| บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วย ปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่ หน้าอภิปราย
- บทความนี้มีเนื้อหาหรือรูปแบบคล้ายตำรา งานวิจัย ข้อเสนอโครงการ หรือลักษณะอื่นที่ไม่เป็นสารานุกรม
- บทความนี้ต้องการจัดรูปแบบข้อความ การจัดหน้า การแบ่งหัวข้อ การจัดลิงก์ภายใน และอื่น ๆ
- บทความนี้ต้องการพิสูจน์อักษร อาจเป็นด้านการใช้ภาษา การสะกด ไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน หรือการแปลจากภาษาอื่น
- บทความนี้ยังขาดแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง
|
คำตี่, ขำติ หรือ ไทคำตี่ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทกลุ่มหนึ่งในอัสสัม และทางภาคเหนือของประเทศพม่า ในรัฐกะชีน เมืองปูตาโอ แบ่งได้ เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มไทคำตี่หลวง (ในประเทศพม่า) และกลุ่มสิงคะลิงคำตี่ (ในประเทศอินเดีย)
การแบ่งกลุ่มชาวคำตี่[แก้]
คำตี่ในพม่า (คำตี่หลวง)[แก้]
- ประวัติคำตี่ในคำตี่หลวง
- ผู้ปกครองของคำตี่ คือ ปู่โถมถงม่าตุ๊ง ผู้ซึ่งลูกสาวถูกเสือห่มฟ้าลักพาตัวไป ดดยทำอุบายใช้ปู่โถมถงม่าตุ๊งไปธุระที่เมืองมะนุ่น หลังจากปู่โถมถงม่าตุ๊งกลับมา เสือห่มฟ้าจึงตั้งให้เป็นเจ้าเมืองคำตี่ แต่ชาวเมืองไม่ได้ถือปู่โถมถงม่าตุ๊งเป็นบรรพบุรุษของตนแต่อย่างใด ในคำสาบานศาลกล่าวไม่มีชื่อปู่โถมถงม่าตุ๊ง แต่ออกชื่อเจ้าสามองค์ คือ เจ้าสามหลวง เจ้าหัวแสง และเจ้าข้างใต้ สำหรับเจ้าสามหลวงนั้น ตามตำนานเล่าว่า เป็นเจ้าฟ้าปกครองเมืองคำตี่หลวง มีบุญญาธิการมาก ถึงขนาดที่เมื่อร้องต่อฟ้าขอให้ช่องเขาหลอยคอม้าถล่มลงมาปิดทางไม่ให้พวกทิเบต มารุกราน ช่องเขานั้นก็ถล่มมาปิดสมดังอธิษฐาน
- การปกครองในปูตาโอ
- ในเมืองปูตาโอแบ่งออกเป็น 8 เขตปกครอง ของเจ้าฟ้าไท จึงมีเจ้าฟ้าไท 8 คนด้วยกัน แต่ละคนจะมีหน้าที่รักษาความสงบ เก็บภาษี ดูแลสาธารณสุข และอำนวยความสะดวกต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง เจ้าฟ้าเหล่านี้ขึ้นต่อรองผู้ว่าราชกาชจังหวัดมิตจินา
- คัมภีร์ปู่สอนหลาน และตำนานเมืองคำตี่
- หนังสือปู่สอนหลานมีตั้งแต่เดิม ส่วนตำนานคำตี่แต่งขึ้นมาทีหลัง และมาได้อิทธิพลพม่าทีหลัง แต่ในภาษาเขียนมีอิทธิพลพม่าน้อยกว่าภาษาพูด ทำให้เห็นว่าไวยากรณ์ที่คล้ายคลึงพม่าอาจจะมาจากภาษาทิเบตก็เป็นได้ เพราะตามตำนานเมืองคำตี่กล่าวว่า เคยมีเจ้าชายทิเบตนำไพร่พลมา 500 คน มาตั้งถิ่นฐานที่คำตี่ และภาษาทิเบตอยู่ในกลุ่มภาษาซิโน-ทิเบตัน เช่นเดียวกันกับภาษาพม่า มีไวยากรณ์คล้ายคลึงกัน จึงอาจทำให้ภาษาไทคำตี่มีส่วนคล้ายคลึงกับภาษาพม่า
