at Pradayrol, Lot, France |journal=Abstracts of the PaleoAnthropology Society 2007 Meetings |publisher=PaleoAnthropology |volume= |issue= |pages=A1-A35 |year=2007 |pmid= |doi= |url= |archiveurl= |archivedate= |accessdate=}} </ref> แม้ว่าจะพบในกลุ่มมนุษย์พวกอื่น ๆ อีกด้วย คือที่[[เลแวนต์]] แอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ [[เอเชียกลาง]] และ[[ไซบีเรีย]]<ref name=Shea2003>{{cite journal |last1=Shea |first1=J. J. |title=Neandertals [sic], competition and the origin of modern human behaviour in the Levant |journal=Evolutionary Anthropology |volume=12 |issue= |pages=173-187 |year=2003 }} </ref><ref name=Langer1972>{{cite book |title=An Encyclopedia of World History |editor-last = Langer |editor-first = William L. |edition = 5th | publisher = Houghton Mifflin Company | location = Boston, MA | year = 1972 | isbn = 0-395-13592-3 | pages = 9}}</ref>

=== วัฒนธรรม Aurignacian - ''H. sapiens'' - ยุคหินเก่ากลางและปลาย ===
ประมาณระหว่าง 47,000-27,000 ปี<ref>{{cite journal |last1=Mellars |first1=P |title=Archeology the Dispersal of Modern Humans in Europe: Deconstructing the Aurignacian |journal=Evolutionary Anthropology |volume=15 |issue= |pages=167-182 |year=2006}} </ref>
ใน[[ยุคหินเก่า]]ปลาย ก็เกิดวัฒนธรรม Aurignacian ใน[[ยุโรป]]และ[[เอเชียตะวันตกเฉียงใต้]] ที่เริ่มมีการสร้างมีดหินยาว<ref>{{cite book | last=Lewin | first=R. |last2=Foley |first2=R. A. | year=2004 | title=Principles of Human Evolution |edition=2nd |publisher=Blackwell Science |location=UK | isbn=0-632-04704-6 | page=311}}</ref> ทำเป็นมีด ใบมีด และ skimmer<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
ใช้เฉือนส่วนบนหรือส่วนนอกออก
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
เป็นช่วงเวลานี้ด้วยที่เริ่มปรากฏสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือ
* ภาพศิลป์ในถ้ำ ที่เก่าที่สุดพบในภาคเหนือของ[[ประเทศสเปน]]มีอายุกว่า 40,800 ปี<ref>{{Cite doi|10.1126/science.1219957}} <!-- {{cite journal |author=Pike et Al. |title=U-Series Dating of Paleolithic Art in 11 Caves in Spain |title=Science |date=15 June 2012 |volume=336 (issue=6087 (pages=1409-1413 }}--></ref><ref>{{cite news |url=http://www.bbc.co.uk/news/science-environment-18449711 |title=Red dot becomes 'oldest cave art' |publisher=BBC News |last=Amos |first=Jonathan |date=June 14, 2012 |deadurl=no |archiveurl=http://www.webcitation.org/68RPblIak |archivedate=2012-06-15 |accessdate=15 June 2012 |quote=One motif - a faint red dot - is said to be more than 40,000 years old.}}</ref><ref>{{cite book |last=Clottes |first=Jean |others=Bahn, Paul G. (translator) |title=Chauvet Cave: The Art of Earliest Times |year=2003 |publisher=University of Utah Press |isbn=0-87480-758-1}} Translation of ''La Grotte Chauvet, l'art des origins'', Editions du Seuil, 2001, p. 214.</ref> ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางพวกเสนอว่าอาจวาดโดย Neanderthal<ref>{{cite news |last=Than |first=Ker |title=World's Oldest Cave Art Found—Made By Neanderthals? |url=http://news.nationalgeographic.com/news/2012/06/120614-neanderthal-cave-paintings-spain-science-pike/ |publisher=National Geographic Society |accessdate=30 December 2012 |date=June 14, 2012}}</ref>
* ศิลปะรูปลักษณ์ทั้งของสัตว์และมนุษย์
** ที่เก่าที่สุดของมนุษย์พบที่[[ประเทศเยอรมนี]] เป็นรูป 3 มิติชื่อว่า "Venus of Willendorf" สูง 6 ซม มีอายุ 35,000-40,000 ปีก่อน เป็นศิลปะรูปลักษณ์ของมนุษย์ที่เก่าที่สุดของโลก
** ที่เก่าของสัตว์พบพบที่[[ประเทศเยอรมนี]] เป็นรูป 3 มิติทำด้วยงาชื่อว่า "Lion man of the Hohlenstein Stadel" สูง 29.6 ซม มีอายุ 40,000 ปีเป็นศิลปะรูปลักษณ์ที่เก่าที่สุดของโลก<ref>{{cite news |title=Ice Age Lion Man is world's earliest figurative sculpture |last1=Bailey |first1=Martin |date=Jan 31, 2013 |url=http://www.theartnewspaper.com/articles/Ice-Age-iLion-Mani-is-worlds-earliest-figurative-sculpture/28595 |publisher=The Art Newspaper |accessdate=Feb 01, 2013}}</ref>
* เครื่องดนตรี ที่เก่าที่สุดในโลกเป็น[[ขลุ่ย]]ทำด้วย[[งา (อวัยวะ)|งา]]มีอายุ 42,000 ปี พบใน[[ประเทศเยอรมันนี]]<ref>{{cite news |title=Earliest music instruments found |date=25 May 2012 |url=http://www.bbc.co.uk/news/science-environment-18196349 |publisher=BBC News}}</ref>
สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ แสดงถึงพฤติกรรมปัจจุบัน (behavioral modernity{{Efn-ua |name=ModernBehavior}}) ของมนุษย์ที่ปรากฏชัดเจนในช่วงนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้นักวิชาการสัมพันธ์วัฒนธรรม Aurignacian กับ ''H. sapiens'' คือมนุษย์ปัจจุบัน (เป็นกลุ่มมนุษย์ต้นตระกูลคน[[ยุโรป]]ที่เรียกว่า Cro-Magnon) ที่สันนิษฐานว่า อพยพเข้าไปในยุโรปในช่วงเวลานี้<ref name=Paleoanthropology2012>{{cite book |title=Paleoanthropology/Fossil Hominins |chapter=12 The Origin and Dispersal of Modern Human |url=http://anthropology.msu.edu/iss220-fs12/files/2012/08/understanding_humans_ch12.pdf |format=[[PDF]] |last1= |first1= |last2= |first2= |publisher= |location= |year=2012 |pages=284-310}}</ref><ref name=Miller2006>{{cite book |title=Anthropology |last1=Miller |first1=Barbara D |last2=Wood |first2=Bernard |last3=Balkansky |first3=Andrew |last4=Mercader |first4=Julio |last5=Panger |first5=Melissa |publisher=Allyn & Bacon |location=Boston, MA |year=2006 |chapter=8 Modern Humans: Origins, Migrations, and Transitions |pages=223-253 |url=http://www.ablongman.com/html/productinfo/millerwood/MillerWood_c08.pdf |format=[[PDF]]}}</ref><ref name=Finlayson2005 /><ref name=Johanson2001 />
และทำให้เกิดการสันนิษฐานที่ยังไม่มีข้อยุติว่า มนุษย์ Neanderthal อาจจะไม่สามารถแข่งขันกับมนุษย์ปัจจุบันผู้มีเทคโนโลยีและพฤติกรรมที่ก้าวหน้ากว่าเช่นนี้ แล้วจึงนำไปสู่[[การสูญพันธุ์]]<ref>{{cite book |title=Neanderthal: Neanderthal Man and the Story of Human Origins |last1=Jordan |first1=P |publisher=The History Press |year=2001 |isbn=978-0-7509-2676-8}}</ref> ประมาณ 30,000 ปีก่อน
นอกจากข้อสันนิษฐานนี้แล้ว ก็ยังมีข้อสันนิษฐานอื่น ๆ อีกด้วยเป็นต้นว่า ช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันประมาณ 10,000 ปีของมนุษย์ทั้งสองพวกนี้ ประชากรมนุษย์ปัจจุบันเกิดการประทุมากขึ้นเป็นสิบเท่าทำให้มีจำนวนมากกว่า Neanderthal อย่างมาก ซึ่งอาจทำให้ Neanderthal แข่งขันสู้ไม่ได้เพียงเพราะเหตุแห่งจำนวนนั้น<ref name=Mellars2011 />
หรือว่า ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเป็นเหตุนำไปสู่การสูญพันธุ์ของ Neanderthal<ref>{{cite journal |last1=Beeton |first1=Tyler |title=The Neandertal Extinction: A climate affair or those pesky moderns? |journal=Furthering Perspectives: Anthropological Views of the World |volume=5 |pages=2-20 |year=2011-2012 |issn=1941-1731 |publisher=Anthropology Graduate Student Society, Colorado State University |url=http://anthropology.colostate.edu/wp-content/files/2013/05/FurtheringPerspectivesVol5.pdf |format=[[PDF]] }} </ref>

อย่างไรก็ดี ก็ยังมีที่อื่น ๆ นอกยุโรปที่ปรากฏวัฒนธรรม Aurignacian อีกด้วย รวมทั้ง[[เอเชียตะวันตกเฉียงใต้]]คือ[[ประเทศซีเรีย]] เขต[[ปาเลสไตน์]] กับ[[ประเทศอิสราเอล]] และเขต[[ไซบีเรีย]]<ref name=Langer1972 />
เครื่องมือหินที่ทำเป็นมีดยาวในแอฟริกาที่เก่าที่สุดพบที่โบราณสถาน Kapthurin [[เคนยา]] และเครื่องมือแบบผสมจาก Twin Rivers [[แซมเบีย]] ทั้งสองมีอายุอาจมากถึง 300,000 ปี<ref name=Miller2006 />
นอกจากนั้น เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 ก็เริ่มมีหลักฐานจากถ้ำ Blamboo Cave<ref name=Jacobs2013>{{cite journal |author = Jacobs, Zenobia, et al.; |title=An improved OSL chronology for the Still Bay layers at Blombos Cave, South Africa: further tests of single-grain dating procedures and a re-evaluation of the timing of the Still Bay industry across southern Africa |journal=Journal of Archaeological Science |volume=40 |issue= |pages=579-594 |year=2013 |pmid= |doi= |url= |archiveurl= |archivedate= |accessdate=}} </ref><ref name=Henshilwood2011>{{cite journal |author=Henshilwood, Christopher S., et al. |title=A 100,000-Year-Old Ochre-Processing Workshop at Blombos Cave, South Africa |journal=Science |volume=334 |issue= |pages=219-222 |year=2011}} </ref><ref name=Tribolo2006>{{cite journal |author=Tribolo, C., et al. |year=2006 |title=TL dating of burnt lithics from Blombos Cave (South Africa): further evidence for the antiquity of modern human behaviour |journal=Archaeometry |volume=48 |pages=341-357}}</ref><ref name=Jacobs2006>Jacobs, Z., et al. (2006). {{PDFlink |1=[http://tracsymbols.eu/files/henshilwood-published-papers-selected/Jacobs%20et%20al%20%202006%20BBC%20OSL%20dating%20JHE.pdf "Extending the chronology of deposits at Blombos Cave, South Africa, back to 140 ka using optical dating of single and multiple grains of quartz"] |2=586&nbsp;KB}}. ''Journal of Human Evolution'' 51: 255-73.</ref>
และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 จากแหลม Pinnacle Point<ref name=Henshilwood2002>{{Cite doi|10.1126/science.1067575 }} <!--Henshilwood, C.S. et al (2002) Emergence of modern human behavior : Middle Stone Age engravings from South Africa --></ref>
(ทั้งสองใน[[ประเทศแอฟริกาใต้]]) เป็น[[สิ่งประดิษฐ์]]ต่าง ๆ ที่นักวิชาการได้ใช้เป็นหลักฐานของ "พฤติกรรมปัจจุบัน" ของมนุษย์ แต่มีกำหนดอายุในช่วง[[ยุคหินเก่า]]กลาง (100,000-70,000 ปีก่อน) ซึ่งเก่ากว่าที่พบในยุโรป ทั้งหมดเป็นหลักฐานคัดค้านทฤษฎี "Great Leap Forward" (การกระโดดก้าวไปข้างหน้า) ของพฤติกรรมปัจจุบันที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน<ref name=Marean2007>{{Cite doi|10.1038/nature06204}} <!-- {{citation Ilastl= Marean, Curtis W. et al. Idate= October 18, 2007 Ititle=Early Human use of marine resources and pigment in South Africa during the Middle PleistoceneI journal=Nature Ivolume=4491pages=905-9081 url=http://www.mendeley.com/catalog/early-human-marine-resources-pigment-south-africa-during- middle-pleistocene-2/# Iaccessdate= April 3, 2013 I pmid=17943129}} --></ref>
ที่จะกล่าวต่อไป

== การเปลี่ยนมามีพฤติกรรมปัจจุบัน ==
จนกระทั่งถึงประมาณ 50,000-40,000 ปีก่อน การใช้[[เครื่องมือหิน]]ดูเหมือนจะมีการพัฒนาเป็นขั้น ๆ
โดยในแต่ละก้าว ''H. habilis'', ''H. ergaster'', และ ''H. neanderthalensis'' จะเริ่มต้นตรงที่สูงขึ้นจากขั้นก่อน ๆ
แต่เมื่อเริ่มแล้ว การพัฒนาต่อ ๆ ไปจะเป็นไปอย่างล่าช้า
ในปัจจุบัน นักบรรพมานุษยวิทยายังพิจารณากันอยู่ว่า สปีชีส์ของ ''Homo'' เหล่านี้
มีลักษณะทาง[[วัฒนธรรม]]หรือ[[พฤติกรรม]]บางอย่างหรือหลายอย่าง ที่เหมือนกับมนุษย์ปัจจุบันเช่น ภาษา
ความคิดทางสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน ความคิดสร้างสรรค์ทางเทคโนโลยี ฯลฯ หรือไม่
เพราะว่า มนุษย์เหล่านั้นดูเหมือนว่า จะค่อนข้างอนุรักษ์นิยมในเรื่องวัฒนธรรม เพราะรักษาไว้ซึ่งการใช้เทคโนโลยีง่าย ๆ และรูปแบบการแสวงหาอาหารเป็นช่วงระยะเวลายาวนาน

ประมาณ 50,000 ปีก่อน วัฒนธรรมของมนุษย์ปัจจุบันจึงปรากฏหลักฐานว่าเริ่มพัฒนาเร็วขึ้น
การเปลี่ยนแปลงมามีพฤติกรรมปัจจุบันได้รับการกำหนดว่าเป็น "Great Leap Forward" (การกระโดดก้าวไกลไปข้างหน้า) ของคน[[ยูเรเชีย]]<ref name=Diamond1999>{{cite book | last = Diamond | first = Jared | title = Guns, Germs, and Steel: The Fate of Human Societies | publisher = W. W. Norton | year = 1999 | isbn = 978-0-393-31755-8 | page = 39 }}</ref>
หรือเป็น "Upper Palaeolithic Revolution" (ปฏิวัติยุคหินเก่าปลาย)<ref name=Bar-Yosef2002>{{cite journal |last1=Bar-Yosef |first1=Ofer |title=The Upper Paleolithic Revolution |journal=Annual Review of Anthropology |volume=31 |pages=363-393 |year=2002 }} </ref>
เพราะการปรากฏอย่างฉับพลันของหลักฐานทาง[[โบราณคดี]] ที่บ่งถึงพฤติกรรมปัจจุบันของมนุษย์
แต่ว่า นักวิชาการบางท่านพิจารณาการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ลักษณะบางอย่างปรากฏขึ้นแล้วบ้างในสาย Archaic ''Homo sapiens'' ในแอฟริกาช่วง 200,000 ปีก่อน<ref name=d'Errico2011>{{cite journal |last1=d'Errico |first1=Francesco |last2=Stringer |first2=Chris B |title=Evolution, revolution or saltation scenario for the emergence of modern cultures? |journal=Phil. Trans. R. Soc. B |volume=366 |issue=1567 |pages=1060-1069 |date = 12 April 2011 |year=2011 |doi=10.1098/rstb.2010.0340 }} </ref><ref name=Nowell2010>{{cite journal |last1=Nowell |first1=April |title=Defining Behavioral Modernity in the Context of Neandertal and Anatomically Modern Human Populations |journal=Annual Review of Anthropology |volume=39 |issue= |pages=437-452 |year=2010 |doi=10.1146/annurev.anthro.012809.105113 }} </ref>
ดังที่แสดงโดยหลักฐานจากถ้ำ Blamboo Cave ใน[[ประเทศแอฟริกาใต้]]<ref name=Jacobs2013 />

ในช่วงนี้ มนุษย์ปัจจุบันเริ่มฝังคนตาย<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|มีหลักฐานว่า Neanderthal เป็นมนุษย์พวกแรกที่ตั้งใจฝังคนตาย โดยฝังในหลุมตื้น ๆ พร้อมกับ[[เครื่องมือหิน]]และกระดูกสัตว์ (ซึ่งตีความหมายว่าเป็นเพราะมีความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตาย)<ref>{{Cite web |title=The World's Largest Neanderthal Finding Site | publisher=Culturenet Iaccessdate=7 August 2010 |url=http://www.culturenet.hr/default.aspx?id=23639&pregled=1&datum=9.1.2009%2015:00:13 }}</ref> แต่ว่ามีนักวิชาการที่คัดค้านว่า ซากเหล่านี้อาจเกิดการฝังเพราะเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อทางจิตวิญญาณ<ref>{{cite web |title=Evolving in their graves: early burials hold clues to human origins - research of burial rituals of Neanderthals |publisher= |accessdate= |url=http://findarticles.com/p/articles/mi_m1200/is_24_160/ai_81827792/pg_1 }}</ref>

ส่วนหลักฐานที่ไม่มีใครคัดค้านที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุ 100,000 ปี เป็นซากของมนุษย์ที่แต้มสีเหลืองหรือส้มหรือน้ำตาลที่ทำจากดิน พบในถ้ำ Skhul ใน[[ประเทศอิสราเอล]] ซึ่งมีของต่าง ๆ ฝังรวมกับผู้ตาย<ref>{{cite book |title=Uniquely Human |last1= |first1= |publisher= |location= |year= |pages=163 |isbn= |url=http://books.google.com/books?id=3tS2MULo5rYC&pg=PA163&dq=Uniquely+Human++qafzeh&ei=F-AeR_ntI5WGpgLkrsWzBg&sig=k7GcMg8PU_B6tX56Cf95ENxmJIQ}}</ref>
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
ใช้เสื้อผ้า<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
งานวิจัยโดยประเมินระยะเวลาการแยกสายพันธุ์ของเหาตัวและเหาศีรษะ ซึ่งนักวิชาการใช้อนุมานถึงการใช้เสื้อผ้า ประเมินเวลาการใช้เสื้อผ้าของมนุษย์ที่ระหว่าง 83,000 - 170,000 ปีก่อน<ref>{{cite doi|10.1093/molbev/msq234}} {{PDFlink |1=[http://mbe.oxfordjournals.org/content/28/1/29.full.pdf Full PDF] |2=237&nbsp;KB}}<!-- Toups et. al (2010) Origin of Clothing Lice Indicates Early Clothing Use by Anatomically Modern Humans in Africa --></ref>
หรือระหว่าง <!-- the errata indicates the 72,000 figure should be adjusted to 107,000 and the +- 42,000 is unaffected-->65,000 - 149,000 ก่อน<ref>{{Cite pmid|12932325}} <!-- Ralf Kittler et Al. (2003) Molecular evolution of ''Pediculus humanus'' and the origin of clothing --></ref>
ส่วนนัก[[โบราณคดี]]ได้พบเข็มเย็บเสื้อผ้าทำด้วยกระดูกและงาใน[[ประเทศรัสเซีย]]มีอายุประมาณ 30,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช<ref>{{cite news |last1=Hoffecker |first1=J |last2=Scott |first2=J |title=Excavations In Eastern Europe Reveal Ancient Human Lifestyles |date=March 21, 2002 |accessdate= |url=http://www.colorado.edu/news/r/b278a670675fd8d2ca0700cdc0e9d808.html |publisher=University of Colorado at Boulder News Archive }}</ref>
พบใย[[ฝ้าย]]ย้อมสีที่อาจใช้ทำเสื้อผ้าในถ้ำ[[ก่อนประวัติศาสตร์]]ใน[[ประเทศจอร์เจีย]]มีอายุ 36,000 ปีก่อน<ref>{{Cite doi|10.1126/science.3251329a}}<!-- Balter M. (2009). Clothes Make the (Hu) Man. Science,325 (5946):1329. PMID 19745126--></ref><ref>{{Cite doi|10.1126/science.1175404}}<!-- Kvavadze E, Bar-Yosef 0, Belfer-Cohen A, Boaretto E,Jakeli N, Matskevich Z, Meshveliani T. (2009).30,000-Year-Old Wild Flax Fibers. Science, 325 (5946):1359. PMID 19745144 [http://www.sciencemag.org/cgi/data/325/5946/1359/DCl/l Supporting Online Material]--></ref>
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
ล่าสัตว์ด้วยเทคนิคที่ซับซ้อนขึ้น (เช่นใช้หลุมพราง หรือขับต้อนสัตว์ให้ตกหน้าผา) และทำงานศิลป์เกี่ยวกับภาพวาดในถ้ำ<ref name=Ambrose2001>{{cite journal |author=Ambrose SH |title=Paleolithic technology and human evolution |journal=Science |volume=291 |issue=5509 |pages=1748-53 |year=2001 |pmid=11249821 |doi=10.1126/science.1059487 |bibcode = 2001Sci...291.1748A }}</ref>
เมื่อวัฒนธรรมเจริญขึ้น มนุษย์กลุ่มต่าง ๆ ก็เริ่มสร้างสิ่งใหม่ ๆ เสริมเข้ากับเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว
สิ่งประดิษฐ์เช่น เบ็ดปลา ลูกกระดุม และเข็มกระดูก มีความแตกต่างกันระหว่างมนุษย์กลุ่มต่าง ๆ
ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นในวัฒนธรรมมนุษย์ก่อน 50,000 ปีก่อน
คือโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว กลุ่มต่าง ๆ ของ ''H. neanderthalensis'' ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันทางเทคโนโลยี

ในบรรดาตัวอย่างที่สามารถหาหลักฐานทาง[[โบราณคดี]]ได้ของพฤติกรรมมนุษย์ปัจจุบัน นัก[[มานุษยวิทยา]]รวมเอา<ref name=Shea2011>{{Cite AV media |title=Bones, Stones and Genes: The Origin of Modern Humans |series=Lecture 3 - Stone Tools And the Evolution of Human Behavior |year=2011 |accessdate=9 กันยายน 2557 |last=Shea |first=John J. |publisher=Howard Hughes Medical Institute (2011 Holiday Lecture Series) |location=rtmp://media.hhmi.org/vod//mp4:11Lect3_2000_jw.mp4 |format=[[MP4]] }}</ref><ref name=Miller2006 /><ref name=Calivin2004>{{cite web |url=http://williamcalvin.com/BHM/ch9.htm |title=A Brief History of the Mind |publisher=Oxford University Press |chapter=9 |publisher = William H. Calvin | date=2003-09-01 |accessdate=2009-09-10}}</ref>
{{clear}}
{{Div col|2}}
* การทำเครื่องมือเฉพาะกิจ เครื่องมือฝสม หรือเครื่องมือที่ทำได้อย่างละเอียดละออ (เช่นเครื่องมือหินที่ประกอบกับด้าม)
* อาวุธที่ใช้ยิงได้ (เช่นธนู)
* การเล่นเกมและดนตรี
* เรือหรือแพ
* เครื่องใช้ดินเผา
* การก่อสร้างและการจัดระเบียบของที่อยู่
* เทคนิคการล่าสัตว์ที่ซับซ้อน
* การตกปลา และการจับสัตว์เล็ก ๆ เช่นกระต่ายเป็นต้น
* การหุงอาหารและการปรุงอาหาร คือไม่ได้ทานอย่างดิบ ๆ
* การเก็บรักษาอาหารเป็นเสบียง
* สัตว์เลี้ยง
* เครือข่ายการแลกเปลี่ยนสินค้า
* การไปได้ในที่ไกล ๆ
* ศิลปะรูปลักษณ์คือรูปสัตว์และรูปมนุษย์เป็นต้น (เช่นภาพวาดในถ้ำ)
* การใช้สี เช่นสีดิน และเครื่องประดับเพื่อการประดับตกแต่งที่อยู่หรือร่างกาย
* การฝังศพพร้อมกับวัตถุต่าง ๆ
{{Div col end}}
แต่ว่า การหาข้อยุติก็ยังเป็นไปว่า มี "การปฏิวัติ" ที่เกิดโดยฉับพลันที่นำมาสู่พฤติกรรมของมนุษย์ปัจจุบัน
หรือว่า เป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเริ่มต้นตั้งแต่ 250,000-300,000 ปีก่อน<ref name=Mcbrearty2000 />
นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีนักวิชาการที่คัดค้านด้วยว่า ตัวอย่างพฤติกรรมปัจจุบันให้ความสำคัญกับหลักฐานที่มีใน[[แอฟริกา]]น้อยเกินไป (ซึ่งหายากกว่าเก็บรักษาไว้ได้ในสภาพที่แย่กว่าเพราะภูมิอากาศ) หรือคลุมเครือเกินไปเพราะว่าสามารถอธิบายได้โดยเหตุผลอื่นที่ง่ายกว่า หรือมีปัญหาในการใช้วิธีและมาตรฐานทดสอบเดียวกันในช่วงสมัยต่าง ๆ กัน<ref>{{cite journal |last1=Henshilwood |first1= Christopher S |last2=Marean |first2=Curtis W |title=The Origin of Modern Human Behavior: Critique of the Models and Their Test Implications |journal=Current Anthropology |volume=44 |issue=5 |pages= 627-651 |date=December 2003 |pmid= |doi= |url=http://www.jstor.org/stable/10.1086/377665?origin=JSTOR-pdf |format=[[PDF]] |archiveurl=http://dwiki.csbs.utah.edu/PDFs/oconnell/Henshilwood_Marean_CA_2003.pdf |deadurl=no |archivedate=2003-10-24 |accessdate=4 กันยายน 2557}} </ref>
นอกจากนั้นแล้ว ก็เริ่มจะปรากฏหลักฐานที่คัดค้านทฤษฎี "Great Leap Forward" (การกระโดดก้าวไปข้างหน้า) คือพบสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้เป็นหลักฐานแสดงพฤติกรรมปัจจุบันของมนุษย์ใน[[แอฟริกาใต้]]ในช่วงยุคหินเก่ากลาง
ที่เก่าแก่กว่าที่พบยุโรป<ref name=Jacobs2013 /><ref name=Henshilwood2002 />

== วิวัฒนาการของมนุษย์ในเร็ว ๆ นี้และในปัจจุบัน ==
[[การคัดเลือกโดยธรรมชาติ]]ก็ยังเป็นไปในมนุษย์ปัจจุบันกลุ่มต่าง ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ในมนุษย์กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคที่ทำให้อ่อนกำลังอย่างรุนแรงคือโรคคูรุ<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua|
'''โรคคูรุ''' เป็นการติดเชื้อไวรัสนอกแบบที่ระบบประสาทส่วนกลาง พบที่[[ประเทศปาปัวนิวกินี]] เป็นโรคประสาทเสื่อมที่แก้ไขไม่ได้เกิดจาก[[พรีออน]]หนึ่งที่มีในมนุษย์<ref name="pmid18316717">{{Cite pmid |18316717}} {{PDFlink |[http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/pmid/18316717/ Full PDF]}}<!-- {{cite journal |author=Wadsworth JD et Al. |title=Kuru prions and sporadic Creutzfeldt-Jakob disease prions have equivalent transmission properties in transgenic and wild-type mice |journal=Proc. Natl. Acad. Sci. U.S.A. |volume=105 |issue=10 |pages=3885-90 |date=March 2008 |pmc=2268835 |doi=10.1073/pnas.0800190105 |url=http://www.pnas.org/cgi/pmidlookup?view=long&pmid=183167171 }}--></ref>
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->
ปรากฏคนที่มียีน[[พรีออน]] G127 V ซึ่งเป็น[[อัลลีล]]เป็นยีนรูปแปรที่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคมากกว่า[[อัลลีล]]ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน
ความชุกของ[[การกลายพันธุ์]] (หรือรูปแปรทางกรรมพันธุ์) เช่นนี้ เกิดขึ้นเพราะการรอดชีวิตของบุคคลผู้มีภูมิต้านทานโรค<ref>{{Cite news |last=Medical Research Council (UK) |title=Brain Disease 'Resistance Gene' evolves in Papua New Guinea community; could offer insights Into CJD |newspaper=Science Daily (online) |location=Science News |date=November 21, 2009 |url=http://www.sciencedaily.com/releases/2009/11/091120091959.htm |accessdate=2009-11-22 |archiveurl=http://www.webcitation.org/5uQpeiOxE |archivedate=2010-11-22 |deadurl=no}}</ref><ref>{{Cite doi |10.1056/NEJMoa0809716}}<!-- Mead et al. (2009) "A Novel Protective Prion Protein Variant that Colocalizes with Kuru Exposure"--></ref>
วิวัฒนาการที่พบในมนุษย์กลุ่มอื่น ๆ รวมทั้งวัยเจริญพันธุ์ที่มีระยะยาวขึ้น บวกกับการลดระดับของ[[คอเลสเตอรอล]] [[กลูโคส]]ในเลือด และความดันเลือด<ref>{{Cite doi |10.1073/pnas.0906199106}} {{PDFlink |[http://www.pnas.org/content/107/suppl_1/1787.full.pdf Full PDF] |1.03&nbsp;MB}} <!--Natural selection in a contemporary human population, Byars et. Al (2010)--> </ref>

มีการเสนอว่า วิวัฒนาการของมนุษย์ได้เร่งเร็วขึ้นตั้งแต่เกิดการพัฒนาทาง[[เกษตรกรรม]]และ[[อารยธรรม]]เมื่อ 10,000 ปีก่อน
และนี่ทำให้เกิดความแตกต่างทาง[[กรรมพันธุ์]]อย่างสำคัญในกลุ่มต่าง ๆ ของมนุษย์<ref>{{cite book |last1=Cochran |first1=G |last2=Harpending |first2=H |title=The 10,000 Year Explosion |publisher=Basic Books |location=New York |year=2009 |isbn=0-465-00221-8}}</ref>
การมี[[เอนไซม์]]แล็กเทสในวัยผู้ใหญ่ (Lactase persistence) คือการที่ยังมีการทำงานของเอนไซม์แล็กเทสเพื่อย่อย[[แล็กโทส]]ซึ่งเป็นน้ำตาลในนมตลอดจนถึงวัยผู้ใหญ่ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้<ref name="Bersaglieri et al. 2004">{{Cite doi|10.1086/421051}} <!-- Todd Bersaglieri et al. (2004). "Genetic Signatures of Strong Recent Positive Selection at the Lactase Gene" --></ref>
เพราะว่าโดยปกติของ[[สปีชีส์]]ต่าง ๆ ใน[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม]] การทำงานของเอนไซม์จะลดลงอย่างสำคัญหลังจากเลิกนม<ref name="Swallow2003">{{Cite doi|10.1146/annurev.genet.37.110801.143820}} <!-- Swallow (2003). "Genetics Of Lactase Persistence And Lactose Intolerance"--></ref>
แต่ในกลุ่มต่าง ๆ ของมนุษย์ปัจจุบัน มีส่วน[[เปอร์เซ็นต์]]ของประชากรที่ไม่เท่ากันที่มี[[ยีน]]ที่ทำให้มีเอนไซม์แล็กเทสในวัยผู้ใหญ่ คือเริ่มตั้งแต่[[ชาวดัตช์]]ที่ 99%<ref>{{cite web |author=Timo Sahi |title=Genetics and epidemiology of adult-type hypolactasia with emphasis on the situation in Europe |publisher=Scandinavian Journal of Nutrition/Naringsforskning |date= N/A}}</ref>
จนถึง[[ชาวไทย]]ที่ 2%<ref name=Kretchmer1972>{{cite journal |author=Kretchmer N |title=Lactose and lactase |journal=Sci. Am. |volume=227 |issue=4 |pages=71-8 |year=1972 |pmid=4672311}}</ref>
และ[[กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกา]]ที่ 0%<ref name=Kretchmer1972 /> ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเป็นกลุ่มประชากรที่บริโภคนมในวัยผู้ใหญ่เป็นเวลามายาวนานในประวัติหรือไม่

อย่างไรก็ดี วิวัฒนาการของมนุษย์ที่ปรากฏเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนจะจำกัดอยู่ในเรื่องภูมิต้านทานต่อโรคติดต่อโดยมาก
เป็นโรคที่มนุษย์ติดข้ามสปีชีส์มาจากสัตว์เลี้ยง<ref name=Diamond2002>{{cite book |author=Diamond, Jarrad |title=Guns, Germs and Steel |publisher=Penguin |location=United States |year=2002 |isbn=0-393-03891-2 |oclc=35792200}}</ref>
แต่เพราะไร้เหตุกดดันทาง[[การคัดเลือกโดยธรรมชาติ]] หรือเพราะไร้โอกาสที่จะเกิดสปีชีส์ใหม่ เช่นโอกาสการอยู่แยกต่างหากโดยไม่ติดต่อคนอื่นนอกพื้นที่ วิวัฒนาการของมนุษย์เร็ว ๆ นี้ (รวมที่ปรากฏและไม่ปรากฏ) โดยมากก็จะเป็นการเปลี่ยน[[ความถี่]][[ยีน]]อย่างไม่เจาะจง (genetic drift)
นอกจากนั้นแล้ว ยังปรากฏอีกด้วยว่า ทั้งมนุษย์ทั้ง[[วงศ์ลิงใหญ่]]แอฟริกัน (รวมกอริลลาและชิมแปนซี) ปรากฏการวิวัฒนาการที่ช้าลงจากลิงสายพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพราะแต่ละชั่วอายุมีความยาวนานยิ่งขึ้น<ref name=Bradley2008 />

== ประมวลข้อมูลมนุษย์สปีชีส์ต่าง ๆ ==
* ลำดับการเกิดขึ้น ดู [[วิวัฒนาการของมนุษย์/แผนภูมิสปีชีส์ตามกาลเวลา|แผนภูมิสปีชีส์ตามกาลเวลา]]
* การเปรียบเทียบมนุษย์สกุล''โฮโม'' ดู [[วิวัฒนาการของมนุษย์/ตารางเปรียบเทียบสปีชีส์ต่าง ๆ ของมนุษย์สกุลโฮโม|ตารางเปรียบเทียบสปีชีส์ต่าง ๆ ของมนุษย์สกุลโฮโม]]

=== รายชื่อสปีชีส์ ===
รายชื่อนี้เป็นไปตามลำดับเวลาจากซ้ายไปขวาโดย[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ให้แทนอักษรย่อในทวินามด้วยชื่อสกุล
{{Multicol}}
* ''Sahelanthropus''
** ''S. tchadensis''
* ''Orrorin''
** ''O. tugenensis''
* ''Ardipithecus''
** ''A. kadabba''
** ''A. ramidus''

{{Multicol-break}}
* ''Australopithecus''
** ''A. anamensis''
** ''A. afarensis''
** ''A. bahrelghazali''
** ''A. africanus''
** ''A. garhi''
** ''A. sediba''
* ''Paranthropus''
** ''P. aethiopicus''
** ''P. boisei''
** ''P. robustus''
* ''Kenyanthropus''
** ''K. platyops''

{{Multicol-break}}
* ''[[Homo]]''
** ''H. gautengensis''
** ''H. habilis''
** ''H. rudolfensis''
** ''H. ergaster''
** ''H. georgicus''
** ''H. erectus''
** ''H. cepranensis''
** ''H. antecessor''
** ''H. heidelbergensis''
** ''H. rhodesiensis''
** ''H. neanderthalensis'' (Neanderthal)
** ''H. sapiens idaltu''
** ''H. sapiens'' (Cro-Magnon)
** ''H. sapiens sapiens''
** ''H. floresiensis''
** Denisova hominin หรือ Denisovan (สปีชีส์ยังไม่ได้กำหนด)
** Red Deer Cave people (สปีชีส์ยังไม่ได้กำหนด)
{{Multicol-end}}


== ดูเพิ่ม ==
== ดูเพิ่ม ==
* [[เอป]] (Hominoidea)
* [[โฮโม]]
* [[ยุคก่อนประวัติศาสตร์]]
* [[อนุกรมวิธาน]]
* [[อนุกรมวิธาน]]
* [[การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์]]


