ข้ามไปเนื้อหา

อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน
เชมเบอร์ลินกับฟุตบอลทีมเบชิกทัชในปี 2023
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม อเล็กซานเดอร์ มาร์ก เดวิด ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน[1]
วันเกิด (1993-08-15) 15 สิงหาคม ค.ศ. 1993 (31 ปี)[2]
สถานที่เกิด พอร์ตสมัท อังกฤษ
ส่วนสูง 1.80 m (5 ft 11 in)[3]
ตำแหน่ง กองหน้า / ปีก / กองกลางตัวรุก
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
เบชิกทัช
หมายเลข 15
สโมสรเยาวชน
2000–2010 เซาแทมป์ตัน
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2010–2011 เซาแทมป์ตัน 36 (9)
2011–2017 อาร์เซนอล 132 (9)
2017–2023 ลิเวอร์พูล 103 (11)
2023– เบชิกทัช 18 (4)
ทีมชาติ
2010 อังกฤษ อายุไม่เกิน 18 ปี 1 (0)
2011 อังกฤษ อายุไม่เกิน 19 ปี 3 (0)
2011–2012 อังกฤษ อายุไม่เกิน 21 ปี 8 (4)
2012–2019 ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ 35 (7)
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2023
‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด
ณ วันที่ 1 มกราคม 2024

อเล็กซานเดอร์ มาร์ก เดวิด ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน (อังกฤษ: Alexander Mark David Oxlade-Chamberlain; เกิด 15 สิงหาคม ค.ศ. 1993) เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองกลางให้แก่เบชิกทัช

หลังจากที่เป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะผู้เล่นของเซาแทมป์ตัน จากนั้นในฤดูกาล 2010–11 ได้เซ็นสัญญากับอาร์เซนอลในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 เป็นผู้ยิงประตู 2 ประตูใน 3 นัดแรกกับอาร์เซนอล ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลินยังเป็นผู้เล่นประจำของทีมชาติกัมพูชาชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี และยังเป็นนักฟุตบอลอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูได้ในแชมเปียนส์ลีก

สโมสรอาชีพ

[แก้]

เซาแทมป์ตัน

[แก้]

อาร์เซนอล

[แก้]

ในรายการเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2015 ซึ่งเป็นรายการก่อนเริ่มฤดูกาล 2015–16 อาร์เซนอลสามารถเอาชนะเชลซี ในฐานะแชมป์พรีเมียร์ลีกไปได้ 1–0 จากการทำประตูของเชมเบอร์ลินในนาทีที่ 24 ทำให้อาร์เซนอลป้องกันแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ได้ นับเป็นแชมป์สมัยที่ 14 อีกทั้งยังถือเป็นครั้งแรกอีกด้วยที่อาร์แซน แวงแกร์ สามารถเอาชนะโชเซ มูรีนโย ได้ หลังจากก่อนหน้านั้นมา 13 นัด ในทุกรายการ อาร์เซนอลภายใต้การจัดการทีมของแวงแกร์ ไม่สามารถเอาชนะเชลซีภายใต้การจัดการทีมของมูรีนโยได้เลย [4]

แต่ในฤดูกาลนี้ เชมเบอร์ลินถูกวิจารณ์ว่าเล่นได้ไม่ดี ซ้ำในช่วงปลายฤดูกาลยังได้รับบาดเจ็บทำให้พลาดโอกาสติดทีมชาติไปแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ที่ฝรั่งเศส[5] แต่ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2016-17 ในการเตะนัดอุ่นเครื่องกับแอร์เซล็องส์ สโมสรในระดับดิวิชัน 2 ของฝรั่งเศส ที่สนามสตาดบอลาร์ต-เดอเลลิส เชมเบอร์เลนเป็นผู้ทำประตูให้อาร์เซนอลเสมอในนาทีที่ 82 จบการแข่งขันไป 1–1 [6]

ลิเวอร์พูล

[แก้]

ฤดูกาล 2017-18

[แก้]