- วัฒนธรรม
- ชาวคำตี่ มีขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายคลึงกับ ชาวไทคำตี่ในรัฐอัสสัม และคล้ายคลึงกับชาวไทถิ่นต่างต่างๆ เช่า ไทคำยัง ไทพ่าเก และไทเหนือ เป็นต้น
คำตี่ในอินเดีย (สิงคะลิงคำตี่)[แก้]
- ประวัติชาวคำตี่ในอัสสัม
- ชาวคำตี่ในอัสสัม มีถิ่นเดิมอยู่ที่คำตี่หลวง ตอนเหนือของแม่น้ำอิรวดี ประเทศพม่าในปัจุจบัน สมัยพระเจ้าอลองพญา ดินแดนไทตอนเหนือถูกแยกไว้หลายส่วน ไทคำตี่จำนวนมากข้ามช่องเขาปาดไก่อพยพมาในอัสสัม ต่อมาในปี พ.ศ. 2336 ชาวคำตี่ได้ร่วมมือกับชาวกะชีนยึดอำนาจ เมืองซอดิยา ตั้งตนเป็นเจ้าเมืองแทน หากต่อยังสวามิภักษ์ต่อกษัตริย์อาหมเช่นเดียวกับเจ้าเมืองซอดิยาเดิม ครั้นอังกฤษยึดอัสสัมได้ไม่นานนัก ชาวคำตี่กับอังกฤษก็ขัดแย้งจนเกิดการปะทะกัน ทำให้พันเอกไวท์ ผู้บังคับการของอังกฤษเสียชีวิต อังกฤษจึงแยกคนไทออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ที่เดิม คือ จ้องคำ เมืองซอดิยา อีกส่วนอยู่ที่หม่านทิกรอง เมืองลัคคิมปุระเหนือ ซึ่งกันดารจนได้ชื่อว่าเกาะอันดามันแห่งที่สอง แต่เป็นกลุ่มพูดภาษาไทกลุ่มใหญ่ ที่เฉพาะใน ตำบลนายณปุระ ก็มีจำนวนรวมกันนับพันหลังคาเรือน และยังมีหมู่บ้านไทที่ใกล้หม่านทิกรองอีกมาก
- หนังสือปู่สอนหลานในอัสสัม
- ปู่สอนหลาน เป็นหนังสือไทเก่าแก่รวบรวมถ้อยคำมีคติน่ายึดถือโบราณเอาไว้ เช่น "มีลูกไม่รู้จักสอน ก็จะฉลาดแกมโกง หลอกลวงคนอื่น มีวัวควายไม่รู้จักเลี้ยง มันจะตายสิ้น มีเมียไม่รู้จักรัก ก็จะพรากจากกัน" "เรารักคนอื่น คนอื่นจะรักเรา สนใจคนอื่น คนอื่นจะยินดี"
- วัฒนธรรม ประเพณี และการละเล่นของคำตี่
- เด็กๆที่หม่านทิกรองมีการละเล่นคล้ายของไทย เช่น การเล่นสะบ้า ไล่จับ เล่นไพ่ เล่นลิงชิงหลัก งูกินหาง เป็นต้น ชาวคำตี่จะให้ความสำคัญเรื่องขวัญมาก มีประเพณีการทำขวัญต่างๆ ทั้งในโอกาสต่างๆ เช่น การทำขวัญข้าว การเรียกขวัญเมื่อคนเจ็บป่วย การทำขวัญเมื่อโกนผมไฟเด็กอ่อน ยังมีประเพณีเจรจากับผีเมื่อเด็กคลอดเหมือนของไทยเรา แต่ชาวคำตี่จะพูดหลังอาบน้ำให้เด็กเสร็จ ยังไม่ทันใส่เสื้อผ้า โดยพูดว่า "สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกใครเอาก็เอาแล้ว ห่มเสื้อห่มผ้าแล้วเอาไปไม่ได้
คำตี่ในไทย[แก้]