== เชิงอรรถ ==
{{notelist|group=upper-alpha|2}}

== แหล่งข้อมูลอื่น ๆ ==
แหล่งข้อมูลแบ่งเป็นสองส่วนเพราะว่าหลักฐานเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 มักจะมีข้อมูลทาง[[พันธุศาสตร์]]รวมเข้ามาด้วย
=== ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ===
{{refbegin|2}}
* {{cite journal |date=2002-08-22 |last1=Enard |first1=Wolfgang |title=Molecular evolution of FOXP2, a gene involved in speech and language |journal=Nature |volume=418 |pages=869-72 [870] |doi=10.1038/nature01025 |issue=6900 |pmid=12192408 |last2=Przeworski |first2=Molly |last3=Fisher |first3=Simon E. |last4=Lai |first4=Cecilia S. L. |last5=Wiebe |first5=Victor |last6=Kitano |first6=Takashi |last7=Monaco |first7=Anthony P. |last8=Pääbo |first8=Svante}}
* {{Cite doi|10.1016/j.evolhumbehav.2004.08.005}} {{PDFlink |[http://web.missouri.edu/~gearyd/Flinnetal2005.pdf Full text.] |345&nbsp;KB}}<!--Flinn et Al. (2005). Ecological dominance, social competition, and coalitionary arms races: Why humans evolved extraordinary intelligence. ''Evolution and Human Behavior'', 26 10-46.-->
* {{cite book |author=Gibbons, Ann |title=The First Human: The Race to Discover our Earliest Ancestor |publisher=Anchor Books |year=2007 |isbn=978-1-4000-7696-3 }}
* {{Cite book |editor= Hartwig, Walter |title = The Primate Fossil Record |publisher = Cambridge University Press |year = 2002. Reprinted 2004 |isbn = 978-0-521-08141-2 |url=http://books.google.com/?id=Ezm1OA_s6isC&printsec=frontcover&dq=hartwig+primate&cd=1#v=onepage&q&f=false }}.
* {{cite journal |author=Heizmann, Elmar P J, Begun, David R |title=The oldest Eurasian hominoid |journal=Journal of Human Evolution |volume=41 |issue=5 |year=2001 |pmid=11681862 |doi=10.1006/jhev.2001.0495 |pages=463-81}}
* {{cite book |last1=Johanson |first1=Donald |last2=Wong |first2=Kate |title=Lucy's Legacy: The Quest for Human Origins |publisher=Three Rivers Press |location= |year=2009 |pages= |isbn=978-0-307-39640-2 |oclc= |doi=}}
* {{cite book |last1=Morwood |first1=Mike |last2=van Oosterzee |first2=Penny |title=A New Human: The Startling Discovery and Strange Story of the 'Hobbits' of Flores, Indonesia |publisher=Smithsonian Books |year=2007 |isbn=978-0-06-089908-0}}
* {{cite book |last1=Oppenheimer |first1=Stephen |title=Out of Eden: The Peopling of the World |publisher=Constable |location= |year=2003 |pages= |isbn=1-84119-697-5}}
* {{cite journal |author=Ovchinnikov, et al. |title=Molecular analysis of Neanderthal DNA from the Northern Caucasus |journal=Nature |volume=404 |issue=6777 |year=2000 |pmid=10761915 |doi=10.1038/35006625 |last2=Götherström |first2=Anders |last3=Romanova |first3=Galina P. |last4=Kharitonov |first4=Vitaliy M. |last5=Lidén |first5=Kerstin |last6=Goodwin |first6=William |pages=490-3}}
* {{cite book |last1=Roberts |first1=Alice |title=The Incredible Human Journey: The Story of how we Colonised the Planet |publisher=Bloomsbury |location= |year=2009 |pages= |isbn=978-0-7475-9839-8 }}
* {{cite book |last1=Stringer |first1=Chris |title=The Origin of Our Species |publisher=Allen Lane |year=2011 |isbn=978-1-84614-140-9 }}
* {{cite book |last1=Tattersall |first1=Ian |title=The Fossil Trail: How We Know What We Think We Know About Human Evolution |publisher=Oxford University Press |year=2008 |isbn=978-0195367669 }}
* {{cite book |last1=Wade |first1=Nicholas |title=Before the Dawn: Recovering the Lost History of our Ancestors |publisher=Penguin Press |year=2006 |isbn=978-0-7156-3658-9 }}
* {{cite web |title=Oldest Human Skeleton and the Missing Link |date=2009-10-01 |accessdate=4 กันยายน 2557 |url=http://news.nationalgeographic.com/news/2009/10/091001-oldest-human-skeleton-ardi-missing-link-chimps-ardipithecus-ramidus.html |publisher=National Geographic }}
{{refend}}
=== ก่อนปี ค.ศ. 2000 ===
{{refbegin|2}}
* {{cite journal |year=1990 |last=Alexander |first=R. D. |title=How did humans evolve? Reflections on the uniquely unique species |journal=University of Michigan Museum of Zoology Special Publication |url=http://insects.ummz.lsa.umich.edu/pdfs/Alexander1990.pdf |format=[[PDF]] |publisher=University of Michigan Museum of Zoology |issue=1 |pages=1-38 }}
* {{Cite journal |year=1988 |last=Hill |first=Andrew |last2=Ward |first2=Steven |title=Origin of the hominidae: The record of African large hominoid evolution between 14 my and 4 my |journal=Yearbook of Physical Anthropology |volume=31 |issue=59 |pages=49-83 |doi=10.1002/ajpa.1330310505}}
* {{cite journal |author= Ijdo, J. W; Baldini, A; Ward, D. C; Reeders, S. T; Wells, R. A |title=Origin of human chromosome 2: An ancestral telomere-telomere fusion |journal=Genetics |volume=88 |pages=9051-9055 |date=October 1991 |format=[[PDF]] |url=http://www.pnas.org/cgi/reprint/88/20/9051.pdf |issue=20 |bibcode= 1991PNAS...88.9051I |last2= Baldini |last3= Ward |last4= Reeders |last5= Wells |doi= 10.1073/pnas.88.20.9051 |pmid=1924367 |pmc=52649}}—two ancestral ape chromosomes fused to give rise to human chromosome 2
* {{Cite book | year=1994 | title=The Cambridge Encyclopedia of Human evolution | publisher=Cambridge University Press | isbn=978-0-521-46786-5 | author-separator=; | editor1-last=Jones | editor1-first=Steve | editor2-last=Martin | editor2-first=Robert D. | editor3-last=Pilbeam | editor3-first=David R }} (Note: this book contains very useful, information dense chapters on primate evolution in general, and human evolution in particular, including fossil history).
* {{cite book |last1=Leakey |first1=Richard |last2=Lewin |first2=Roger |title=Origins Reconsidered: In Search of What Makes us Human |publisher=Little, Brown and Company |year=1992 |isbn=0-316-90298-5 }}
* {{cite book |author=Lewin, Roger |title=Bones of Contention: Controversies in the Search for Human Origins |publisher=Penguin Books |year=1987 |isbn=0-14-022638-9 }}
* {{cite book |last1=Shreeve |first1=James |title=The Neanderthal Enigma: Solving the Mystery of Modern Human Origins |publisher=Viking |year=1996 |isbn=0-670-86638-5 }}
* {{cite book |last1=Stringer |first1=Chris |last2=McKie |first2=Robin |title=African Exodus: The Origins of Modern Humanity |publisher=Jonathan Cape |year=1996 |isbn=0-224-03771-4 }}
* {{cite book |last1=Walker |first1=Allan |last2=Shipman |first2=Pat |title=The Wisdom of the Bones: In Search of Human Origins |publisher=Weidenfeld and Nicholson |year=1996 |isbn=0-297-81670-5 }}
* {{Cite book |year=1985 |author= Weiss, M.L., & Mann, A. E |title= 'Human Biology and Behaviour: An anthropological perspective |edition=4th |place= Boston |publisher= Little Brown |isbn=978-0-673-39013-4 }} (Note: this book contains very accessible descriptions of human and non-human primates, their evolution, and fossil history).
{{refend}}
=== แหล่งข้อมูลทางเว็บไซท์ ===
{{Commons category |Human evolution}}
* [http://www.bbc.co.uk/sn/prehistoric_life/human/human_evolution/index.shtml BBC: The Evolution of Man]
* {{cite web |title=Illustrations from ''Evolution'' (textbook) |trans_title=รูปจากตำรา ''Evolution (วิวัฒนาการ)'' |url=http://www.evolution-textbook.org/content/free/figures/ch25.html |work=Evolution}}
* {{cite web |url=http://humanorigins.si.edu/ |title=Human Evolution |publisher=Smithsonian Institution Human Origins Program }}
* [http://www.mnh.si.edu/anthro/humanorigins/faq/encarta/encarta.htm Smithsonian - The Human Origins Program]
* [http://www.becominghuman.org Becoming Human: Paleoanthropology, Evolution and Human Origins], presented by Arizona State University's Institute of Human Origins
* {{cite web |url=http://archaeologyinfo.com/human-evolution-timeline/ |title=Human Evolution Timeline |publisher=ArchaeologyInfo.com }}
* [http://www.hhmi.org/biointeractive/lectures/index.html Bones, Stones and Genes: The Origin of Modern Humans], Howard Hughes Medical Institute 2011 Holiday Lecture Series

==อ้างอิง==
{{รายการอ้างอิง |2}}
{{clear}}


[[หมวดหมู่:วิวัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรม]]
[[หมวดหมู่:วิวัฒนาการ]]
[[หมวดหมู่:วิวัฒนาการ]]
[[หมวดหมู่:วิวัฒนาการของมนุษย | ]]
[[หมวดหมู่:ยุคนีโอจีน]]
[[หมวดหมู่:วิวัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรม]]
[[หมวดหมู่:มนุษย์]]
[[หมวดหมู่:มนุษย์]]
[[หมวดหมู่:มานุษยวิทยา]]
{{โครงมนุษย์}}

{{Link FA|de}}
{{Link FA|he}}
{{Link FA |de}}
{{Link GA|fa}}
{{Link GA |fa}}
{{Link FA|vls}}
{{Link FA |he}}
{{Link FA |vls}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:36, 3 ตุลาคม 2557

วิวัฒนาการของมนุษย์ (อังกฤษ: Human evolution) เป็นกระบวนการวิวัฒนาการที่นำไปสู่การปรากฏขึ้นของ "มนุษย์ปัจจุบัน" (อังกฤษ: modern human มีนามตามอนุกรมวิธานว่า Homo sapiens หรือ Homo sapiens sapiens) ซึ่งแม้ว่าจริง ๆ แล้วจะเริ่มต้นตั้งแต่บรรพบุรุษแรกของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่บทความนี้ครอบคลุมเพียงแค่ประวัติวิวัฒนาการของสัตว์อันดับวานร (primate) โดยเฉพาะในสกุล โฮโม (Homo) และการปรากฏขึ้นของมนุษย์สปีชีส์ Homo sapiens ที่จัดเป็นสัตว์วงศ์ลิงใหญ่ การศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์นั้นต้องอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลายสาขา รวมทั้งมานุษยวิทยาเชิงกายภาพ (หรือ มานุษยวิทยาเชิงชีวภาพ), วานรวิทยา, โบราณคดี, บรรพชีวินวิทยา, พฤติกรรมวิทยา, ภาษาศาสตร์, จิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary psychology), คัพภวิทยา และพันธุศาสตร์[1]

กระบวนการวิวัฒนาการเป็นความเปลี่ยนแปลงของลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตผ่านหลายชั่วยุคชีวิต เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดความหลายหลากกับสิ่งมีชีวิตในทุกระดับชั้น รวมทั้งระดับสปีชีส์ ระดับสิ่งมีชีวิตแต่ละตัว และแม้กระทั่งโครงสร้างระดับโมเลกุลเช่นดีเอ็นเอและโปรตีน[2] สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกสืบสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกันที่มีชีวิตประมาณ 3.8 พันล้านปีก่อน การเกิดสปีชีส์ใหม่ ๆ และการแยกสายพันธุ์ออกจากกันของสิ่งมีชีวิต สามารถอนุมานได้จากลักษณะสืบสายพันธุ์ทางสัณฐานและทางเคมีชีวภาพ หรือโดยลำดับดีเอ็นเอที่มีร่วมกัน[3] คือ ลักษณะสืบสายพันธุ์และลำดับดีเอ็นเอที่มีกำเนิดเดียวกัน จะมีความคล้ายคลึงกันระหว่างสปีชีส์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกันเร็ว ๆ นี้มากกว่าระหว่างสปีชีส์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกันมานานแล้ว ดังนั้นความคล้ายคลึงกันและความแตกต่างกันจึงสามารถใช้สร้างแบบของต้นไม้สายพันธุ์สิ่งมีชีวิต ที่แสดงความสัมพันธ์เชิงญาติ โดยใช้สิ่งมีชีวิตที่ยังมีอยู่หรือใช้ซากดึกดำบรรพ์เป็นหลักฐาน รูปแบบความหลากลายของสิ่งมีชีวิตในโลกเปลี่ยนแปลงไปเพราะการเกิดขึ้นของสปีชีส์ใหม่ ๆ และการสูญพันธุ์ไปของสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่[4]

งานวิจัยต่าง ๆ ทางพันธุศาสตร์แสดงว่า สัตว์อันดับวานรรวมทั้งมนุษย์แยกออกจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทอื่น ๆ เมื่อประมาณ 85 ล้านปีก่อน โดยมีซากดึกดำบรรพ์ปรากฏเป็นครั้งแรกสุดเมื่อประมาณ 55 ล้านปีก่อน[5][6][7] ส่วนลิงวงศ์ชะนี (Hylobatidae) แยกสายพันธุ์ออกจากวงศ์ลิงใหญ่ (Hominidae) ซึ่งเป็นวงศ์หนึ่ง ๆ ของสัตว์อันดับวานรนั้น เมื่อ 15-20 ล้านปีก่อน แล้วลิงวงศ์ Ponginae (ลิงอุรังอุตัง) ก็แยกออกจากสายพันธุ์เมื่อประมาณ 14 ล้านปีก่อน[8][9]

จากนั้น การเดินด้วยสองเท้า (bipedalism) ซึ่งเป็นการปรับตัวพื้นฐานที่สุดของสัตว์เผ่า Hominini[A] ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของมนุษย์ที่ลิงชิมแปนซีได้แยกออกไปแล้ว ก็เริ่มปรากฏในสัตว์สองเท้าแรกสุดในสกุล Sahelanthropus[10] หรือ Orrorin[11] โดยมีสกุล Ardipithecus ซึ่งเป็นสัตว์สองเท้าที่มีหลักฐานชัดเจนกว่า ตามมาทีหลัง[12] ส่วนลิงกอริลลาและลิงชิมแปนซีแยกออกจากสายพันธุ์ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน คือลิงกอริลลาเมื่อ 6-10 ล้านปีก่อน[13] และลิงชิมแปนซีเมื่อ 4-8 ล้านปีก่อน[13] โดยอาจจะมี Sahelanthropus เป็นบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกันระหว่างชิมแปนซีและมนุษย์[10] สัตว์สองเท้ายุคเริ่มต้นเหล่านี้ในที่สุดก็วิวัฒนาการมาเป็นเผ่า hominini เผ่าย่อย Australopithecina (อังกฤษ: australopithecine ปกติรวมสกุล Australopithecus, Paranthropus, และในบางที่ Ardipithecus) และหลังจากนั้นจึงเป็นเผ่าย่อย Hominina ซึ่งรวมเอามนุษย์สกุล โฮโม เท่านั้น[14]

มนุษย์สกุลโฮโมที่มีหลักฐานยืนยันพวกแรกที่สุดอยู่ในสปีชีส์ Homo habilis ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ 2.3 ล้านปีก่อน[15][16][17] โดยเชื่อกันว่า สืบสายพันธุ์มาจาก homonini ในสกุล Australopithecus[18] เป็นสปีชีส์แรก ๆ ที่มีหลักฐานชัดเจนว่าใช้เครื่องมือหิน[19][20][B] และการปรับตัวของสายพันธุ์มนุษย์อีกอย่างหนึ่งคือ การขยายขนาดของสมอง[C] (encephalization) ก็ได้เริ่มขึ้นที่มนุษย์ยุคต้นนี้ ซึ่งมีขนาดสมองที่ประมาณ 610 ซม3 คือมีขนาดใหญ่กว่าของลิงชิมแปนซีเล็กน้อย[25][26] (ระหว่าง 282-500 ซม3[27]) มีนักวิทยาศาสตร์ที่เสนอว่า นี้อยู่ในช่วงเวลาที่ยีนมนุษย์ประเภท SRGAP2 มีจำนวนเป็นสองเท่า[28][29] ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาของสมองกลีบหน้าได้รวดเร็วกว่าในสัตว์อื่น ๆ[D]

ต่อมา มนุษย์สปีชีส์ Homo erectus/ergaster ก็เกิดขึ้นในช่วงประมาณ 1.9 ล้านปีก่อน ที่มีปริมาตรกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของลิงชิมแปนซีคือ 850 ซม3[36] การขยายขนาดของสมองเช่นนี้เทียบเท่ากับมีเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้น 125,000 เซลล์ทุกชั่วยุคคน นี้เชื่อว่าเป็นสปีชีส์แรก ๆ ที่สามารถควบคุมไฟ[37][38][39] และใช้เครื่องมือหินที่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น[19] เป็นมนุษย์สกุล Homo พวกแรกที่อพยพออกไปตั้งถิ่นฐานทั่วทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป ในช่วงระหว่าง 1.2 ถึง 1.8 ล้านปีก่อน[40][41][42] ดังนั้น การวิวัฒนาการของสายพันธุ์มนุษย์ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นไปในแอฟริกาเท่านั้น[18]

ส่วนกลุ่มมนุษย์โบราณที่เรียกว่า Archaic Homo sapiens ก็เกิดวิวัฒนาการขึ้นต่อมาประมาณ 600,000 ปีก่อน[14] สืบสายพันธุ์มาจาก H. erectus/ergaster เป็นกลุ่มมนุษย์ที่อาจเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน[43][44] หลักฐานโดยดีเอ็นเอในปี ค.ศ. 2010 บอกเป็นนัยว่า มีลำดับดีเอ็นเอหลายส่วนที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์โบราณ Homo neanderthalensis (อังกฤษ: Neanderthal) ในดีเอ็นเอของมนุษย์ปัจจุบันทุกเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่คนแอฟริกา และว่า Neanderthal และมนุษย์โบราณสกุลอื่น ๆ เช่นที่รู้จักกันว่า Denisova hominin (อังกฤษ: Denisovan) รวม ๆ กันแล้ว อาจจะให้จีโนมเป็นส่วน 1-10% ของจีโนมมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งบอกเป็นนัยถึง การผสมพันธุ์กัน[E] ระหว่างสปีชีส์เหล่านี้[45][46][47] อย่างไรก็ดี การผสมพันธุ์มีระดับค่อนข้างที่จะต่ำ และยังมีงานวิจัยอื่นต่อ ๆ มาที่เสนอว่า กรรมพันธุ์ของ Neanderthal หรือของ Archaic Homo sapiens อื่น ๆ ที่พบในมนุษย์ปัจจุบันอาจจะอธิบายได้โดยลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่สืบมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อ 500,000-800,000 มาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้[48][49][50][51][52]

มนุษย์ Homo sapiens ที่มีกายวิภาคปัจจุบัน (anatomically modern human) เกิดขึ้นโดยมีวิวัฒนาการมาจากมนุษย์โบราณกลุ่ม Archaic Homo sapiens ในยุคหินเก่าช่วงกลาง คือประมาณ 200,000 ปีก่อน[53] ตามทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา มนุษย์ปัจจุบันมีการวิวัฒนาการในทวีปแอฟริกาเป็นไปได้ว่าจากบรรพบุรุษสปีชีส์ H. heidelbergensis/rhodesiensis (ซึ่งรวมอยู่ในกลุ่ม Archaic Homo sapiens) แล้วได้อพยพออกจากทวีปประมาณ 50,000-100,000 ปีก่อน (ต่างหากจากมนุษย์ในยุคก่อน ๆ) ไปตั้งถิ่นฐานแทนที่กลุ่มมนุษย์สปีชีส์ H. erectus, H. denisova, H. floresiensis และ H. neanderthalensis ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นเชื้อสายของมนุษย์ที่อพยพออกมาจากทวีปแอฟริกาในยุคก่อน ๆ[54][55][56][57][58] โดยอาจจะมีการผสมพันธุ์กันกับมนุษย์ก่อน ๆ เหล่านั้น[59]

ส่วนการเปลี่ยนมามีพฤติกรรมปัจจุบัน[F] พร้อมกับพัฒนาการของวัฒนธรรมสัญลักษณ์ (symbolic culture)[G] ภาษา และเทคโนโลยีหินแบบเฉพาะงานเริ่มขึ้นที่ประมาณ 50,000 ปีก่อนตามข้อมูลทางมานุษยวิทยา[68] แม้ว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์บางส่วนที่เสนอว่า ความจริงเป็นการพัฒนาทางพฤติกรรมอย่างค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานยิ่งกว่านั้นที่อาจนานถึง 300,000 ปี และเริ่มมีหลักฐานแล้วว่าพฤติกรรมปัจจุบันนั้น ความจริงมีปรากฏแล้วก่อนหน้านั้น[69][70]

คำว่า "มนุษย์" ในบริบทของวิวัฒนาการมนุษย์ จะหมายถึงมนุษย์สกุล Homo เท่านั้น

การจัดชั้นและการใช้ชื่อในบทความ

นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นไม่เหมือนกับในการการจำแนกชั้นของสัตว์ในวงศ์ลิงใหญ่[18] แผนผังด้านล่างแสดงการจำแนกชั้นแบบหนึ่งของไพรเมต/วงศ์ลิงใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นการจำแนกชั้นที่ให้ความสำคัญกับความใกล้เคียงกันทางกรรมพันธุ์ของมนุษย์และลิงชิมแปนซี[14] โดยมีชื่อตามอนุกรมวิธาน

วงศ์ลิงใหญ่[71]
ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: 17–0Ma สมัยไมโอซีนถึงปัจจุบัน
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
โดเมน: Eukaryota
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ชั้น: Mammalia
อันดับ: Primates
อันดับย่อย: Haplorrhini
อันดับฐาน: Simiiformes
อนุอันดับ: Catarrhini
วงศ์ใหญ่: Hominoidea
วงศ์: Hominidae
Gray, 1825
สกุลต้นแบบ
Homo
Linnaeus, 1758
Subfamilies

sister: Hylobatidae

กระจายพันธุ์ของวงศ์ลิงใหญ่
ชื่อพ้อง
  • Pongidae Elliot, 1913
  • Gorillidae Frechkop, 1943
  • Panidae Ciochon, 1983

วงศ์ลิงใหญ่[73] หรือ โฮมินิด (อังกฤษ: Hominid, Great ape) เป็นวงศ์หนึ่งในทางอนุกรมวิธานของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร (Primates) จำพวกเอป หรือลิงไม่มีหาง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hominidae

ซึ่งในปัจจุบันนี้มีดำรงเผ่าพันธุ์อยู่เพียง 4 สกุล คือ Pan, Gorilla, Homo และPongo [71]

ลักษณะสำคัญของวงศ์นี้ คือ มีฟันเขี้ยวขนาดเล็กและอยู่ในระดับเดียวกับฟันอื่น ๆ เดินด้วยขาหลัง 2 ขา เนื่องจากเปลี่ยนวิถีชีวิตจากบนต้นไม้มาสู่พื้นดิน เดิมเคยเชื่อว่าในวงศ์นี้ ประกอบไปด้วยสกุล 3 สกุล คือ Ramapithecus, Australopithecus และ Homo แต่จากการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า Ramapithecus มีลักษณะคล้ายลิงอุรังอุตังมากกว่า Australopithecus และHomo จึงจัดให้อยู่ในวงศ์ย่อย Ponginae ของลิงอุรังอุตัง[74]

ในวงศ์นี้ ชนิดที่ทราบว่าสูญพันธุ์ไปแล้วจำนวนหนึ่งถูกจัดกลุ่มกับมนุษย์ในวงศ์ย่อย Homininae ส่วนชนิดอื่น ๆ ถูกจัดในวงศ์ย่อย Ponginae กับลิงอุรังอุตัง บรรพบุรุษร่วมกันหลังสุดของลิงใหญ่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 14 ล้านปีก่อน[75] เมื่อบรรพบุรุษของลิงอุรังอุตังวิวัฒนามาจากบรรพบุรุษของอีก 3 ชนิดที่เหลือ[76] บรรพบุรุษของวงศ์ลิงใหญ่ได้วิวัฒนาแยกทางจากวงศ์ Hylobatidae หรือ ชะนี แล้วก่อนหน้านั้น อาจเป็นเมื่อ 15-20 ล้านปีก่อน[76][77]

การจำแนกชั้น

นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นไม่ตรงกันในการการจำแนกชั้นของสัตว์ในวงศ์ลิงใหญ่[18] แผนผังด้านล่างแสดงการจำแนกชั้นแบบหนึ่งของไพรเมต/วงศ์ลิงใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นการจำแนกชั้นที่ให้ความสำคัญกับความใกล้เคียงกันทางกรรมพันธุ์ของมนุษย์และลิงชิมแปนซี[14][78][79] โดยมีชื่อตามอนุกรมวิธาน

Hominoidea (ลิงไม่มีหาง)

Hylobatidae (ชะนี)


Hominidae (วงศ์ลิงใหญ่)
Ponginae
Pongo (อุรังอุตัง)

Pongo abelii




Pongo tapanuliensis



Pongo pygmaeus





Homininae (วงศ์ย่อยเอปแอฟริกา)
Gorillini
Gorilla (กอริลลา)

Gorilla gorilla



Gorilla beringei




Hominini (เผ่าลิงใหญ่)
Panina
Pan (ชิมแปนซี)

Pan troglodytes



Pan paniscus





Hominina (มนุษย์)

Homo sapiens (มนุษย์)







วิวัฒนาการชาติพันธุ์

ด้านล่างนี้เป็นสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ระบุไว้ประมาณล้านปีที่แล้ว (Mya) clades ที่แตกต่างกันไป

Hominidae (18)
Ponginae (14)

Kenyapithecus (†13 Mya)



Sivapithecus (†9)



Crown Ponginae



Ankarapithecus (†9)



Gigantopithecus (†0.1)



Khoratpithecus (†7)



(13)
(12)

Pierolapithecus (†11)



Hispanopithecus (†10)




Lufengpithecus (†7)



Homininae

Ouranopithecus (†8)


Crown Homininae (10)
Hominini (7)

Australopithecus (รวม. Homo)



Pan



Gorillini

Crown Gorillini



Chororapithecus (†)





Nakalipithecus (†10)



Samburupithecus (†9)





ส่วนการจำแนกชั้นมีดังต่อไปนี้ มีการรวมเอาสายพันธุ์มนุษย์ที่สูญพันธุ์ไว้ด้วย ชื่อแรกเป็นชื่อตามอนุกรมวิธาน ชื่อในวงเล็บเป็นชื่อทั่วไป


คำที่อาจจะมีความหมายอื่นในที่อื่น ๆ ที่ใช้บ่อย ๆ ในบทความนี้มีดังต่อไปนี้ (ตามผังด้านบน) เป็นคำที่รวมทั้งสัตว์ที่มีชีวิตอยู่และสูญพันธุ์ไปแล้ว

  • วงศ์ลิงใหญ่ หรือ ลิงใหญ่ หรือ hominid หมายถึงสัตว์ในวงศ์ลิงใหญ่ หลังจากที่วงศ์ชะนีได้แยกสายพันธุ์ไปแล้ว
  • homininae หรือ hominine หมายถึงสัตว์ในวงศ์ย่อย Homininae ซึ่งรวมสายพันธุ์ของมนุษย์และสายพันธุ์ของลิงชิมแปนซี หลังจากที่สายพันธุ์ของลิงกอริลลาได้แยกออกไปแล้ว
  • hominini หรือ hominin (ไม่มี e ท้ายสุด) หมายถึงสัตว์ในเผ่า hominini คือสายพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด (คือบรรพบุรุษมนุษย์ สายพันธุ์ของญาติบรรพบุรุษมนุษย์ และมนุษย์ทั้งหมด) หลังจากที่สายพันธุ์ของลิงชิมแปนซีได้แยกออกไปแล้ว
  • australopithecina หรือ australopithecine ปกติหมายถึงสายพันธุ์มนุษย์สกุล Australopithecus, Paranthropus ซึ่งจัดอยู่ในเผ่าย่อย Australopithecina
  • มนุษย์ หมายถึงมนุษย์สปีชีส์ต่าง ๆ ในสกุล Homo เท่านั้น ซึ่งจัดอยู่ในเผ่าย่อย Hominina
  • Archaic Homo sapiens (แปลว่ามนุษย์โบราณ) มีความหมายไม่แน่นอน ปกติรวมมนุษย์สปีชีส์ H. heidelbergensis/rhodesiensis, H. neanderthalensis และบางที่รวม H. antecessor[84]แต่โดยทั่ว ๆ ไปหมายถึงมนุษย์สปีชีส์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจาก 600,000 ปีก่อน รวมทั้งมนุษย์พวก Denisovans ไม่รวมมนุษย์ปัจจุบัน
  • มนุษย์ปัจจุบัน หมายถึง Homo sapiens เท่านั้น

หลักฐาน

หลักฐานเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ได้โดยปีต่าง ๆ
ค.ศ. 1850
ค.ศ. 1900
ค.ศ. 1950
ค.ศ. 2002

หลักฐานของคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์มาจากงานวิทยาศาสตร์ธรรมชาติหลายสาขา (ดูรายละเอียดอื่นที่ต้นบทความ) แหล่งความรู้หลักของกระบวนการวิวัฒนาการปกติมาจากซากดึกดำบรรพ์ ซึ่งเริ่มมีการสั่งสมหลักฐานของพันธุ์มนุษย์เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1829 (ดู "ประวัติการศึกษาสมัยดาร์วิน") แต่เริ่มตั้งแต่มีการพัฒนาด้านพันธุศาสตร์ในสาขาอณูชีววิทยาที่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 (ดู "ประวัติ-การปฏิวัติทางพันธุศาสตร์") การวิเคราะห์ดีเอ็นเอก็ได้กลายมาเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญพอ ๆ กัน ส่วนงานศึกษาในเรื่องกำเนิดและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต (ontogeny) วิวัฒนาการชาติพันธุ์ (phylogeny) และโดยเฉพาะวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโดยพัฒนาการ (evolutionary developmental biology) ของทั้งสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังได้ให้ความรู้ใหม่ ๆ พอสมควรเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดรวมทั้งของมนุษย์ ส่วนงานศึกษาเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับกำเนิดและชีวิตของมนุษย์ก็คือมานุษยวิทยา (anthropology) โดยเฉพาะบรรพมานุษยวิทยา (paleoanthropology) ซึ่งพุ่งความสนใจไปที่การศึกษามนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์[85]

ภายในศตวรรษที่ผ่านมาโดยเฉพาะในทศวรรษที่เพิ่งผ่าน ๆ มา ได้มีการสั่งสมหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ (และทางอณูชีววิทยา) มากมายที่เริ่มชี้โครงสร้างการวิวัฒนาการอย่างคร่าว ๆ ของมนุษย์ปัจจุบันจากสายพันธุ์ที่แยกออกจากลิงชิมแปนซี[86] โดยที่รายละเอียดประวัติการวิวัฒนาการและการจัดชั้นของสกุลและสปีชีส์ต่าง ๆ ยังมีการเพิ่มและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นปีต่อปี[19] เพราะได้หลักฐานใหม่ ๆ ที่ช่วยยืนยันหรือปฏิเสธสมมติฐานที่มีอยู่ต่าง ๆ เพราะฉะนั้น เป็นอันหวังได้ว่า บทความจะมีข้อมูลที่ล้าหลังหลักฐานใหม่ ๆ ไปบ้าง

หลักฐานทางอณูชีววิทยา

สาขาต่าง ๆ ของเอป (hominoid) ที่ยังมีอยู่ คือมนุษย์ (สกุลโฮโม) ลิงชิมแปนซีและลิงโบโนโบ (สกุล Pan) ลิงกอริลลา (สกุล Gorilla) ลิงอุรังอุตัง (สกุล Pongo) และชะนี ทุกสกุลยกเว้นชะนีเรียกว่า hominid ***ให้สังเกตว่า การใช้คำว่า "Hominini" เพื่อรวมสกุล Homo กับ Pan นั้นมีใช้เป็นบางที่ แต่ไม่ได้ใช้ในบทความนี้ (ดู แผนผังสปีชีส์ด้านบน)[H]

สำหรับสัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือสำหรับสัตว์ที่สูญพันธุ์แล้ว (รวมทั้งสายพันธุ์ต่าง ๆ ของมนุษย์) แต่ยังหาสารอินทรีย์ที่ประกอบด้วยดีเอ็นเอได้ หลักฐานทางอณูชีววิทยานั้นสามารถให้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ โดยใช้ประกอบร่วมกับข้อมูลซากดึกดำบรรพ์และข้อมูลสัตว์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้[13] คือ

  • ช่วงเวลาที่สัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) สองพันธุ์ โดยเฉพาะพันธุ์ที่ใกล้ชิดกัน
    • เกิดการแยกสายพันธุ์กัน (เช่นการแยกสายพันธุ์ของมนุษย์จากลิงชิมแปนซี) หรือ
    • มีบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกัน (เช่นมนุษย์ปัจจุบันมีบรรพบุรุษหญิงร่วมกันสุดท้ายที่ 90,000-200,000 ปีก่อน)
  • ความสัมพันธ์ทางกรรมพันธุ์ระหว่างพันธุ์สัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่สามารถใช้ในการสร้างต้นไม้สายพันธุ์ (เช่นมนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลิงชิมแปนซีมากกว่าลิงกอริลลา)
  • ยีนของสัตว์นั้นอาจแสดงลักษณะทางพันธุกรรมที่ปรากฏ (ซึ่งเริ่มการสั่งสมหลักฐานตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001)

โดยที่สองข้อแรกได้ช่วยความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์ให้ดีขึ้นแล้ว และข้อสุดท้ายอาจมีประโยชน์ยิ่ง ๆ ขึ้นต่อ ๆ ไปในอนาคต

หลักฐานทางอณูชีววิทยา ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์มีตัวอย่างสำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้

  • สกุลสัตว์ที่ยังไม่สูญพันธุ์ที่ใกล้กับมนุษย์ที่สุดเป็นลิงโบโนโบ ลิงชิมแปนซี (ทั้งสองในสกุล Pan) และลิงกอริลลา (สกุล Gorilla)[14] การหาลำดับดีเอ็นเอในจีโนมของทั้งมนุษย์และลิงชิมแปนซี พบว่า มีความคล้ายคลึงกันถึงประมาณ 95-99%[90][91] เป็นความคล้ายคลึงกันที่แสดงถึงความมีสายพันธุ์เป็นพี่น้องกัน (sister taxon)
  • โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า molecular clock (นาฬิกาอาศัยโครงสร้างโมเลกุล) ซึ่งใช้ประเมินระยะเวลาการแยกสายพันธุ์ โดยวัดเวลาก่อนที่การกลายพันธุ์ที่ไม่เหมือนกันของสายพันธุ์สองสายพันธุ์จะสั่งสมจนมาถึงในระดับปัจจุบัน ได้มีการพบว่า วงศ์ชะนี (Hylobatidae) ตามมาด้วยลิงอุรังอุตัง (สกุล Pongo) เป็นกลุ่มแรกที่แยกออกจากสายพันธุ์มนุษย์ หลังจากนั้นก็เป็นลิงกอริลลา (สกุล Gorilla) ตามมาด้วยลิงชิมแปนซีและลิงโบโนโบ (สกุล Pan) การแยกสายพันธุ์ของมนุษย์และสายพันธ์ของลิงชิมแปนซี อยู่ในช่วงเวลาประมาณ 4-8 ล้านปีก่อนซึ่งอยู่ในช่วงปลายสมัย Miocene (ซึ่งเป็นส่วนปลายของยุคนีโอจีน)[13] (ดูรายละเอียดในหัวข้อ "การแยกสายพันธุ์ของวงศ์ลิงใหญ่")
  • จีโนมของมนุษย์นั้นมีทั้งส่วนที่มีการแสดงออกเป็นลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) และมีบางส่วนที่ไม่มีการแสดงออก ส่วนที่ไม่มีการแสดงออกสามารถใช้ในการสืบหาสายตระกูลได้ คือในส่วนที่ไม่ทำให้เกิดลักษณะสืบสายพันธุ์ การกลายพันธุ์แบบ Single-nucleotide polymorphism คือมีเบสดีเอ็นเอเปลี่ยนไปเบสเดียว จะสืบต่อไปยังลูกหลานของบุคคลนั้นทั้งหมด แต่ไม่มีในมนุษย์กลุ่มอื่น ดังนั้นสายตระกูลของบุคคลนั้นก็จะสามารถติดตามได้[92] ส่วนดีเอ็นเอในไมโทคอนเดรีย (mitochondrial DNA ตัวย่อ mtDNA) นั้นสืบสายมาจากมารดาเท่านั้น จึงไม่เกิดการคัดเลือกทางเพศ นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นดีเอ็นเอที่เกิดการกลายพันธุ์ในอัตราความถี่สูง ทำให้สามารถใช้ประเมินเวลาการแยกสายตระกูล (หรือสายพันธุ์) ได้ดี[92]
    • ผลงานวิจัยเกี่ยวกับ mtDNA หลายงานแสดงว่า หญิงที่เป็นต้นตระกูลของมนุษย์ปัจจุบันทั้งหมด ซึ่งเป็นหญิงที่เรียกว่า mitochondrial Eve (เอวาโดย mtDNA) มีชีวิตอยู่ประมาณ 90,000-200,000 ปีก่อน[93][94][95] น่าจะในแอฟริกาตะวันออก[96] ซึ่งเป็นหลักฐานที่ให้น้ำหนักกับทฤษฎีกำเนิดมนุษย์จากแอฟริกาเร็ว ๆ นี้มากขึ้น (ดูรายละเอียดเพิ่มที่หัวข้อ "การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์")
    • ผลงานวิจัยโดยจีโนมในปี ค.ศ. 2010 บอกเป็นนัยว่า มีลำดับดีเอ็นเอหลายส่วนที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์โบราณ Homo neanderthalensis (อังกฤษ: Neanderthal) ในดีเอ็นเอของมนุษย์ปัจจุบันทุกเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่คนแอฟริกา และว่า Neanderthal และมนุษย์สกุลโฮโมสกุลอื่น ๆ เช่นกลุ่มมนุษย์ที่รู้จักกันว่า Denisova hominin (อังกฤษ: Denisovan) เป็นต้นกำเนิดจีโนมถึง 1-10% ของจีโนมมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งบอกเป็นนัยว่า มีการผสมพันธุ์กัน (admixture[E]) ระหว่างสปีชีส์เหล่านี้[45][46][47] (ดูรายละเอียดเพิ่มที่หัวข้อ "การผสมพันธุ์กันระหว่างมนุษย์กลุ่มต่าง ๆ")

หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์

ไฟล์:Craniums of Homo.svg
กะโหลกศีรษะจำลองของซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพ[I] ของ hominin 1. ลิง กอริลลา (ปัจจุบัน) 2. hominin สกุล Australopithecus (1.7-3.9 ล้านปี) 3. มนุษย์สปีชีส์ H. erectus/ergaster (27,000 ปี-1.9 ล้านปี) 4. มนุษย์ H. neanderthalensis (30,000-400,000 ปี) 5. มนุษย์ H. heidelbergensis (250,000-600,000 ปี) 6. มนุษย์ปัจจุบัน (H. sapiens) (200,000 ปี-ปัจจุบัน) ให้สังเกตความแตกต่างของมนุษย์ปัจจุบันดังต่อไปนี้ (ก) กระดูกฟันกรามยื่นออกกน้อยลง (ข) สันคิ้วบางลง (ค) ศีรษะกลม ไม่มีส่วนยื่นออกข้างหลัง (ง) หน้าค่อนข้างแบน (จ) โดยทั่ว ๆ ไป ค่อนข้างบอบบาง เรียว (ฉ) คางแหลมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของมนุษย์ปัจจุบันเท่านั้น

ซากดึกดำบรรพ์หมายถึงส่วนที่หลงเหลืออยู่ หรือร่องรอยของพืชและสัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่เกิดการเก็บรักษาไว้ในชั้นหิน ส่วน ซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพ (transitional fossil) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สปีชีส์ในระหว่าง (intermediate species) เป็นซากดึกดำบรรพ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่เหมือนกันกับของทั้งสัตว์กลุ่มบรรพบุรุษ และของสัตว์กลุ่มลูกหลานที่สืบเชื้อสายต่อจากกลุ่มบรรพบุรุษ[97][I] เป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถใช้แสดงและติดตามวิวัฒนาการของสัตว์ เมื่อดาร์วินประกาศทฤษฎีวิวัฒนาการในปี ค.ศ. 1859 (ดูรายละเอียดในเรื่อง "ประวัติการศึกษาสมัยดาร์วิน") หลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพมีน้อยมากจนเขาได้กล่าวไว้ว่า "...เป็นข้อโต้แย้งที่เห็นได้ง่ายที่สุดที่สาหัสที่สุดต่อทฤษฎีของผม..."[98] ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้มีการสั่งสมหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์มากมายที่สามารถช่วยชี้โครงสร้างกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ได้อย่างคร่าว ๆ[86]

หลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์นั้น สามารถให้ข้อมูลโดยหลัก ๆ มีตัวอย่างดังต่อไปนี้

การหาอายุ

โดยคร่าว ๆ แล้ว การหาอายุซากดึกดำบรรพ์แบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะเวลาคือ คือ[100]

  • การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี (radiocarbon dating) สำหรับหาอายุจากซากสิ่งมีชีวิตน้อยกว่า 40,000 ปี[100] (หรือ 58,000 - 62,000[101])
  • วิธีอื่น ๆ รวมทั้งการหาอายุจากธาตุกัมมันตรังสี (radiometric dating) แบบอื่น ๆ สำหรับหาอายุระหว่าง 40,000-100,000 ปี
  • การหาอายุจากโพแทสเซียมกัมมันตรังสี (radiopotassium dating) สำหรับหาอายุมากกว่า 100,000 ปี

โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว การหาอายุจากธาตุกัมมันตรังสีเป็นเทคนิคการหาอายุวัตถุต่าง ๆ เช่นหินหรือคาร์บอน โดยเปรียบเทียบไอโซโทปกัมมันตรังสีที่เกิดเองในธรรมชาติ กับผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการสลายตัวของธาตุนั้น ที่มีอัตราการสลายตัวที่รู้อยู่แล้ว[102] ส่วนการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีนั้นเป็นไปได้เพราะสิ่งมีชีวิตมีการบริโภคผลิตภัณฑ์ของพืชที่ได้รับคาร์บอน-14 ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงและหยุดบริโภคเมื่อหมดชีวิต ดังนั้นจึงสามารถใช้หาอายุของสารประกอบอินทรีย์จากซากสิ่งมีชีวิตโดยตรง[101] ส่วนการหาอายุจากโพแทสเซียมกัมมันตรังสีนั้นเป็นไปได้เพราะหินหลอมเหลวจากภูเขาไฟ (และเถ้า) มีธาตุนี้ ดังนั้นจึงสามารถใช้ชั้นหินเถ้าภูเขาไฟที่อยู่เหนือและใต้ซากในการประมาณอายุซากดึกดำบรรพ์ที่ต้องการได้[100]

ตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพ

หลักฐานซากดึกดำบรรพ์ที่แสดงการเดินด้วยสองเท้า
Australopithecus afarensis (ลูซี่) แสดงอากัปกิริยาว่าปกติเดินด้วยสองเท้า
รูปจำลองของรอยเท้าพบที่โบราณสถาน Laetoli ประเทศแทนซาเนีย - นิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา) เมืองวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นรอยเท้ามีอายุ 3.6 ล้านปี ที่เก่าที่สุดรอยเท้าหนึ่งที่พบ

hominin สปีชีส์ Australopithecus afarensis เป็นสปีชีส์ช่วงเปลี่ยนสภาพ[I] ในลำดับวิวัฒนาการระหว่างบรรพบุรุษเอปที่เดินด้วยสี่เท้า กับมนุษย์ปัจจุบันที่เป็นสัตว์สองเท้า ลักษณะสายสืบพันธุ์ (trait) ของโครงกระดูกแสดงลักษณะเดินด้วยสองเท้าอย่างชัดเจน จนกระทั่งว่า นักวิชาการบางพวกเสนอว่า การเดินด้วยสองเท้าต้องเป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นก่อนสปีชีส์นี้[103] โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว กระดูกเชิงกรานเหมือนของมนุษย์มากกว่าเอป คือ กระดูกปีกสะโพกนั้นสั้นและกว้าง ส่วนกระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ (sacrum) ทั้งกว้างและอยู่ด้านหลังของข้อสะโพกตรงแนวกัน และมีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีการยึดกันอย่างแน่นระหว่างกระดูกกับกล้ามเนื้อเหยียดเข่า (Rectus femoris) ซึ่งแสดงว่า ต้องมีอิริยาบถที่ตั้งขึ้น[103]

แม้ว่า กระดูกเชิงกรานจะไม่เหมือนกับมนุษย์ร้อยเปอร์เซนต์ (คือกว้างกว่า โดยมีกระดูกปีกสะโพกโค้งยืดออกไปข้าง ๆ) แต่ว่า ลักษณะเหล่านี้แตกต่างไปจากลิงใหญ่อื่น ๆ อย่างชัดเจน เพื่อที่จะให้สามารถเดินด้วยสองเท้าได้โดยระดับหนึ่ง นอกจากนั้นแล้ว กระดูกต้นขายังโค้งเข้าไปทางเข่าจากสะโพก ซึ่งทำให้สามารถวางเท้าเข้าไปใกล้แนวกึ่งกลางของร่างมากขึ้น โดยโค้งไปจากสะโพก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า มีการเดินด้วยสองเท้าเป็นปกติ มนุษย์ปัจจุบัน ลิงอุรังอุตัง และลิงโลกใหม่ (ในทวีปอเมริกา) สกุล Ateles ในปัจจุบันล้วนแต่มีลักษณะแบบนี้ ส่วนที่เท้ามีหัวแม่โป้งหันไปทางด้านหน้า (adducted) ซึ่งจะทำให้การจับต้นไม้ด้วยเท้ายากหรือเป็นไปไม่ได้ นอกจากการเดินแล้ว A. afarensis ยังมีฟันที่เหมือนกับมนุษย์มากกว่าเอป[104] เช่นมีขนาดเล็กกว่าเป็นต้น

ตัวอย่างรอยเท้าจากอดีต

ในปี ค.ศ. 1978 ทีมของนักบรรพชีวินวิทยาแมรี ลีกคี ลีกคีพบรอยเท้าของ hominin เดินด้วยสองเท้าที่โบราณสถาน Laetoli ประเทศแทนซาเนีย เป็นทางยาวประมาณ 24 เมตร เป็นของ hominin 2 ตน มีอายุถึง 3.6 ล้านปีก่อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เป็นรอยเท้าของ homonini สปีชีส์ Australopithecus afarensis (เหมือนกับลูซี่ข้างบน) รอยเท้าแสดงอย่างหมดสงสัยว่า hominin พวกนี้เดินตัวตรงด้วยสองเท้าจริง ๆ[18] เพราะไม่มีรอยใช้ข้อมือยันพื้น (เช่นในลิงชิมแปนซีและกอริลลา) นอกจากนั้นแล้ว รอยเท้าไม่มีรอยนิ้วแม่โป้งที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนกับของเอป แต่มีส่วนโค้งเท้าเหมือนกับมนุษย์ปัจจุบัน ส่วนท่าทางการเดินดูเหมือนจะเป็นแบบสบาย ๆ

งานวิจัยในปี ค.ศ. 2007 โดยใช้การจำลองโดยคอมพิวเตอร์ที่ใช้ข้อมูลจากซากดึกดำบรรพ์ของ A. afarensis และระยะห่างของรอยเท้าที่พบแสดงว่า hominin เหล่านี้เดินด้วยความเร็วประมาณ 1.0 เมตร/วินาที หรือเร็วกว่านั้น ซึ่งเป็นความเร็วประมาณเท่ามนุษย์ปัจจุบัน[105] ผลงานวิจัยอื่น ๆ เช่นในปี ค.ศ. 2010 ยืนยันทฤษฎีว่า รอยเท้านี้เป็นของสัตว์ที่มีท่าทางการเดิน (gait) เหมือนมนุษย์[106]

วิวัฒนาการมนุษย์น่าเชื่อถือหรือไม่

วิธีการศึกษาเรื่องวิวัฒนาการมนุษย์นั้นเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งโดยคร่าว ๆ เป็นวงจรของการตั้งสมมติฐานและการหาหลักฐานเพื่อยืนยันหรือปฏิเสธสมมติฐานนั้น ๆ เพราะฉะนั้น รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์สามารถทดสอบได้โดยหลักฐานที่สั่งสมโดยนักวิทยาศาสตร์ว่าเข้ากันกันสมมติฐานที่เป็นประเด็นศึกษาได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีสมมติฐานว่า มนุษย์เช่นเราได้มีมาตั้งแต่กำเนิดโลก จะเป็นโลกที่เกิดขึ้นเมื่อ 6,000 ปีก่อนหรือก่อนหน้านี้ก็ตาม เมื่อขุดหาหลักฐานในที่สมควร ก็ควรจะได้ซากของมนุษย์เหมือนกับเราเริ่มต้นตั้งแต่ที่จุดกำเนิดนั้น ๆ[107] แต่ถ้าปรากฏว่า กลับมีมนุษย์เหมือนกับเราเริ่มต้นตั้งแต่ 195,000 ปีก่อน[108][109] สมมติฐานว่าโลกเกิดเมื่อ 6,000 ปีก่อนพร้อมกับมนุษย์ก็ถูกปฏิเสธโดยหลักฐาน และสมมติฐานว่ามีมนุษย์เหมือนกับเราก่อนหน้า 195,000 ปีก่อน ก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะสนับสนุน (แต่กลับมีสัตว์อื่นที่คล้ายกับเราแต่ไม่เหมือนเราก่อนหน้านั้น)

ดังนั้นประเด็นต่าง ๆ ของวิวัฒนาการมนุษย์นั้น จะเชื่อถือได้ก็โดยหลักฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ได้ผ่านการพิจารณาตามศาสตร์ต่าง ๆ ของวิทยาศาสตร์แล้วแสดงข้อสรุปเดียวกันมาแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงแต่อาศัยความเชื่อหรือความเห็น หรือแม้แต่เพียงอาศัยสมมติฐานเท่านั้น โดยที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน หรืออาจจะมีหลักฐานค้านด้วยซ้ำ[107] ประเด็นต่าง ๆ ที่มีการศึกษาอยู่บางส่วน ก็มีหลักฐานสั่งสมมามากมายจนสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนแล้ว บางส่วนก็ยังต้องมีการสั่งสมหลักฐานเพื่อยืนยันหรือปฏิเสธสมมติฐานต่าง ๆ ต่อไป (ซึ่งหลักฐานใหม่อาจเปลี่ยนประเด็นหรือแม้แต่ข้อสรุปที่นักวิทยาศาสตร์บางส่วนมีมติเห็นด้วย - ดูตัวอย่างในหัวข้อ "การปฏิวัติทางพันธุศาสตร์" และ "ทฤษฎีอพยพสองอย่างที่ขัดแย้งกัน") และบางส่วนก็อาจจะไม่สามารถหาข้อยุติได้

ประวัติการศึกษา

นิทรรศการซากดึกดำบรรพ์ ที่แสดงวิวัฒนาการของสัตว์วงศ์ลิงใหญ่ที่พิพิธภัณฑ์วิทยากระดูก ในเมือง Oklahoma City รัฐโอกลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา

ก่อนดาร์วิน

คำว่า Homo ซึ่งเป็นชื่อสกุลทางชีววิทยาของมนุษย์ เป็นคำภาษาละตินที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "human" และแปลเป็นภาษาไทยว่า มนุษย์ เป็นคำที่เลือกโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนคาโรลัส ลินเนียสในปี ค.ศ. 1758[110] (ผู้เริ่มเรียกสัตว์สกุลต่าง ๆ โดยใช้ทวินาม) ในระบบการจำแนกสิ่งมีชีวิตของเขา คำว่า "human" ในภาษาอังกฤษ มาจากคำภาษาละตินว่า humanus ซึ่งก็เป็นคำวิเศษณ์ของคำว่า homo[111] ลินเนียสและนักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ในยุคนั้นพิจารณาว่า วงศ์ลิงใหญ่เป็นสัตว์ที่ใกล้กับมนุษย์ที่สุด จากความคล้ายคลึงกันโดยสัณฐานและโดยกายวิภาค[112][113]

สมัยดาร์วิน

การศึกษาทางบรรพมานุษยวิทยา (Paleoanthropology) แบบปัจจุบัน[J] ก็เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการค้นพบซากมนุษย์ Neanderthal ในปี ค.ศ. 1829 (ประเทศเบลเยียม) 1848 (ยิบรอลตาร์) และ 1856 (ประเทศเยอรมนี)[114] ความเป็นไปได้ว่า มนุษย์มีบรรพบุรุษเดียวกับพวกลิง ปรากฏอย่างชัดเจนในปี ค.ศ. 1859 เมื่อชาลส์ ดาร์วินพิมพ์หนังสือ On the Origin of Species (กำเนิดของสปีชีส์) ซึ่งเขาได้เสนอไอเดียว่า สัตว์สปีชีส์ต่าง ๆ มีการวิวัฒนาการมาจากสปีชีส์ก่อน ๆ ที่เป็นบรรพบุรุษ หนังสือของดาร์วินไม่ได้พูดถึงวิวัฒนาการของมนุษย์โดยตรง แต่ได้กล่าวไว้เพียงแค่นี้ว่า "จะเกิดแสงสว่างในอนาคตเกี่ยวกับต้นกำเนิดและประวัติของมนุษย์"[98]

การอภิปรายถึงวิวัฒนาการมนุษย์เกิดขึ้นครั้งแรกระหว่างนักชีววิทยาโทมัส ฮักซ์ลีย์ และริชาร์ด โอเวน โดยฮักซ์ลีย์เสนอว่า มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากเอปโดยแสดงความคล้ายคลึงกันและความต่างกันระหว่างมนุษย์และเอป[115] โดยเฉพาะในหนังสือปี ค.ศ. 1863 ที่ชื่อว่า Evidence as to Man's Place in Nature (หลักฐานความเป็นส่วนธรรมชาติของมนุษย์) ถึงอย่างนั้น แม้นักวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนทฤษฎีของดาร์วิน (เช่น อัลเฟรด วอลเลซ และชาลส์ ไลเอลล์) ตอนแรกก็ไม่เห็นด้วยว่า สมรรถภาพทางใจและความมีศีลธรรมของมนุษย์สามารถอธิบายได้โดยทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ แม้ว่าความคิดนี้จะเปลี่ยนไปในภายหลัง[115]

ต่อมาในปี ค.ศ. 1871 ดาร์วินได้ประยุกต์ใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการและการคัดเลือกอาศัยเพศ (sexual selection) กับมนุษย์เมื่อเขาพิมพ์หนังสือ The Descent of Man, and Selection in Relation to Sex (เชื้อสายมนุษย์ และการคัดเลือกโดยสัมพันธ์กับเพศ)[116]

ซากดึกดำบรรพ์ยุคแรก ๆ

ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความถูกต้องของทฤษฎีวิวัฒนาการในยุคนั้นก็คือความไม่มีหลักฐานโดยซากดึกดำบรรพ์ของสปีชีส์ในระหว่าง (intermediate species[I]) เอปที่เป็นบรรพบุรุษกับมนุษย์ที่เป็นลูกหลาน ถึงแม้ว่านักกายวิภาคชาวดัตช์ ยูจีน ดูบัว จะได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่เดี๋ยวนี้จัดเป็น Homo erectus ที่เกาะชวาในปี ค.ศ. 1891 (ที่นักวิทยาศาสตร์บางพวกไม่เห็นด้วยว่ากระดูกที่พบทั้งหมดมาจากตัวอย่างบุคคลเดียวกัน[117]) นักวิทยาศาสตร์ก็ยังต้องรอจนกระทั่งถึงช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ที่หลักฐานซากดึกดำบรรพ์ของสปีชีส์ในระหว่าง[I] จึงเริ่มมีการสั่งสมเพิ่มขึ้นต่อ ๆ มาในทวีปแอฟริกา

ในปี ค.ศ. 1925 นักกายวิภาคชาวออสเตรเลียเรมอนด์ ดาร์ท ได้เขียนคำพรรณนาถึง hominin สปีชีส์ Australopithecus africanus ซึ่งเป็นตัวอย่างต้นแบบแรก ที่เรียกว่า Taung Child ซึ่งเป็นทารกเผ่า hominini เผ่าย่อย Australopithecina ที่ค้นพบในถ้ำแห่งหนึ่งในเมือง Taung ประเทศแอฟริกาใต้ ซากมีสภาพดีเป็นหัวกะโหลกเล็ก ๆ และรูปหล่อภายในกะโหลกศีรษะ (endocranial cast) ของสมอง[118] ถึงแม้ว่าสมองนั้นยังเล็ก (400-500 ซม3[119]) แต่ก็มีรูปร่างกลมซึ่งไม่เหมือนของลิงชิมแปนซีและกอริลลา แต่เหมือนกับของมนุษย์ปัจจุบันมากกว่า[120] นอกจากนั้นแล้ว ตัวอย่างนั้นยังแสดงฟันเขี้ยว (canine teeth) ที่สั้น และตำแหน่งของช่องฟอราเมน แมกนัมที่เป็นหลักฐานของการเดินด้วยสองเท้า[120] ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ดาร์ทมั่นใจว่า ทารกนั้นเป็นสัตว์บรรพบุรุษมีสองเท้าของมนุษย์ เป็นสปีชีส์ในระหว่าง[I]เอปกับมนุษย์

ซากดึกดำบรรพ์จากแอฟริกาตะวันออก

ไฟล์:Louis Leakey.jpg
นักบรรพชีวินวิทยาชาวอังกฤษหลุยส์ ลีกคี กำลังตรวจดูหัวกะโหลกจากโกรกธาร Olduvai Gorge ประเทศแทนซาเนีย

ในช่วงระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์เป็นร้อย ๆ โดยเฉพาะจากแอฟริกาตะวันออกในส่วนต่าง ๆ ของโกรกธาร Olduvai Gorge[18] และทะเลสาบ Lake Turkana[121] หัวหน้านำงานศึกษาในตอนนั้นก็คือครอบครัวลีกคี โดยตอนแรกเป็นนักบรรพชีวินวิทยาหลุยส์ ลีกคีและภรรยาคือแมรี ลีกคี และต่อจากนั้นก็เป็นบุตรชายคือริชาร์ดและลูกสะใภ้มีฟ เป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในการหาซากดึกดำบรรพ์ คือ จากชั้นหินซากดึกดำบรรพ์ของโกรกธาร Olduvai Gorge และทะเลสาป Lake Turkana พวกเขาได้สั่งสมซาก hominin สาย australopithecine[121], มนุษย์สกุล โฮโม ยุคต้น ๆ[18] และแม้กระทั่งซากของ Homo erectus[122][123]

การค้นพบเหล่านี้ทำให้มั่นใจได้ว่า แอฟริกาเป็นกำเนิดของมวลมนุษย์ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ประเทศเอธิโอเปียกลายเป็นแหล่งสำคัญใหม่ของบรรพมานุษยวิทยา (palaeoanthropology[J]) เมื่อ ดร. โดนัลด์ โจแฮนสัน ได้ค้นพบ "ลูซี่" ซึ่งเป็นซากดึกดำบรรพ์ของ hominin สปีชีส์ Australopithecus afarensis ที่สมบูรณ์ที่สุดในหมู่บ้าน Hadar ในเขตบรรพชีวินวิทยาชื่อว่า Middle Awash ด้านเหนือของประเทศเอธิโอเปียที่เป็นเขตทะเลทราย[121] เขตนี้จะเป็นแหล่งของซากดึกดำบรรพ์ของเผ่า hominini ใหม่ ๆ มากมาย โดยเฉพาะที่ค้นพบโดยทีมของ ดร. ทิม ไวท์ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 เช่น hominin สปีชีส์ Ardipithecus ramidus[121]

การปฏิวัติทางพันธุศาสตร์

การปฏิวัติทางพันธุศาสตร์เกี่ยวกับการศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์ก็เริ่มขึ้น เมื่อนักบรรพชีวินวิทยาชาวอเมริกันวินเซ็นต์ ซาริก และนักชีวเคมีชาวอเมริกันอัลแลน วิลสัน วัดระดับปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากโปรตีนแอลบูมินในน้ำเลือด (serum albumin) ในระหว่างสัตว์ที่เป็นคู่ (คือปฏิกิริยาระหว่างแอนติเจนคือแอลบูมินจากสัตว์หนึ่ง กับแอนติบอดีที่สร้างขึ้นต้านแอนติเจนนั้นในอีกสัตว์หนึ่ง) รวมทั้งมนุษย์และเอปจากทวีปแอฟริกา (คือลิงกอริลลาและลิงชิมแปนซี)[124] ระดับปฏิกิริยาสามารถกำหนดเป็นตัวเลขซึ่งเป็นตัวแทนของ "ระยะห่างทางภูมิคุ้มกัน" (immunological distance ตัวย่อ ID) ซึ่งมีสัดส่วนตามจำนวนความแตกต่างกันของกรดอะมิโนระหว่างโปรตีนกำเนิดเดียวกัน (homologous protein) ของสัตว์สปีชีส์ต่าง ๆ (ดังนั้น ระยะห่างที่ใกล้จึงหมายถึงสัตว์ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด) โดยสร้างเส้นโค้งเทียบมาตรฐาน (calibration curve) ของ ID ระหว่างคู่สปีชีส์ เทียบกับระยะเวลาที่สายพันธุ์แยกออกจากกันตามที่มีหลักฐานแสดงโดยซากดึกดำบรรพ์ที่ชัดเจน เส้นโค้งนี้สามารถใช้เป็น molecular clock (นาฬิกาอาศัยโครงสร้างโมเลกุล) เพื่อประมาณระยะเวลาที่สายพันธุ์แยกออกจากกันระหว่างสปีชีส์คู่ที่ไม่มีซากดึกดำบรรพ์หรือมีซากที่ให้ข้อมูลได้ไม่ชัดเจน

ในผลงานวิจัยทรงอิทธิพลปี ค.ศ. 1967 ของพวกเขาในวารสาร Science ซาริกและวิลสันประมาณระยะเวลาที่สายพันธุ์แยกออกจากกันของมนุษย์และลิงใหญ่ว่าเป็น 4-5 ล้านปีก่อน[124] ซึ่งเป็นสมัยที่คำอธิบายโดยใช้ซากดึกดำบรรพ์ประเมินระยะเวลานี้ที่ 10-30 ล้านปีก่อน แต่ซากดึกดำบรรพ์ที่พบต่อ ๆ มา โดยเฉพาะของลูซี่ (Australopithecus afarensis) และการตีความหมายข้อมูลจากซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบก่อน ๆ ใหม่ โดยเฉพาะของไพรเมตบรรพบุรุษของลิงอุรังอุตังสกุล Ramapithecus ที่มีชีวิตประมาณ 8.5-12.5 ล้านปีก่อน (สมัย Miocene กลาง-ปลาย)[K] แสดงว่า ค่าประมาณที่ต่ำกว่าของซาริกและวิลสันนั้นถูกต้อง ซึ่งแสดงความถูกต้องของวิธีการวัดโดยแอลบูมิน (แต่มาถึงในสมัยปัจจุบัน ค่านั้นได้เปลี่ยนไปบ้างแล้ว ดูหลักฐานทางอณูชีววิทยา) การประยุกต์ใช้หลักของ molecular clock ได้ปฏิวัติการศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางโครงสร้างโมเลกุล (molecular evolution[L])

การสืบหา hominin ที่เก่าแก่ที่สุด

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 มีนักบรรพมานุษยวิทยา (paleoanthropologist) หลายทีมทั่วแอฟริกากำลังทำการค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับเผ่า Hominini ที่เก่าที่สุดหลังจากการแยกสายพันธุ์ออกจากวงศ์ลิงใหญ่ ในปี ค.ศ. 1994 มีฟ ลีกคี ค้นพบซากของ hominin สปีชีส์ Australopithecus anamensis มีอายุประมาณ 4 ล้านปี แต่ว่าการค้นพบนี้ถูกทำให้อับแสงด้วยการค้นพบ hominin สปีชีส์ Ardipithecus ramidus ของทิม ไวท์ ในปีเดียวกัน ซึ่งมีประมาณอายุที่ 4.4 ล้านปีก่อน[125]

ในปี ค.ศ. 2000 นักบรรพมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสมาร์ติน พิกฟอร์ด และบริกีต์ เซนู ค้นพบเผ่า hominini ที่เดินด้วยสองเท้า มีอายุ 6 ล้านปีในบรรพชีวินสถาน Tugen Hills ของประเทศเคนยา ซึ่งพวกเขาได้ตั้งชื่อสปีชีส์ว่า Orrorin tugenensis[126][127] ในปี ค.ศ. 2001 ทีมนักวิจัยนำโดยนักบรรพชีวินวิทยาชาวฝรั่งเศสไมเคิล บรูเน ค้นพบกะโหลกศีรษะของสัตว์วงศ์ลิงใหญ่ (หรืออาจจะเป็นเผ่า hominini) สปีชีส์ Sahelanthropus tchadensis อายุ 7 ล้านปี[128] ซึ่งบรูเนอ้างว่า เป็นสัตว์สองเท้า และดังนั้นจึงจัดอยู่ในเผ่า hominini[10][129]

เกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานของมนุษย์

แบบจำลองของวิถีการอพยพของมนุษย์ปัจจุบันแสดงบนแผนที่โลก ลูกศรแสดงการอพยพออกจากทวีปแอฟริกา ผ่านทวีปยูเรเชีย ไปสู่ทวีปออสเตรเลีย และทวีปอเมริกา ส่วนขั้วโลกเหนืออยู่ตรงกลาง แอฟริกาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นอยู่ที่ข้างบนด้านซ้าย ส่วนอเมริกาใต้อยู่ขวาสุด ดูเชิงอรรถเพื่อข้อมูลเพิ่มเติม[M]

นักมานุษยวิทยาในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ไม่มีมติร่วมกันเกี่ยวกับรายละเอียดการอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์สกุลโฮโม ต่อจากนั้น ก็เริ่มมีการใช้วิธีการทางกรรมพันธุ์เพื่อตรวจสอบและแก้ประเด็นปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้

การอพยพของมนุษย์ยุคต้นก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อมนุษย์ H. erectus เป็น Homo รุ่นแรกที่อพยพออกจากแอฟริกาผ่านช่องทางที่เรียกว่า "Levantine corridor" (ช่องทางเลแวนต์) โดยผ่านเขตจะงอยแอฟริกา ไปทางยูเรเชีย เมื่อประมาณ 1.2-1.8 ล้านปีก่อน[40][41] หลังจากนั้นก็ตามด้วย H. antecessor ไปทางยุโรปเมื่อ 800,000 ปีก่อน แล้วตามด้วย H. heidelbergensis ซึ่งเป็นสปีชีส์ที่น่าจะเป็นบรรพบุรุษของทั้งมนุษย์ปัจจุบัน (โดยสายที่อยู่ในแอฟริกา) และ Neanderthal (โดยสายที่อยู่ในยูเรเชีย) เมื่อ 600,000 ปีก่อน[42]

ทฤษฎีอพยพสองอย่างที่ขัดแย้งกัน

โดย"ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา" (Recent African origin of modern humans หรือสั้น ๆ ว่า Recent African origin) เสนอว่า มนุษย์ปัจจุบันคือ H. sapiens เกิดเป็นสปีชีส์ใหม่ในทวีปแอฟริกาเมื่อเพียงเร็ว ๆ นี้ (ประมาณ 200,000 ปีก่อน) จากบรรพบุรุษในแอฟริกา ไม่ใช่จากพวกมนุษย์ที่อพยพออกมาแล้ว และมีการอพยพของมนุษย์สปีชีส์นี้ผ่านทวีปยูเรเชียไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่าง ๆ มีผลเป็นเป็นการทดแทนมนุษย์สกุล โฮโม อื่น ๆ เกือบสิ้นเชิง แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์นี้ มีการพัฒนาโดยคริส สตริงเกอร์ และปีเตอร์ แอนดรูส์ ในปี ค.ศ. 1988[130][131] และแบบจำลองของการอพยพออกจากแอฟริกาตะวันออก เป็นแบบกำเนิดมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับในหมู่นักวิทยาศาสตร์มากที่สุดโดยปี ค.ศ. 2006[132][133][134][57]

โดยเปรียบเทียบกัน "สมมติฐานวิวัฒนาการภายในหลายเขต" (Multiregional Evolution) เสนอว่ามนุษย์สกุล โฮโม มีเพียงสปีชีส์เดียวที่มีกลุ่มประชากรต่าง ๆ ที่มีการติดต่อกันตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มีสปีชีส์ต่าง ๆ กัน และวิวัฒนาการของมนุษย์ก็เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างสืบเนื่องกันตลอด 2-3 ล้านปีที่ผ่านมา นี้เป็นแบบจำลองที่เสนอในปี ค.ศ. 1988 โดยนักบรรพมานุษยวิทยาชาวอเมริกันมิลฟอร์ด วอลปอฟฟ์[135][136]

ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้มีน้ำหนักกว่า

ภายในสองทศวรรษที่ผ่านมา มีการพบซากมนุษย์ปัจจุบันที่ผู้ค้นพบให้ชื่อสปีชีส์ว่า Homo sapiens idaltu ที่เป็นซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ปัจจุบันที่เก่าที่สุดในโลกที่พบในแอฟริกา คือ

  • ในปี ค.ศ. 1997 (เผยแพร่ 2003) มีการพบกะโหลกศีรษะ 3 กะโหลกในเขต Middle Awash เอธิโอเปีย อายุประมาณ 154,000-160,000 ปี[137]
  • ในปี ค.ศ. 2005 มีการหาอายุกลุ่มซากดึกดำบรรพ์ที่เรียกว่า Omo remains ที่ได้ขุดจากเขตใกล้กับ Middle Awash เอธิโอเปีย โดยใช้เทคนิคใหม่และพบว่ามีอายุประมาณ 195,000 ปี[108][109]

เหล่านี้เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่อาจแสดงว่า มนุษย์ปัจจุบันมีกำเนิดมาจากทวีปแอฟริกา[59] นอกจากนั้นแล้ว งานวิจัยโดยใช้ haplogroup ใน Y-DNA และ mtDNA ต่อมา ยังสนับสนุนทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้โดยมาก[138]

ความก้าวหน้าในการหาลำดับดีเอ็นเอ โดยเฉพาะในดีเอ็นเอของไมโทคอนเดรีย (mtDNA) และต่อจากนั้น ในดีเอ็นเอของโครโมโซม Y (Y-DNA) ได้ช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ให้ดีขึ้น[139][140][141] การหาลำดับของทั้ง mtDNA และ Y-DNA ที่ได้ตัวอย่างมาจากคนพื้นเมืองในที่ต่าง ๆ ได้แสดงข้อมูลเกี่ยวกับบรรพบุรุษที่สืบมาทั้งจากทางมารดาและทางบิดา[142] คือได้พบว่า มนุษย์ปัจจุบันทั้งหมดสืบสายโดยไม่ขาดตอนมาจากหญิงคนเดียวกันผู้น่าจะอยู่ในแอฟริกาตะวันออก[96] ระหว่าง 90,000-200,000 ปีก่อน[93][94][95] (ผู้เรียกว่า mitochondrial Eve) และมาจากชายคนเดียวกันผู้น่าจะอยู่ในแอฟริกากลาง-ตะวันออกเฉียงเหนือ[143][144] ระหว่าง 180,000-500,000 ปีก่อน[145][146][147] (ผู้เรียกว่า Y-DNA Adam)

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีงานวิเคราะห์ที่ได้แสดงระดับความหลากหลายของรูปแบบดีเอ็นเอทั่วทวีปแอฟริกาที่สูงกว่านอกทวีป ซึ่งเข้ากับไอเดียว่า แอฟริกาเป็นแหล่งกำเนิดของมารดาที่เป็นต้นแบบของ mtDNA (mitochondrial Eve) และบิดาที่เป็นต้นแบบของ Y-DNA (Y-chromosomal Adam)[N][148] ข้อมูลทางกรรมพันธุ์เช่นนี้มีการตีความหมายว่า สนับสนุนทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา[149]

การผสมพันธุ์กันระหว่างมนุษย์กลุ่มต่าง ๆ

อย่างไรก็ดี ก็ยังมีหลักฐานเกี่ยวกับการผสมพันธุ์ (admixture[E]) กันระหว่างมนุษย์ปัจจุบันกับสปีชีส์ต่าง ๆ ของกลุ่มมนุษย์โบราณ Archaic Homo sapiens อีกด้วย[150] คือ ในปี ค.ศ. 2010 การหาลำดับดีเอ็นเอของ Neanderthal (Homo neanderthalensis)[151] และของ Denisovan ("Denisova hominin")[46] พบว่า มีการผสมพันธุ์ของมนุษย์ปัจจุบันกับมนุษย์สปีชีส์อื่น ๆ คือ มนุษย์ปัจจุบันนอกทวีปแอฟริกามีอัลลีลของ Neanderthal ประมาณ 1-4% ในจีโนมของตน และชาวเมลานีเซียยังมีอัลลีลของ Denisovan อีก 4-6% เทียบกับมนุษย์ปัจจุบันอื่น HLA haplotype ที่มีกำเนิดจาก Neanderthal และ Denisovan มีทั้งในคนยูเรเชีย และในคนโอเชียเนียในปัจจุบัน แต่คนในแอฟริกาไม่มี[45] นอกจากนั้นแล้ว งานวิจัยอื่นในปี ค.ศ. 2011 และ 2012 ยังพบด้วยอีกว่า กลุ่มชนแอฟริกาใต้สะฮารามีเชื้อสายมาจาก Archaic Homo sapiens ที่ยังไม่รู้จัก ที่ปัจจุบันสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว[152][153][154]

แต่ว่า ผลงานทางพันธุกรรมเหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกับทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้ ยกเว้นแต่นัยที่ตีความหมายอย่างแคบที่สุด (คือไม่มีการผสมพันธุ์ระหว่างมนุษย์ปัจจุบันและ Archaic Homo sapiens) คือมีนักวิทยาศาสตร์บางพวกที่ชอบใจทฤษฏีที่รวมเอาองค์ประกอบของทฤษฎีที่ขัดแย้งกันทั้งสองเพราะว่าสามารถอธิบายข้อมูลได้ดีที่สุด คือว่า ไม่ได้เกิดสปีชีส์ของมนุษย์ใหม่จริง ๆ ในแอฟริกา (ซึ่งทำให้การผสมพันธุ์กับมนุษย์รุ่นก่อน ๆ เป็นไปได้) แต่ว่า มีมนุษย์รุ่นใหม่ที่มีกายวิภาคปัจจุบันที่อพยพออกไปจากแอฟริกาแล้วเข้าไปตั้งถิ่นฐานแทนที่มนุษย์รุ่นก่อน ๆ โดยในบางที่อาจจะมีการผสมพันธุ์กันกับมนุษย์รุ่นก่อน ๆ แม้ว่าจะมีน้อย[59][18] คือ ผลงานทางกรรมพันธุ์ (2010, 2011, 2012) สามารถอธิบายได้ว่า หลังจากการฟื้นตัวจากจุดติดขัดทางกรรมพันธุ์ (genetic bottleneck) ที่อาจมีสาเหตุมาจากมหันตภัยภูเขาไฟทะเลสาบโตบา (Toba supervolcano catastrophe) ประมาณ 75,000 ปีก่อน มนุษย์กลุ่มค่อนข้างเล็กได้ผสมสายพันธุ์กับ Neanderthal ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง หรือแอฟริกาเหนือก่อนที่จะอพยพออกจากทวีปแอฟริกา และลูกหลานของมนุษย์กลุ่มนี้ซึ่งก็ยังเป็นเชื้อสายคนแอฟริกาโดยมาก ก็ได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก และมีส่วนหนึ่งที่ผสมสายพันธุ์กับ Denisovan น่าจะที่เอเชียอาคเนย์ ก่อนที่จะไปถึงเมลานีเซีย[155]

อีกอย่างหนึ่ง การผสมพันธุ์กับมนุษย์ Archaic Homo sapiens มีระดับค่อนข้างที่จะต่ำ (1-10%) และยังมีงานวิจัยอื่นหลังจาก ปี ค.ศ. 2010 ที่เสนอว่า กรรมพันธุ์ของ Archaic Homo sapiens อื่น ๆ ที่พบในมนุษย์ปัจจุบันอาจจะอธิบายได้โดยลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่สืบมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อ 500,000-800,000 มาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้[48][49][52]

แบบจำลองมีการอพยพหลายครั้ง

ถึงกระนั้น ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้ ก็ยังมีทฤษฎีย่อยต่าง ๆ กันอีกว่า เป็นการอพยพเพียงครั้งเดียว หรือหลายครั้ง แบบจำลองอพยพหลายครั้ง (multiple dispersal model) รวมเอาทฤษฎีอพยพไปทางทิศใต้ (Southern Dispersal theory) เข้าไว้ด้วย[156] ซึ่งเริ่มได้รับหลักฐานสนับสนุนทางกรรมพันธุ์ ทางภาษา และทางโบราณคดี เป็นทฤษฎีที่บอกว่า มีการอพยพของมนุษย์ปัจจุบันจากเขตติดทะเลคือจากจะงอยแอฟริกา (คือจากแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ หรือแหลมโซมาลี) ประมาณ 70,000 ปีก่อนเป็นกลุ่มแรก กลุ่มนี้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในเอเชียอาคเนย์และโอเชียเนีย ซึ่งอธิบายโบราณสถานในเขตเหล่านี้ ที่เก่าแก่ยิ่งกว่าในเขตเลแวนต์ (เขตฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทิศตะวันออก) แต่หลักฐานของการอพยพตั้งถิ่นฐานของมนุษย์กลุ่มแรกโดยมากน่าจะถูกทำลายโดยระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นหลังจากยุคน้ำแข็ง แต่ละยุคสุดสิ้นลง เพราะเป็นการตั้งถิ่นฐานในเขตฝั่งทะเลที่ถูกน้ำท่วมหลังจากน้ำแข็งละลายแล้วทะเลสูงขึ้น[156]

ส่วนมนุษย์กลุ่มที่สองออกจากทวีปแอฟริกาข้ามคาบสมุทรไซนายเข้าไปในเอเชีย แล้วทำการตั้งถิ่นฐานโดยมากในทวีปยูเรเชีย กลุ่มนี้อาจจะมีเทคโนโลยีเครื่องมือที่ทันสมัยกว่า[156] จึงต้องอาศัยแหล่งอาหารทางทะเลน้อยกว่ากลุ่มแรก แต่ว่าแบบจำลองอพยพหลายครั้งมีหลักฐานคัดค้านจากงานวิจัยในปี ค.ศ. 2005 ที่แสดงว่า กลุ่มประชากรในทวีปยูเรเชีย (กลุ่มสอง) และในเอเชียอาคเนย์และโอเชียเนีย (กลุ่มแรก) ล้วนแต่มี mtDNA เชื้อสายเดียวกัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่สนับสนุนว่ามีการอพยพเพียงสายเดียวออกจากแอฟริกาตะวันออกที่เป็นเหตุกำเนิดของประชากรนอกแอฟริกาทั้งหมด[157]

ความเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาค

เอป (หรือ hominoid) ล้วนแต่มีบรรพบุรุษสายเดียวกัน จากซ้ายไปขวา ชะนี มนุษย์ ลิงชิมแปนซี ลิงกอริลลา และลิงอุรังอุตัง

วิวัฒนาการของมนุษย์สามารถกำหนดได้โดยความเปลี่ยนแปลงทางสัณฐาน (morphological) ทางพัฒนาการ (developmental) ทางสรีรภาพ (physiological) และทางพฤติกรรม ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การแยกออกจากสายพันธุ์ของลิงชิมแปนซี การปรับตัวที่สำคัญที่สุดก็คือการเดินด้วยสองเท้า (bipedalism), การขยายขนาดของสมอง (encephalization[C]), ช่วงการพัฒนาและเติบโตที่นานขึ้น (ทั้งในท้องและในวัยเด็ก) และความแตกต่างระหว่างเพศ (sexual dimorphism) ที่ลดลง แต่ความสัมพันธ์ต่อกันและกันของความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่มีข้อยุติ[158] การเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานอื่น ๆ ที่สำคัญรวมทั้งวิวัฒนาการของการจับวัตถุได้อย่างแม่นยำและมีกำลัง ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกใน H. erectus[159]

การเดินด้วยสองเท้า

ความเปลี่ยนแปลงที่มีสมมติฐานว่าจำเป็นในการจะพัฒนาจากสัตว์สี่เท้ามาเป็นสัตว์สองเท้า มุมที่กระดูกต้นขายึดกับกระดูกเชิงกรานมีผลให้เดินสองเท้าได้สะดวก[160]

การเดินด้วยสองเท้า (bipedalism) เป็นการปรับตัวขั้นพื้นฐานของสัตว์เผ่า hominini[A] และพิจารณาว่าเป็นเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างกระดูกต่าง ๆ ที่ hominin ทุก ๆ สกุลมี[19]: 23 