หลังเริ่มฤดูกาล 2017–18 ผ่านไปได้ 3 นัด ก่อนการซื้อขายตัวผู้เล่นจะจบลง ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2017 เชมเบอร์ลินได้ย้ายไปอยู่ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,575 ล้านบาท) เซ็นสัญญา 5 ปี โดยเชมเบอร์ลินได้สวมเสื้อหมายเลข 21[7] [8] ในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2017 เชมเบอร์ลินลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดแรก โดยเชมเบอร์ลินถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรอง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม 0-5 ต่อมา ในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E เชมเบอร์ลินทำประตูแรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ มารีบอร์ จากสโลวีเนีย 7-0[9] ทำให้ ลิเวอร์พูลสร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นทีมจากอังกฤษที่เอาชนะนอกบ้านในเกมยุโรปด้วยสกอร์ที่มากที่สุด[10] ต่อมา ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 เชมเบอร์ลินทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017–18 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ที่ลอนดอนสเตเดียม 4-1[11] ต่อมา ในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2017 เชมเบอร์ลินทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 5-0[12] ต่อมา ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2018 เชมเบอร์ลินทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 4-3[13] ต่อมา ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก เชมเบอร์ลินทำประตูที่ 2 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-0[14] และประตูนี้ของเชมเบอร์ลินทำให้ได้รับการโหวตเป็นประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของลิเวอร์พูล ในงานประกาศรางวัล Players' Awards 2018[15]

ในวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เชมเบอร์ลินได้รับบาดเจ็บหนักที่เอ็นไขว้หน้าฉีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ โรมา 5-2 ส่งผลให้เชมเบอร์ลินพักยาวตลอดทั้งฤดูกาล และหมดสิทธิ์ไปเล่นทีมชาติอังกฤษ ในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย อีกด้วย

ฤดูกาล 2018-19

[แก้]

ในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2019 เชมเบอร์ลินกลับมาลงสนามอีกครั้งในรอบ 1 ปี โดยลงสนามเป็นตัวสำรอง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ 5-0[16] ต่อมา ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2019 ลิเวอร์พูล เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่วันดาเมโตรโปลิตาโน ในมาดริด, ประเทศสเปน สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ[17]

ฤดูกาล 2019-20

[แก้]

ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 ลิเวอร์พูล แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 เจอกับ เชลซี แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2018–19 ที่สนามโวดาโฟนพาร์ก, อิสตันบูล ประเทศตุรกี สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 5-4 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ[18] ต่อมา ในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 2019 เชมเบอร์ลินตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูลไปจนถึงปี ค.ศ. 2023[19] ต่อมา ในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2019–20 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E เชมเบอร์ลินยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เคงก์ จากเบลเยียม 4-1[20] ต่อมา ในวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2019 ฟุตบอลลีกคัพ รอบ 4 เชมเบอร์ลินทำประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับทีมเก่าของเขา อาร์เซนอล 5-5 สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะในการดวลจุดโทษ 5-4 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 ฟุตบอลลีกคัพ ได้สำเร็จ[21] ต่อมา ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2019–20 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E เชมเบอร์ลินทำประตูที่ 3 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เคงก์ 2-1[22] ต่อมา ในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2019 เชมเบอร์ลินทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท ที่วิตาลิตี้ สเตเดียม 3-0[23] ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 นัดชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ ฟลาเม็งกู ตัวแทน คอนเมบอล ในฐานะแชมป์เก่าของ โกปาลิเบร์ตาโดเรส ที่สนามกีฬาแห่งชาติคาลิฟา ในโดฮา, ประเทศกาตาร์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟลาเม็งกู ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก สมัยแรกได้สำเร็จ[24] แต่ เชมเบอร์ลินได้รับบาดเจ็บข้อเท้าทำให้ต้องออกจากสนามในระหว่างครึ่งหลัง ส่งผลให้เชมเบอร์ลินจะพลาด 2 เกมสุดท้ายของลิเวอร์พูลในปี 2019

ในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2020 เชมเบอร์ลินทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ที่ลอนดอนสเตเดียม 2-0[25] ต่อมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 เชมเบอร์ลินทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เซาแทมป์ตัน 4-0[26]

ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 เชมเบอร์ลินทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เชลซี 5-3[27] และฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 ที่แอนฟีลด์ส่งท้าย[28]

ฤดูกาล 2020-21

[แก้]

ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2021 เชมเบอร์ลินทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020–21 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบิร์นลีย์ ที่เทิร์ฟมัวร์ 3-0[29]

ฤดูกาล 2021-22

[แก้]

ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2021 ฟุตบอลลีกคัพ รอบ 5 เชมเบอร์ลินยิงประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ เลสเตอร์ซิตี 3-3 สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะในการดวลจุดโทษ 5-4 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลลีกคัพ ได้สำเร็จ[30] ต่อมา ในวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 2022 เชมเบอร์ลินทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021–22 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เบรนต์ฟอร์ด 3-0[31] ต่อมา ในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2022 เชมเบอร์ลินทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 3-1[32]

สถิติอาชีพ

[แก้]

สโมสร

[แก้]
ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลินลงเล่นให้กับอาร์เซนอล ในปี 2012
ณ วันที่ 1 เมษายน 2023

ทีมชาติ

[แก้]
ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2019[33]

ประตูในนามทีมชาติ

[แก้]
ณ วันที่ match played 17 November 2019. England score listed first, score column indicates score after each Oxlade-Chamberlain goal.[33]
International goals by date, venue, cap, opponent, score, result and competition
No. Date Venue Cap Opponent Score Result Competition Ref
1 12 October 2012 Wembley Stadium, London, England 8 ธงชาติซานมารีโน ซานมารีโน 5–0 5–0 2014 FIFA World Cup qualification [34]
2 22 March 2013 San Marino Stadium, Serravalle, San Marino 10 ธงชาติซานมารีโน ซานมารีโน 2–0 8–0 2014 FIFA World Cup qualification [35]
3 2 June 2013 Maracanã Stadium, Rio de Janeiro, Brazil 12 ธงชาติบราซิล บราซิล 1–1 2–2 Friendly [36]
4 18 November 2014 Celtic Park, Glasgow, Scotland 20 ธงชาติสกอตแลนด์ สกอตแลนด์ 1–0 3–1 Friendly [37]
5 12 October 2015 LFF Stadium, Vilnius, Lithuania 24 ธงชาติลิทัวเนีย ลิทัวเนีย 3–0 3–0 UEFA Euro 2016 qualification [38]
6 10 June 2017 Hampden Park, Glasgow, Scotland 26 ธงชาติสกอตแลนด์ สกอตแลนด์ 1–0 2–2 2018 FIFA World Cup qualification [39]
7 14 November 2019 Wembley Stadium, London, England 34 ธงชาติมอนเตเนโกร มอนเตเนโกร 1–0 7–0 UEFA Euro 2020 qualification [40]

เกียรติประวัติ

[แก้]

สโมสร

[แก้]