ชาวคำตี่ในไทยนั้นก็อพยพมาจากทางฝั่งพม่าเข้ามาทางฝั่งไทยและตั้งรกรากถิ่นฐานในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน และที่ชาวคำตี่อพยพมาทางฝั่งไทยเนื่องจากสภาพทางการเมืองของพม่าที่ผันผวน
ภาษาคำตี่นั้นเป็นภาษาตระกูลขร้า-ไท และภาษาคำตี่นี้ใกล้เคียงกับคำเมือง และภาษาถิ่นอีสานมารวมกัน และภาษาคำตี่นั้นมีคำศัพท์เก่าที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน เช่นอวัยวะส่วนต่างๆ สัตว์เลี้ยง พืช และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆซึ่งส่วนใหญ่เป็นศัพท์ไทเก่า ภาษาคำตี่มีพยัญชนะ 17 รูป สระเดี่ยว 14 เสียง สระผสม 2 เสียง และมีเสียงวรรณยุกต์ 6 เสียง ปัจจุบันภาษาคำตี่ในอินเดียนั้นถูกทำลายไปมาก เนื่องจากอิทธิพลทางภาษา สภาวะการน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องภาษาจนชาวคำตี่ที่อาศัยอยู่ในอินเดีย (ประชากร 24,000 คน) ส่วนใหญ่จะพูดภาษาอดิ 12,000 คน ขณะที่มีคนพูดภาษาคำตี่เพียง 8,700 คน และภาษาอัสสัมอีก 50 คน และส่วนใหญ่คนที่อ่านภาษาคำตี่ได้ก็มีน้อย แต่ยังมีคนพูดได้ แต่ส่วนชาวคำตี่ที่พม่า (ประชากร 72,000 คน) กลับตรงกันข้าม เพราะประชากรส่วนใหญ่ยังพูดภาษาคำตี่ได้ แต่บางท้องที่ได้หันไปพูดภาษาพม่าและภาษาจิ่งเผาะ
ศาสนา[แก้]
ชาวคำตี่ส่วนใหญ่จะเป็นพุทธศาสนิกชนนับถือศาสนาพุทธ และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทุกบ้านจะมีห้องพระทุกเช้าและเย็นจะมีการสวดมนต์ ซึ่งชาวคำตี่จะเรียกว่า "ไปพระ" เกือบทุกหมู่บ้านของชาวคำตี่จะมีวัด หรือ จอง มีศาลาปฏิบัติธรรมมีกุฏิที่พักสำหรับพระสงฆ์ สามเณร และแม่ชี ชาวคำตี่จะเรียกพระว่า "เจ้ามูล" เรียกเณรว่า "เจ้าซ่าง" และเรียกแม่ชีว่า "แม่ย่าชี" ชาวคำตี่นิยมนำบุตรหลานบวชเรียนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เพื่อศึกษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในแตกฉาน สามารถอ่านเทศน์ หรือสวดเป็นภาษาบาลีได้ ด้วยถือว่าวัดเป็นศูนย์กลางในการทำพิธีกรรม ประเพณี วัฒนธรรม และการเรียนรู้ พระจึงมีบทบาท และทำหน้าที่อย่างแท้จริง แต่ละรูปจะได้รับการฝึกฝนมายาวนาน ชาวคำตี่ในพม่าส่วนใหญ่จะนับถือพุทธศาสนา 99% ศาสนาดั้งเดิม-ผีสางนางไม้ 0.9% และศาสนาคริสต์ 0.1% ส่วนชาวคำตี่ในอินเดียนั้นนับถือพุทธศาสนา 66.64% ศาสนาฮินดู 24.59% และศาสนาคริสต์ 7.72%
|
---|
| กะฉิ่น (12) | | |
---|
| กะยา (9) | |
---|
| กะเหรี่ยง (11) | |
---|
| ชิน (53) | |
---|
| พม่า (9) | |
---|
| มอญ (1) | |
---|
| ยะไข่ (7) | |
---|
| ชาน (33) | |
---|
| อื่น ๆ |
|
---|
|