เผ่า hominini ที่เดินด้วยสองเท้าที่เก่าแก่ที่สุดพิจารณาว่าเป็นสกุล Sahelanthropus[10] หรือไม่ก็สกุล Orrorin[11] โดยมีสกุล Ardipithecus ซึ่งเป็นสัตว์สองเท้าที่มีหลักฐานชัดเจนกว่า ตามมาทีหลัง[12] ส่วนลิงที่เดินโดยใช้ข้อนิ้วมือคือลิงกอริลลาและลิงชิมแปนซีแยกออกจากสายพันธุ์ในเวลาใกล้ ๆ กัน โดยอาจจะมีสกุล Sahelanthropus[10] เป็นบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกันกับมนุษย์

สัตว์สองเท้ายุคเริ่มต้นเหล่านี้ในที่สุดก็วิวัฒนาการเป็นเผ่า hominini เผ่าย่อย australopithecina (อังกฤษ: australopithecine ปกติรวมเอาสกุล Australopithecus และ Paranthropus) และหลังจากนั้นจึงเป็นเผ่าย่อย hominina ซึ่งรวมเอามนุษย์สกุล โฮโม เท่านั้น มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถึงประโยชน์ในการปรับตัวใช้สองเท้า[18] เป็นไปได้ว่า การเดินด้วยสองเท้าได้รับการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เพราะว่า ทำให้มือเป็นอิสระในการจับสิ่งของและในการถืออาหาร, เป็นการประหยัดพลังงานในขณะเดินทาง[161], ทำให้สามารถวิ่งได้และล่าสัตว์ได้ไกล ๆ, ทำให้เห็นได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดความร้อนเกินโดยลดเนื้อที่ผิวที่ถูกแสงอาทิตย์ การปรับตัวทั้งหมดนี้ก็เพื่อมีสภาพที่เหมาะสมยิ่งขึ้นกับสิ่งแวดล้อมแบบทุ่งหญ้าที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่แทนที่แบบป่าที่เคยมีมาก่อน[140][162]

โดยกายวิภาค การเดินด้วยสองเท้าต้องประกอบพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างกระดูก ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ที่ขาที่ยาวขึ้นและเชิงกรานที่เปลี่ยนรูปร่างไปเท่านั้น แต่กับที่อื่น ๆ เช่นกระดูกสันหลัง เท้ากับข้อเท้า และกะโหลกศีรษะด้วย[163] คือ กระดูกต้นขาเกิดวิวัฒนาการโดยโค้งเข้ามาทางศูนย์กลางความโน้มถ่วง คือเข้ามาแนวกลางด้านตั้งของร่างกาย หัวข้อเข่าและข้อเท้าก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ส่วนกระดูกสันหลังก็เปลี่ยนไปเป็นรูป S เพื่อที่แต่ละข้อจะรองรับน้ำหนักมากขึ้นเมื่อยืน และกระดูกสันหลังระดับเอว (lumbar vertebrae) ก็สั้นลงและกว้างขึ้น ส่วนที่เท้า หัวแม่โป้งก็หันไปทางเดียวกันกับนิ้วเท้าอื่น ๆ ที่สั้นลงเพื่อช่วยในการเดินไปข้างหน้า กระดูกเท้าก็เพิ่มส่วนโค้งในทางยาว แขนทั้งส่วนต้นส่วนปลายก็สั้นลงเทียบกับขาเพื่อทำให้วิ่งสะดวกยิ่งขึ้น ช่องฟอราเมน แมกนัมซึ่งเป็นทางออกของไขสันหลังที่กะโหลกศีรษะ ก็ย้ายไปอยู่ทางด้านล่างของกะโหลกเยื้องไปทางด้านหน้า[164] เทียบกับของลิงใหญ่ที่เยื้องไปทางด้านหลัง[14]

ภาพแสดงการหมุนตัวของทารกในเวลาคลอด (แบบที่สามัญที่สุด) ดูรายละเอียดเพิ่มในเชิงอรรถ[O]

แต่ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอยู่ที่กระดูกเชิงกราน โดยที่กระดูกปีกสะโพกที่ก่อนหน้านี้ยื่นยาวไปด้านล่าง เกิดสั้นลงและกว้างขึ้น (ดูรูป) ซึ่งจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพศูนย์กลางความโน้มถ่วงในขณะเดิน[161] ดังนั้น hominin ที่เดินด้วยสองเท้าจึงมีกระดูกเชิงกรานที่สั้นกว่า แต่กว้าง มีรูปร่างคล้ายชาม จุดอ่อนก็คือ ช่องคลอดในหญิงของ hominin พวกนี้มีขนาดเล็กกว่าเอปที่เดินใช้หลังกระดูกข้อนิ้วมือ แม้ว่าจะมีการขยายใหญ่ขึ้นแล้วในบางสกุล เมื่อเทียบกับของ hominin สาย australopithecine และของมนุษย์ปัจจุบัน เพื่อให้ทารกที่มีกะโหลกศีรษะใหญ่ขึ้นผ่านออกมาได้ แต่ขนาดที่ใหญ่ขึ้นจำกัดอยู่ที่ด้านบนของเชิงกรานเท่านั้น เพราะว่า ความเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้สามารถเป็นอุปสรรคแก่การเดินด้วยสองเท้าได้[168]

เชิงกรานที่สั้นลงและช่องคลอดที่เล็กลงเป็นการวิวัฒนาการเพื่อให้เดินด้วยสองเท้าได้ แต่มีผลสำคัญต่อการคลอดลูกในมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งยากกว่าในไพรเมตอื่น ๆ คือ ในขณะออกจากท้องแม่ เพราะว่าส่วนต่าง ๆ ของช่องผ่านเชิงกรานมีขนาดต่าง ๆ กัน ศีรษะของทารกจะต้องเยื้องไปทางตะโพกของแม่ด้านใดด้านหนึ่งเมื่อเริ่มเข้าไปในช่องคลอด และจะต้องหมุนไปในช่วงต่าง ๆ กันประมาณ 90 องศาก่อนที่จะออก (ดูรูป)[169] ช่องคลอดที่เล็กลงกลายเป็นอุปสรรคเมื่อขนาดสมองเริ่มขยายใหญ่ขึ้นในมนุษย์ยุคต้น ๆ มีผลทำให้มีระยะการตั้งครรภ์ที่สั้นลง ซึ่งเป็นเหตุผลที่มนุษย์คลอดทารกที่ยังไม่สมบูรณ์ ผู้ไม่สามารถเดินได้ก่อนวัย 12 เดือนและมีการเจริญเติบโตที่ยืดเยื้อ (neoteny) เมื่อเทียบกับไพรเมตอื่น ๆ ซึ่งสามารถเดินได้ในวัยเด็กกว่า[162]

สมองที่ต้องมีการพัฒนาในระดับที่สูงขึ้นหลังคลอด และการต้องอาศัยแม่มากขึ้นของเด็ก มีผลอย่างสำคัญต่อวงจรสืบพันธ์ของหญิง[ต้องการอ้างอิง] และสำหรับนักวิชาการบางท่าน ต่อการมีคู่ครองคนเดียวที่ปรากฏบ่อยครั้งในมนุษย์เมื่อเทียบกับสกุลวงศ์ลิงใหญ่อื่น ๆ[170][171] แม้ว่า จะมีนักวิชาการท่านอื่นที่มีความเห็นว่า การมีคู่ครองคนเดียวไม่เคยเป็นระบบการสืบพันธุ์หลักของ hominin[172][173][174] นอกจากมีระยะเวลาmujยืดเยื้อก่อนจะถึงวัยเริ่มเจริญพันธุ์แล้ว ยังมีวิวัฒนาการเกี่ยวกับวัยหมดระดอีกด้วย โดยมีสมมติฐานหนึ่งว่า หญิงที่สูงวัยขึ้นสามารถสืบสายพันธ์ของตนได้ดีกว่าถ้าช่วยดูแลลูกของลูกสาว ถ้าเทียบกับต้องดูแลลูกของตนที่มีเพิ่มขึ้น[175]

การขยายขนาดสมอง

มนุษย์สปีชีส์ต่าง ๆ มีสมองที่ใหญ่กว่าไพรเมตประเภทอื่น ๆ ซึ่งในมนุษย์ปัจจุบันมีขนาดเฉลี่ย 1,330 ซม3 ใหญ่กว่าของลิงชิมแปนซีหรือลิงกอริลลามากกว่าสองเท่า[176] การขยายขนาดสมองเริ่มขึ้นที่มนุษย์สกุล Homo habilis ซึ่งมีขนาดสมองที่ประมาณ 610 ซม3 เป็นขนาดที่ใหญ่กว่าลิงชิมแปนซีเล็กน้อย (ระหว่าง 282-500 ซม3[27]) ตามมาด้วย Homo erectus (ที่ 800-1,250 ซม3[18][17]) ไปสุดที่ Neanderthal ที่ขนาดเฉลี่ย 1,600 ซม3[177] ซึ่งใหญ่กว่าของมนุษย์ปัจจุบันเสียอีก

นอกจากนั้นแล้ว รูปแบบการพัฒนาของสมองหลังคลอด ก็ยังแตกต่างจากเอปประเภทอื่น ๆ อีกด้วย ทำให้มนุษย์สามารถศึกษาเรียนรู้ทางด้านสังคมและภาษาเป็นระยะเวลานานในวัยเด็ก อย่างไรก็ดี ความแตกต่างโดยโครงสร้างสมองของมนุษย์เทียบกับเอป อาจจะมีความสำคัญยิ่งกว่าความแตกต่างโดยขนาด[178][179][180][181]

ขนาดที่ขยายใหญ่ในแต่ละเขตของสมองไม่เท่ากัน คือ สมองกลีบขมับ ซึ่งมีศูนย์ประมวลผลทางภาษา ได้ขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าเขตอื่น ๆ และก็เป็นจริงด้วยสำหรับ prefrontal cortex (คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า) ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวกับการตัดสินใจที่ซับซ้อนและการควบคุมพฤติกรรมในสังคม[176] (ดู executive functions) การขยายขนาดของสมองเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับการมีเนื้อสัตว์เพิ่มเป็นอาหาร[182][183] หรือกับการหุงอาหาร[184] และมีการเสนอว่า มนุษย์มีเชาวน์ปัญญาที่สูงขึ้นเป็นการตอบสนองต่อความจำเป็นในการแก้ปัญหาทางสังคม (เป็นทฤษฎีที่เรียกว่า Social brain hypothesis) เมื่อสังคมมนุษย์มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น[185][186]

ความแตกต่างระหว่างเพศ

ระดับความแตกต่างระหว่างเพศ (sexual dimorphism) ที่ลดลงในมนุษย์ จะเห็นได้ในเพศชายโดยหลัก คือขนาดที่เล็กลงของฟันเขึ้ยว (canine tooth) เทียบกับเอปประเภทอื่น ๆ (ยกเว้นชะนี)[187] ขนาดที่เล็กลงของสันคิ้ว[18] และความแข็งแรงโดยทั่วไปที่ลดลง

ความแตกต่างที่สำคัญทางกายภาพอีกอย่างหนึ่งทางเพศของมนุษย์ก็คือ การมีช่วงตกไข่ที่ซ่อนเร้น (concealed ovulation)[188] ในเพศหญิง คือมนุษย์เป็นเอปประเภทเดียวที่เพศหญิงตั้งครรภ์ได้ตลอดทั้งปี โดยไม่มีสัญญาณพิเศษที่แสดงออกทางร่างกาย (เช่นความบวมขึ้นของอวัยวะเพศเมื่ออยู่ในช่วงตกไข่) แม้ว่าจะมีงานวิจัยเร็ว ๆ นี้ที่แสดงว่า หญิงมักจะมักมีความคิดและอารมณ์ทางเพศเพศเพิ่มขึ้นก่อนที่จะตกไข่[189]

อย่างไรก็ดี มนุษย์ก็ยังมีความแตกต่างระหว่างเพศในระดับหนึ่ง เช่นรูปแบบการแพร่กระจายของขนและไขมันใต้ผิว และขนาดทั่วไปของร่างกาย โดยที่ชายมีขนาดใหญ่กว่าหญิงประมาณ 15% (ข้อมูลของสหรัฐอเมริกา)[190] ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้โดยองค์รวมถือกันว่าเป็นผลจากการเพิ่มความสำคัญของการมีชีวิตคู่ (pair bonding) เป็นการแก้ปัญหาที่พ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกเป็นระยะเวลายาวนานยิ่งขึ้น[ต้องการอ้างอิง]

การปรับตัวทางกายภาพอื่น ๆ

หูชั้นนอกและหูชั้นกลางด้านขวา styloid process ของกระดูกขมับ อยู่ตรงกลางด้านล่าง

มีความเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะของวิวัฒนาการในมนุษย์ รวมทั้ง

  • โครงสร้างของมือ ข้อมือ และนิ้วที่ทำให้จับสิ่งของได้อย่างมีกำลังยิ่งขึ้น อย่างละเอียดละออยิ่งขึ้น[191] อย่างมีอิสระมากขึ้น ซึ่งมีการอ้างว่า เป็นการปรับตัวเพื่อทำและใช้เครื่องมือ[14]
  • โครงสร้างของแขนที่ไม่ได้ใช้รับน้ำหนักจึงมีกระดูกที่ตรงกว่า สั้นกว่า มีกล้ามเนื้อที่มีพลังน้อยกว่า แต่สามารถเคลื่อนที่ไปอย่างมีอิสระกว่าและได้ในระดับความเร็วต่าง ๆ กันมากกว่า[14]
  • การเพิ่มความสำคัญมากขึ้นของการเห็นเทียบกับการได้กลิ่น
  • มีทางเดินอาหารที่สั้นกว่าและเล็กกว่า[14]
  • ร่างกายมีขนน้อยลง และผมมีการงอกที่ช้าลง[13]
  • การเปลี่ยนรูปของแนวฟันจากรูปตัว U เป็นรูปพาราโบลา (แนวโค้ง)[18]
  • การยื่นออกของคาง (prognathism) ที่มีน้อยลง[14]
  • รูปร่างของกะโหลกศีรษะอย่างอื่น ๆ ที่เปลี่ยนไปเช่นกะโหลกมีลักษณะที่กลมขึ้น และมีโครงจมูกที่เล็กลง[13]
  • การเกิดขึ้นของ styloid process ของกระดูกขมับ (เป็นกระดูกรูปร่างแหลมยื่นออกมาจากกะโหลกศีรษะใต้หูเพียงเล็กน้อย)
  • การเกิดขึ้นของกล่องเสียงที่เคลื่อนตำแหน่งลงเมื่อโตขึ้น คือในเด็กวัยต้น อยู่ที่ระดับ C1-C3 ของกระดูกสันหลัง และจะเคลื่อนลงจากตำแหน่งนั้นเมื่อเจริญเติบโตขึ้น[192][193]
  • การเจริญเติบโตของส่วนต่าง ๆ ในร่างกายที่เร็วช้าและมีลำดับที่ไม่เหมือนกัน และระยะเวลาที่นานกว่าที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่[14]

ความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม

แม้ว่า จะมีความแตกต่างทางพฤติกรรมที่สำคัญหลายอย่างระหว่างเอปกับมนุษย์ เช่นความสามารถในการใช้ภาษา แต่นักวิชาการทั้งหลายก็ยังไม่มีข้อยุติว่า จะสามารถใช้อะไรเป็นเครื่องแสดงความแตกต่างทางพฤติกรรมเหล่านี้ในบรรดาหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์ที่สามารถเห็นได้[14][51]

วิวัฒนาการก่อน โฮโม

วิวัฒนาการของไพรเมต

Teilhardina belgica

ประวัติวิวัฒนาการของไพรเมตโดยซากดึกดำบรรพ์ย้อนเวลาไปประมาณ 55.8 ล้านปีก่อนในช่วงที่มีอากาศร้อน[6] สปีชีส์ของไพรเมตที่เก่าที่สุด (ที่รู้จัก) ก็คือสัตว์คล้ายมาโมเสทสกุล Teilhardina ที่อยู่ในทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย ระหว่าง 47-56 ล้านปีก่อน ในต้นสมัย Eocene (ซึ่งอยู่ในกลางยุคพาลีโอจีน)[194][195] แต่ว่า หลักฐานโดยใช้ molecular clock (นาฬิกาอาศัยโครงสร้างโมเลกุล) ในปี ค.ศ. 2009 บอกเป็นนัยว่า ไพรเมตอาจเป็นสัตว์ที่เก่าแก่ยิ่งกว่านั้น คือเริ่มขึ้นในกลางยุคครีเทเชียสประมาณ 85 ล้านปีก่อน[196] ทันสมัยช่วงที่พวกไดโนเสาร์ซึ่งไปยุติที่ท้ายยุคครีเทเชียสที่ 66 ล้านปีก่อน[197] และหลักฐานทางอณูชีววิทยาอื่นในปี ค.ศ. 2007 แสดงว่า เป็นสัตว์ใกล้ชิดที่สุดกับกับสัตว์อันดับบ่าง[198]

ตัวอย่างไพรเมตสกุล Notharctus อยู่ในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ 50 ล้านปีก่อน สัตว์อันดับย่อย Adapiformes ทั้งหมด รวมทั้ง Notharctus ด้วย ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว

แม้ว่า จะยังไม่มีหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์ที่เก่ากว่า 55.8 ล้านปี หลักฐานทางดีเอ็นเอบอกว่า มีการแยกสายพันธุ์ของไพรเมตก่อนหน้านั้นคือ[92]

เดวิด บีกัน[199] ได้สรุปว่า ไพรเมตในยุคต้น ๆ เกิดการขยายพันธุ์ไปทั่วทวีปยูเรเชีย และสายพันธุ์ที่สืบไปถึงเอปแอฟริการวมทั้งมนุษย์ ได้อพยพไปทางใต้จากยุโรปและเอเชียตะวันตกเข้าไปยังทวีปแอฟริกา ไพรเมตในเขตร้อนที่มีชีวิตรอดมาได้จนถึงปลายสมัย Eocene ซึ่งเห็นได้มากที่สุดในซากดึกดำบรรพ์ในชั้นหินยุคพาลีโอจีนปลายสมัย Eocene และต้นสมัย Oligocene ที่แอ่งใกล้เมือง Faiyum ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จากกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เป็นต้นตระกูลไพรเมตของสปีชีส์เขตร้อนที่ยังมีเหลือในปัจจุบันทั้งหมด เช่น

สมัย Oligocene

ในบรรดาซากดึกดำบรรพ์ที่พบใกล้เมือง Faiyum มีการค้นพบ

  • สกุล Parapithecus เป็นไพรเมตที่เกิดขึ้นก่อนการแยกสายพันธุ์ของ "Platyrrhini" และ "Catarrhini" เป็นไพรเมตที่เป็นญาติกับบรรพบุรุษของเอป (รวมทั้งมนุษย์) มีชีวิตในช่วงต้นสมัย ogliocene ปลายสมัย Eocene[200]
  • สกุล Aegyptopithecus เป็น Catarrhini ยุคต้น ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนการแยกสายพันธุ์ของลิงโลกเก่าและเอป (รวมทั้งมนุษย์) มีชีวิตระหว่าง 33-35 ล้านปีก่อน[201] เชื่อว่าเป็นสัตว์บรรพบุรุษหรือว่าเป็นญาติใกล้ชิดกับบรรพบุรุษมนุษย์[5][18]
  • เอปสกุล Propliopithecus มีชีวิตอยู่กลางสมัย Oligocene อยู่ในวงศ์ Pliopithecidae ซึ่งเป็นวงศ์ของเอปที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในซากดึกดำบรรพ์ อาจเป็นสกุลเดียวกับ หรือสืบสายมาจากสกุล Aegyptopithecus มีฟันกรามที่คล้ายกับ homoinini สกุล Australopithecus ซึ่งทำให้แตกต่างจาก Aegyptopithecus[202][203] เชื่อว่าเป็นสัตว์บรรพบุรุษหรือว่าเป็นญาติใกล้ชิดกับบรรพบุรุษมนุษย์[18]

ในปี ค.ศ. 2010 มีการค้นพบ Catarrhini สกุล Saadanius ในซาอุดีอาระเบีย มีอายุประมาณ 28-29 ล้านปีก่อน (สมัย Oligocene กลาง) ที่ผู้ค้นพบเสนอว่าเป็นญาติกับบรรพบุรุษร่วมกันสุดท้ายของลิงโลกเก่าและเอป (รวมทั้งมนุษย์)[204] แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่า สปีชีส์ไหนเป็นต้นตระกูลของเอป แต่หลักฐานทางดีเอ็นเอแสดงว่า มีการแยกสายพันธุ์ของลิงโลกเก่าและเอปออกที่ 28 ล้านปีช่วงระยะปลายสมัย Oligocene กับต้นสมัย Miocene[92]

สมัย Miocene

ในสมัย Miocene ตอนต้น ประมาณ 22 ล้านปีก่อน การมีลิง Catarrhini รุ่นต้น ๆ มากมายหลายประเภทที่ได้ปรับตัวอยู่บนต้นไม้ในแอฟริกาตะวันออก บอกเป็นนัยว่า มีประวัติยาวนานก่อนหน้านั้นของการเกิดความหลากหลายของสปีชีส์ต่าง ๆ ในสาย Catarrhini ซากดึกดำบรรพ์จากสมัย Miocene ตอนกลาง (12-16 ล้านปีก่อน) มีส่วนของลิงสกุล Victoriapithecus ซึ่งเป็นลิงโลกเก่าที่เก่าแก่ที่สุด (ไม่ใช่สายมนุษย์)[205] ส่วนเอปไร้หาง (ที่เป็นสายมนุษย์) เก่าแก่ที่สุดที่พบเป็นของสกุล Proconsul[P] มีอายุประมาณ 16-25 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงท้ายสมัย Oligocene ต้นสมัย Miocene อยู่ในแอฟริกาตะวันออก เป็นสัตว์ที่ลักษณะหลายอย่างคล้ายกับเอปปัจจุบันเช่นไม่มีหาง[187] ส่วนสกุลอื่น ๆ ที่เชื่อกันว่าอยู่ในสายพันธุ์ของเอป (รวมทั้งมนุษย์) ที่พบจนกระทั่งถึง 13 ล้านปีก่อน (สมัย Miocene กลาง) รวมสกุล Rangwapithecus, Dendropithecus, Limnopithecus, Nacholapithecus (15 ล้านปี[199]), Equatorius (10-16 ล้านปี), Nyanzapithecus, Afropithecus (17.5 ล้านปี[199]), Heliopithecus (16 ล้านปี) และ Kenyapithecus (13.5 ล้านปี) โดยมากมาจากแอฟริกาตะวันออก[Q]

โครงกระดูกจำลองของเอปไร้หางสกุล Proconsul ที่เก่าแก่ที่สุด มีชีวิตอยู่เมื่อ 23-25 ล้านปีก่อนในสมัย Miocene พบในแอฟริกาตะวันออก

เริ่มตั้งแต่สมัย Miocene กลางคือประมาณ 16-17 ล้านปี ก็เริ่มพบเอปเป็นพวกแรก ๆ นอกแอฟริกา เพราะว่าในช่วงเวลานี้ เกิดทางเชื่อมกันระหว่างแอฟริกากับยูเรเชีย และเอปได้อพยพออกนอกแอฟริกาผ่านป่าฝนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นป่าเดียวกัน ในขณะที่มีสัตว์จากยูเรเชียก็ได้อพยพเข้าไปในแอฟริกาด้วย[187] หลักฐานทางอณูชีววิทยาแสดงว่า สายพันธุ์ของชะนี (วงศ์ Hylobatidae) แยกสายพันธุ์ออกจากสายวงศ์ลิงใหญ่ ในช่วง 15-20 ล้านปีก่อน[8] แม้ว่าจะยังไม่ปรากฏซากดึกดำบรรพ์ที่แสดงหลักฐานทางบรรพบุรุษของพวกชะนี ซึ่งอาจมีกำเนิดจากกลุ่มเอปที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในเอเชียอาคเนย์


การมีสัตว์วงศ์ลิงใหญ่ (บางสกุลจัดเข้าวงศ์ย่อย Homininae ด้วย) ที่อาจเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ หรือเป็นญาติของบรรพบุรุษมนุษย์ ในกลางสมัย Miocene ในที่ไกล ๆ กัน เช่นสกุล Otavipithecus[R] จากถ้ำในประเทศนามิเบีย ที่แอฟริกาใต้, และ Pierolapithecus (มีชีวิตในสมัย Miocene)[207] กับ Dryopithecus (9-12 ล้านปี)[5] จากประเทศฝรั่งเศส สเปน และออสเตรีย ในยุโรป เป็นหลักฐานของความหลายหลากของวงศ์ลิงใหญ่ในแอฟริกาและบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน ในสมัยที่มีอากาศค่อนข้างอุ่นและสม่ำเสมอในช่วงสมัย Miocene ตอนต้นและตอนกลาง ลิงใหญ่ที่เกิดใหม่สุด (ที่พบซากดึกดำบรรพ์) ในสมัย Miocene ก็คือสกุล Oreopithecus ซึ่งมาจากชั้นถ่านหินในประเทศอิตาลีมีอายุประมาณ 7-9 ล้านปีก่อน[208] จากบรรดาสปีชีส์ของวงศ์ลิงใหญ่เหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีข้อมูลพอที่จะกำหนดได้ว่า พวกไหนเป็นสปีชีส์บรรพบุรุษของลิงใหญ่และมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน[18] แม้ว่าเดวิด บีกัน จะเสนอว่าน่าจะเป็นสกุล Griphopithecus (14-16.5 ล้านปี) จากเยอรมันนีและตุรกี[199]

การแยกสายพันธุ์ของวงศ์ลิงใหญ่ (Miocene กลาง)

โดยหลักฐานทางอณูชีววิทยา ลิงอุรังอุตัง (สกุล Pongo) แยกออกจากสายพันธุ์ Homininae ประมาณ 14 ล้านปีก่อน (สมัย Miocene กลาง)[8] และสัตว์วงศ์ย่อย Homininae ที่ยังไม่สูญพันธุ์คือลิงโบโนโบ ลิงชิมแปนซี (ทั้งสองในสกุล Pan) และลิงกอริลลา (สกุล Gorilla) เป็นสัตว์ที่ใกล้กับมนุษย์ที่สุด[14] โดยที่จีโนมของมนุษย์และลิงชิมแปนซีมีความคล้ายคลึงกันที่ระดับประมาณ 95-99%[14][91][90] ซึ่งเป็นความคล้ายคลึงกันที่แสดงถึงความมีสายพันธุ์เป็นพี่น้องกัน (sister taxon) ส่วนลิงกอริลลา (สกุล Gorilla) แยกออกจากสายพันธุ์มนุษย์ที่ประมาณ 6-10 ล้านปีก่อน[13] ตามมาด้วยลิงชิมแปนซีและลิงโบโนโบ (สกุล Pan) ในช่วงเวลาประมาณ 4-8 ล้านปีก่อนซึ่งอยู่ในช่วงปลายสมัย Miocene (ซึ่งเป็นส่วนปลายของยุคนีโอจีน)[13]

โดยหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ บรรพบุรุษของลิงอุรังอุตัง (proto-orangutan) สามารถใช้สกุล Sivapithecus (7-12.5 ล้านปี) จากประเทศอินเดียเป็นตัวแทนได้[199][161] ส่วนสปีชีส์ที่ใกล้กับบรรพบุรุษร่วมกันสุดท้ายของลิงกอริลลา ลิงชิมแปนซี และมนุษย์ สามารถใช้สกุล Nakalipithecus (9.8-9.9 ล้านปี) พบในประเทศเคนยา[209][210] และ Ouranopithecus (7.4-9.6 ล้านปี) พบในประเทศกรีซ[211] เป็นตัวแทนได้

ส่วนซากดึกดำบรรพ์ของบรรพบุรุษลิงกอริลลาและบรรพบุรุษลิงชิมแปนซีนั้นมีจำกัด ทั้งการสงวนสภาพที่ไม่ดี (เพราะดินของป่าดิบชื้นที่เป็นที่อยู่ของลิงมักจะมีสภาพเป็นกรดซึ่งทำลายกระดูก) และความเอนเอียงในการคัดตัวอย่าง (sampling bias) เพื่อจะเลือกหาซากที่เป็นของมนุษย์ อาจก่อให้เกิดปัญหานี้ ส่วน Homininae ประเภทอื่น ๆ (รวมทั้งสายพันธุ์มนุษย์) น่าจะเกิดการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่แห้งกว่านอกเขตศูนย์สูตร พร้อม ๆ กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ เช่นแอนทิโลป ไฮยีน่า สุนัข หมู ช้าง และม้า เมื่อถึงประมาณ 8 ล้านปีก่อน เพราะเขตศูนย์สูตรได้เกิดการหดตัวลง

มีหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์น้อยเกี่ยวกับการแยกสายพันธุ์ของเผ่า hominini[A] จากลิงกอริลลาและลิงชิมแปนซี แต่ว่า การเดินด้วยสองเท้า' (bipedalism) ซึ่งเป็นการปรับตัวพื้นฐานที่สุดของสัตว์เผ่า Hominini[A] ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของมนุษย์ที่ลิงชิมแปนซีได้แยกออกไปแล้ว ก็เริ่มปรากฏในสัตว์สองเท้าแรกสุดสปีชีส์ Sahelanthropus tchadensis[10] มีอายุ 7 ล้านปีก่อน (ปลายสมัย Miocene)[18] หรือ Orrorin tugenensis[11] มีอายุ 6.2 ล้านปีก่อน[18] โดยมีสกุล Ardipithecus ซึ่งเป็นสัตว์สองเท้าที่มีหลักฐานชัดเจนกว่า[12] มีอายุ 5.8 ล้านปีก่อน[18] ตามมาทีหลัง[S]

สปีชีส์เหล่านี้ล้วนแต่มีการอ้างว่า เป็นบรรพบุรุษเดินด้วยสองเท้าของ hominin ที่เกิดต่อ ๆ มา แต่ว่าทุกกรณีก็มีนักวิชาการบางพวกที่ยังไม่เห็นด้วย[212][128][213] ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า สปีชีส์หนึ่งหรือหลายสปีชีส์เหล่านี้เป็นสัตว์บรรพบุรุษของสายพันธุ์ลิงใหญ่แอฟริกา (คือลิงชิมแปนซี[10] หรือลิงกอริลลา) หรืออาจจะเป็นบรรพบุรุษที่ hominin มีร่วมกับลิงใหญ่แอฟริกา หรืออาจจะมี Sahelanthropus เป็นบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกันระหว่างชิมแปนซีและมนุษย์[10] ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้กับเผ่า hominini ยังไม่มีข้อยุติ

hominin ก่อน Homo

ผังวิเคราะห์แสดงความคล้ายคลึงกันของ hominin แบบหนึ่ง[214] ซึ่งแสดงความใกล้เคียงกันของสปีชีส์ต่าง ๆ

จากสปีชีส์ในยุคต้น ๆ ที่กล่าวเป็นต้นแล้วนั้น hominin สกุล Australopithecus (เผ่าย่อย Australopithecina) ก็เกิดวิวัฒนาการในแอฟริกาตะวันออกประมาณ 3.9 ล้านปีก่อน ต้นสมัยไพลโอซีน[18] ก่อนที่จะแพร่พันธุ์ไปทั่วทวีป และมีซากดึกดำบรรพ์ที่พบครั้งสุดท้ายเมื่อ 1.7 ล้านปีก่อน[215]: 158  ในระยะเวลาช่วงนั้น กลุ่มสปีชีส์ที่เรียกว่า gracile australopithecine เป็นกลุ่มที่เกิดก่อน มีหลายสปีชีส์รวมทั้ง A. anamensis (3.9 ล้านปี), A. afarensis (3.9 ล้านปี), A. africanus (3.03 ล้านปี), และ A. sediba (1.98 ล้านปี) แต่ว่า นักวิชาการไม่มีมติร่วมกันว่า กลุ่มสปีชีส์ที่เรียกว่า robust australopithecine ที่เกิดต่อ ๆ มา รวมทั้ง A. aethiopicus (2.7 ล้านปี), A. boisei (2.3 ล้านปี), และ A. robustus (2 ล้านปี) ควรจะจัดเป็นสมาชิกของสกุล Australopithecus หรือไม่ ถ้าเป็น ทั้งสามสปีชีส์ก็จะมีทวินามดังที่กล่าวแล้ว แต่ว่า ถ้าควรจะอยู่ในอีกสกุลหนึ่ง ก็จะมีสกุลเป็นของตนเอง คือสกุล Paranthropus รวมทั้งหมดแล้ว เผ่าย่อย Australopithecina มี

  • สกุล Australopithecus (1.7-3.9 ล้านปี กลุ่ม gracile australopithecine) รวมสปีชีส์ A. anamensis, A. afarensis, A. africanus, A. bahrelghazali, A. garhi และ A. sediba
  • สกุล Kenyanthropus (3.2-3.5 ล้านปี) รวมสปีชีส์ Kenyanthropus platyops (บางที่รวมเข้ากับ Australopithecus)
  • สกุล Paranthropus (1.2-2.7 ล้านปี กลุ่ม robust australopithecine) รวมสปีชีส์ P. aethiopicus, P. boisei และ P. robustus

สปีชีส์ที่มีหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์มากที่สุดก็คือ Australopithecus afarensis คือมีการพบซากเกินกว่า 100 ซาก พบในที่ต่าง ๆ รวมทั้งประเทศเอธิโอเปียเหนือ (รวมทั้งซากของลูซี่) ประเทศเคนยา และประเทศแอฟริกาใต้ ส่วนซากของ robust australopithecine เช่นสปีชีส์ Paranthropus robustus และ Paranthropus boisei โดยเฉพาะ มีอยู่มากในที่ต่าง ๆ ในแอฟริกาใต้รวมทั้งเขตสงวน Kromdraai และเขตมรดกแห่งชาติ Swartkrans ในประเทศแอฟริกาใต้, และรอบ ๆ ทะเลสาบ Turkana ในประเทศเคนยา

ในบรรดาสกุลเหล่านี้ อาจจะมีสปีชีส์หนึ่งจากสกุล Australopithecus (gracile australopithecine) (อาจจะเป็น A. garhi[216] หรือ A. sediba[217][218] หรือ A. afarensis[219][19] หรือสปีชีส์อื่นที่ยังไม่พบ) ที่กลายมาเป็นต้นตระกูลของสกุล โฮโม

วิวัฒนาการของสกุล โฮโม

สมาชิกเก่าแก่ที่สุดของสกุล Homo คือ H. habilis ซึ่งเกิดวิวัฒนาการที่ 2.3 ล้านปีก่อน[15][16][17] เป็นสปีชีส์แรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่าใช้เครื่องมือหิน[19][B] ที่สร้างโดยมีระดับความซับซ้อนที่เรียกว่าเทคโนโลยีหิน Oldowan เป็นชื่อตามสถานที่คือโกรกธาร Olduvai gorge ที่พบตัวอย่างเครื่องมือหินเป็นครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์บางพวกพิจารณา Homo rudolfensis ที่ค้นพบต่อมา ซึ่งมีร่างกายใหญ่กว่า แต่มีสัณฐานเหมือนกับซากของ H. habilis ว่าเป็นสปีชีส์ต่างหาก แต่บางพวกก็พิจารณาว่า เป็นพวกเดียวกับ H. habilis คือ มีลักษณะที่แตกต่างกันบ้างภายในสปีชีส์เดียวกัน หรืออาจจะเป็นความแตกต่างระหว่างเพศเลยด้วยซ้ำ (คือเป็นของเพศชาย)[19]

วิวัฒนาการทางกายภาพที่ชัดเจนที่สุดของมนุษย์สกุล Homo ที่แตกต่างจากสายพันธุ์ Australopithecina ก็คือ ขนาดกะโหลกศีรษะที่ใหญ่ขึ้น คือจากประมาณ 450 ซม3 ใน Australopithecus garhi[216] มาเป็น 610 ซม3 ใน H. habilis[25][26] ในช่วงล้านปีต่อมา กระบวนการขยายขนาดสมองก็ดำเนินต่อไป คือ ภายในสกุล Homo เอง ขนาดกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก H. habilis ผ่าน H. erectus/ergaster ไปยัง H. heidelbergensis ที่ 1100-1400 ซม3 เมื่อ 600,000 ปีก่อน[220] ซึ่งมีขนาดที่คาบเกี่ยวกันกับของมนุษย์ปัจจุบัน

หลักฐานซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ต่อมาคือสปีชีส์ H. erectus ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ 1.9 ล้านปีก่อน[36] เป็นมนุษย์สกุล Homo พวกแรกที่อพยพออกไปตั้งถิ่นฐานทั่วทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป ในช่วงระหว่าง 1.2 ถึง 1.8 ล้านปีก่อน[40][41][42] กลุ่มหนึ่งของ H. erectus ที่ดำรงอยู่ในทวีปแอฟริกา (หรือเรียกว่า African H. erectus) ซึ่งบางครั้งจัดเป็นสปีชีส์ต่างหากคือ H. ergaster (ซึ่งได้รับการเสนอว่า เป็นบรรพบุรุษของ H. sapiens)[221][222] เชื่อกันว่านี้เป็นสปีชีส์แรก ๆ ที่สามารถควบคุมไฟ[38][37][39] และใช้เครื่องมือที่ซับซ้อน

ซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพ (transitional fossil[I]) ที่เก่าที่สุดระหว่าง H. ergaster/erectus และมนุษย์ที่เกิดต่อ ๆ มา คือกลุ่ม Archaic Homo sapiens มาจากทวีปแอฟริกา แต่ซากที่เก่าแก่ที่สุดนอกแอฟริกามีการค้นพบที่โบราณสถาน Dmanisi ประเทศจอร์เจีย เขตคอเคซัส (H. erectus georgicus[223][224][225][226]) มีอายุประมาณ 1.8 ล้านปี[227][228]

ต่อมาเริ่มตั้งแต่ประมาณ 1.2 ล้านปีก่อน สปีชีส์ลูกหลานมนุษย์ H. ergaster/erectus ที่เรียกว่า Archaic Homo sapiens จึงปรากฏว่าได้ตั้งถิ่นฐานแล้วทั้งในทวีปแอฟริกาและทั่วทวีปยูเรเชีย[84] คือวิวัฒนาการเป็นมนุษย์สปีชีส์ (อายุในวงเล็บแสดงซากเก่าแก่ที่สุดที่พบ)

ส่วนซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ที่มีกายวิภาคเหมือนมนุษย์ปัจจุบันมากจากกลางยุคหินเก่า ประมาณ 200,000 ปีก่อน เช่นจากกลุ่มซากดึกดำบรรพ์ Omo remains จากประเทศเอธิโอเปีย โดยเก่าที่สุดมีอายุ 195,000 ปี[108][109] ่ส่วนซากอื่น ๆ รวมทั้งสปีชีส์ย่อย Homo sapiens idaltu มาจากหมู่บ้าน Herto ในโบราณสถาน Herto Formation ในประเทศเอธิโอเปีย โดยมีอายุเกือบ 160,000 ปี[137] และมาจากถ้ำ Skhul ในประเทศอิสราเอลที่มีอายุประมาณ 90,000-100,000 ปี[233] ซึ่งเป็นซากของมนุษย์ปัจจุบันที่เก่าแก่ที่สุดนอกแอฟริกา[59]

ตามทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ปัจจุบันเร็ว ๆ นี้จากแอฟริกา การอพยพเป็นต้นเหตุของประชากรในโลกปัจจุบันเริ่มขึ้นที่ประมาณ 70,000 ปีก่อน แล้วมนุษย์ปัจจุบันก็ขยายถิ่นฐานไปทั่วโลก แทนที่ hominin รุ่นก่อน ๆ ถ้าไม่โดยการแข่งขันกัน ก็โดยการผสมพันธุ์กัน และได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานในทวีปยูเรเชียและในเขตโอเชียเนียก่อน 40,000 ปีก่อน และในทวีปอเมริกาทั้งเหนือใต้ก่อน 14,500 ปีก่อน[234] (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์)

ความเห็นสองอย่างเกี่ยวกับการอพยพไปตั้งถิ่นฐานตามกาลเวลาและภูมิภาคของกลุ่มมนุษย์ โดยที่ความเห็นอื่น ๆ มีความต่างกันโดยการจำแนกชั้นของมนุษย์เป็นสปีชีส์ต่าง ๆ และภูมิภาคที่สปีชีส์เหล่านั้น เข้าไปตั้งถิ่นฐาน
ตาม Stringer 2012[235]
ตาม Reed & al. 2004[236]

H. sapiens เป็นสปีชีส์เดียวที่ยังเหลือในสกุล โฮโม แม้ว่า สปีชีส์อื่น ๆ ของ โฮโม ที่สูญพันธุ์แล้วอาจจะเป็นบรรพบุรุษของ H. sapiens แต่หลายสปีชีส์ก็น่าจะเป็น "ลูกพี่ลูกน้อง" ของเรามากกว่า เพราะได้แตกสาขาไปจากบรรพบุรุษของเรา[237][238] ยังไม่มีมติที่เห็นพ้องกันว่า กลุ่มไหนควรจะเป็นสปีชีส์ต่างหาก กลุ่มไหนควรจะนับในสปีชีส์ย่อย (subspecies) ความไม่ลงเอยกันในบางกรณีเป็นเพราะความขาดแคลนหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์ และในกรณีอื่น เป็นเพราะวิธีการจัดสปีชีส์[238] ทฤษฎีปัมพ์สะฮารา (Sahara pump theory) ซึ่งแสดงว่าทะเลทรายสะฮาราบางครั้งมีแหล่งน้ำเพียงพอที่จะข้ามได้ เสนอคำอธิบายที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับความต่าง ๆ กันของสปีชีส์ในสกุล โฮโม[239] แม้จะไม่กล่าวถึงรายละเอียดในบทความนี้

อาศัยหลักฐานทางโบราณคดีและทางบรรพชีวินวิทยา จึงสามารถอนุมานโดยส่วนหนึ่งถึงโภชนาการของ โฮโม สปีชีส์ต่าง ๆ และศึกษาบทบาทของอาหารต่อวิวัฒนาการทั้งทางกายภาพและพฤติกรรมของสกุล โฮโม[240][241][242][243][244]

ตามทฤษฎีมหันตภัยภูเขาไฟทะเลสาบโตบา (Toba catastrophe theory) ที่นักมานุษยวิทยาและนักโบราณคดีบางส่วนเห็นด้วย ซูเปอร์ภูเขาไฟของทะเลสาบโตบาบนเกาะสุมาตราในประเทศอินโดนีเซียเกิดการระเบิดเมื่อ 70,000 ปีก่อนมีผลไปทั่วโลก[245] ทำให้มนุษย์โดยมากในช่วงนั้นเสียชีวิตและสร้างจุดติดขัดในการขยายประชากร (population bottleneck) ที่มีผลต่อสายพันธุ์ที่สืบกันมาจนถึงทุกวันนี้[246]

H. habilis และ H. gautengensis

ไฟล์:Homo habilis-2.JPG
รูปจำลองของ Homo habilis มนุษย์สกุลโฮโมที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเกิดขึ้นประมาณ 2.3 ล้านปีก่อน[16][17][15]

H. habilis มีชีวิตอยู่ในช่วง 1.4-2.3 ล้านปีก่อน[16][17][15] คือเกิดวิวัฒนาการในแอฟริกาใต้และตะวันออกในสมัยไพลโอซีนช่วงปลาย หรือสมัยไพลสโตซีน ช่วงต้น คือประมาณ 2-2.5 ล้านปีก่อน และได้แยกออกจาก homonini สายพันธุ์ australopithecine H. habilis มีฟันกรามที่เล็กกว่า และมีสมองที่ใหญ่กว่า australopithecine (เฉลี่ย 610ซม3)[25][26] และใช้เครื่องมือทำจากหิน[19][20]และอาจจะกระดูกสัตว์[T]ด้วย เป็น hominin ที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จัก และมีชื่อเล่นว่า "handy man (ช่างซ่อม)" ตั้งโดยผู้ค้นพบคือนักบรรพชีวินวิทยาชาวอังกฤษหลุยส์ ลีกคี เนื่องจากพบซากพร้อมกับเครื่องมือหิน[247]

แต่ว่า มีนักวิทยาศาสตร์บางพวกที่เสนอการย้ายสปีชีส์นี้ออกจากสกุล Homo เข้าไปในสกุล Australopithecus เนื่องจากสัณฐานของโครงกระดูกที่ปรับตัวเข้ากับการอยู่บนต้นไม้ มากกว่าที่จะเดินบนสองเท้าเหมือนกับ Homo sapiens[248][14][25] เป็นสปีชีส์ที่ในตอนแรกพิจารณาว่าเป็นสปีชีส์แรกในสกุล Homo จนกระทั่งถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 เมื่อมีการเสนอสปีชีส์ใหม่ คือ H. gautengensis ในประเทศแอฟริกาใต้ (เป็นงานวิเคราะห์โครงกระดูกที่พบในอดีต) ที่ผู้เสนอเชื่อว่าเป็นสปีชีส์เก่าแก่ที่สุดในสกุล Homo[249][250]

H. rudolfensis

H. rudolfensis เป็นชื่อที่ให้กับซากดึกดำบรรพ์อายุ 1.78-1.9 ล้านปีก่อน ที่มีตัวอย่างที่ค้นพบในปี ค.ศ. 1972 และปี ค.ศ. 2012[251] ในประเทศเคนยาใกล้ทะเลสาบ Lake Turkana โดยริชาร์ด ลีกคี และมีฟ ลีกคี ผู้สนับสนุนว่า เป็นสปีชีส์ต่างหาก เพราะเป็นตัวอย่างที่มีกะโหลกศีรษะ โดยเฉพาะ.oส่วนกระดูกขากรรไกรที่แตกต่างจาก H. habilis อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งให้หลักฐานว่าเป็นสกุล "Homo" ยุคต้น ๆ ที่อยู่ร่วมกับ H. habilis[252][251]

แต่ว่า เรื่องนี้ยังไม่มีข้อยุติ เพราะมีนักวิชาการบางท่านที่เสนอว่า อาจจะเป็นตัวอย่างของสกุล Australopithecus[14][253] บางท่านเสนอก็ว่าเป็นของ H. habilis แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน[254] และบางท่านก็เสนอว่า ตัวอย่างที่ได้ยังมีน้อยเกินไปกว่าที่จะเป็นข้อยุติในเรื่องนี้ นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังไม่ชัดเจนว่า เป็น H. Habiis หรือ H. rudolfensis หรือสปีชีส์อื่นที่ยังไม่พบ ที่เป็นต้นตระกูลของมนุษย์ปัจจุบัน

สปีชีส์นี้มีขนาดกะโหลกศีรษะที่ 526-752 ซม3[255][256][257]

H. ergaster/erectus

ไฟล์:Homo erectus adult female - head model - Smithsonian Museum of Natural History - 2012-05-17.jpg
รูปจำลองของหญิง H. erectus ใช้รูปหล่อจากกะโหลกศีรษะจริง (KNM-ER 3733 และ 992) แล้วเติมรายละเอียดที่เหลือ จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสมิธโซเนียน วอชิงตัน ดี.ซี. ค.ศ. 2010

ในสมัยไพลสโตซีนช่วงต้น คือ 1.5-2 ล้านปีก่อน ในทวีปแอฟริกา H. erectus เกิดการวิวัฒนาการให้มีสมองใหญ่ขึ้นแล้วใช้เครื่องมือหินที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นและสามารถควบคุมไฟได้ ความแตกต่างเช่นนี้และอย่างอื่น ๆ เพียงพอที่จะให้นักมานุษยวิทยาจัดเป็นสปีชีส์ใหม่ คือ H. erectus[258] ซากดึกดำบรรพ์แรกของ H. erectus มีการค้นพบโดยนายแพทย์ชาวดัตช์ ยูจีน ดูบัว ในปี ค.ศ. 1891 ที่เกาะชวาในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งตอนแรกเขาตั้งชื่อว่า Pithecanthropus erectus โดยอาศัยสัณฐานที่พิจารณาว่าเป็นสปีชีส์ในระหว่าง[I] มนุษย์และเอป[259] ตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อเสียงของ H. erectus ก็คือมนุษย์ปักกิ่ง[260] ส่วนตัวอย่างอื่น ๆ มีการพบในเอเชีย (โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซีย) แอฟริกา และยุโรป

H. erectus นั้นมีชีวิตอยู่ในระหว่าง 27,000-1.9 ล้านปีก่อน[U][36] และดังนั้น ถ้าหลักฐานที่พบทั้งหมดสามารถจัดเป็นสปีชีส์เดียวกันได้จริง ๆ ก็จะเป็นสกุล Homo ที่ดำรงอยู่ได้กว่า 1.5 ล้านปี[18] ซึ่งนานกว่ามนุษย์สกุล Homo อื่นทั้งหมด เชื่อกันว่า H. erectus สืบสายพันธุ์มาจากสกุลก่อน ๆ เช่น Ardipithecus หรือ Australopithecus หรือจาก Homo สปีชีส์อื่น ๆ เช่น H. habilis หรือ H. ergaster แต่ว่าทั้ง H. erectus, H. ergaster, และ H. habilis ก็ล้วนแต่มีช่วงอายุที่คาบเกี่ยวกัน ดังนั้น จึงอาจจะเป็นสายพันธุ์ต่างหาก ๆ ที่สืบมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน[261]

สมองของ H. erectus มีขนาดประมาณ 725[14]-1,250[14][18] ซม3 H. erectus ในยุคต้น ๆ ดูเหมือนจะสืบทอดเทคโนโลยีเครื่องมือหิน Oldowan มาจากมนุษย์ยุคก่อน ๆ แล้วพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยีหินแบบ Acheulean เริ่มตั้งแต่ 1.7 ล้านปีก่อน[262] ส่วนหลักฐานถึงการควบคุมไฟได้ของ H. erectus ตั้งต้นแต่ 400,000 ปีก่อนได้รับการยอมรับจากนักวิชาการเป็นจำนวนมาก และหลักฐานที่เก่ากว่านั้นก็เริ่มที่จะได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์[37][38] ส่วนการใช้ไฟเพื่อหุงอาหารนั้นยังเป็นเรื่องที่ยังไม่มีข้อยุติ[38][263][264][265] เพราะยังไม่มีซากดึกดำบรรพ์ที่แสดงหลักฐานการหุงอาหารอย่างชัดเจน นอกจากนั้นแล้ว H. erectus ยังรับการเสนอว่า เป็นมนุษย์พวกแรกที่ใช้แพข้ามทะเล[266] (เพราะพบซากพร้อมกับเครื่องมือบนเกาะที่ไม่ปรากฏทางไปทางบก)

H. erectus เป็นมนุษย์สกุล Homo พวกแรกที่อพยพออกไปตั้งถิ่นฐานทั่วทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป ในช่วงระหว่าง 1.2 ถึง 1.8 ล้านปีก่อน[40][41][42] กลุ่มหนึ่งของ H. erectus ที่ดำรงอยู่ในทวีปแอฟริกา (หรือเรียกว่า African H. erectus) ซึ่งบางครั้งจัดเป็นสปีชีส์ต่างหากคือ H. ergaster ซึ่งต่อมาได้รับการเสนอว่า เป็นบรรพบุรุษของ H. sapiens[221][222] นักบรรพมานุษยวิทยาบางพวกปัจจุบันใช้นามว่า H. ergaster สำหรับมนุษย์สปีชีส์นี้ที่พบบางส่วนในแอฟริกา (ทั้งหมดจากประเทศเคนยาใกล้ทะเลสาบ Lake Turkana) ที่มีโครงสร้างกระดูกและฟันที่ต่างจาก H. erectus เพียงเล็กน้อย และใช้นามว่า H. erectus สำหรับซากดึกดำบรรพ์พบในที่ ๆ เหลือรวมทั้งแอฟริกาด้วย[14]

ส่วน H. georgicus จากประเทศจอร์เจีย ซึ่งตอนแรกเสนอว่าเป็นสปีชีส์ในระหว่าง[I] H. habilis และ H. erectus[267] เดี๋ยวนี้ได้จัดเป็นสปีชีส์ย่อยของ H. erectus[268] คือ H. erectus georgicus

H. cepranensis และ H. antecessor

ไฟล์:Homo antecessor female.jpg
รูปจำลองของหญิง Homo antecessor พบที่โบราณสถาน Atapuerca ประเทศสเปน เป็นมนุษย์สปีชีส์ที่อาจกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน

ซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้ได้รับการเสนอว่าเป็นสปีชีส์ในระหว่าง[I] H. erectus และ H. heidelbergensis

  • H. antecessor มาจากซากดึกดำบรรพ์พบในสเปนและอังกฤษมีอายุระหว่าง 8 แสนปี-1.2 ล้านปี[269][270] ในปี ค.ศ. 1995 มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ 80 คนที่อาจจะเป็นของสปีชีส์นี้ในโบราณสถานในประเทศสเปน มีตัวอย่างของกระดูกที่ปรากฏว่ามีการแล่เนื้ออกจากกระดูก ซึ่งอาจจะบอกว่าสปีชีส์นี้กินเนื้อมนุษย์ (cannibalism)[271] จากชิ้นส่วนซากดึกดำบรรพ์ที่มีอยู่น้อยมาก มีการประมาณว่า H. antecessor มีความสูงที่ 160-180 ซม และผู้ชายหนักประมาน 90 กก สมองมีขนาดประมาณ 1,000-1,150ซม3 ซึ่งเล็กกว่าขนาดเฉลี่ยมนุษย์ปัจจุบัน และน่าจะมีร่างกายที่แข็งแรงกว่า H. heidelbergensis
  • H. cepranensis มีซากดึกดำบรรพ์เป็นยอดของกะโหลกศีรษะ (skull cap) เดียวที่พบในอิตาลี ในปี ค.ศ. 1994[272] ประเมินว่ามีอายุประมาณ 350,000-500,000 ปี[273] งานวิจัยหนึ่งในปี ค.ศ. 2011 บอกเป็นนัยว่า อาจจะเป็นบรรพบุรุษของ Homo neanderthalensis[274]

H. heidelbergensis/rhodesiensis

H. heidelbergensis หรือบางครั้งเรียกว่า H. rhodesiensis[14] (และได้รับการเสนอให้เป็น H. sapiens heidelbergensis หรือ H. sapiens paleohungaricus ด้วย[275]) เป็นมนุษย์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ที่มีชีวิตอยู่ในแอฟริกา ยุโรป และเอเชียประมาณระหว่าง 250,000-600,000 ปีก่อน[14] แต่อาจเก่าแก่ถึง 1.4 ล้านปีก่อน[276] เป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่มีสมองขนาดใกล้กับมนุษย์ แต่มีร่างกายที่แข็งแรงกว่า[14] มีการเสนอว่าสืบเชื้อสายมาจาก H. erectus/ergaster และเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของ H. sapiens ในแอฟริกา, ของ H. neanderthalensis ในยุโรป, และของมนุษย์กลุ่ม Denisovan ในเอเชียกลาง[235][V]

ทั้ง H. antecessor และ H. heidelbergensis น่าจะสืบเชื้อสายมาจาก H. ergaster ในแอฟริกาเพราะว่า มีสัณฐานคล้ายกันมาก แต่เพราะว่า H. heidelbergensis มีกะโหลกหุ้มสมองที่ใหญ่กว่ามาก คือปกติประมาณ 1,100-1,400 ซม3 (เทียบกับ H. ergaster ที่ 700-850 ซม3 และ H. antecessor ที่ 1,000-1,150ซม3) และมีเครื่องมือและพฤติกรรมที่ทันสมัยกว่า จึงได้รับการจัดให้อยู่ในสปีชีส์ต่างหาก ผู้ชายสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 175 ซม หนัก 62 กก และผู้หญิงสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 158 ซม หนัก 55 กก[279] เป็นสปีชีส์ที่โดยเฉลี่ยสูงกว่ามนุษย์สาย Neanderthal เพียงเล็กน้อย[280] แต่ก็มีนักบรรพมานุษยวิทยาบางท่านที่อ้างว่า มีกลุ่ม "ยักษ์" กลุ่มหนึ่งที่ปกติสูงกว่า 213 ซม อยู่ในแอฟริกาใต้ประมาณ 300,000-500,000 ปีก่อน[281]

H. rhodesiensis (อังกฤษ: Rhodesian Man) มีชีวิตอยู่ช่วง 125,000-400,000 ปีก่อน มีขนาดสมองประมาณ 1100-1230 ซม3[282][283] นักวิจัยปัจจุบันโดยมากจัด H. rhodesiensis ไว้ในกลุ่มของ H. heidelbergensis[14] นักวิจัยบางท่านให้ความเห็นว่า เป็นไปได้ที่ Rhodesian Man จะเป็นบรรพบุรุษของ Homo sapiens idaltu (เป็นชื่อของสปีชีส์ย่อยของมนุษย์ปัจจุบันที่มีซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดซากหนึ่งค้นพบในแอฟริกา) ซึ่งก็เป็นบรรพบุรุษของ Homo sapiens sapiens ซึ่งก็คือมนุษย์ปัจจุบัน[137]

Neanderthal และ Denisovan

ไฟล์:Neandertaler reconst.jpg
รูปจำลองของ H. neanderthalensis โดยใช้ Dermoplastic

H. neanderthalensis (อังกฤษ: Neanderthal) หรือจัดอยู่ในอีกลุ่มหนึ่งว่า Homo sapiens neanderthalensis[284] ชื่อภาษาอังกฤษตั้งขึ้นตามชื่อหุบเขาที่พบซากดึกดำบรรพ์เป็นครั้งแรก (คือหุบเขา Neander ในประเทศเยอรมัน) ใช้ชีวิตอยู่ในยุโรปและเอเชียประมาณ 30,000-400,000 ปีก่อน[285] โดยเพศชายมีขนาดสมองเฉลี่ยที่ 1,600 ซม3[177] ซึ่งใหญ่กว่าขนาดเฉลี่ยเพศชายในมนุษย์ปัจจุบัน (เชื้อสายคนยุโรป)ที่ 1,260 ซม3[286][W] งานวิจัยปี ค.ศ. 2008 โดยใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์พบว่า ทารกของมนุษย์ Neanderthal เมื่อคลอดมีสมองขนาดเท่ากับมนุษย์ปัจจุบัน แต่มีสมองใหญ่กว่าเมื่อถึงวัยผู้ใหญ่[289] Neanderthal แข็งแรงกว่ามนุษย์ปัจจุบันมาก โดยเฉพาะที่แขนและมือ[290] ผู้ชายสูงประมาณ 164-168 ซม และผู้หญิงประมาณ 152-156 ซม[291]

มีหลักฐาน (ค.ศ. 1997, 2004, 2008) โดยการหาลำดับดีเอ็นเอของไมโทคอนเดรีย (mitochondrial DNA ตัวย่อ mtDNA) ที่แสดงว่า ไม่มีการแลกเปลี่ยนยีนโดยเป็นนัยสำคัญคือไม่มีการผสมพันธุ์กันระหว่าง H. neanderthalensis และ H. sapiens ดังนั้น สองกลุ่มนี้จึงเป็นสปีชีส์ที่แยกจากกันโดยมีบรรพบุรุษเดียวกันเมื่อ 660,000 ปีก่อน[292][293][294] โดยอาจมีบรรพบุรุษเป็น H. heidelbergensis/rhodesiensis[235][236] แต่ว่า งานหาลำดับดีเอ็นเอทั้งจีโนมของมนุษย์กลุ่มนี้ในปี ค.ศ. 2010 กลับแสดงว่า มีการผสมพันธุ์กับมนุษย์ปัจจุบันเมื่อประมาณ 45,000-80,000 ปีก่อน (ประมาณช่วงเวลาที่มนุษย์ปัจจุบันออกจากแอฟริกา แต่ก่อนที่จะไปตั้งถิ่นฐานในยุโรป เอเชีย และที่อื่น ๆ)[295] มนุษย์ปัจจุบันที่ไม่ใช่คนแอฟริกาเกือบทั้งหมดมีดีเอ็นเอ 1-4% สืบมาจากมนุษย์กลุ่มนี้[295] ซึ่งเข้ากับงานวิจัยเร็ว ๆ นี้ที่แสดงว่า การแยกออกจากกันของอัลลีลในมนุษย์บางพวกเริ่มขึ้นที่ 1 ล้านปีก่อน แต่ว่า การตีความหมายข้อมูลจากงานวิจัยทั้งสองที่แสดงผลแตกต่างกันนี้ ยังมีประเด็นที่น่าสงสัย[296][297]

(ดูรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับดีเอ็นเอขอมนุษย์โบราณที่หัวข้อ การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์)

H. neanderthalensis และ H. sapiens อาจจะอยู่ร่วมกันในยุโรปเป็นเวลานานถึง 10,000 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชากรมนุษย์ปัจจุบันเกิดการประทุมากขึ้นเป็นสิบเท่าทำให้มีจำนวนมากกว่า Neanderthal อย่างมาก ซึ่งอาจทำให้ Neanderthal แข่งขันสู้ไม่ได้เพียงเพราะเหตุแห่งจำนวนนั้น[298]

ในปี ค.ศ. 2008 นักโบราณคดีที่ทำงานที่ถ้ำ Denisova ในเทือกเขาอัลไตของเขตไซบีเรียได้ค้นพบกระดูกชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งจากนิ้วก้อยของเด็กสายพันธุ์ Denisovan[299] และสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ รวมทั้งกำไลมืออันหนึ่งที่ขุดได้จากชั้นหินในระดับเดียวกันโดยหาอายุได้ประมาณ 40,000 ปี[300] นอกจากนั้นแล้ว เนื่องจากว่ามีดีเอ็นเอที่รอดอยู่ในซากหินเนื่องจากถ้ำมีอากาศเย็น จึงมีการหาลำดับดีเอ็นเอของทั้ง mtDNA และของทั้งจีโนม[46][301] ในขณะที่การแยกสายพันธุ์พบใน mtDNA ย้อนไปไกลกว่าที่คาดคิด[277] ลำดับของจีโนมกลับบอกเป็นนัยว่า Denisovan อยู่ในสายพันธุ์เดียวกับ Neanderthal โดยมีการแยกสายพันธุ์เป็นสองสปีชีส์หลังจากบรรพบุรุษที่ได้แยกสายพันธุ์ออกจากของมนุษย์ปัจจุบันก่อนหน้านั้น[46][V]

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า มนุษย์ปัจจุบันอาจอยู่ร่วมกับ Neanderthal ในยุโรปเป็นช่วงเวลากว่า 10,000 ปี และการค้นพบนี้แสดงความเป็นไปได้ว่า มนุษย์ปัจจุบัน, Neanderthal, และ Denisovan อาจมีช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกัน การมีอยู่ของสาขาต่าง ๆ ของมนุษย์เช่นนี้ อาจทำให้ภาพพจน์เกี่ยวกับมนุษย์ในสมัยไพลสโตซีน ช่วงปลายซับซ้อนขึ้นกว่าที่คิด[301] นอกจากนั้นแล้ว ยังมีหลักฐานที่แสดงว่าจีโนมของชาวเมลานีเซียปัจจุบันประมาณ 6% สืบมาจาก Denisovan ซึ่งแสดงถึงการผสมพันธุ์ในระดับจำกัดระหว่างมนุษย์ปัจจุบันกับ Denisovan ในเอเชียอาคเนย์[155][302]

มีการค้นพบอัลลีลที่เชื่อว่ามีกำเนิดจาก Neanderthal และ Denisovan ในจีโนมของมนุษย์ปัจจุบันนอกแอฟริกา คือ HLA type จาก Neanderthal และ Denisovan ปรากฏในครึ่งหนึ่ง ของอัลลีล HLA ในมนุษย์ยูเรเชียปัจจุบัน[45] อันแสดงถึงการคัดเลือกโดยธรรมชาติที่มีกำลังสำหรับอัลลีลเหล่านี้

มีรายละเอียดทางกายวิภาคของ Denisovan น้อย เพราะซากที่ได้พบมาทั้งหมดมีแต่กระดูกนิ้วมือ, ฟันสองซี่ที่ได้หลักฐานทางดีเอ็นเอ, และกระดูกนิ้วเท้า นิ้วมือที่มีมีลักษณะกว้างและแข็งแรง เกินกว่าที่เห็นได้ในกลุ่มมนุษย์ปัจจุบัน ที่น่าแปลกใจก็คือ เป็นนิ้วของหญิง ซึ่งอาจจะแสดงว่า Denisovan มีร่างกายที่แข็งแรงมาก อาจจะคล้ายพวกมนุษย์ Neanderthal[46]

H. floresiensis

ไฟล์:Homo floresiensis Restoration model.jpg
รูปจำลองของ Homo floresiensis หรือที่เรียกว่า ฮ็อบบิท

H. floresiensis ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 12,000-94,000 ปีก่อน มีชื่อเล่นว่า ฮ็อบบิท เพราะตัวเล็ก ซึ่งอาจเกิดขึ้นผ่านกระบวนการ insular dwarfism (ซึ่งสัตว์ใหญ่ย่อขนาดลงโดยผ่านหลายชั่วรุ่น เมื่อเกิดการจำกัดพื้นที่ เช่นย้ายไปอยู่บนเกาะ)[303][304] ที่ผู้ค้นพบเสนอว่า เคยมีชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ปัจจุบัน[305] และมีนักวิชาการบางท่านที่เสนอว่า อาจมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์ตำนานพื้นบ้าน (ของแหล่งที่ค้นพบสปีชีส์นี้) ที่เรียกว่า Ebu gogo[306][307] เป็นสปีชีส์ที่น่าสนใจทั้งโดยขนาดและโดยความเก่าแก่ เพราะว่าเป็นตัวอย่างของสปีชีส์หลัง ๆ ของสกุล Homo ที่มีลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่มนุษย์ปัจจุบันไม่มี กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แม้ว่ามนุษย์สปีชีส์นี้จะมีบรรพบุรุษร่วมกับมนุษย์ปัจจุบัน แต่ก็ได้เกิดการแยกสายพันธุ์ แล้วมีวิถีวิวัฒนาการเป็นของตนเอง โครงกระดูกหลักที่พบเชื่อว่าเป็นของหญิงอายุประมาณ 30 ปี ที่พบในปี ค.ศ. 2003 บนเกาะ Flores ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีความเก่าแก่ประมาณ 18,000 ปี สูงประมาณ 105 ซม และมีขนาดสมองเพียงแค่ 380 ซม3[303] (ซึ่งเรียกว่าเล็กแม้ในลิงชิมแปนซี และมีขนาดเพียงแค่ 1/3 ของมนุษย์ปัจจุบัน)

อย่างไรก็ดี ก็ยังมีข้อถกเถียงกันว่า H. floresiensis ควรจะจัดเป็นสปีชีส์ต่างหากหรือไม่[308] เพราะนักวิทยาศาสตร์บางพวกเชื่อว่า เป็น H. sapiens ที่มีสภาพแคระโดยโรค[309] สมมติฐานนี้มีหลักฐานโดยส่วนหนึ่งว่า มนุษย์ปัจจุบันบางพวกที่เกาะ Flores ที่ค้นพบซากของสปีชีส์ เป็นคนพิกมี (pygmies ซึ่งมักหมายถึงกลุ่มชนที่ผู้ชายโดยเฉลี่ยมีความสูงต่ำกว่า 150-155 ซ.ม.) เพราะฉะนั้น คนพิกมีที่มีสภาพแคระโดยโรค อาจจะทำให้เกิดมนุษย์ที่มีรูปร่างคล้ายฮ็อบบิท ข้อขัดแย้งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในเรื่องการจัดเป็นสปีชีส์ต่างหากก็คือ เครื่องมือที่พบเป็นชนิดที่ปกติค้นพบเฉพาะกับ H. sapiens[309]

ถึงกระนั้น สมมติฐานสภาพแคระโดยโรคก็ไม่สามารถอธิบายลักษณะอื่น ๆ ของสปีชีส์นี้ ซึ่งเหมือนกับลิงชิมแปนซี หรือกับ hominin ในยุคต้น ๆ เช่น Australopithecus และที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ปัจจุบัน (ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีโรค) ลักษณะที่ว่านี้ รวมลักษณะต่าง ๆ ของกะโหลกศีรษะ รูปร่างของกระดูกที่ข้อมือ ที่แขนท่อนปลาย ที่ไหล่ ที่เข่า และที่เท้า[310][311][312][313] นอกจากนั้นแล้ว สมมติฐานยังไม่สามารถอธิบายการมีตัวอย่างหลายตัวอย่างที่มีลักษณะเหมือน ๆ กันเช่นนี้ ซึ่งบ่งว่าเป็นเรื่องสามัญในคนหมู่ใหญ่ ไม่ใช่เป็นลักษณะที่มีอยู่เฉพาะบุคคลเท่านั้น ในปี ค.ศ. 2009 มีงานวิจัยโดยคำนวณความคล้ายคลึงกันระหว่างสปีชีส์ (cladistic analysis)[314] และโดยการวัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย[315] ที่สนับสนุนสมมติฐานว่าเป็นสปีชีส์ต่างหากจาก H. sapiens

H. sapiens

H. sapiens (คำวิเศษณ์ ว่า sapiens เป็นภาษาละตินแปลว่า ฉลาด[316]) มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ประมาณ 200,000 ปีก่อน[X] จนถึงปัจจุบัน คือ ในระหว่าง 250,000-400,000 ปีก่อน เริ่มปรากฏแนวโน้มการขยายขนาดสมอง[C][176] และความซับซ้อนของเทคโนโลยีเครื่องมือหิน ในหมู่มนุษย์ ซึ่งเป็นหลักฐานของวิวัฒนาการที่เริ่มมาจาก H. erectus (1.9 ล้านปีก่อน) จนถึง H. sapiens (200,000 ปีก่อน) และมีหลักฐานโดยตรงที่บอกว่า มีการอพยพออกจากแอฟริกาของ H. erectus ก่อน[40][41] แล้วจึงเกิดการวิวัฒนาการเป็นสปีชีส์ H. sapiens สืบมาจาก H. erectus/ergaster ที่ยังคงอยู่ในแอฟริกา[222] (ผ่าน "H. heidelbergensis/rhodesiensis"[235]) แล้วก็มีการอพยพต่อ ๆ มาไปทั้งภายในและภายนอกแอฟริกาประมาณ 50,000-100,000 ปีก่อน ซึ่งในที่สุดก็ทดแทนมนุษย์สายพันธุ์ของ H. erectus/ergaster ในที่ต่าง ๆ ทั้งหมด[57] ทฤษฎีกำเนิดและการอพยพของบรรพบุรุษมนุษย์ปัจจุบันนี้มักจะเรียกว่า ""Recent Single Origin" (ทฤษฎีกำเนิดเดียวเร็ว ๆ นี้), "Recent African Origin" (ทฤษฎีกำเนิดในแอฟริกาเร็ว ๆ นี้), หรือ "Out of Africa theory" (ทฤษฎีออกจากแอฟริกา) เป็นทฤษฏีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดในหมู่นักวิทยาศาสตร์[132]

แต่ว่า หลักฐานที่มีในปัจจุบันไม่ได้ห้ามการเกิดการผสมพันธุ์กัน (admixture[E]) ระหว่างสปีชีส์ของ H. sapiens กับกลุ่ม Homo ที่มีมาก่อนแล้ว และก็ยังไม่สามารถล้มทฤษฎีที่แข่งกันคือ Multiregional Origin (ทฤษฏีกำเนิดมนุษย์หลายเขตพร้อม ๆ กัน)[45] ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังไม่มีข้อยุติในสาขาบรรพมานุษยวิทยา (paleoanthropology) (ดูรายละเอียดเพิ่มขึ้นที่หัวข้อ "การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์")

งานวิจัยปัจจุบันได้ทำให้ชัดเจนแล้วว่า มนุษย์ทั้งหมดมีกรรมพันธุ์ที่คล้ายกันในระดับสูง ซึ่งก็คือ ดีเอ็นเอของแต่ละคนคล้ายกันเกินกว่าที่ทั่วไปกับสปีชีส์อื่น ๆ (เช่นคนสองคนจากกลุ่มเดียวกันมักมีดีเอ็นเอที่คล้ายคลึงกันมากกว่าลิงชิมแปนซีจากกลุ่มเดียวกัน)[57] ซึ่งอาจจะเกิดเพราะเพิ่งเกิดวิวัฒนาการขึ้นเร็ว ๆ นี้ หรืออาจะเป็นเพราะเกิดจุดติดขัดในการขยายประชากร (population bottleneck) ที่เป็นผลมาจากภัยธรรมชาติเช่น มหันตภัยภูเขาไฟทะเลสาบโตบา (Toba catastrophe)[322][323] ที่ทำให้ผู้คนในที่ต่าง ๆ ล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำให้มนุษย์ปัจจุบันเป็นเชื้อสายสืบทอดมาจากบุคคลกลุ่มค่อนข้างเล็ก กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ มนุษย์ปัจจุบันมีลักษณะทางกรรมพันธุ์ที่ไม่เหมือนกันในจีโนมค่อนข้างน้อย เป็นเหมือนกับสถานการณ์ที่ชนกลุ่มเล็ก ๆ อพยพเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ (จึงเกิดมีลูกหลานที่มีความแตกต่างกันทางกรรมพันธุ์น้อย) และส่วนเล็กน้อยที่ไม่เหมือนกันนั้น ปรากฏเป็นลักษณะต่าง ๆ เช่นสีผิว[324] และรูปร่างจมูก รวมทั้งลักษณะภายในเช่นสมรรถภาพในการหายใจอย่างมีประสิทธิภาพในที่สูง[325][326]

ส่วน H. sapiens idaltu จากประเทศเอธิโอเปีย เป็นสปีชีส์ย่อย (sub-species) ของ H. sapiens ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อประมาณ 160,000 ปีก่อน มีขนาดสมองประมาณ 1,450 ซม3 ซึ่งผู้ค้นพบให้ความเห็นว่า เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน[137]

การใช้เครื่องมือ

การใช้เครื่องมือได้รับการตีความหมายว่าเป็นนิมิตของสติปัญญา มีทฤษฎีว่า การใช้เครื่องมืออาจจะช่วยกระตุ้นวิวัฒนาการบางอย่างของมนุษย์ โดยเฉพาะในเรื่องการขยายขนาดของสมอง[C] ที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่หลักทางบรรพชีวินวิทยายังไม่สามารถอธิบายการขยายขนาดของสมองเป็นช่วงเวลาหลายล้านปีอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าจะเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานสูง สมองมนุษย์ปัจจุบันกินพลังงานประมาณ 13 วัตต์ต่อวัน หรือ 260 กิโลแคลอรี ซึ่งเป็น 1/5 ของพลังงานที่ร่างกายใช้ทั้งหมดต่อวันโดยเฉลี่ย[327] การใช้เครื่องมือเพิ่มขึ้นทำให้สามารถแล่เอาเนื้อสัตว์ซึ่งมีพลังงานสูงได้ และช่วยให้สามารถบริหารอาหารพืชที่มีพลังงานสูงได้ ดังนั้น นักวิจัยจึงได้เสนอว่า hominin ในยุคต้น ๆ อยู่ใต้ความกดดันทางวิวัฒนาการเพื่อเพิ่มสมรรถภาพในการสร้างและใช้เครื่องมือ[328]

เวลาที่มนุษย์ยุคแรก ๆ เริ่มใช้เครื่องมือเป็นสิ่งที่กำหนดได้ยาก เพราะว่า เครื่องมือยิ่งง่าย ๆ เท่าไร (เช่น หินมีคม) ก็ยากที่จะกำหนดว่าเป็นวัตถุธรรมชาติหรือเป็นสิ่งประดิษฐ์ มีหลักฐานบ้างว่า hominin สาย australopithecine (4 ล้านปีก่อน) ใช้ก้อนหินแตกเป็นเครื่องมือ แต่เรื่องนี้ยังไม่มีข้อยุติ[329][B]

ควรจะสังเกตว่า มีสัตว์หลายสปีชีส์ที่ทำและใช้เครื่องมือ[330] แต่เป็นสกุลต่าง ๆ ของมนุษย์ที่ทำและใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนเหนือกว่าสัตว์อื่น ๆ ทั้งหมด เครื่องมือหินเก่าแก่ที่สุดที่รู้จักเป็นเครื่องมือหินเทคโนโลยี Oldowan จากประเทศเอธิโอเปีย อายุประมาณ 2.6 ล้านปี เป็นชื่อตามสถานที่คือโกรกธาร Olduvai gorge ที่พบตัวอย่างเครื่องมือหินเป็นครั้งแรก[23] ซึ่งเกิดขึ้นก่อนสกุล Homo แรกสุด คือ H. habilis ที่ 2.3 ล้านปี และยังไม่มีหลักฐานว่ามีสกุล Homo ที่เกิดขึ้นโดย 2.5 ล้านปีก่อน แต่ว่า มีซากดึกดำบรรพ์ของ Homo ที่พบใกล้เครื่องมือ Oldowan แม้ว่าจะมีอายุประมาณเพียง 2.3 ล้านปี (คือเครื่องมือหินที่พบเก่าแก่กว่า) ซึ่งบอกเป็นนัยว่า บางทีมนุษย์ Homo อาจจะเป็นผู้สร้างและใช้เครื่องมือเหล่านี้ แต่เป็นเรื่องเป็นไปได้ที่ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน[97] และมีนักวิชาการบางพวกที่สันนิษฐานว่าเป็น hominin สาย Australopithecine ที่สร้างเครื่องมือหินขึ้นเป็นพวกแรก[121][331][18][B]

วิวัฒนาการของมือมนุษย์ที่ทำให้สามารถใช้เครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระดูกฝ่ามือชิ้นที่สามของมือซ้าย (สีแดง) แสดงฝ่ามือ
แสดงตัวอย่างของ styloid process ของกระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 2 และ 4

ส่วนยื่น styloid process ที่สุดของกระดูกติดกับข้อมือ ของกระดูกฝ่ามือชิ้นที่สาม (ดูรูป) ช่วยให้กระดูกมือล็อกเข้ากับกระดูกข้อมือได้ ซึ่งทำให้นิ้วโป้งและนิ้วมืออื่น ๆ ที่ใช้จับวัตถุสิ่งของอยู่ สามารถสื่อแรงดันไปที่มือและข้อมือในระดับที่สูงขึ้นได้ ทำให้มนุษย์มีความคล่องแคล่วและมีกำลังในการทำและใช้เครื่องมือที่ซับซ้อน ลักษณะพิเศษทางกายนี้ทำมนุษย์ให้แตกต่างไปจากเอปและไพรเมตที่ไม่ใช่มนุษย์อื่น ๆ และไม่พบในซากมนุษย์ที่เก่ากว่า 1.8 ล้านปี[191]