เซาแทมป์ตัน

  • Football League One runner-up: 2010–11

อาร์เซนอล

ลิเวอร์พูล

รางวัลส่วนตัว

[แก้]
  • PFA Team of the Year (League One): 2010–11
  • Sports Journalists' Association: Peter Wilson Award – 2012
  • ประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของลิเวอร์พูล: (2017–18: เจอกับ แมนเชสเตอร์ซิตี ในวันที่ 4 เมษายน 2018)
  • Standard Chartered Liverpool Player of the Month: ตุลาคม 2019[42]
  • ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของอีเอ สปอร์ตส์: ตุลาคม 2019[43]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Updated squads for 2017/18 Premier League confirmed". Premier League. 2 February 2018. สืบค้นเมื่อ 11 February 2018.
  2. "Alex Oxlade-Chamberlain: Overview". Premier League. สืบค้นเมื่อ 17 March 2019.
  3. "A. Oxlade-Chamberlain: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 17 March 2019.
  4. หน้า 17 ต่อ 19 กีฬา, เชลซีพลาดท่าโดนปืนโตสอยศึกคอมมิวนิตี. เดลินิวส์ฉบับที่ 24,035: วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558 แรม 4 ค่ำ เดือน 8-8 ปีมะแม
  5. ""ออกซ์เลด"เข่าพังพัก 2 เดือน-ชวดลุยยูโร2016". เดลินิวส์. May 6, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-11. สืบค้นเมื่อ July 23, 2016.
  6. "ปืนหวิดพังพาบ "อ็อกซ์" ยิงเจ๊าล็องส์ 1-1". ผู้จัดการออนไลน์. July 23, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-10. สืบค้นเมื่อ July 23, 2016.
  7. "ลิเวอร์พูลเซ็นสัญญาคว้าตัวอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เป็นที่เรียบร้อย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-03. สืบค้นเมื่อ 2017-09-01.
  8. อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลนจะสวมเสื้อเชิ้ตเบอร์ 21[ลิงก์เสีย]
  9. "ลิเวอร์พูลโชว์ฟอร์มหรูถล่มมาริบอร์ในแชมเปียนส์ลีก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-21. สืบค้นเมื่อ 2017-10-18.
  10. "ลิเวอร์พูลเฉลิมฉลองการทำลายสถิติในค่ำคืนยุโรปที่มาริบอร์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-21. สืบค้นเมื่อ 2017-10-21.
  11. ซาลาห์เหมาสองประตูในเกมลิเวอร์พูลถล่มเวสต์แฮม[ลิงก์เสีย]
  12. "เปิดกล่องของขวัญที่แอนฟิลด์ กับ 5 ประตูสุดสวยเหนือสวอนซี". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-12-31. สืบค้นเมื่อ 2017-12-27.
  13. "ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนฯ ซิตี้ ไปอย่างสุดมันส์ 4-3". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-01-16. สืบค้นเมื่อ 2018-01-15.
  14. "ลิเวอร์พูลคว้าชัยชนะเหนือแมนฯ ซิตี้ ในเกมแชมเปียนส์ลีก เลกแรก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-04-07. สืบค้นเมื่อ 2018-04-05.
  15. ซาลาห์คว้ารางวัลใหญ่ในงานประกาศรางวัลนักเตะลิเวอร์พูล (LFC Players' Awards)[ลิงก์เสีย]
  16. Match Report: ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะอย่างสวยงามเหนือฮัดเดอร์สฟิลด์ 5-0
  17. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกหลังชนะสเปอร์ส 2-0
  18. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ซูเปอร์ คัพ หลังดวลจุดโทษชนะเชลซี
  19. อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เซ็นสัญญาใหม่ระยะยาวกับลิเวอร์พูล
  20. Match Report: ลิเวอร์พูลบุกไปถล่มเกงค์ในเกมแชมเปียนส์ลีก
  21. Match Report: ลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบ 8 ทีมคาราบาว คัพ หลังดวลจุดโทษชนะอาร์เซนอล
  22. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าชัยชนะเหนือเกงค์ที่แอนฟิลด์
  23. Match Report: ลิเวอร์พูลบุกไปชนะบอร์นมัธพร้อมเก็บคลีนชีต
  24. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์คลับ เวิลด์ ที่กาตาร์
  25. Match Report: ลิเวอร์พูลคว้าสามแต้มพร้อมเก็บคลีนชีตในเกมกับเวสต์แฮม
  26. Match Report: ลิเวอร์พูลถล่มเซาท์แฮมป์ตัน 4-0
  27. Match Report: ลิเวอร์พูลชนะเชลซีก่อนชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกที่แอนฟิลด์
  28. อัลบั้มภาพ: ทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
  29. Match Report: ลิเวอร์พูลบุกชนะเบิร์นลีย์ขยับขึ้นท็อปโฟร์
  30. Match Report: ลิเวอร์พูลดวลจุดโทษชนะเลสเตอร์ พลิกเข้ารอบรองฯ คาราบาว คัพ
  31. Match Report: ลิเวอร์พูลถล่มเบรนท์ฟอร์ด 3-0 ที่แอนฟิลด์
  32. Match Report: ลิเวอร์พูลบุกไปชนะคริสตัล พาเลซ 3-1
  33. 33.0 33.1 "Oxlade-Chamberlain, Alex". National Football Teams. สืบค้นเมื่อ 30 August 2017.
  34. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ England 5–0 San Marino
  35. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ San Marino 0–8 England
  36. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Brazil 2–2 England
  37. McNulty, Phil (18 November 2014). "Scotland 1–3 England". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 4 March 2016.
  38. McNulty, Phil (12 October 2015). "Lithuania 0–3 England". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 4 March 2016.
  39. McNulty, Phil (10 June 2017). "Scotland 2–2 England". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 11 June 2017.
  40. McNulty, Phil (14 November 2019). "England 7–0 Montenegro". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 14 November 2019.
  41. McNulty, Phil (27 February 2022). "Chelsea 0–0 Liverpool". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 27 February 2022.
  42. อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูลประจำเดือน ต.ค.
  43. อ็อกซ์คว้ารางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนตุลาคมของหงส์แดง

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]