นักวิชาการบางท่านให้ข้อสังเกตว่า hominii สกุล Paranthropus อยู่ร่วมกับสกุล Homo ในเขตที่พบเครื่องมือหิน Oldowan เป็นครั้งแรก ในช่วงเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานโดยตรงที่บ่งว่า Paranthropus เป็นผู้สร้างเครื่องมือ แต่ลักษณะทางกายวิภาคก็ให้หลักฐานโดยอ้อมถึงความสามารถในเรื่องนี้ แต่นักบรรพมานุษยวิทยาโดยมากมีมติพ้องกันว่า มนุษย์ Homo รุ่นต้น ๆ เป็นผู้สร้างและผู้ใช้เครื่องมือ Oldowan ที่พบโดยมาก ไม่ใช่ australopithecine เช่น Paranthropus คือ อ้างว่า เมื่อพบเครื่องมือ Oldowan กับซากมนุษย์ ก็จะพบ Homo ด้วย แต่บางครั้งจะไม่พบ Paranthropus[97]

ในปี ค.ศ. 1994 มีงานวิจัยที่ใช้กายวิภาคของหัวแม่มือที่สามารถจับสิ่งของร่วมกับนิ้วอื่นได้ (opposable thumb) เป็นฐานในการอ้างว่า ทั้งสกุล Homo และ Paranthropus สามารถสร้างและใช้เครื่องมือได้ คือได้เปรียบเทียบกระดูกและกล้ามเนื้อของหัวแม่มือระหว่างมนุษย์กับลิงชิมแปนซี แล้วพบว่า มนุษย์มีกล้ามเนื้อ 3 ชิ้นที่ชิมแปนซีไม่มี นอกจากนั้นแล้ว มนุษย์ยังมีกระดูกฝ่ามือ (metacarpal) ที่หนากว่าและมีหัวกระดูกที่กว้างกว่า ซึ่งสามารถทำให้จับสิ่งของได้แม่นยำกว่าชิมแปนซี นักวิจัยยืนยันว่า กายวิภาคปัจจุบันของหัวแม่มือมนุษย์เป็นการตอบสนองทางวิวัฒนาการเกี่ยวกับการที่ต้องทำและใช้เครื่องมือ ซึ่ง hominii ทั้งสองสปีชีส์สามารถทำเครื่องมือได้[97]

เครื่องมือหิน

เทคโนโลยี Oldowan - H. habilis - ยุคหินเก่าต้น

การใช้เครื่องมือหินเริ่มมีหลักฐานเป็นครั้งแรกเมื่อ 2.6 ล้านปีก่อนเมื่อ H. habilis[B] ในแอฟริกาตะวันออกใช้เครื่องมือหิน Oldowan ประเภท "มีดสับเนื้อ" ที่ทำจากหินก้อนกลม ๆ (ดูรูป) ที่ทำให้แตกโดยการตีแบบง่าย ๆ[99] ซึ่งเป็นเครื่องหมายบอกการเริ่มต้นของยุคหินเก่า ซึ่งดำเนินไปจนสุดยุคน้ำแข็งสุดท้ายที่ประมาณ 10,000 ปีก่อน ยุคหินเก่าที่เริ่มที่ 2.6 ล้านปีก่อนนี้ แบ่งออกเป็น 3 ช่วงคือ

  • ยุคหินเก่าต้น (Lower Paleolithic) หรือยุคหินเก่าล่าง[Y]ซึ่งยุติที่ 350,000-300,000 ปีก่อน
  • ยุคหินเก่ากลาง (Middle Paleolithic) ซึ่งยุติที่ 50,000-30,000 years ปีก่อน
  • ยุคหินเก่าปลาย (Upper Paleolithic) หรือยุคหินเก่าบน ซึ่งยุติที่ 10,000 ปีก่อน

เทคโนโลยี Acheulean - H. ergaster/erectus - ยุคหินเก่าต้น

สวนช่วงระหว่าง 700,000-300,000 ปีก่อนยังรู้จักว่า สมัย Acheulean อีกด้วย เพราะเป็นช่วงที่ H. ergaster/erectus ได้ทำขวานมือมีสองคมจากจากหินเหล็กไฟและหินควอร์ตไซต์ก้อนใหญ่ (ดูรูป) โดยตอนต้นมีลักษณะหยาบ (Acheulian ต้น) และต่อจากนั้นก็เริ่มมี "การแต่ง" (retouch) โดยมีการตีอย่างเบา ๆ เพื่อแต่งส่วนที่ตีหยาบ ๆ ก่อนให้คมขึ้น

เทคโนโลยี Mousterian - Neanderthal - ยุคหินเก่ากลาง

ไฟล์:Distribution géographique des sites du Moustérien.jpg
แสดงสถานที่ต่าง ๆ ที่พบเทคโนโลยี Mousterian

หลังจาก 350,000 ปีก่อนในช่วงยุคหินเก่ากลาง เทคนิคที่ละเอียดขึ้นที่เรียกว่า Levallois technique ก็มีการพัฒนาขึ้น (เป็นสมัย Mousterian) ซึ่งเป็นการตีหินเป็นลำดับ เป็นเทคนิคที่ใช้สร้างหินขูด (scraper) หินแล่ (slicer) เข็ม และเข็มรูปแบน[99] เป็นเทคนิคที่เชื่อกันว่าพัฒนาโดยมนุษย์ Neanderthal เพราะพบเครื่องมือหินที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส (330,000-30,000 ปีก่อน)[332] แม้ว่าจะพบในกลุ่มมนุษย์พวกอื่น ๆ อีกด้วย คือที่เลแวนต์ แอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ เอเชียกลาง และไซบีเรีย[333][334]

วัฒนธรรม Aurignacian - H. sapiens - ยุคหินเก่ากลางและปลาย

ประมาณระหว่าง 47,000-27,000 ปี[335] ในยุคหินเก่าปลาย ก็เกิดวัฒนธรรม Aurignacian ในยุโรปและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ที่เริ่มมีการสร้างมีดหินยาว[336] ทำเป็นมีด ใบมีด และ skimmer[Z] เป็นช่วงเวลานี้ด้วยที่เริ่มปรากฏสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือ

  • ภาพศิลป์ในถ้ำ ที่เก่าที่สุดพบในภาคเหนือของประเทศสเปนมีอายุกว่า 40,800 ปี[337][338][339] ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางพวกเสนอว่าอาจวาดโดย Neanderthal[340]
  • ศิลปะรูปลักษณ์ทั้งของสัตว์และมนุษย์
    • ที่เก่าที่สุดของมนุษย์พบที่ประเทศเยอรมนี เป็นรูป 3 มิติชื่อว่า "Venus of Willendorf" สูง 6 ซม มีอายุ 35,000-40,000 ปีก่อน เป็นศิลปะรูปลักษณ์ของมนุษย์ที่เก่าที่สุดของโลก
    • ที่เก่าของสัตว์พบพบที่ประเทศเยอรมนี เป็นรูป 3 มิติทำด้วยงาชื่อว่า "Lion man of the Hohlenstein Stadel" สูง 29.6 ซม มีอายุ 40,000 ปีเป็นศิลปะรูปลักษณ์ที่เก่าที่สุดของโลก[341]
  • เครื่องดนตรี ที่เก่าที่สุดในโลกเป็นขลุ่ยทำด้วยงามีอายุ 42,000 ปี พบในประเทศเยอรมันนี[342]

สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ แสดงถึงพฤติกรรมปัจจุบัน (behavioral modernity[F]) ของมนุษย์ที่ปรากฏชัดเจนในช่วงนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้นักวิชาการสัมพันธ์วัฒนธรรม Aurignacian กับ H. sapiens คือมนุษย์ปัจจุบัน (เป็นกลุ่มมนุษย์ต้นตระกูลคนยุโรปที่เรียกว่า Cro-Magnon) ที่สันนิษฐานว่า อพยพเข้าไปในยุโรปในช่วงเวลานี้[343][69][42][57] และทำให้เกิดการสันนิษฐานที่ยังไม่มีข้อยุติว่า มนุษย์ Neanderthal อาจจะไม่สามารถแข่งขันกับมนุษย์ปัจจุบันผู้มีเทคโนโลยีและพฤติกรรมที่ก้าวหน้ากว่าเช่นนี้ แล้วจึงนำไปสู่การสูญพันธุ์[344] ประมาณ 30,000 ปีก่อน นอกจากข้อสันนิษฐานนี้แล้ว ก็ยังมีข้อสันนิษฐานอื่น ๆ อีกด้วยเป็นต้นว่า ช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันประมาณ 10,000 ปีของมนุษย์ทั้งสองพวกนี้ ประชากรมนุษย์ปัจจุบันเกิดการประทุมากขึ้นเป็นสิบเท่าทำให้มีจำนวนมากกว่า Neanderthal อย่างมาก ซึ่งอาจทำให้ Neanderthal แข่งขันสู้ไม่ได้เพียงเพราะเหตุแห่งจำนวนนั้น[298] หรือว่า ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเป็นเหตุนำไปสู่การสูญพันธุ์ของ Neanderthal[345]

อย่างไรก็ดี ก็ยังมีที่อื่น ๆ นอกยุโรปที่ปรากฏวัฒนธรรม Aurignacian อีกด้วย รวมทั้งเอเชียตะวันตกเฉียงใต้คือประเทศซีเรีย เขตปาเลสไตน์ กับประเทศอิสราเอล และเขตไซบีเรีย[334] เครื่องมือหินที่ทำเป็นมีดยาวในแอฟริกาที่เก่าที่สุดพบที่โบราณสถาน Kapthurin เคนยา และเครื่องมือแบบผสมจาก Twin Rivers แซมเบีย ทั้งสองมีอายุอาจมากถึง 300,000 ปี[69] นอกจากนั้น เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 ก็เริ่มมีหลักฐานจากถ้ำ Blamboo Cave[346][347][348][349] และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 จากแหลม Pinnacle Point[350] (ทั้งสองในประเทศแอฟริกาใต้) เป็นสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่นักวิชาการได้ใช้เป็นหลักฐานของ "พฤติกรรมปัจจุบัน" ของมนุษย์ แต่มีกำหนดอายุในช่วงยุคหินเก่ากลาง (100,000-70,000 ปีก่อน) ซึ่งเก่ากว่าที่พบในยุโรป ทั้งหมดเป็นหลักฐานคัดค้านทฤษฎี "Great Leap Forward" (การกระโดดก้าวไปข้างหน้า) ของพฤติกรรมปัจจุบันที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน[351] ที่จะกล่าวต่อไป

การเปลี่ยนมามีพฤติกรรมปัจจุบัน

จนกระทั่งถึงประมาณ 50,000-40,000 ปีก่อน การใช้เครื่องมือหินดูเหมือนจะมีการพัฒนาเป็นขั้น ๆ โดยในแต่ละก้าว H. habilis, H. ergaster, และ H. neanderthalensis จะเริ่มต้นตรงที่สูงขึ้นจากขั้นก่อน ๆ แต่เมื่อเริ่มแล้ว การพัฒนาต่อ ๆ ไปจะเป็นไปอย่างล่าช้า ในปัจจุบัน นักบรรพมานุษยวิทยายังพิจารณากันอยู่ว่า สปีชีส์ของ Homo เหล่านี้ มีลักษณะทางวัฒนธรรมหรือพฤติกรรมบางอย่างหรือหลายอย่าง ที่เหมือนกับมนุษย์ปัจจุบันเช่น ภาษา ความคิดทางสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน ความคิดสร้างสรรค์ทางเทคโนโลยี ฯลฯ หรือไม่ เพราะว่า มนุษย์เหล่านั้นดูเหมือนว่า จะค่อนข้างอนุรักษ์นิยมในเรื่องวัฒนธรรม เพราะรักษาไว้ซึ่งการใช้เทคโนโลยีง่าย ๆ และรูปแบบการแสวงหาอาหารเป็นช่วงระยะเวลายาวนาน

ประมาณ 50,000 ปีก่อน วัฒนธรรมของมนุษย์ปัจจุบันจึงปรากฏหลักฐานว่าเริ่มพัฒนาเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงมามีพฤติกรรมปัจจุบันได้รับการกำหนดว่าเป็น "Great Leap Forward" (การกระโดดก้าวไกลไปข้างหน้า) ของคนยูเรเชีย[352] หรือเป็น "Upper Palaeolithic Revolution" (ปฏิวัติยุคหินเก่าปลาย)[353] เพราะการปรากฏอย่างฉับพลันของหลักฐานทางโบราณคดี ที่บ่งถึงพฤติกรรมปัจจุบันของมนุษย์ แต่ว่า นักวิชาการบางท่านพิจารณาการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ลักษณะบางอย่างปรากฏขึ้นแล้วบ้างในสาย Archaic Homo sapiens ในแอฟริกาช่วง 200,000 ปีก่อน[354][355] ดังที่แสดงโดยหลักฐานจากถ้ำ Blamboo Cave ในประเทศแอฟริกาใต้[346]

ในช่วงนี้ มนุษย์ปัจจุบันเริ่มฝังคนตาย[AA] ใช้เสื้อผ้า[AB] ล่าสัตว์ด้วยเทคนิคที่ซับซ้อนขึ้น (เช่นใช้หลุมพราง หรือขับต้อนสัตว์ให้ตกหน้าผา) และทำงานศิลป์เกี่ยวกับภาพวาดในถ้ำ[364] เมื่อวัฒนธรรมเจริญขึ้น มนุษย์กลุ่มต่าง ๆ ก็เริ่มสร้างสิ่งใหม่ ๆ เสริมเข้ากับเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว สิ่งประดิษฐ์เช่น เบ็ดปลา ลูกกระดุม และเข็มกระดูก มีความแตกต่างกันระหว่างมนุษย์กลุ่มต่าง ๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นในวัฒนธรรมมนุษย์ก่อน 50,000 ปีก่อน คือโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว กลุ่มต่าง ๆ ของ H. neanderthalensis ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันทางเทคโนโลยี

ในบรรดาตัวอย่างที่สามารถหาหลักฐานทางโบราณคดีได้ของพฤติกรรมมนุษย์ปัจจุบัน นักมานุษยวิทยารวมเอา[100][69][365]

  • การทำเครื่องมือเฉพาะกิจ เครื่องมือฝสม หรือเครื่องมือที่ทำได้อย่างละเอียดละออ (เช่นเครื่องมือหินที่ประกอบกับด้าม)
  • อาวุธที่ใช้ยิงได้ (เช่นธนู)
  • การเล่นเกมและดนตรี
  • เรือหรือแพ
  • เครื่องใช้ดินเผา
  • การก่อสร้างและการจัดระเบียบของที่อยู่
  • เทคนิคการล่าสัตว์ที่ซับซ้อน
  • การตกปลา และการจับสัตว์เล็ก ๆ เช่นกระต่ายเป็นต้น
  • การหุงอาหารและการปรุงอาหาร คือไม่ได้ทานอย่างดิบ ๆ
  • การเก็บรักษาอาหารเป็นเสบียง
  • สัตว์เลี้ยง
  • เครือข่ายการแลกเปลี่ยนสินค้า
  • การไปได้ในที่ไกล ๆ
  • ศิลปะรูปลักษณ์คือรูปสัตว์และรูปมนุษย์เป็นต้น (เช่นภาพวาดในถ้ำ)
  • การใช้สี เช่นสีดิน และเครื่องประดับเพื่อการประดับตกแต่งที่อยู่หรือร่างกาย
  • การฝังศพพร้อมกับวัตถุต่าง ๆ

แต่ว่า การหาข้อยุติก็ยังเป็นไปว่า มี "การปฏิวัติ" ที่เกิดโดยฉับพลันที่นำมาสู่พฤติกรรมของมนุษย์ปัจจุบัน หรือว่า เป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเริ่มต้นตั้งแต่ 250,000-300,000 ปีก่อน[70] นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีนักวิชาการที่คัดค้านด้วยว่า ตัวอย่างพฤติกรรมปัจจุบันให้ความสำคัญกับหลักฐานที่มีในแอฟริกาน้อยเกินไป (ซึ่งหายากกว่าเก็บรักษาไว้ได้ในสภาพที่แย่กว่าเพราะภูมิอากาศ) หรือคลุมเครือเกินไปเพราะว่าสามารถอธิบายได้โดยเหตุผลอื่นที่ง่ายกว่า หรือมีปัญหาในการใช้วิธีและมาตรฐานทดสอบเดียวกันในช่วงสมัยต่าง ๆ กัน[366] นอกจากนั้นแล้ว ก็เริ่มจะปรากฏหลักฐานที่คัดค้านทฤษฎี "Great Leap Forward" (การกระโดดก้าวไปข้างหน้า) คือพบสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้เป็นหลักฐานแสดงพฤติกรรมปัจจุบันของมนุษย์ในแอฟริกาใต้ในช่วงยุคหินเก่ากลาง ที่เก่าแก่กว่าที่พบยุโรป[346][350]

วิวัฒนาการของมนุษย์ในเร็ว ๆ นี้และในปัจจุบัน

การคัดเลือกโดยธรรมชาติก็ยังเป็นไปในมนุษย์ปัจจุบันกลุ่มต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ในมนุษย์กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคที่ทำให้อ่อนกำลังอย่างรุนแรงคือโรคคูรุ[AC] ปรากฏคนที่มียีนพรีออน G127 V ซึ่งเป็นอัลลีลเป็นยีนรูปแปรที่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคมากกว่าอัลลีลที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ความชุกของการกลายพันธุ์ (หรือรูปแปรทางกรรมพันธุ์) เช่นนี้ เกิดขึ้นเพราะการรอดชีวิตของบุคคลผู้มีภูมิต้านทานโรค[368][369] วิวัฒนาการที่พบในมนุษย์กลุ่มอื่น ๆ รวมทั้งวัยเจริญพันธุ์ที่มีระยะยาวขึ้น บวกกับการลดระดับของคอเลสเตอรอล กลูโคสในเลือด และความดันเลือด[370]

มีการเสนอว่า วิวัฒนาการของมนุษย์ได้เร่งเร็วขึ้นตั้งแต่เกิดการพัฒนาทางเกษตรกรรมและอารยธรรมเมื่อ 10,000 ปีก่อน และนี่ทำให้เกิดความแตกต่างทางกรรมพันธุ์อย่างสำคัญในกลุ่มต่าง ๆ ของมนุษย์[371] การมีเอนไซม์แล็กเทสในวัยผู้ใหญ่ (Lactase persistence) คือการที่ยังมีการทำงานของเอนไซม์แล็กเทสเพื่อย่อยแล็กโทสซึ่งเป็นน้ำตาลในนมตลอดจนถึงวัยผู้ใหญ่ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้[372] เพราะว่าโดยปกติของสปีชีส์ต่าง ๆ ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การทำงานของเอนไซม์จะลดลงอย่างสำคัญหลังจากเลิกนม[373] แต่ในกลุ่มต่าง ๆ ของมนุษย์ปัจจุบัน มีส่วนเปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ไม่เท่ากันที่มียีนที่ทำให้มีเอนไซม์แล็กเทสในวัยผู้ใหญ่ คือเริ่มตั้งแต่ชาวดัตช์ที่ 99%[374] จนถึงชาวไทยที่ 2%[375] และกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกาที่ 0%[375] ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเป็นกลุ่มประชากรที่บริโภคนมในวัยผู้ใหญ่เป็นเวลามายาวนานในประวัติหรือไม่

อย่างไรก็ดี วิวัฒนาการของมนุษย์ที่ปรากฏเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนจะจำกัดอยู่ในเรื่องภูมิต้านทานต่อโรคติดต่อโดยมาก เป็นโรคที่มนุษย์ติดข้ามสปีชีส์มาจากสัตว์เลี้ยง[376] แต่เพราะไร้เหตุกดดันทางการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หรือเพราะไร้โอกาสที่จะเกิดสปีชีส์ใหม่ เช่นโอกาสการอยู่แยกต่างหากโดยไม่ติดต่อคนอื่นนอกพื้นที่ วิวัฒนาการของมนุษย์เร็ว ๆ นี้ (รวมที่ปรากฏและไม่ปรากฏ) โดยมากก็จะเป็นการเปลี่ยนความถี่ยีนอย่างไม่เจาะจง (genetic drift) นอกจากนั้นแล้ว ยังปรากฏอีกด้วยว่า ทั้งมนุษย์ทั้งวงศ์ลิงใหญ่แอฟริกัน (รวมกอริลลาและชิมแปนซี) ปรากฏการวิวัฒนาการที่ช้าลงจากลิงสายพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพราะแต่ละชั่วอายุมีความยาวนานยิ่งขึ้น[13]

ประมวลข้อมูลมนุษย์สปีชีส์ต่าง ๆ

รายชื่อสปีชีส์

รายชื่อนี้เป็นไปตามลำดับเวลาจากซ้ายไปขวาโดยสกุล ให้แทนอักษรย่อในทวินามด้วยชื่อสกุล

  • Sahelanthropus
    • S. tchadensis
  • Orrorin
    • O. tugenensis
  • Ardipithecus
    • A. kadabba
    • A. ramidus
  • Australopithecus
    • A. anamensis
    • A. afarensis
    • A. bahrelghazali
    • A. africanus
    • A. garhi
    • A. sediba
  • Paranthropus
    • P. aethiopicus
    • P. boisei
    • P. robustus
  • Kenyanthropus
    • K. platyops
  • Homo
    • H. gautengensis
    • H. habilis
    • H. rudolfensis
    • H. ergaster
    • H. georgicus
    • H. erectus
    • H. cepranensis
    • H. antecessor
    • H. heidelbergensis
    • H. rhodesiensis
    • H. neanderthalensis (Neanderthal)
    • H. sapiens idaltu
    • H. sapiens (Cro-Magnon)
    • H. sapiens sapiens
    • H. floresiensis
    • Denisova hominin หรือ Denisovan (สปีชีส์ยังไม่ได้กำหนด)
    • Red Deer Cave people (สปีชีส์ยังไม่ได้กำหนด)

ดูเพิ่ม

เชิงอรรถ

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 เผ่า Hominini (อังกฤษ: hominin) ปกติใช้เรียกสายพันธุ์ของมนุษย์ที่ลิงชิมแปนซีได้แยกออกไปแล้ว ซึ่งในที่สุดกลายเป็นมนุษย์สกุล Homo
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 หลักฐานการใช้เครื่องมือหินที่เก่าที่สุดมีอายุประมาณ 3.4 ล้านปีก่อน (สมัยไพลโอซีนปลาย) คือ มีการพบกระดูกที่มีรอยผ่าที่มีรอยแตกในประเทศเอธิโอเปียใกล้กับซากของทารก homonini สปีชีส์ Australopithecus afarensis เหมือนกับลูซี่[21][22] แต่ว่าเครื่องมือหินเทคโนโลยีแบบ Oldowan ที่เก่าที่สุดมีอายุ 2.6 ล้านปีในสมัยไพลโอซีนปลาย (ยุคหินเก่าต้น) พบที่เอธิโอเปีย[23] ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเกิดขึ้นของ H. habilis ซึ่งเป็นสกุลที่นักโบราณคดีสัมพันธ์กับการใช้เทคโนโลยีนี้มากที่สุด หลังจากนี้ เทคโนโลยี Oldowan ก็ได้กระจายไปทั่วแอฟริกา แต่ว่านักโบราณคดียังไม่แน่ใจว่า hominin สกุลไหนสร้างเทคโนโลยีนี้ขึ้นมาก่อน บางพวกเชื่อว่าเป็น Australopithecus garhi บางพวกเชื่อว่าเป็น Homo habilis[24] แต่ H. habilis เป็นพวกที่ใช้เทคโนโลยีนี้มากที่สุดในแอฟริกา จนกระทั่งถึง 1.9-1.8 ล้านปีก่อนที่ H. erectus สืบทอดเทคโนโลยีนี้ต่อมา แม้ว่า เทคโนโลยีนี้จะพบในแอฟริกาใต้และตะวันออกในช่วง 2.6-1.7 ล้านปีก่อน แต่ก็มีการกระจายออกไปในยูเรเชียพร้อมกับการอพยพออกจากแอฟริกาของ H. erectus ซึ่งนำเทคโนโลยีนี้ไปทางทิศตะวันออกไปจนถึงเกาะชวา (อินโดนีเซีย) เมื่อประมาณ 1.8 ล้านปีก่อน และไปถึงจีนภาคเหนือเมื่อ 1.6 ล้านปีก่อน
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 การขยายขนาดของสมอง (อังกฤษ: encephalization) เป็นการขยายขนาดของสมองเมื่อเทียบกับตัว คือสัตว์ที่มีร่างกายใหญ่โตต้องมีสมองที่ใหญ่กว่า ดังนั้น การขยายขนาดสมองของมนุษย์จริง ๆ แล้วเป็นการขยายขนาดของสมองในระดับที่สูงกว่าการขยายขนาดของตัว
  4. ในมนุษย์ SRGAP2 เป็นยีนที่เข้ารหัสโปรตีน "SLIT-ROBO Rho GTPase-activating protein 2"[30][31] เป็นหนึ่งใน 23 ยีนที่เกิดการก๊อปปี้ในมนุษย์ที่ไม่ปรากฏในไพรเมตประเภทอื่น[32] คือเกิดการทำซ้ำถึงสามครั้งในจีโนมมนุษย์ภายใน 3.4 ล้านปีที่ผ่านมา ชุดแรกเรียกว่า SRGAP2B ที่ 3.4 ล้านปีก่อน ชุดที่สองเรียกว่า SRGAP2C ที่ 2.4 ล้านปีก่อน และชุดสุดท้ายเรียกว่า SRGAP2D ที่ 1 ล้านปีก่อน ส่วนยีน SRGAP2 เป็นชุดที่มีในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด (เป็นชุดที่ในมนุษย์เรียกว่า SRGAP2A) และชุด SRGAP2C ทำให้เกิดการแสดงออกเป็นโปรตีนแบบสั้นที่มีในมนุษย์ปัจจุบันทั้งหมด[33] เป็นโปรตีนที่มีหน้าที่ยับยั้งการแสดงออกของ SRGAP2A ที่เกิดขึ้นก่อน ทำให้เกิดผลสองอย่างคือ[34]
    • ช่วยให้นิวรอนเคลื่อนไปจากแหล่งกำเนิดสู่จุดเป้าหมายได้เร็วขึ้น
    • ยืดระยะเวลาที่ไซแนปส์จะถึงจุดสูงสุดในการพัฒนา และเพิ่มความหนาแน่นของไซแนปส์ในเปลือกสมอง (cerebral cortex)
    ส่วนโปรตีน SRGAP2 (หรือ SRGAP2A ในมนุษย์) ที่มาจากบรรพบุรุษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีหน้าที่เกี่ยวกับ
    • การให้นิวรอนเคลื่อนไปจากแหล่งกำเนิดไปสู่จุดเป้าหมายในสมอง (neuronal migration)[35]
    • การจำแนกเป็นประเภทเฉพาะของนิวรอน (neuronal differentiation)[35]
    • พัฒนาการของไซแนปส์[34]
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 Genetic admixture เกิดขึ้นเมื่อสัตว์หรือบุคคลจากกลุ่มประชากรที่ก่อนหน้านี้อยู่แยกขาดจากกันเกิดการผสมพันธุ์กัน มีผลเป็นการสร้างสายพันธุ์ใหม่ในประชากร ซึ่งบางครั้งมีผลเป็นการทำการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ (local adaptation) ให้เนิ่นช้า เพราะว่าได้รับเอาลักษณะทางพันธุกรรม (genotype) ที่ไม่ได้มีการปรับตัว ที่ไม่เหมือนกับของบุคคลในพื้นที่ มีผลเป็นการป้องกันการเกิดสปีชีส์ใหม่เพราะทำกลุ่มต่าง ๆ ให้เหมือนกัน
  6. 6.0 6.1 Behavioral modernity (แปลว่า การมีพฤติกรรมปัจจุบัน) เป็นบัญญัติภาษาอังกฤษที่ใช้ในมานุษยวิทยา โบราณคดี และสังคมวิทยาเมื่อกล่าวถึงลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่ทำมนุษย์ปัจจุบันและบรรพบุรุษเมื่อไม่นานนี้ให้ต่างจากไพรเมตที่ยังมีชีวิตอื่น ๆ และจากสายพันธุ์มนุษย์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เป็นจุดเริ่มต้นที่มนุษย์สปีชีส์ Homo sapiens เริ่มปรากฏความสามารถในการใช้ความคิดเชิงนามธรรม (ความคิดเชิงสัญลักษณ์ คือใช้ตัวแทนที่หมายถึงสิ่งอื่น) และเริ่มแสดงความคิดสร้างสรรค์ทางด้านวัฒนธรรม พัฒนาการเหล่านี้เชื่อว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวกับกำเนิดภาษา[60] องค์ประกอบของพฤติกรรมปัจจุบันอาจจะรวมถึง เครื่องมือที่ทำได้อย่างละเอียด การตกปลา การแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกลุ่มที่ไกลกัน การประดับตัว ศิลปะเชิงรูปลักษณ์ เกม (การละเล่น) ดนตรี การหุงอาหาร และพิธีการฝังศพ
  7. Symbolic culture (แปลว่า วัฒนธรรมสัญลักษณ์) เป็นบัญญัติที่ใช้โดยนักโบราณคดี[61][62][63] นักมานุษยวิทยาเชิงสังคม[64][65] และนักสังคมวิทยา[66] เพื่อทำวัฒนธรรมของมนุษย์สปีชีส์ Homo sapiens ให้แตกต่างจากวัฒนธรรมทั่ว ๆ ไปที่สัตว์อื่น ๆ มากมายมี การมีวัฒนธรรมสัญลักษณ์ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ความสามารถในการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องมีการบัญญัติสิ่งที่จริง ๆ แล้วไม่มีในโลก แต่ปรากฏเป็นสิ่งที่มีจริง ๆ ในวัฒนธรรมนั้น ๆ ยกตัวอย่างคือ ความดีความชั่ว พระเป็นเจ้าและนรก และบัญญัติที่เป็นที่ยอมรับของสังคมอื่น ๆ เช่นเงินตราและระบบประชาธิปไตย[67]
  8. มีที่อ้างอิงที่แสดงว่า Homininae แบ่งออกเป็น 3 เผ่า คือ Gorillini, Panini, และ Hominini (ดังนั้น สกุล Pan จึงอยู่ใต้เผ่า Panini และ Homo จึงอยู่ใต้เผ่า Hominini)[14][87][13][88][89]
  9. 9.00 9.01 9.02 9.03 9.04 9.05 9.06 9.07 9.08 9.09 สปีชีส์ในระหว่าง (intermediate species) หรือ ซากดึกดำบรรพ์ช่วงเปลี่ยนสภาพ (transitional fossil) เป็นซากดึกดำบรรพ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่เหมือนกันกับของทั้งสัตว์กลุ่มบรรพบุรุษ และของสัตว์กลุ่มลูกหลานที่สืบเชื้อสายต่อจากกลุ่มบรรพบุรุษ[97] แม้ว่า เราจะไม่สามารถบอกได้ว่าสปีชีส์ในระหว่างนั้นเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของสัตว์กลุ่มลูกหลาน แต่ว่านักวิทยาศาสตร์ก็อาจจะใช้สปีชีส์ในระหว่างนั้น เป็นแบบจำลองของสัตว์บรรพบุรุษโดยตรง
  10. 10.0 10.1 บรรพมานุษยวิทยา (อังกฤษ: Paleoanthropology) มาจากภาษากรีกแปลว่า การศึกษามนุษย์โบราณ เป็นการรวมการศึกษาของสาขาบรรพชีวินวิทยาและมานุษยวิทยากายภาพ (physical anthropology) เข้าด้วยกัน เป็นการศึกษามนุษย์โบราณตามหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ในเผ่าย่อย homonini เช่นศึกษากระดูกที่กลายเป็นหิน หรือรอยเท้าที่สัตว์สายพันธุ์มนุษย์ได้ทิ้งไว้ เป็นการศึกษาวัฒนธรรม สังคม และชีวภาพของมนุษย์ เพื่อหาต้นกำเนิดของลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมที่สืบมาทางสายพันธุ์[18]
  11. คือ ในช่วงนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ลิงกอริลลาและลิงชิมแปนซีเป็นไพรเมตที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่ากับมนุษย์ และประมาณว่า สายพันธุ์ของลิงเหล่านั้นแยกออกจากสายมนุษย์เมื่อประมาณ 15-28 ล้านปีก่อน เมื่อมีการค้นพบลิงใหญ่สกุล Ramapithecus มีอายุ 14 ล้านปี ซึ่งมีลักษณะบางอย่างคล้ายมนุษย์ จึงเข้าใจว่า สกุลนี้อยู่ในสายพันธุ์ของมนุษย์ และสกุลนี้เป็นหลักฐานยืนยันเวลาของการแยกสายพันธุ์ของมนุษย์ (ปี ค.ศ. 1966) ต่อมาเมื่อมีหลักฐานทางกรรมพันธุ์เกี่ยวกับเวลาการแยกสายพันธุ์ของมนุษย์ และหลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น จึงปรากฏชัดเจนขึ้นว่า Ramapithecus เป็นบรรพบุรุษของลิงอุรังอุตัง ไม่ใช่เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ (ปี ค.ศ. 1982)[13]
  12. Molecular evolution (แปลว่า วิวัฒนาการทางโครงสร้างโมเลกุล หรืออณูวิวัฒนาการ) เป็นการเปลี่ยนแปลงลำดับของโมเลกุลในเซลล์เช่น ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอ และโปรตีน ในระยะเวลายาว ศาสตร์นี้มุ่งหมายจะอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพที่ระดับโมเลกุลและระดับเซลล์ โดยใช้หลักของศาสตร์ชีววิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary biology) และพันธุศาสตร์ประชากร (population genetics) ประเด็นการศึกษารวมทั้ง
    • อัตราการเปลี่ยนแปลง และผลการเปลี่ยนแปลง แบบนิวคลีโอไทด์เดี่ยว (single nucleotide)
    • วิวัฒนาการที่ไร้ผล (neutral evolution) เทียบกับ การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (คือวิวัฒนาการที่มีผลบวก)
    • กำเนิดของยีนใหม่ ๆ
    • ธรรมชาติของยีนที่ทำให้เกิดลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่ซับซ้อน
    • ธรรมชาติของยีนที่ทำให้เกิดสปีชีส์ขึ้นมาใหม่
    • วิวัฒนาการของพัฒนาการ (evolution of development)
    • อิทธิพลของกระบวนการวิวัฒนาการต่อความเปลี่ยนแปลงในจีโนมและลักษณะทางพันธุกรรม
  13. ข้อมูลวิถีการอพยพมาจากงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของไมโทคอนเดรีย เส้นขาดแสดงทางอพยพที่ยังเป็นสมมติฐาน ตัวเลขบ่งโดยสีมีหน่วยเป็นพันปีก่อน (kya) เส้นสีน้ำเงินเป็นเขตที่คลุมไปด้วยน้ำแข็งหรือทุ่งทุนดรา (ทุ่งในอากาศหนาวเย็น มีต้นไม้บางประเภทได้เท่านั้น) ในช่วงยุคน้ำแข็งยุคก่อน ส่วนอักษรต่าง ๆ เป็น haplogroup ของดีเอ็นเอนของไมโทคอนเดรีย (mtDNA) ซึ่งสืบสายมาจากมารดาเพียงเท่านั้น และสามารถใช้กำหนดกลุ่มชนต่าง ๆ โดยกรรมพันธุ์ ที่มักจะเป็นไปตามเขตภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่น นี้เป็นการจำแนก mtDNA haplogroup โดยทั่วไป คือ คนแอฟริกา (L, L1, L2, L3) คนตะวันออกใกล้ (J, N) คนยุโรปใต้ (J, K) คนยุโรปทั่วไป (H, V) คนยุโรปเหนือ (T, U, X) คนเอเชีย (A, B, C, D, E, F, G โดยที่ M หมายถึง C, D, E, G) และ คนพื้นเมืองอเมริกัน (A, B, C, D, และบางครั้ง X) หลักฐานอ้างอิงเดิม (Behar et al. 2008, Gonder et al. 2007, Reed and Tishkoff) น่าจะหมายถึงงานต่อไปนี้
    • doi:10.1016/j.ajhg.2008.04.002
      This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDF PDF (753 KB)
    • doi:10.1093/molbev/msl209
      This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
    • ไม่ชัดเจนว่างานของ Reed and Tishkoff ควรจะเป็นอันไหน
  14. คือ เมื่อมีการอพยพย้ายถิ่นฐานออกจากที่ที่หนึ่ง ผู้ที่อพยพออกมีส่วนน้อยกว่าส่วนที่ดำรงอยู่ (founder event) ดังนั้นความหลายหลากของจีโนมจะมีอยู่ในระดับที่สูงกว่าในกลุ่มประชากรที่เป็นต้นกำเนิดของการอพยพ งานวิจัยในปี ค.ศ. 2009 พบว่า มีระดับความหลายหลากสูงในกลุ่มประชากรแอฟริกา, ยุโรปและตะวันออกกลาง, อินเดีย, เอเชียตะวันออก, โอเชียเนีย, และคนพื้นเมืองอเมริกัน ไปตามลำดับ[92] ซึ่งโดยคร่าว ๆ แล้ว เป็นลำดับเวลาการตั้งถิ่นฐานในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกของมนุษย์ปัจจุบัน งานทดลองนี้จึงสนับสนุนว่า แอฟริกาเป็นแหล่งกำเนิดของมนุษย์ที่อพยพไปในที่ต่าง ๆ
  15. นี้เป็นคำบรรยายประกอบภาพการหมุนตัวของทารกในเวลาคลอด เบื้องต้น ทารกหันหน้าเยื้องไปทางตะโพกของแม่ด้านใดด้านหนึ่ง (แถวบนสุด) เมื่อกล้ามเนื้อมดลูกของแม่ดันทารกไปถึงฐานเชิงกราน คางของทารกก็จะเริ่มไปชิดกันกับหน้าอก เมื่อศีรษะที่ชิดกับหน้าอกมาจรดฐานเชิงกรานแล้ว ก็จะเกิดการหมุนศีรษะ (internal rotation โดยไม่ได้หมุนตัวหรือไหล่) ให้หันหน้าไปทางด้านทวารหนักของแม่ (แถวที่ 2 ซ้าย) เมื่อศีรษะโผล่ออกจากช่องคลอดแล้ว ก็จะเกิดการหมุนศีรษะกลับไปตรงกับแนวตัวและไหล่อีก (restitution) และต่อจากนั้นก็จะมีการหมุนไหล่ให้ด้านหนึ่งอยู่บนด้านหนึ่งอยู่ล่างพร้อมทั้งศีรษะซึ่งหันหน้าไปทางต้นขาของแม่ (แถว 2 ขวา) และเมื่อหมอช่วยให้ไหล่ด้านบนออกมาได้แล้ว ก็จะช่วยให้ไหล่ด้านล่างออกมาได้ต่อไป (แถว 3 ซ้าย)[165][166][167]
  16. นักวิทยาศาสตร์บางท่านไม่คิดว่าควรจัดเป็นลิงจำพวกเอป แต่ควรจะจัดไว้ในอีกหน่วยอนุกรมวิธานที่เป็นพี่น้องกัน[206]
  17. Heliopithecus เป็นสกุลเดียวที่พบในประเทศซาอุดีอาระเบีย[11]
  18. หลักฐานที่ "Conroy et al., 1992"[88] จัดเข้ากับเอป ไม่ได้จัดเข้าวงศ์ลิงใหญ่
  19. นักวิทยาศาสตร์ผู้นำทีมที่พบซากของ "Ardi" (ทิม ไวท์) กล่าวว่า hominin สามสปีชีส์นี้คือ Sahelanthropus tchadensis, Orrorin tugenensis และ Ardipithecus kadabba (5.8 ล้านปี) เป็นสัตว์สองเท้า มีสังคมที่แตกต่างจากเอปทั้งมีชีวิตอยู่และสูญพันธุ์ไปแล้วซึ่งรู้ได้จากขนาดของฟันที่เล็กกว่าที่ไม่ได้ใช้เพื่อเป็นอาวุธ เป็นสัตว์ที่ไม่เหมือนเอปปัจจุบัน และมีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงเหมือนกับสกุล Australopithecus ที่ตามมาเท่านั้น ส่วนหลักฐานที่พบพร้อมกับ "Ardi" (อาร์ดี้) ซึ่งจัดอยู่ในสปีชีส์ Ardipithecus ramidus (4.4 ล้านปี) แสดงว่า อาร์ดี้เป็นสัตว์สองเท้า กินทั้งพืชและสัตว์ มีฟันเขี้ยวเล็ก มีความแตกต่างของเพศที่ลดลงเทียบกับเอป ต่างจากลิงชิมแปนซีและ Australopithecus เกินกว่าที่คาดไว้ และเป็นสัตว์อยู่ในป่าโปร่งไม่ใช่ทุ่งหญ้า ให้สังเกตว่า ในระหว่าง A. kadabba และ A. ramidus มีช่องว่างในระหว่างที่ยังไม่พบซากดึกดำบรรพ์ของ hominin ถึงประมาณ 1.2-1.4 ล้านปี นอกจากนั้นแล้ว สามสปีชีส์นั้นก็ยังมีตัวอย่างที่น้อยมาก จนกระทั่งว่า ไม่สามารถกล่าวอะไรหลาย ๆ อย่างได้อย่างชัดเจน[15]
  20. มีการพบท่อนกระดูกที่ขัดให้แหลมที่หินชั้น Member I อายุระหว่าง 0.5-1.8 ล้านปี ในมรดกสถานแห่งชาติ Swartkrans ประเทศแอฟริกาใต้
  21. กะโหลกศีรษะเลขที่ "NG 6" ใกล้หมู่บ้าน Ngandong ประเทศอินโดนีเซีย พบในปี ค.ศ. 1931-1933 มีอายุประมาณ 27,000-53,000 ปี[59]
  22. 22.0 22.1 ความสัมพันธุ์ระหว่าง Denisovan กับมนุษย์ปัจจุบันและ Neanderthal ยังไม่ชัดเจน คือ งานวิจัยที่หาลำดับ mtDNA ของ Denisovan ในปี ค.ศ. 2010 เสนอว่า
    • มนุษย์สาย Denisovan มีบรรพบุรุษเดียวกันกับมนุษย์สาย Neanderthal และสกุล Homo ประมาณ 1 ล้านปีก่อน[277]
    • Denisovan สืบสายพันธุ์มาจากมนุษย์ที่อพยพออกมาจากแอฟริกาก่อนสายพันธุ์ของมนุษย์ปัจจุบัน และก่อนของ Homo erectus ที่มาก่อนหน้านั้น[277][278]
    ส่วนงานวิจัยโดยจีโนมจากนิวเคลียสเซลล์ต่อมาในปีเดียวกลับพบว่า Denisovan
    • มีบรรพบุรุษร่วมกันกับ Neanderthal ที่แยกออกจากสายพันธุ์มนุษย์ 600,000 ปีก่อน[46]
    • แยกออกจากสายพันธุ์ของ Neanderthal น่าจะในตะวันออกกลางเมื่อ 400,000 ปีก่อน[235]
    บทความนี้ใช้ข้อมูลจากงานวิจัยโดยจีโนมจากนิวเคลียสเซลล์
  23. ตัวอย่างขนาดสมองอื่น ๆ ของมนุษยปัจจุบัน
  24. มนุษย์ที่มีกายวิภาคปัจจุบันปรากฏครั้งแรกในซากดึกดำบรรพ์จากแอฟริกาเมื่อประมาณ 195,000 ปีก่อน และงานวิจัยทางอณูชีววิทยา (ที่ศึกษาโครงสร้างโมเลกุล) ให้หลักฐานว่า มนุษย์ปัจจุบันทั่วโลกมีบรรพบุรุษร่วมกันก่อนที่จะแยกสายพันธุ์ออกจากกันเมื่อ 200,000 ปีก่อน[317][318][319][320][321]
  25. ตั้งชื่อตามชั้นหินที่พบซากดึกดำบรรพ์ ที่เก่าที่สุดจะอยู่ล่างสุด
  26. ใช้เฉือนส่วนบนหรือส่วนนอกออก
  27. มีหลักฐานว่า Neanderthal เป็นมนุษย์พวกแรกที่ตั้งใจฝังคนตาย โดยฝังในหลุมตื้น ๆ พร้อมกับเครื่องมือหินและกระดูกสัตว์ (ซึ่งตีความหมายว่าเป็นเพราะมีความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตาย)[356] แต่ว่ามีนักวิชาการที่คัดค้านว่า ซากเหล่านี้อาจเกิดการฝังเพราะเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อทางจิตวิญญาณ[357] ส่วนหลักฐานที่ไม่มีใครคัดค้านที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุ 100,000 ปี เป็นซากของมนุษย์ที่แต้มสีเหลืองหรือส้มหรือน้ำตาลที่ทำจากดิน พบในถ้ำ Skhul ในประเทศอิสราเอล ซึ่งมีของต่าง ๆ ฝังรวมกับผู้ตาย[358]
  28. งานวิจัยโดยประเมินระยะเวลาการแยกสายพันธุ์ของเหาตัวและเหาศีรษะ ซึ่งนักวิชาการใช้อนุมานถึงการใช้เสื้อผ้า ประเมินเวลาการใช้เสื้อผ้าของมนุษย์ที่ระหว่าง 83,000 - 170,000 ปีก่อน[359] หรือระหว่าง 65,000 - 149,000 ก่อน[360] ส่วนนักโบราณคดีได้พบเข็มเย็บเสื้อผ้าทำด้วยกระดูกและงาในประเทศรัสเซียมีอายุประมาณ 30,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช[361] พบใยฝ้ายย้อมสีที่อาจใช้ทำเสื้อผ้าในถ้ำก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศจอร์เจียมีอายุ 36,000 ปีก่อน[362][363]
  29. โรคคูรุ เป็นการติดเชื้อไวรัสนอกแบบที่ระบบประสาทส่วนกลาง พบที่ประเทศปาปัวนิวกินี เป็นโรคประสาทเสื่อมที่แก้ไขไม่ได้เกิดจากพรีออนหนึ่งที่มีในมนุษย์[367]

แหล่งข้อมูลอื่น ๆ

แหล่งข้อมูลแบ่งเป็นสองส่วนเพราะว่าหลักฐานเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 มักจะมีข้อมูลทางพันธุศาสตร์รวมเข้ามาด้วย

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000

  • Enard, Wolfgang; Przeworski, Molly; Fisher, Simon E.; Lai, Cecilia S. L.; Wiebe, Victor; Kitano, Takashi; Monaco, Anthony P.; Pääbo, Svante (2002-08-22). "Molecular evolution of FOXP2, a gene involved in speech and language". Nature. 418 (6900): 869-72 [870]. doi:10.1038/nature01025. PMID 12192408.
  • doi:10.1016/j.evolhumbehav.2004.08.005
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full text. PDF (345 KB)
  • Gibbons, Ann (2007). The First Human: The Race to Discover our Earliest Ancestor. Anchor Books. ISBN 978-1-4000-7696-3.
  • Hartwig, Walter, บ.ก. (2002. Reprinted 2004). The Primate Fossil Record. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-08141-2. {{cite book}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |year= (help).
  • Heizmann, Elmar P J, Begun, David R (2001). "The oldest Eurasian hominoid". Journal of Human Evolution. 41 (5): 463–81. doi:10.1006/jhev.2001.0495. PMID 11681862.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  • Johanson, Donald; Wong, Kate (2009). Lucy's Legacy: The Quest for Human Origins. Three Rivers Press. ISBN 978-0-307-39640-2.
  • Morwood, Mike; van Oosterzee, Penny (2007). A New Human: The Startling Discovery and Strange Story of the 'Hobbits' of Flores, Indonesia. Smithsonian Books. ISBN 978-0-06-089908-0.
  • Oppenheimer, Stephen (2003). Out of Eden: The Peopling of the World. Constable. ISBN 1-84119-697-5.
  • Ovchinnikov; Götherström, Anders; Romanova, Galina P.; Kharitonov, Vitaliy M.; Lidén, Kerstin; Goodwin, William; และคณะ (2000). "Molecular analysis of Neanderthal DNA from the Northern Caucasus". Nature. 404 (6777): 490–3. doi:10.1038/35006625. PMID 10761915. {{cite journal}}: ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |author= (help)
  • Roberts, Alice (2009). The Incredible Human Journey: The Story of how we Colonised the Planet. Bloomsbury. ISBN 978-0-7475-9839-8.
  • Stringer, Chris (2011). The Origin of Our Species. Allen Lane. ISBN 978-1-84614-140-9.
  • Tattersall, Ian (2008). The Fossil Trail: How We Know What We Think We Know About Human Evolution. Oxford University Press. ISBN 978-0195367669.
  • Wade, Nicholas (2006). Before the Dawn: Recovering the Lost History of our Ancestors. Penguin Press. ISBN 978-0-7156-3658-9.
  • "Oldest Human Skeleton and the Missing Link". National Geographic. 2009-10-01. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)

ก่อนปี ค.ศ. 2000

  • Alexander, R. D. (1990). "How did humans evolve? Reflections on the uniquely unique species" (PDF). University of Michigan Museum of Zoology Special Publication. University of Michigan Museum of Zoology (1): 1–38.
  • Hill, Andrew; Ward, Steven (1988). "Origin of the hominidae: The record of African large hominoid evolution between 14 my and 4 my". Yearbook of Physical Anthropology. 31 (59): 49–83. doi:10.1002/ajpa.1330310505.
  • Ijdo, J. W; Baldini, A; Ward, D. C; Reeders, S. T; Wells, R. A; Baldini; Ward; Reeders; Wells (October 1991). "Origin of human chromosome 2: An ancestral telomere-telomere fusion" (PDF). Genetics. 88 (20): 9051–9055. Bibcode:1991PNAS...88.9051I. doi:10.1073/pnas.88.20.9051. PMC 52649. PMID 1924367.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)—two ancestral ape chromosomes fused to give rise to human chromosome 2
  • Jones, Steve; Martin, Robert D.; Pilbeam, David R, บ.ก. (1994). The Cambridge Encyclopedia of Human evolution. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-46786-5. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |author-separator= ถูกละเว้น (help) (Note: this book contains very useful, information dense chapters on primate evolution in general, and human evolution in particular, including fossil history).
  • Leakey, Richard; Lewin, Roger (1992). Origins Reconsidered: In Search of What Makes us Human. Little, Brown and Company. ISBN 0-316-90298-5.
  • Lewin, Roger (1987). Bones of Contention: Controversies in the Search for Human Origins. Penguin Books. ISBN 0-14-022638-9.
  • Shreeve, James (1996). The Neanderthal Enigma: Solving the Mystery of Modern Human Origins. Viking. ISBN 0-670-86638-5.
  • Stringer, Chris; McKie, Robin (1996). African Exodus: The Origins of Modern Humanity. Jonathan Cape. ISBN 0-224-03771-4.
  • Walker, Allan; Shipman, Pat (1996). The Wisdom of the Bones: In Search of Human Origins. Weidenfeld and Nicholson. ISBN 0-297-81670-5.
  • Weiss, M.L., & Mann, A. E (1985). 'Human Biology and Behaviour: An anthropological perspective (4th ed.). Boston: Little Brown. ISBN 978-0-673-39013-4.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) (Note: this book contains very accessible descriptions of human and non-human primates, their evolution, and fossil history).

แหล่งข้อมูลทางเว็บไซท์

อ้างอิง

  1. Heng, HH (May 2009). "The genome-centric concept: resynthesis of evolutionary theory". BioEssays. 31 (5): 512–25. doi:10.1002/bies.200800182. PMID 19334004.
  2. Hall, B. K.; Hallgrimsson, B., บ.ก. (2008). Strickberger's Evolution (4th ed.). Jones & Bartlett. ISBN 0-7637-0066-5.
  3. Panno, Joseph (2005). The Cell: Evolution of the First Organism. Facts on File. ISBN 0-8160-4946-7.
  4. Cracraft, J.; Donoghue, M. J., บ.ก. (2005). Assembling the tree of life. Oxford University Press. ISBN 0-19-517234-5.
  5. 5.0 5.1 5.2 Tyson, Peter (2008-01-07). "Meet Your Ancestors". NOVA scienceNOW (PBS).
  6. 6.0 6.1 O'Leary, M. A.; Bloch, J. I.; Flynn, J. J.; Gaudin, T. J.; Giallombardo, A.; Giannini, N. P.; Cirranello, A. L. (2013). "The placental mammal ancestor and the post-K-Pg radiation of placentals". Science. 339 (6120): 662–667.
  7. Fleagle, J; Gilbert, C (2011-2012). "Primate Evolution". สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  8. 8.0 8.1 8.2 Dawkins, Richard (2004). The Ancestor's Tale (US hardcover). US: Houghton Mifflin. ISBN 0-618-00583-8.
  9. "Query: Hominidae/Hylobatidae". Time Tree. 2009. สืบค้นเมื่อ 5 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 10.7 doi:10.1038/nature00879
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  11. 11.0 11.1 11.2 11.3 Henke, Winfried (2007). Henke, Winfried; Hardt, Thorolf; Tattersall, Ian (บ.ก.). Handbook of paleoanthropology: Phylogeny of hominids. Springer. pp. 1527–9. ISBN 978-3-540-32474-4.
  12. 12.0 12.1 12.2 Amos, Jonathan (2009-10-01). "Fossil finds extend human story". BBC News. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2557. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  13. 13.00 13.01 13.02 13.03 13.04 13.05 13.06 13.07 13.08 13.09 13.10 Bradley, B. J. (2008). "Reconstructing Phylogenies and Phenotypes: A Molecular View of Human Evolution". Journal of Anatomy. 212 (4): 337–353. doi:10.1111/j.1469-7580.2007.00840.x. PMC 2409108. PMID 18380860.
  14. 14.00 14.01 14.02 14.03 14.04 14.05 14.06 14.07 14.08 14.09 14.10 14.11 14.12 14.13 14.14 14.15 14.16 14.17 14.18 14.19 14.20 14.21 14.22 14.23 Wood, Bernard; Richmond, Brian G. (2000). "Human evolution: taxonomy and paleobiology". Journal of Anatomy. 197 (1): 19–60. doi:10.1046/j.1469-7580.2000.19710019.x. PMC 1468107. PMID 10999270.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) Full PDFPDF (1.1 MB)
  15. 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 15.5 15.6 White, Tim (2010). "Human origins" (PDF). New Scientist - Instant Expert.
  16. 16.0 16.1 16.2 16.3 "Fossils in Kenya Challenge Linear Evolution". New York Times. August 9, 2007. Scientists who dated and analyzed the specimens — a 1.44 million-year-old Homo habilis and a 1.55 million-year-old Homo erectus — said their findings challenged the conventional view that these species evolved one after the other. Instead, they apparently lived side by side in eastern Africa for almost half a million years.
  17. 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 Pinker, Steven (1997). "3 Revenge of the Nerds". How the Mind Works. W. W. Norton & Company. p. 198. ISBN 978-0-393-04535-2.
  18. 18.00 18.01 18.02 18.03 18.04 18.05 18.06 18.07 18.08 18.09 18.10 18.11 18.12 18.13 18.14 18.15 18.16 18.17 18.18 18.19 18.20 18.21 18.22 18.23 Potts, Richard B. (2006), "Human Evolution", Microsoft Encarta 2006
  19. 19.0 19.1 19.2 19.3 19.4 19.5 19.6 19.7 19.8 Johnson, George B.; Raven, Peter H.; Singer, Susan; Losos, Jonathan (2002). "Biology/6e". McGraw-Hill Higher Education. สืบค้นเมื่อ 2557-02-23. {{cite web}}: |chapter= ถูกละเว้น (help); |url= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |chapterurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|chapter-url=) (help)
  20. 20.0 20.1 Sagan, Carl (1977). The Dragons of Eden: Speculations on the Evolution of Human. United States: Random House. p. 60. ISBN 0-394-41045-9.
  21. doi:10.1038/nature09248
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  22. "Scientists Discover Oldest Evidence of Stone Tool Use and Meat-Eating Among Human Ancestors". สืบค้นเมื่อ 27 November 2013.
  23. 23.0 23.1 PMID 14529651 (PMID 14529651)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  24. Toth, Nicholas; Schick, Kathy year=2009, "African Origins", ใน Scarre, Chris (บ.ก.), The Human Past: World Prehistory and the Development of Human Societies (2nd ed.), London: Thames and Hudson, pp. 67–68 {{citation}}: ไม่มี pipe ใน: |first2= (help)
  25. 25.0 25.1 25.2 25.3 "Homo habilis". Australian Museum. 16 September 2013. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  26. 26.0 26.1 26.2 Brown, Graham; Fairfax, Stephanie; Sarao, Nidhi (2006). "Human Evolution". Tree of Life Web Project.
  27. 27.0 27.1 Tobias, P (1971). The Brain in Hominid Evolution. New York: Columbia University Press. อ้างอิงโดย Schoenemann PT. 1997. An MRI study of the relationship between human neuroanatomy and behavioral ability. PhD diss. Univ. of Calif., Berkeley
  28. doi:10.1016/j.cell.2012.03.033
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  29. doi:10.1016/j.cell.2012.03.034
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  30. doi:10.1016/j.molbrainres.2004.01.002
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  31. doi:10.1016/50092-8674(01)00530-X
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by handFull PDFPDF
  32. doi:10.1126/science.1197005
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  33. doi:10.1016/j.cell.2012.03.033
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Lay sumary from sciencenews.org
  34. 34.0 34.1 doi:10.1016/j.cell.2012.03.034
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  35. 35.0 35.1 doi:10.1016/j.cell.2009.06.047
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  36. 36.0 36.1 36.2 Swisher, Carl C.; Curtis, Garniss H; Lewin, Roger (2002). Java Man. Abacus. ISBN 0-349-11473-0.
  37. 37.0 37.1 37.2 Luke, Kim (2012-04-12). "Evidence That Human Ancestors Used Fire One Million Years Ago". An international team led by the University of Toronto and Hebrew University has identified the earliest known evidence of the use of fire by human ancestors. Microscopic traces of wood ash, a longside animal bones and stone tools, were found in a layer dated to one million years ago
  38. 38.0 38.1 38.2 38.3 Miller, Kenneth (2013-12-07). "Archaeologists Find Earliest Evidence of Humans Cooking With Fire". Discover Magazine.
  39. 39.0 39.1 James, Steven R. (February 1989). "Hominid Use of Fire in the Lower and Middle Pleistocene: A Review of the Evidence" (PDF). Current Anthropology. University of Chicago Press. 30 (1): 1–261. doi:10.1086/203705.
  40. 40.0 40.1 40.2 40.3 40.4 doi:10.1016/j.quageo.2009.09.012
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  41. 41.0 41.1 41.2 41.3 41.4 Hopkin M (2008-03-26). "Fossil find is oldest European yet". Nature News. doi:10.1038/news.2008.691.
  42. 42.0 42.1 42.2 42.3 42.4 Finlayson, Clive (2005). "Biogeography and evolution of the genus Homol". Trends in Ecology & Evolution. Elsevier. 20 (8): 457–463. doi:10.1016/j.tree.2005.05.0191. PMID 16701417.
  43. "Evolution's past is modern human's present". National Science Foundation. September 6, 2011.
  44. O'Neil, Dennis (2013). "Early Modern Homo sapiens". Behavioral Sciences Department, Palomar College, San Marcos, California. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  45. 45.0 45.1 45.2 45.3 45.4 doi:10.1126/science.1209202
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand archive (Aug 2011) อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Abi-Rached2011" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  46. 46.0 46.1 46.2 46.3 46.4 46.5 46.6 PMID 21179161 (PMID 21179161)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  47. 47.0 47.1 Noonan J. P (May 2010). "Neanderthal genomics and the evolution of modern humans". Genome Res. 20 (5): 547–53. doi:10.1101/gr.076000.108. PMC 2860157. PMID 20439435.
  48. 48.0 48.1 "Neanderthals did not interbreed with humans, scientists find". The Daily Telegraph. London. 14 August 2012.
  49. 49.0 49.1 "Neanderthals 'unlikely to have interbred with human ancestors'". สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  50. doi:10.1016/j.gene.2013.06.005
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  51. 51.0 51.1 "The Human Stew". 2013-02-06. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  52. 52.0 52.1 doi:10.1371/journal.pgen.1002837
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDFPDF
  53. "Fossil reanalysis pushes back origin of Homo sapiens". Scientific American. February 17, 2005.
  54. McHenry, H. M (2009). "Human Evolution". Evolution: the first four billion years. Cambridge, Massachusetts: The Belknap Press of Harvard University Press. p. 265. ISBN 978-0-674-03175-3. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |editors= ถูกละเว้น แนะนำ (|editor=) (help)
  55. 55.0 55.1 Stringer, Chris (2003-06-12). "Human evolution: Out of Ethiopia" (PDF). Nature. 423: 692–695. doi:10.1038/423692a.
  56. "Out of Africa Revisited". Science. 308 (5724): 921. 13 May 2005. doi:10.1126/science.308.5724.921g. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-22. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2557. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  57. 57.0 57.1 57.2 57.3 57.4 Johanson D (May 2001). "Origins of modern humans: multiregional or out of Africa?". ActionBioscience. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-22. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  58. Stringer, C.B. (1994). "Evolution of Early Humans". The Cambridge Encyclopedia of Human Evolution. Cambridge: Cambridge University Press. p. 242. ISBN 978-0-521-32370-3. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |editors= ถูกละเว้น แนะนำ (|editor=) (help) Also ISBN 978-0-521-46786-5 (paperback)
  59. 59.0 59.1 59.2 59.3 59.4 "The Origin and Dispersal of Modern Humans" (PDF). August 2012. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  60. doi:10.1073/pnas.0510792103
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDFPDF
  61. Marshack, A. (1972). The Roots of Civilization. The cognitive beginnings of man's first art, symbol and notation. London: Weidenfeld and Nicolson.
  62. Chase. P. G. (1994). "On symbols and the palaeolithic". Current Anthropology 35 (5): 627-9.
  63. Watts, I. (1999). "The Origins of Symbolic Culture". In: R. Dunbar, C. Knight, C. Power (eds). The Evolution of Culture: An Interdisciplinary View. Edinburgh University Press.
  64. Geertz, C (1973). Interpreting Cultures. New York: Basic Books.
  65. Knight, C (2010). "The origins of symbolic culture" (PDF). In: Frey, U; Stormer, C; Willfuhr, KP (eds). Homo Novus - A Human Without Illusions. Berlin Heidelberg: Springer-Verlag. pp. 193-211.
  66. Durkheim, E. (1965). The Elementary Forms of the Religious Life. New York (NY): Free Press.
  67. Chase. P. G. (1994). "On symbols and the palaeolithic". Current Anthropology 35 (5): 627-9.
  68. Mellars, Paul (2006). "Why did modern human populations disperse from Africa ca. 60,000 years ago?". Proceedings of the National Academy of Sciences. 103 (25): 9381–6. Bibcode:2006PNAS..103.9381M.. doi:10.1073/pnas.0510792103. PMC 1480416. PMID 16772383. {{cite journal}}: ตรวจสอบ |bibcode= length (help)
  69. 69.0 69.1 69.2 69.3 Miller, Barbara D; Wood, Bernard; Balkansky, Andrew; Mercader, Julio; Panger, Melissa (2006). "8 Modern Humans: Origins, Migrations, and Transitions". Anthropology (PDF). Boston, MA: Allyn & Bacon. pp. 223–253.
  70. 70.0 70.1 Mcbrearty, Sally; Brooks, Alison S (November 2000). "The revolution that wasn't: a new interpretation of the origin of modern human behavior". Journal of Human Evolution. 39 (5): 453–563. doi:10.1006/jhev.2000.0435. PMID 11102266.
  71. 71.0 71.1 Groves, C. (2005-11-16). Wilson, D. E.; Reeder, D. M. (บ.ก.). Mammal Species of the World (3rd ed.). Johns Hopkins University Press. pp. 181–184. ISBN 0-801-88221-4.
  72. Cameron, D.W. 1997: A revised systematic scheme for the Eurasian Miocene fossil Hominidae. Journal of human evolution, 33: 449–477.
  73. หน้า 175, สัตว์สวยป่างาม (สิงหาคม, 2518) โดย ชมรมนิเวศวิทยามหาวิทยาลัยมหิดล
  74. วิวัฒนาการของมนุษย์
  75. Andrew Hill & Steven Ward (1988). "Origin of the Hominidae: The Record of African Large Hominoid Evolution Between 14 My and 4 My". Yearbook of Physical Anthropology. 31 (59): 49–83. doi:10.1002/ajpa.1330310505.
  76. 76.0 76.1 Dawkins R (2004) The Ancestor's Tale.
  77. "Query: Hominidae/Hylobatidae". Time Tree. 2009. สืบค้นเมื่อ December 2010. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  78. Cartmill, M.; Smith, F. He (2011). The Human Lineage. John Wiley & Sons. ISBN 978-1-118-21145-8.[ลิงก์เสีย]
  79. Groves, C. P. (2001). Primate Taxonomy. Smithsonian Institution Press. ISBN 1-56098-872-X.
  80. Fuss, J; Spassov, N; Begun, DR; Böhme, M (2017). "Potential hominin affinities of Graecopithecus from the Late Miocene of Europe". PLoS ONE. 12 (5): 5. Bibcode:2017PLoSO..1277127F. doi:10.1371/journal.pone.0177127. PMC 5439669. PMID 28531170.
  81. "Paleodb". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-27. สืบค้นเมื่อ 2020-09-23.
  82. Barras, Colin (14 March 2012). "Chinese human fossils unlike any known species". New Scientist. สืบค้นเมื่อ 15 March 2012.
  83. "National Geographic". National Geographic Society. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-16. สืบค้นเมื่อ 25 July 2009.
  84. 84.0 84.1 Dawkins (2005). "Archaic homo sapiens". The Ancestor's Tale (US Paperback). Boston: Mariner. ISBN 0-618-61916-X. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |chapterurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|chapter-url=) (help)
  85. Stanford, Craig; Allen, John S.; Anton, Susan C. (2012). "1". Biological Anthropology (2nd Edition). Prentice Hall. ISBN 0136011608.
  86. 86.0 86.1 Bones, Stones, and Genes - The Origin of Modern Humans (Poster) (JPG). Howard Hughes Medical Institute (2011 Holiday Lectures on Science). 2011. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2557. {{cite AV media}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  87. "FIGURE 25.1. Organization of the order Primates (จากหนังสือ Evolution)" (JPG). Cold Spring Harbor Laboratory Press. 2007. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  88. 88.0 88.1 Haaramo, Mikko (2005-01-14). "Hominoidea - Great apes and humans". Mikko's Phylogeny Archive.
  89. Haaramo, Mikko (2007-11-10). "Hominidae". Mikko's Phylogeny Archive).
  90. 90.0 90.1 Sayers, Ken; Raghanti, Mary Ann; Lovejoy, C. Owen (2012). "Human Evolution and the Chimpanzee Referential Doctrine". Annual Review of Anthropology. 41.
  91. 91.0 91.1 Ajit, Varki; Nelson, David L (2007). "Genomic Comparisons of Humans and Chimpanzees". Annu. Rev. Anthropol. 36: 191–209. Sequence differences from the human genome were confirmed to be ∼1% in areas that can be precisely aligned, representing ∼35 million single base-pair differences. Some 45 million nucleotides of insertions and deletions unique to each lineage were also discovered, making the actual difference between the two genomes ∼4%.
  92. 92.0 92.1 92.2 92.3 92.4 Tishkoff, Sarah A. (2011). Bones, Stones and Genes: The Origin of Modern Humans (MP4). Lecture 2 - Genetics of Human Origins and Adaptation. rtmp://media.hhmi.org/vod//mp4:11Lect2_2000_jw.mp4: Howard Hughes Medical Institute (2011 Holiday Lecture Series). {{cite AV media}}: |format= ต้องการ |url= (help); แหล่งข้อมูลอื่นใน |location= (help)CS1 maint: location (ลิงก์)
  93. 93.0 93.1 doi:10.1126/science.1237619
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  94. 94.0 94.1 doi:10.1016/j.ajhg.2009.05.001
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand University of Leeds - New 'molecular clock' aids dating of human migration history
  95. 95.0 95.1 Cann RL, Stoneking M, Wilson AC; Stoneking; Wilson (1987). "Mitochondrial DNA and human evolution". Nature. 325 (6099): 31–6. Bibcode:1987Natur.325...31C. doi:10.1038/325031a0. PMID 3025745. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-22. {{cite journal}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  96. 96.0 96.1 "'Your Genetic Journey' - The Genographic Project - Haplogroup: A (subclade A)" (PDF). National Geographic. 2006-17-8. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  97. 97.0 97.1 97.2 97.3 97.4 Freeman, Scott; Herron, Jon C. (2007). Evolutionary Analysis (4th ed.). Pearson Education, Inc. ISBN 978-0-13-227584-2.
  98. 98.0 98.1 Darwin, Charles (1859). On the Origin of Species by Means of Natural Selection (1st ed.). United Kingdom: John Murray. OCLC 352242.
  99. 99.0 99.1 99.2 Plummer T (2004). "Flaked stones and old bones: Biological and cultural evolution at the dawn of technology" (PDF). Am. J. Phys. Anthropol. Suppl 39: 118–64. doi:10.1002/ajpa.20157. PMID 15605391. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2557. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  100. 100.0 100.1 100.2 100.3 Shea, John J. (2011). Bones, Stones and Genes: The Origin of Modern Humans (MP4). Lecture 3 - Stone Tools And the Evolution of Human Behavior. rtmp://media.hhmi.org/vod//mp4:11Lect3_2000_jw.mp4: Howard Hughes Medical Institute (2011 Holiday Lecture Series). {{cite AV media}}: |access-date= ต้องการ |url= (help); |format= ต้องการ |url= (help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); แหล่งข้อมูลอื่นใน |location= (help)CS1 maint: location (ลิงก์)
  101. 101.0 101.1 Plastino, Wolfango (2001). "Cosmic background reduction in the radiocarbon measurement by scintillation spectrometry at the underground laboratory of Gran Sasso" (PDF). Radiocarbon. 43 (2A): 157–161. {{cite journal}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  102. IUPAC, Compendium of Chemical Terminology, 2nd ed. (the "Gold Book") (1997). Online corrected version:  (2006-) "radioactive dating".
  103. 103.0 103.1 Lovejoy, C. Owen (1988). "Evolution of Human walking" (PDF). Scientific American. 259 (5). doi:10.1038/scientificamerican1188-118.
  104. White, T.D.; Suwa, G.; Simpson, S.; Asfaw, B. (January 2000). "Jaws and teeth of Australopithecus afarensis from Maka, Middle Awash, Ethiopia". American Journal of Physical Anthropology. 111 (1): 45–68. doi:10.1002/(SICI)1096-8644(200001)111:1<45::AID-AJPA4>3.0.CO;2-I. PMID 10618588.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  105. "The Laetoli Footprint Trail: 3D reconstruction from texture; archiving, and reverse engineering of early hominin gait (PREMOG - Supplementry Info)". Primate Evolution & Morphology Group (PREMOG), the Department of Human Anatomy and Cell Biology, the School of Biomedical Sciences, University of Liverpool. 18 May 2007. สืบค้นเมื่อ 2007-11-01.
  106. doi:10.1371/journal.pone.0009769
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by handFull PDFPDF
  107. 107.0 107.1 White, Tim (2011). Bones, Stones and Genes: The Origin of Modern Humans (MP4). Lecture 4 - Hominid Paleobiology. rtmp://media.hhmi.org/vod//mp4:11Lect4_2000_jw.mp4: Howard Hughes Medical Institute (2011 Holiday Lecture Series). {{cite AV media}}: |format= ต้องการ |url= (help); แหล่งข้อมูลอื่นใน |location= (help)CS1 maint: location (ลิงก์)
  108. 108.0 108.1 108.2 "Fossil Reanalysis Pushes Back Origin of Homo sapiens". Scientific American. February 17, 2005.
  109. 109.0 109.1 109.2 McDougall, Ian; Brown, Francis; Fleagle, John G. (17 February 2005). "Stratigraphic placement and age of modern humans from Kibish, Ethiopia". Nature. 433 (7027): 733–736. Bibcode:2005Natur.433..733M. doi:10.1038/natureO3258. PMID 15716951.
  110. Linné, Carl von (1758). Systema naturæ. Regnum animale (10 ed.). pp. 18, 20. สืบค้นเมื่อ 19 November 2012. {{cite book}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |1= (help)
  111. American Heritage Dictionary; Houghton Mifflin Company (October 2006). More word histories and mysteries: from aardvark to zombie. Houghton Mifflin Harcourt. pp. 99-. ISBN 978-0-618-71681-4. สืบค้นเมื่อ 10 November 2011.
  112. Frangsmyr, Tore; Lindroth, Sten; Eriksson, Gunnar; Broberg, Gunnar (1983). Linnaeus, the man and his work. Berkeley and Los Angeles: University of California Press. pp. 167, 170. ISBN 978-0-7112-1841-3.
  113. Gribbin, Mary; Gribbin, John (2008). Flower Hunters. Oxford: Oxford University Press. pp. 173–174. ISBN 978-0-19-956182-7.
  114. "Homo neanderthalensis". Smithsonian Institution. สืบค้นเมื่อ 18 May 2009.
  115. 115.0 115.1 Bowler, Peter J. (2003). Evolution: The History of an Idea (3rd ed.). University of California Press. pp. 208–211, 214–216. ISBN 0-520-23693-9.
  116. Darwin, Charles (1871. This edition published 1981, with Introduction by John Tyler Bonner & Robert M. May). The Descent of Man, and Selection in Relation to Sex. Princeton NJ: Princeton University Press. ISBN 0-691-02369-7. {{cite book}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |year= (help)
  117. "The Java Man skullcap".
  118. McKee, Jeffrey K. The Riddled Chain: Chance, Coincindence, and Chaos in Human Evolution. New Brunswick, NJ: Rutgers University Press. pp. 40–41.
  119. Conroy, G. C.; Falk, D; Guyer, J; Weber, G. W.; Seidler, H; Recheis (2000). "Endocranial capacity in Sts 71 (Australopithecus africanus) by three-dimensional computed tomography". Anat. Rec. 258: 391–396.
  120. 120.0 120.1 Fagan, Brian (11 February 1999). Eyewitness to Discovery: First-Person Accounts of More Than Fifty of the World's Greatest Archaeological Discoveries. Oxford University Press, USAF. p. 512. ISBN 0195126513.
  121. 121.0 121.1 121.2 121.3 121.4 "Human Evolution" (PDF). MyAnthroLab. 2011. pp. 20–37. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  122. Brown F, Harris J, Leakey R, Walker A (1985). "Early Homo erectus skeleton from west Lake Turkana, Kenya". Nature. 316 (6031): 788-7921 pmid=3929141. {{cite journal}}: ไม่มี pipe ใน: |pages= (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  123. Stefoff R (2009). First Humans. Marshall Cavendish. pp. 87–88. ISBN 9780761441847.
  124. 124.0 124.1 PMID 4964406 (PMID 4964406)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  125. doi:10.1126/science.1175802
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  126. doi:10.1016/S1251-8050(01)01529-4
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  127. Haviland, William A.; Prins, Harald E. L.; Walrath, Dana; McBride, Bunny (2007). Evolution and prehistory: the human challenge. Cengage Learning. p. 122. ISBN 0-495-38190-X.
  128. 128.0 128.1 Klages, Arthur (2008). "Sahelanthropus tchadensis: An Examination of its Hominin Affinities and Possible Placement". Totem: The University of Western Ontario Journal of Anthropology. 16 (1). {{cite journal}}: |article= ถูกละเว้น (help)
  129. doi:10.1038/378273a0
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  130. "Modern Humans Came Out of Africa, "Definitive" Study Says". News. nationalgeographic.com. 2010-10-28. สืบค้นเมื่อ 2011-05-14.
  131. Stringer CB, Andrews P; Andrews (March 1988). "Genetic and fossil evidence for the origin of modern humans". Science. 239 (4845): 1263–8. Bibcode:1988Sci...239.1263S. doi:10.1126/science.3125610. PMID 3125610.
  132. 132.0 132.1 Liu H, Prugnolle F, Manica A, Balloux F (August 2006). "A geographically explicit genetic model of worldwideDD human-settlement history". Am. J. Hum. Genet. 79 (2): 230–7. doi:10.1086/505436. PMC 1559480. PMID 16826514. Currently available genetic and archaeological evidence is supportive of a recent single origin of modern humans in East Africa. However, this is where the consensus on human settlement history ends, and considerable uncertainty clouds any more detailed aspect of human colonization history.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  133. doi:10.1126/science.308.5724.921g
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  134. Stringer C (June 2003). "Human evolution: Out of Ethiopia". Nature volume = 423 (6941): 692–3, 695. Bibcode:2003Natur.423..6925. doi:10.1038/423692a. PMID 12802315. {{cite journal}}: ตรวจสอบ |bibcode= value (help); ไม่มี pipe ใน: |journal= (help)
  135. Wolpoff, MH (2000). "Multiregional, not multiple origins" (PDF). Am J Phys Anthropol. 112 (1): 129–36. doi:10.1002/(SICI)1096-8644 (200005)112:1<129::AID-AJPA11>3.0.CO;2-K. PMID 10766948. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่า |doi= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  136. Wolpoff, MH; JN Spuhler; FH Smith; J Radovcic; G Pope; DW Frayer; R Eckhardt; G Clark (1988). "Modern Human Origins". Science. 241 (4867): 772–4. Bibcode:1988Sci...241..772W. doi:10.1126/science.3136545. PMID 3136545.
  137. 137.0 137.1 137.2 137.3 White, Tim D.; Asfaw, B.; DeGusta, D.; Gilbert, H.; Richards, G. D.; Suwa, G.; Howell, F. C. (2003). "Pleistocene Homo sapiens from Middle Awash, Ethiopia". Nature. 423 (6491): 742–747. Bibcode:2003Natur.423..742W. doi:10.1038/nature01669. PMID 12802332.
  138. Jorde LB, Bamshad M, Rogers AR (February 1998). "Using mitochondrial and nuclear DNA markers to reconstruct human evolution". BioEssays. 20 (2): 126–36. doi:10.1002/(SICI)1521-1878(199802)20:2<126::AID-BIES5>3.0.CO;2-R. PMID 9631658.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  139. Amade M'charek (2005). The Human Genome Diversity Project: An Ethnography Of Scientific Practice. Cambridge University Press. p. 96. ISBN 978-0-521-83222-9.
  140. 140.0 140.1 Rob DeSalle; Ian Tattersall (2008). Human origins: what bones and genomes tell us about ourselves. Texas A&M University Press. p. 146. ISBN 978-1-58544-567-7. สืบค้นเมื่อ 10 November 2011.
  141. R. J. Trent (2005). Molecular medicine: Genomics to Personalized Healthcare. Academic Press. pp. 6-. ISBN 978-0-12-699057-7. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2557. {{cite book}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  142. Donovan Webster; Spencer Wells (20 April 2010). Meeting the Family: One Man's Journey Through His Human Ancestry. National Geographic Books. p. 53. ISBN 978-1-4262-0573-6.
  143. doi:10.1371/journal.pone.0049170
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDFPDF
  144. doi:10.1016/j.ajhg.2011.05.002
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDFPDF (343&b)
  145. doi:10.1016/j.ajhg.2013.02.002
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDFPDF (330 KB)
  146. Barras, Colin (6 March 2013). "The father of all men is 340,000 years old". New Scientist. สืบค้นเมื่อ 13 March 2013.
  147. doi:10.1126/science.1237947
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  148. Dr Kutty (14 September 2009). Adam's Gene and the Mitochondrial Eve. Xlibris Corporation. p. 40. ISBN 978-1-4415-0729-7. สืบค้นเมื่อ 9 November 2011.
  149. Michael R. Speicher; Stylianos E. Antonarakis; Arno G. Motulsky (3 February 2010). Vogel and Motulsky's Human Genetics: Problems and Approaches. Springer. p. 606. ISBN 978-3-540-37653-8. สืบค้นเมื่อ 10 November 2011.
  150. Wall, J. D.; Lohmueller, K. E.; Plagnol, V. (2009). "Detecting Ancient Admixture and Estimating Demographic Parameters in Multiple Human Populations". Molecular Biology and Evolution. 26 (8): 1823–7. doi:10.1093/molbev/msp096. PMC 2734152. PMID 19420049.
  151. doi:10.1126/science.1188021
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  152. Hammer, M.F. Iauthor2=Woerner, A.E.; Mendez, F.L.; Watkins, J.C.; Wall, J.D. (2011). "Genetic evidence for archaic admixture in Africa". Proceedings of the National Academy of Sciences. 108 (37): 15123–15128. doi:10.1073/pnas.1109300108. PMC 3174671. PMID 21896735. {{cite journal}}: ไม่มี |author2= (help)
  153. Callaway, E. (26 July 2012). "Hunter-gatherer genomes a trove of genetic diversity". Nature. doi:10.1038/nature.2012.11076.
  154. doi:10.1016/j.cell.2012.07.009
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  155. 155.0 155.1 doi:10.1016/j.ajhg.2011.09.005
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  156. 156.0 156.1 156.2 Lahr, Marta Mirazón; Petraglia, Mike; Stokes, Stephen; Field, Julie (2010). "Searching for traces of the Southern Dispersal: environmental and historical research on the evolution of human diversity in southern Asia and Australo-Melanesia". Uninversity of York.
  157. doi:10.1126/science.1109792
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  158. Boyd, Robert; Silk, Joan B. (2003). How Humans Evolved. New York, New York: Norton. ISBN 0-393-97854-0.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  159. Brues, Alice M.; Snow, Clyde C. (1965). "Physical Anthropology". Biennial Review of Anthropology. 4: 1–39. ISBN 9780804717465.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  160. Stringer, Chris; Andrews, Peter (2005). The Complete World of Human Evolution. Thames & Hudson. ISBN 0-500-05132-1.
  161. 161.0 161.1 161.2 Srivastava (2009). Morphology Of The Primates And Human Evolution. p. 87. ISBN 978-81-203-3656-8. สืบค้นเมื่อ 6 November 2011 publisher=PHI Learning Pvt. Ltd.. {{cite book}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่มี pipe ใน: |accessdate= (help)
  162. 162.0 162.1 James R. Curry (2 October 2008). Children of God: Children of Earth. AuthorHouse. pp. 106–109. ISBN 978-1-4678-6390-2. สืบค้นเมื่อ 12 July 2013.
  163. Aiello, Leslie and Christopher Dean (1990). An Introduction to Human Evolutionary Anatomy. Oxford: Elsevier Academic Press. ISBN 0-12-045591-9.
  164. Kondō, Shirō (1985). Primate morphophysiology, locomotor analyses, and human bipedalism. Tokyo: University of Tokyo Press. ISBN 4-13-066093-4.
  165. "Your baby's journey during the 2nd stage of the labour". Birth. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  166. Viniker, David A (MD) (9 กันยายน 2557). "Normal Labour and Childbirth - Definition, Three Stages, The Powers, Passage and passenger".
  167. "Lesson 10: Fetal Positions and Adaptations". Medical Education Division, Brookside Associates. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  168. Monroe W. Strickberger (2005). Evolution. Jones & Bartlett Learning. pp. 475–476. ISBN 978-0-7637-3824-2. สืบค้นเมื่อ 12 July 2013.
  169. Wenda R. Trevathan (1 May 2011). Human Birth: An Evolutionary Perspective. Transaction Publishers. p. 20. ISBN 978-1-4128-4819-0. สืบค้นเมื่อ 12 July 2013.
  170. Morris, Desmond (1967). "SEX". The Naked Ape: A Zoologist's Study of the Human Animal. ISBN 0-07-043174-4.
  171. Wright, Robert (1994). "Chapter 3: Men and Women". The Moral Animal (1st edition, hardcover ed.). United States: Vintage Books. ISBN 0-679-76399-6.
  172. Low B.S. (2003) Ecological and social complexities in human monogamy. Monogamy: Mating Strategies and Partnerships in Birds, Humans and Other Mammals:161-176.
  173. Murdock, GP (1981). Atlas of world cultures. Pittsburgh: University of Pittsburgh Press.
  174. doi:10.1525/aa.1982.84.4.02a00140
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  175. Erin Wayman (August 19, 2013). "Killer whales, grandmas and what men want: Evolutionary biologists consider menopause". Sciencenews.
  176. 176.0 176.1 176.2 176.3 Schoenemann, P. Thomas (2006). "Evolution of the Size and Functional Areas of the Human Brain" (PDF). Annu. Rev. Anthropol. 35: 379–406. doi:10.1146/annurev.anthro.35.081705.123210. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2557. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  177. 177.0 177.1 "Neanderthal man" (6th ed.). Infoplease. 2012. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |encyclopedia= ถูกละเว้น (help)
  178. Potts, Richard (2012). "Evolution and Environmental Change in Early Human Prehistory". Annu. Rev. Anthropol. 41: 151–67. doi:10.1146/annurev-anthro-092611-145754.
  179. Bruner, Emiliano (2007). "Cranial shape and size variation in human evolution: structural and functional perspectives" (PDF). Child's Nervous System. 23 (12): 1357–1365. doi:10.1007/s00381-007-0434-2. PMID 17680251.
  180. Leonard, William R.; J. Josh Snodgrass, and Marcia L. Robertson. (2007). "Effects of Brain Evolution on Human Nutrition and Metabolism". Annu. Rev. Nutr. 27:311-27
  181. Park, Min S.; Nguyen, Andrew D.; Aryan, Henry E.; U, Hoi Sang; Levy, Michael L.; Semendeferi, Katerina (2007). "Evolution of the human brain: changing brain size and the fossil record". Neurosurgery. 60 (3): 555–562. doi:10.1227/01.NEU.0000249284.54137.32. PMID 17327801.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  182. McBroom, Patricia (1999-06-14). "Meat-eating was essential for human evolution, says UC Berkeley anthropologist specializing in diet". University of California, Berkeley. สืบค้นเมื่อ 2014-09-04.
  183. "Meat in the human diet: an anthropological perspective. - Free Online Library". Thefreelibrary.com. 2007-09-01. สืบค้นเมื่อ 2012-01-31.
  184. doi:10.1073/pnas.1107806108
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDF PDF (586 KB)
  185. Dunbar, R.I.M. (June 1992). "Neocortex size on group size in primates". Journal of Human Evolution. 22: 469–493. doi:10.1016/0047-2484(92)90081-J.
  186. Dunbar, R.I.M. (1993). "Coevolution of neocortical size, group size and language inhumans". Behavioral and Brain Sciences. 16 (4): 681–735.
  187. 187.0 187.1 187.2 187.3 Willoughby, Pamela R. (2005). "Palaeoanthropology and the Evolutionary Place of Humans in Nature". International Journal of Comparative Psychology. 18 (1).
  188. Sandy J. Andelman (June 1987). "Evolution of Concealed Ovulation in Vervet Monkeys (Cercopithecus aethiops)". The American Naturalist. 129 (6): 785–799. doi:10.1086/284675.
  189. Geoffrey Miller (April 2007). "Ovulatory cycle effects on Tip earnings by lap dancers: economic evidence for human estrus?" (PDF). Evolution and Human Behaviour (28): 375–381.
  190. Ogden; และคณะ (October 27, 2004). "Mean Body Weight, Height, and Body Mass Index, United States 1960-2002" (PDF). Advance Data from Vital and Health Statistics (347). {{cite journal}}: ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |author= (help)
  191. 191.0 191.1 Ward, C. V.; Tocheri, M. W.; Plavcan, J. M.; Brown, F. H.; Manthi, F. K. (2013). "Early Pleistocene third metacarpal from Kenya and the evolution of modern human-like hand morphology". Proceedings of the National Academy of Sciences. 111: 121. doi:10.1073/pnas.1316014110.
  192. Laitman, J.T.; Noden, D.M.; Van De Water, T.R. (2006). "Formation of the larynx: from homeobox". ใน Rubin, J.S.; Sataloff, R.T.; Korovin, G.S. (บ.ก.). Diagnosis & Treatment Voice Disorders genes to critical periods. San Diego: Plural. pp. 3–20. ISBN 9781597560078.
  193. Laitman, J.T.; Reidenberg, J.S. (2009). "The evolution of the human larynx: Nature's great experiment". ใน Fried, M.P.; Ferlito, A. (บ.ก.). The Larynx (3rd ed.). San Diego: Plural. pp. 19–38. ISBN 1597560626. {{cite book}}: |ref=harv ไม่ถูกต้อง (help)
  194. Beard, K.C. (2008). "The oldest North American primate and mammalian biogeography during the Paleocene-Eocene Thermal Maximum" (PDF). Proceedings of the National Academy of Sciences. 105 (10 pages = 3815). doi:10.1073/pnas.0710180105. PMC 2268774. PMID 18316721. {{cite journal}}: ไม่มี pipe ใน: |issue= (help)
  195. Smith, T. (2006). "Rapid Asia-Europe-North America geographic dispersal of earliest Eocene primate Teilhardina during the Paleocene-Eocene Thermal Maximum". Proceedings of the National Academy of Sciences. 103 (30): 11223. doi:10.1073/pnas.0511296103. PMC 1544069. PMID 16847264. {{cite journal}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  196. doi:10.1186/1471-2148-9-259
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDF PDF (538 KB)
  197. Holtz, Thomas R. Jr. (2011). "Winter 2011 Appendix". Dinosaurs: The Most Complete, Up-to-Date Encyclopedia for Dinosaur Lovers of All Ages (PDF).
  198. doi:10.1126/science.1147555
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  199. 199.0 199.1 199.2 199.3 199.4 Begun, David R (2010). "Miocene Hominids and the Origins of the African Apes and Humans" (PDF). Annual Review of Anthropology. 39: 67–84. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2557. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  200. Hartwig, Walter, บ.ก. (2004). The Primate Fossil Record (Reprinted ed.). Cambridge University Press. pp. 133–149. ISBN 978-0-521-08141-2. Basal anthropoids (K. Christopher Beard)
  201. PMID 9712474 (PMID 9712474)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  202. Coppens, Yves (1983). Jacob (บ.ก.). Le singe, l'Afrique et l'Homme. Paris: Fayard. {{cite book}}: |editor2-first= ไม่มี |editor2-last= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |trans_title= ถูกละเว้น แนะนำ (|trans-title=) (help)
  203. Kurten, Bjorn (1971). The age of mammals. New York: Columbia University Press.
  204. doi:10.1038/nature09094
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  205. Fleagle, John G. (25 September 1998). Primate Anatomy and Evolution (second ed.). Academic Press. pp. 491–495. ISBN 978-0-12-260341-9.
  206. Andrews, Peter; Martin, Lawrence. "Cladistic relationships of extant and fossil hominoids". Journal of Human Evolution I volume = 16 (1): 101–118. doi:10.1016/0047-2484(87)90062-5. {{cite journal}}: ไม่มี pipe ใน: |journal= (help)
  207. Rincon, Paul (18 November 2004). "'Original' great ape discovered". BBC. สืบค้นเมื่อ 23 January 2013.
  208. Agusti, Jordi; Anton, Mauricio (2002). Mammoths, Sabertooths, and Hominids: 65 Million Years of Mammalian Evolution in Europe. New York: Columbia University Press. ISBN 0-231-11640-3.
  209. doi:10.1073/pnas.0706190104
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDF PDF (483 KB)
  210. Nguyen, Katie (13 November 2007). "Experts find jawbone of pre-human great ape in Kenya". Reuters. สืบค้นเมื่อ 15 November 2007.
  211. doi:10.1038/345712a0
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  212. Gibbons, A. (2003). "A Shrunken Head for African Homo erectus" (PDF). Science. 300 (5621): 893a. doi:10.1126/science.300.5621.893a.
  213. PMID 16271745 (PMID 16271745)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  214. PMID 10807567 (PMID 10807567)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  215. doi:10.1038/nature06134
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  216. Wilford, John Noble (19 September 2007). "New Fossils Offer Glimpse of Human Ancestors". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 9 September 2009.
  217. doi:10.1038/news.2008.691
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  218. "Homo heidelbergensis: Evolutionary Tree". Smithsonian National Museum of Natural History. สืบค้นเมื่อ 17 March 2013.
  219. Stringer, Chris. "The Ancient Human Occupation of Britain" (PDF). Natural History Museum, London. สืบค้นเมื่อ 17 March 2013.
  220. Stringer, Chris (2011). The Origin of our Species. Penguin. pp. 26–29, 2021. ISBN 978-0-141-03720-2.
  221. doi:10.1073/pnas.1010906107
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDF PDF (526 KB)
  222. Wood B (1996). "Human evolution". BioEssays. 18 (12): 945–954. doi:10.1002/bies.950181204. PMID 8976151. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2557. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  223. 235.0 235.1 235.2 235.3 235.4 doi:10.1038/485033a
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  224. 236.0 236.1 Figure 1. Phylogeny of Primate Lice from Morphological and Molecular Data, in Reed DL, Smith VS, Hammond SL, Rogers AR, Clayton DH (2004). "Genetic Analysis of Lice Supports Direct Contact between Modern and Archaic Humans". PLoS Biol. 2 (11): e340. doi:10.1371/journal.pbio.0020340. PMC 521174. PMID 15502871. {{cite journal}}: |archive-url= ต้องการ |url= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  225. Strait DS, Grine FE, Moniz MA (1997). "A reappraisal of early hominid phylogeny". J. Hum. Evol. 32 (1): 17–82. doi:10.1006/jhev.1996.0097. PMID 9034954.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  226. 238.0 238.1 Bill Bryson (2004). "28. The Mysterious Biped". C A Short History of Nearly Everything. Random House, Inc. pp. 522–543. ISBN 978-0-385-66004-4. {{cite book}}: ตรวจสอบค่า |url= (help)
  227. van Zinderen-Bakker, E. M. (1962-04-14). "A Late-Glacial and Post-Glacial Climatic Correlation between East Africa and Europe". Nature. 194 (4824): 201–203. Bibcode:1962Natur.194..201V. doi:10.1038/194201a0.
  228. Walker, Alan (2006). "Early Hominin Diets: Overview and Historical Perspectives". ใน Peter Ungar (บ.ก.). Evolution of the Human Diet: The Known, the Unknown, and the Unknowable. US: Oxford University Press. pp. 3–10. ISBN 978-0-19-518346-7. (scroll up to view chapter 1 & part of chapter 2, which is a serendipitous result from another search. Subsequent attempts get a targeted search result gave returns without chapter 1).
  229. Peter Ungar & Mark F. Teaford (2002). Human Diet: Its Origin and Evolution. Westport, CT: Bergin & Garvey. p. 206. ISBN 978-0-89789-736-5.
  230. Bogin, Barry (1997). "The evolution of human nutrition". ใน Romanucci-Ross, Lola; Moerman, Daniel E.; & Tancredi, Laurence R. (บ.ก.). The Anthropology of Medicine: From Culture to Method (3 ed.). South Hadley MA: Bergen and Garvey. pp. 96–142. ISBN 978-0-89789-516-3. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |chapterurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|chapter-url=) (help)CS1 maint: multiple names: editors list (ลิงก์)
  231. Barnicot NA (April–June 2005). "Human nutrition: evolutionary perspectives". Integr Physiol Behav Sci. 40 (2): 114–17. doi:10.1007/BF02734246. PMID 17393680.{{cite journal}}: CS1 maint: date format (ลิงก์)
  232. Leonard WR, Snodgrass JJ, Robertson ML (2007). "Effects of brain evolution on human nutrition and metabolism". Annu Rev Nutr. 27: 311–27. doi:10.1146/annurev.nutr.27.061406.093659. PMID 17439362.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  233. "The new batch - 150,000 years ago". BBC - Science & Nature - The evolution of man. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-31.
  234. "When humans faced extinction". BBC. 2003-06-09. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-22. สืบค้นเมื่อ 2007-01-05. {{cite news}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  235. Leakey, L.S.B.; Tobias, P.V.; Napier, J.R (Oct 1965). "A New Species of Genus Homo from Olduvai Gorge" (PDF). Current Anthropology. 6 (4).{{cite journal}}: CS1 maint: date and year (ลิงก์)
  236. Wood, B; Collard, M (1999). "The changing face of Genus Homo". Evol. Anth. 8 (6): 195–207.
  237. "Toothy Tree-Swinger May Be Earliest Human". Discovery News. 2010-05-21.
  238. Curnoe, D (2010). "A review of early Homo in southern Africa focusing on cranial, mandibular and dental remains, with the description of a new species (Homo gautengensis sp. nov.)". HOMO - Journal of Comparative Human Biology. 61: 151–177.
  239. 251.0 251.1 doi:10.1038/nature11322
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  240. Wayman, Erin (8 August 2012). "Multiple Species of Early Homo Lived in Africa". Smithsonian Magazine. สืบค้นเมื่อ 9 August 2012.
  241. Landau, Elizabeth (8 August 2012). "Fossils complicate human ancestor search". CNN. สืบค้นเมื่อ 9 August 2012.
  242. Wood B (1999). "'Homo rudolfensis' Alexeev, 1986-fact or phantom?". J. Hum. Evol. 36 (1): 115–8. doi:10.1006/jhev.1998.0246. PMID 9924136.
  243. John Hawks (31 March 2007). "KNM-ER 1470 is not a microcephalic".
  244. Than, Ker (29 March 2007). "Controversial Human Ancestor Gets Major Facelift". LiveScience. สืบค้นเมื่อ 8 August 2012.
  245. PMID 19093651 (PMID 19093651)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  246. PMID 8208290 (PMID 8208290)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  247. Turner W (1895). "On M. Dubois' Description of Remains recently found in Java, named by him Pithecanthropus erectus: With Remarks on so-called Transitional Forms between Apes and Man". Journal of Anatomy and Physiology. 29 (Pt 3): 424–45. PMC 1328414. PMID 17232143.
  248. van Oosterzee, Penny (1999). The Story of Peking Man. Allen & Unwin. ISBN 1-86508-632-0.
  249. F. Spoor, M. G. Leakey, P. N. Gathogo, F. H. Brown, S. C. Anton, I. McDougall, C. Kiarie, F. K. Manthi & L. N. Leakey (9 August 2007). "Implications of new early Homo fossils from Ileret, east of Lake Turkana, Kenya". Nature. 448 (7154): 688–691. doi:10.1038/nature05986. PMID 17687323.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  250. Richards, M.P. (December 2002). "A brief review of the archaeological evidence for Palaeolithic and Neolithic subsistence". European Journal of Clinical Nutrition. 56 Supplement 1, March 2002 (12): 1270–1278. doi:10.1038/sj.ejcn.1601646. PMID 12494313.{{cite journal}}: CS1 maint: date and year (ลิงก์) .
  251. Wrangham, Richard (2009). Catching Fire. Basic Books.
  252. Adrienne Zihlman (1972). "Gathering and the Hominid Adaptation". Female Hierarchies. Beresford Book Service. pp. 220–229. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  253. Fedigan, Linda Marie (1986). "The Changing Role of Women in Models of Human Evolution". Annual Review of Anthropology. 151: 25–66.
  254. Gibbons, Ann (13 March 1998). "Paleoanthropology: Ancient Island Tools Suggest Homo erectus Was a Seafarer". Science. 279 (5357): 1635–1637. doi:10.1126/science.279.5357.1635.
  255. Gabounia L. de Lumley M. Vekua A. Lordkipanidze D. de Lumley H. (2002). "Discovery of a new hominid at Dmanisi (Transcaucasia, Georgia)". Comptes Rendus Palevol. 1 (4): 243–53. doi:10.1016/S1631-0683(02)00032-5.
  256. Lordkipanidze D, Vekua A, Ferring R, et al. (2006). "A fourth hominin skull from Dmanisi, Georgia". The anatomical record. Part A, Discoveries in molecular, cellular, and evolutionary biology. 288 (11): 1146–57. doi:10.1002/ar.a.20379. PMID 17031841.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  257. Bermúdez de Castro JM, Arsuaga JL, Carbonell E, Rosas A, Martínez I, Mosquera M (1997). "A hominid from the lower Pleistocene of Atapuerca, Spain: possible ancestor to Neandertals and modern humans". Science. 276 (5317): 1392–5. doi:10.1126/science.276.5317.1392. PMID 9162001.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  258. Carbonell, Eudald (2008-03-27). "The first hominin of Europe". Nature. 452 (7186): 465–469. Bibcode:2008Natur.452..465C. doi:10.1038/nature06815. PMID 18368116. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-22. สืบค้นเมื่อ 2008-03-26. {{cite journal}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  259. Fernandez-Jalvo, Y.; Diez, J. C.; Caceres, I. and Rosell, J. (September 1999). "Human cannibalism in the Early Pleistocene of Europe (Gran Dolina, Sierra de Atapuerca, Burgos, Spain)". Journal of Human Evolution. Academic Press. 37 (34): 591–622. doi:10.1006/jhev.1999.0324. PMID 10497001.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  260. Manzi G, Mallegni F, Ascenzi A; Mallegni; Ascenzi (2001). "A cranium for the earliest Europeans: Phylogenetic position of the hominid from Ceprano, Italy". Proc. Natl. Acad. Sci. U.S.A. 98 (17): 10011–6. Bibcode:2001PNAS...9810011M. doi:10.1073/pnas.151259998. PMC 55569. PMID 11504953.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  261. doi:10.1016/j.epsl.2009.06.032
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  262. doi:10.1371/journal.pone.0018821
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDFPDF (584 KB)
  263. Czarnetzki, A; Jakob, T; Pusch, CM (2003). "Palaeopathological and variant conditions of the Homo heidelbergensis type specimen (Mauer, Germany)". Journal of Human Evolution. 44 (4): 479–95. doi:10.1016/S0047-2484(03)00029-0. PMID 12727464.
  264. "New Skull from Eritrea". Archaeological Institute of America. September/October 1998. สืบค้นเมื่อ 26 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  265. 277.0 277.1 277.2 Katsnelson, Alla (March 24, 2010). "New hominin found via mtDNA". The Scientist. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-22. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  266. Sample, Ian (24 March 2010). "New species of human ancestor found in Siberia". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2557. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  267. O'Neil, Dennis (2012). "Homo heidelbergensis". Anthropology Department, Palomar College. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2557. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  268. doi:10.1016/j.jhevol.2011.11.004
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand ScienceDaily Summary - June 6, 2012
  269. Burger, Lee (November 2007). "Our Story: Human Ancestor Fossils". The Naked Scientists.
  270. Rightmire, G. Philip (1993). id=edFD6el38mAC&dq=Ndutu+hominid&source=gbs_ summary_s&cad=0 The Evolution of Homo Erectus: Comparative Anatomical Studies of an Extinct Human Species. Cambridge University Press. ISBN 0-521-44998-7. {{cite book}}: ตรวจสอบค่า |url= (help); ไม่มี pipe ใน: |url= (help) ISBN อื่น ๆ - 978-0-521-44998-4
  271. Rightmire, G. Philip (2005). "The Lake Ndutu cranium and early Homo Sapiens in Africa". American Journal of Physical Anthropology. 61 (2): 245–254. doi:10.1002/ajpa.1330610214. PMID 6410925.
  272. Harvati K (2003). "The Neanderthal taxonomic position: models of intra- and inter-specific craniofacial variation". J. Hum. Evol. 44 (1): 107–32. doi:10.1016/S0047-2484(02)00208-7. PMID 12604307.
  273. doi:10.1111/j.1469-185X.2008.00071.x
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDFPDF (406 KB)
  274. doi:10.1038/nature00879
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  275. Klekamp, J; Riedel, A; Harper, C; Kretschmann (Feb 1987). "A quantitative study of Australian aboriginal and Caucasian brains". J Anat. 150: 191–210. PMC 1261675. สืบค้นเมื่อ 26 กันยายน 2557. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  276. 288.0 288.1 288.2 288.3 288.4 Smith, Courtland L; Beals, Kenneth L (1990). "Cultural Correlates with Cranial Capacity". American Anthropologist.
  277. "Neanderthal Brain Size at Birth Sheds Light on Human Evolution". National Geographic. 2008-09-09. สืบค้นเมื่อ 2009-09-19.
  278. "Science & Nature Wildfacts—Neanderthal". BBC. สืบค้นเมื่อ 2009-06-21.
  279. Helmuth H (1998). "Body height, body mass and surface area of the Neanderthals". Zeitschrift Fur Morphologie Und Anthropologie. 82 (1): 1–12. PMID 9850627.
  280. Krings M, Stone A, Schmitz RW, Krainitzki H, Stoneking M, Pääbo S (1997). "Neandertal DNA sequences and the origin of modern humans". Cell. 90 (1): 19–30. doi:10.1016/S0092-8674(00)80310-4. PMID 9230299.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  281. Serre D, Langaney A, Chech M, et al. (2004). "No Evidence of Neandertal mtDNA Contribution to Early Modern Humans". PLoS Biol. 2 (3): E57. doi:10.1371/journal.pbio.0020057. PMC 368159. PMID 15024415.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  282. doi:10.1016/j.cell.2008.06.021
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  283. 295.0 295.1 Viegas, Jennifer (2010-05-06). H "Neanderthals, humans interbred, DNA proves". Discovery News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-22. สืบค้นเมื่อ 2010-08-17. {{cite news}}: ตรวจสอบค่า |archiveurl= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  284. Hebsgaard MB, Wiuf C, Gilbert MT, Glenner H, Willerslev E (2007). "Evaluating Neanderthal genetics and phylogeny". J. Mol. Evol. 64 (1): 50–60. doi:10.1007/s00239-006-0017-y. PMID 17146600.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  285. Gutiérrez G, Sánchez D, Marín A (2002). "A reanalysis of the ancient mitochondrial DNA sequences recovered from Neandertal bones". Mol. Biol. Evol. 19 (8): 1359–66. doi:10.1093/oxfordjournals.molbev.a004197. PMID 12140248.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  286. 298.0 298.1 Mellars, Paul; Jennifer C. French (29 July 2011). "Tenfold Population Increase in Western Europe at the Neandertal - to - Modern Human Transition". Science. 333 (6042): 623–627. Bibcode:2011Sci...333..623M. doi:10.1126/science.1206930. PMID 21798948.
  287. Brown, Terence A. (8 April 2010). "Human evolution: Stranger from Siberia". Nature. 464 (7290): 838–839. Bibcode:2010Natur.464..838B. doi:10.1038/464838a. PMID 20376137.
  288. Marshall, Michael (5 April 2014). "Mystery Relations". New Scientist.
  289. 301.0 301.1 Krause, Johannes; Fu, Qiaomei; Good, Jeffrey M.; Viola, Bence; Shunkov, Michael V.; Derevianko, Anatoli P.; Pääbo, Svante (2010). "The complete mitochondrial DNA genome of an unknown hominin from southern Siberia". Nature. 464 (7290): 894–897. Bibcode:2010Natur.464..894K. doi:10.1038/nature08976. PMID 20336068. {{cite journal}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |lastauthoramp= ถูกละเว้น แนะนำ (|name-list-style=) (help)
  290. Martinón-Torres, María (2011). "The Denisova hominin need not be an out of Africa story". Journal of Human Evolution. 60 (2): 251–255. doi:10.1016/j.jhevol.2010.10.005. ISSN 0047-2484. PMID 21129766. {{cite journal}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthor= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  291. 303.0 303.1 doi:10.1038/nature02999
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  292. Morwood, Soejono et al. 2004
  293. McKie, Robing (February 21, 2010). "How a hobbit is rewriting the history of the human race". The Guardian. สืบค้นเมื่อ February 23, 2010.
  294. Forth, Gregory (June 2005). "Hominids, hairy hominoids and the science of humanity" (PDF). Anthropology Today. 21 (3): 13–17.
  295. Hawks, John D. (June 24, 2005). "Stalking the wild ebu gogo".
  296. Argue D, Donlon D, Groves C, Wright R (2006). "Homo floresiensis: microcephalic, pygmoid, Australopithecus, or Homo?". J. Hum. Evol. 51 (4): 360–74. doi:10.1016/j.jhevol.2006.04.013. PMID 16919706.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  297. 309.0 309.1 Martin RD, Maclarnon AM, Phillips JL, Dobyns WB (2006). "Flores hominid: new species or microcephalic dwarf?". The anatomical record. 288 (11): 1123–45. doi:10.1002/ar.a.20389. PMID 17031806.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  298. Tocheri et al. 2007
  299. New Scientist 2007-09- 20
  300. Larson et al. 2007 PDF onlinePDF
  301. "Guardian 2007-09-21
  302. Argue, Morwood et al. 2009
  303. Jungers and Baab 2009
  304. Merriam-Webster Collegiate Dictionary, 11th Edition. Springfield, Massachusetts, USA: Merriam-Webster, Inc. 2003. Etymology: New Latin, species name, from Homo, genus name + sapiens, specific epithet, from Latin, wise, intelligent"..."Date: 1802
  305. "New Clues Add 40,000 Years to Age of Human Species". National Science Foundation (NSF) News.
  306. "Age of ancient humans reassessed". BBC News. February 16, 2005. สืบค้นเมื่อ April 10, 2010.
  307. "The Oldest Homo Sapiens". Science Daily. 22 May 2005. สืบค้นเมื่อ May 15, 2009.
  308. Alemseged, Z., Coppens, Y., Geraads, D. (2002). "Hominid cranium from Homo: Description and taxonomy of Homo-323-1976-896". Am J Phys Anthropol. 117 (2): 103–112. doi:10.1002/ajpa.10032. PMID 11815945.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  309. Stoneking, Mark; Soodyall, Himla (1996). "Human evolution and the mitochondrial genome". Current Opinion in Genetics & Development. 6 (6): 731–6. doi:10.1016/50959-437X(96)80028-1.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  310. Ambrose, Stanley H. (2005). "Volcanic Winter, and Differentiation of Modern Humans". Bradshaw Foundation. สืบค้นเมื่อ 2006-04-08.
  311. "Supervolcanoes". BBC2. 1999. สืบค้นเมื่อ 3 February 2000. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  312. Muehlenbein, Michael (2010). Human Evolutionary Biology. Cambridge University Press. pp. 192–213.
  313. Frisancho, AR (1993). Human Adaptation and Accommodation. University of Michigan Press. pp. 175–301. ISBN 0472095110.
  314. Hillary Mayel (24 February 2004). "Three High-Altitude Peoples, Three Adaptations to Thin Air". National Geographic News. National Geographic Society.
  315. Jabr, Ferris (July 18, 2012). "Does Thinking Really Hard Burn More Calories?". Scientific American.
  316. Gibbons, Ann (29 May 1998). "Solving the Brain's Energy Crisis" (PDF). Science. 280 (5368): 1345–47. doi:10.1126/science.280.5368.1345. PMID 9634409. สืบค้นเมื่อ 21 กันยายน 2557. {{cite journal}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |1= (help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |laysource= ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |layurl= ถูกละเว้น (help)
  317. F. Howell; François Bourlière (30 November 2007). C&pg=PA398 African Ecology and Human Evolution. Transaction Publishers. p. 398. ISBN 978-0-202-36136-9. สืบค้นเมื่อ 6 November 2011. {{cite book}}: ตรวจสอบค่า |url= (help)
  318. Hanselli, Michael Henry (2005). Animal architecture. Oxford University Press. p. 1. ISBN 978-0-19-850752-9. สืบค้นเมื่อ 29 June 2011.
  319. Toth, Nicholas; Schick, Kathy (2009). Scarre, Chris (บ.ก.). The Human Past: World Prehistory and the Development of Human Societies (2nd ed.). London: Thames and Hudson. pp. 67–68.
  320. Skinner; และคณะ (2007). "New ESR Dates for a New Bone-Bearing Layer at Pradayrol, Lot, France". Abstracts of the PaleoAnthropology Society 2007 Meetings. PaleoAnthropology: A1–A35. {{cite journal}}: ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |author= (help)
  321. Shea, J. J. (2003). "Neandertals [sic], competition and the origin of modern human behaviour in the Levant". Evolutionary Anthropology. 12: 173–187.
  322. 334.0 334.1 Langer, William L., บ.ก. (1972). An Encyclopedia of World History (5th ed.). Boston, MA: Houghton Mifflin Company. p. 9. ISBN 0-395-13592-3.
  323. Mellars, P (2006). "Archeology the Dispersal of Modern Humans in Europe: Deconstructing the Aurignacian". Evolutionary Anthropology. 15: 167–182.
  324. Lewin, R.; Foley, R. A. (2004). Principles of Human Evolution (2nd ed.). UK: Blackwell Science. p. 311. ISBN 0-632-04704-6.
  325. doi:10.1126/science.1219957
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  326. Amos, Jonathan (June 14, 2012). "Red dot becomes 'oldest cave art'". BBC News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-15. สืบค้นเมื่อ 15 June 2012. One motif - a faint red dot - is said to be more than 40,000 years old. {{cite news}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  327. Clottes, Jean (2003). Chauvet Cave: The Art of Earliest Times. Bahn, Paul G. (translator). University of Utah Press. ISBN 0-87480-758-1. Translation of La Grotte Chauvet, l'art des origins, Editions du Seuil, 2001, p. 214.
  328. Than, Ker (June 14, 2012). "World's Oldest Cave Art Found—Made By Neanderthals?". National Geographic Society. สืบค้นเมื่อ 30 December 2012.
  329. Bailey, Martin (Jan 31, 2013). "Ice Age Lion Man is world's earliest figurative sculpture". The Art Newspaper. สืบค้นเมื่อ Feb 01, 2013. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  330. "Earliest music instruments found". BBC News. 25 May 2012.
  331. "12 The Origin and Dispersal of Modern Human". Paleoanthropology/Fossil Hominins (PDF). 2012. pp. 284–310.
  332. Jordan, P (2001). Neanderthal: Neanderthal Man and the Story of Human Origins. The History Press. ISBN 978-0-7509-2676-8.
  333. Beeton, Tyler (2011–2012). "The Neandertal Extinction: A climate affair or those pesky moderns?" (PDF). Furthering Perspectives: Anthropological Views of the World. Anthropology Graduate Student Society, Colorado State University. 5: 2–20. ISSN 1941-1731.{{cite journal}}: CS1 maint: date format (ลิงก์)
  334. 346.0 346.1 346.2 Jacobs, Zenobia; และคณะ (2013). "An improved OSL chronology for the Still Bay layers at Blombos Cave, South Africa: further tests of single-grain dating procedures and a re-evaluation of the timing of the Still Bay industry across southern Africa". Journal of Archaeological Science. 40: 579–594. {{cite journal}}: ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |author= (help)CS1 maint: extra punctuation (ลิงก์)
  335. Henshilwood, Christopher S.; และคณะ (2011). "A 100,000-Year-Old Ochre-Processing Workshop at Blombos Cave, South Africa". Science. 334: 219–222. {{cite journal}}: ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |author= (help)
  336. Tribolo, C.; และคณะ (2006). "TL dating of burnt lithics from Blombos Cave (South Africa): further evidence for the antiquity of modern human behaviour". Archaeometry. 48: 341–357. {{cite journal}}: ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |author= (help)
  337. Jacobs, Z., et al. (2006). "Extending the chronology of deposits at Blombos Cave, South Africa, back to 140 ka using optical dating of single and multiple grains of quartz"PDF (586 KB). Journal of Human Evolution 51: 255-73.
  338. 350.0 350.1 doi:10.1126/science.1067575
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  339. doi:10.1038/nature06204
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  340. Diamond, Jared (1999). Guns, Germs, and Steel: The Fate of Human Societies. W. W. Norton. p. 39. ISBN 978-0-393-31755-8.
  341. Bar-Yosef, Ofer (2002). "The Upper Paleolithic Revolution". Annual Review of Anthropology. 31: 363–393.
  342. d'Errico, Francesco; Stringer, Chris B (12 April 2011). "Evolution, revolution or saltation scenario for the emergence of modern cultures?". Phil. Trans. R. Soc. B. 366 (1567): 1060–1069. doi:10.1098/rstb.2010.0340.{{cite journal}}: CS1 maint: date and year (ลิงก์)
  343. Nowell, April (2010). "Defining Behavioral Modernity in the Context of Neandertal and Anatomically Modern Human Populations". Annual Review of Anthropology. 39: 437–452. doi:10.1146/annurev.anthro.012809.105113.
  344. "The World's Largest Neanderthal Finding Site". Culturenet Iaccessdate=7 August 2010.
  345. "Evolving in their graves: early burials hold clues to human origins - research of burial rituals of Neanderthals".
  346. Uniquely Human. p. 163.
  347. doi:10.1093/molbev/msq234
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDFPDF (237 KB)
  348. PMID 12932325 (PMID 12932325)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  349. Hoffecker, J; Scott, J (March 21, 2002). "Excavations In Eastern Europe Reveal Ancient Human Lifestyles". University of Colorado at Boulder News Archive.
  350. doi:10.1126/science.3251329a
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  351. doi:10.1126/science.1175404
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  352. Ambrose SH (2001). "Paleolithic technology and human evolution". Science. 291 (5509): 1748–53. Bibcode:2001Sci...291.1748A. doi:10.1126/science.1059487. PMID 11249821.
  353. "A Brief History of the Mind". William H. Calvin. 2003-09-01. สืบค้นเมื่อ 2009-09-10. {{cite web}}: |chapter= ถูกละเว้น (help)
  354. Henshilwood, Christopher S; Marean, Curtis W (December 2003). "The Origin of Modern Human Behavior: Critique of the Models and Their Test Implications" (PDF). Current Anthropology. 44 (5): 627–651. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2003-10-24. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2557. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  355. PMID 18316717 (PMID 18316717)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand Full PDFPDF
  356. Medical Research Council (UK) (November 21, 2009). "Brain Disease 'Resistance Gene' evolves in Papua New Guinea community; could offer insights Into CJD". Science Daily (online). Science News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-22. สืบค้นเมื่อ 2009-11-22. {{cite news}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  357. doi:10.1056/NEJMoa0809716
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  358. doi:10.1073/pnas.0906199106
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full PDF PDF (1.03 MB)
  359. Cochran, G; Harpending, H (2009). The 10,000 Year Explosion. New York: Basic Books. ISBN 0-465-00221-8.
  360. doi:10.1086/421051
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  361. doi:10.1146/annurev.genet.37.110801.143820
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  362. Timo Sahi (N/A). "Genetics and epidemiology of adult-type hypolactasia with emphasis on the situation in Europe". Scandinavian Journal of Nutrition/Naringsforskning. {{cite web}}: |url= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  363. 375.0 375.1 Kretchmer N (1972). "Lactose and lactase". Sci. Am. 227 (4): 71–8. PMID 4672311.
  364. Diamond, Jarrad (2002). Guns, Germs and Steel. United States: Penguin. ISBN 0-393-03891-2. OCLC 35792200.

แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link GA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA