ครอบครัวของพระโคตมพุทธเจ้า

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระญาติวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายา

พระโคตมพุทธเจ้า ศาสดาของศาสนาพุทธ ประสูติในครอบครัวชั้นปกครองของแคว้นสักกะ เมื่อ 543 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ตามประวัติศาสตร์) หรือ 624 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ตามเอกสารพุทธ) มีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า สิทธัตถะ โคตมะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ เจ้าผู้ครองแคว้นสักกะ กับพระนางสิริมหามายา ธิดาของเจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ พระราชบิดาและพระราชชนนีเป็นเครือญาติกัน สืบมาแต่พระเจ้าโอกกากราช (Okkākarāj)[1] ดอนัลด์ เอส. โลเปซ (Donald S. Lopez) ศาสตราจารย์ด้านพุทธศาสนาและทิเบตศึกษา และริชาร์ด เอฟ. กอมบริช (Richard F. Gombrich) นักภารตวิทยาและนักวิชาการด้านภาษาบาลี-สันสกฤตและพุทธศึกษา อธิบายว่าช่วงเวลานั้นอิทธิพลของพระเวทไม่น่าจะเข้าถึงแคว้นทั้งสอง รวมทั้งการเสกสมรสในหมู่เครือญาตินั้นเป็นเรื่องต้องห้ามของสังคมอารยัน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าตระกูลทั้งสองนี้อาจมิได้สืบเชื้อสายชาวอารยัน[2]

สิริมหามายาสิ้นชีพหลังให้กำเนิดสิทธัตถะเพียงเจ็ดวัน ตามความเชื่อของศาสนาพุทธ ระบุว่าสิทธัตถะได้รับการทำนายจากพราหมณ์หลวงว่าเป็นมหาบุรุษ หากได้ปกครองก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หากออกบวชก็จักได้เป็นศาสดาเอก เพื่อให้สมดั่งคำทำนาย พระเจ้าสุทโธทนะจึงให้สิทธัตถะอยู่แต่ในรั้วในวัง ด้วยมุ่งหวังให้สิทธัตถะเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ โดยได้รับการดูแลจากพระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระมาตุจฉา ภายหลังได้เป็นมเหสีในพระเจ้าสุทโธทนะ และมีพระราชบุตรด้วยกันสองพระองค์

สิทธัตถะอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา ธิดาของเจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับสิทธัตถะ ทั้งสองมีพระโอรสด้วยกัน คือ พระราหุล

พุทธบิดาและพุทธมารดา[แก้]

สุทโธทนะ[แก้]

พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดพุทธบิดาจนบรรลุอรหันตผลและบรรลุนิพพาน[3]
พระนางสิริมหามายาให้ประสูติการพระบรมศาสดาด้วยการเหนี่ยวกิ่งสาละ

สุทโธทนะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสีหหนุ กับพระนางกัญจนา โดยสุทโธทนะดำรงตำแหน่งเป็น ราชา หรือเจ้าผู้ครองแบบคณาธิปไตยของแคว้นสักกะซึ่งมาจากการคัดเลือกโดยชนชั้นสูง[4][5][6][7] สุทโธทนะไม่มีอำนาจการปกครองแบบเผด็จการ และอาจใช้ฉันทามติในสภาสำหรับการตัดสินใจ[8] สอดคล้องกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอธิบายไว้ว่า "...เมื่อกิจเกิดขึ้นเช่นการสงครามเป็นต้น เจ้าเหล่านั้นก็ประชุมกันปรึกษาแล้ว ช่วยกันจัดตามควร..."[9] ในช่วงเวลาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูตินั้น สักกะเป็นรัฐขนาดน้อยที่ตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโกศลซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า[10][11]

สุทโธทนะอภิเษกสมรสครั้งแรกกับพระนางสิริมหามายา ธิดาเจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ เมื่อมีพระชนมายุได้ 16 พรรษา หลังอภิเษกสมรสมา 20 ปี มีพระราชโอรส คือ สิทธัตถะ หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระนางสิริมหามายาเสวยทิวงคตไป ก็ได้อภิเษกสมรสอีกครั้งกับพระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระขนิษฐาร่วมพระชนกชนนีของพระนางสิริมหามายา[12] มีพระราชบุตรด้วยกันสองพระองค์ คือ พระนันทะ และพระรูปนันทา ซึ่งออกบวชเป็นสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์[13]

สิริมหามายา[แก้]

สิริมหามายา หรือมายา[14] เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอัญชนะ กับพระนางยโสธรา ในครอบครัวของเจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ มายาอภิเษกสมรสกับสุทโธทนะซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องตามพระราชประเพณี[1] หลังการอภิเษกสมรสมา 20 ปี จึงให้ประสูติกาลสิทธัตถะ และเสวยทิวงคตหลังประสูติเพียงเจ็ดวันเท่านั้น อรรถกถาอัปปายุกาสูตร ระบุว่าแต่เดิมพระนางสิริมหามายาเป็นเทพบุตรอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต แต่ได้อธิษฐานขอเป็นพุทธมารดา ชาตินี้จึงประสูติมาเป็นสตรี ทั้งได้ขอมีพระชนม์เพียงเจ็ดวันหลังประสูติกาล เพราะสงวนพระครรภ์ไว้แก่พระโพธิสัตว์เพียงพระองค์เดียว[15] และเพื่ออยู่เชยชมพระโฉมพระโพธิสัตว์ ก่อนเสด็จสวรรคตกลับไปจุติบนสวรรค์ชั้นดุสิต[16]

มหาปชาบดี[แก้]

มหาปชาบดีโคตมี เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอัญชนะ กับพระนางยโสธรา ในครอบครัวของเจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ เป็นพระขนิษฐาร่วมพระชนกชนนีของสิริมหามายา หลังการทิวงคตของสิริมหามายา มหาปชาบดีโคตมีผู้มีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉา (น้า) จึงถวายการอภิบาลสิทธัตถะมาโดยตลอด[17] กระทั่งสุทโธทนะจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับมหาปชาบดีโคตมี ท่านจึงมีศักดิ์เป็นพระวิมาดาหรือแม่เลี้ยงของพระพุทธเจ้าอีกตำแหน่งหนึ่ง[18] พระมหาปชาบดีโคตมีมีพระราชบุตรด้วยกันสองพระองค์ คือ พระนันทะ และพระรูปนันทา ซึ่งทั้งสองถือเป็นพระอนุชาและพระขนิษฐาต่างพระชนนีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า[19] ในเวลาต่อมามหาปชาบดีโคตมีได้ออกบวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา[18][20] ในเอกสารพุทธให้ข้อมูลว่ามหาปชาบดีโคตมีมีอายุยืนนานถึง 120 ปี[21]

ครอบครัว[แก้]

ยโสธรา[แก้]

พระพุทธเจ้ากำลังออกจากพระราชวังเมื่อยโสธราและราหุลกำลังบรรทม

ยโสธรา บางแห่งเรียก ภัททา กัจจานา[22] หรือ พิมพา[23] เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ กับพระนางอมิตา ในครอบครัวของเจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ[24][25] มีพระเชษฐาคือพระเทวทัต[26][27] ยโสธรามีศักดิ์เป็นพระภาติยะของสิริมหามายาและมหาปชาบดีโคตมี อีกทั้งยังประสูติในวันและเวลาเดียวกันกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับเป็นหนึ่งในสหชาติ 7[28][29] กล่าวกันว่ายโสธรามีพระสิริโฉมงดงาม มีสรีระและผิวพรรณงามดุจทองคำชั้นดีที่สุด แม้เจ้าหญิงรูปนันทาซึ่งเป็นพระญาติจะทรงงามจนได้สมญาว่าชนบทกัลยาณี ก็ยังงามไม่เทียมเท่า[30] ยโสธราเสกสมรสกับสิทธัตถะเมื่อพระชันษา 16 ปี ประทับร่วมพระสวามีในปราสาทสามหลังที่ได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม เพื่อเป็นที่ประทับในสามฤดู ห้อมล้อมบำเรอด้วยหญิงงามประโคมดนตรี เสวยสุขทั้งกลางวันและกลางคืน[23] ยโสธราประสูติกาลพระโอรสเพียงพระองค์เดียว คือ ราหุล เมื่อมีพระชันษา 29 ปี[23] หลังประสูติกาลเพียงเจ็ดวัน สิทธัตถะก็ออกไปผนวช เมื่อยโสธราทราบว่าสิทธัตถะออกผนวชแล้ว ก็เปลี่ยนไปใช้ชีวิตอย่างสมถะตามอย่างพุทธองค์[31]

ครั้นเมื่อสุทโธทนะสวรรคตล่วงไปแล้ว พระมหาปชาบดีจึงออกผนวช ยโสธราก็เห็นดีด้วยจึงออกผนวชเป็นภิกษุณี พร้อมกับบริจาคทรัพย์สินที่มีทั้งหมด[32] ยโสธราเคยทูลพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรของพระองค์ก่อนนิพพานไว้ว่า "...ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันยอมรับทุกข์ทรมาน มากมายหลายอย่างจนนับไม่ถ้วน ในสงสารเป็นอเนก ก็เพื่อประโยชน์แก่พระองค์..." และ "...ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันได้รับสุขก็อนุโมทนา และคราวที่ได้รับทุกข์ก็ไม่เสียใจ เป็นผู้ยินดีแล้วทุกอย่าง เพื่อประโยชน์แก่พระองค์..."[32]

ยโสธรานิพพานราวสองปีก่อนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน[32][30]

ราหุล[แก้]

ราหุล เป็นพระโอรสเพียงคนเดียวของสิทธัตถะ (ต่อมาคือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) กับยโสธรา พระนามปรากฏในเอกสารพุทธยุคต้น[33][34] ราหุลถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่สิทธัตถะตัดสินใจที่จะออกผนวช จึงให้นามว่า ราหุล แปลว่า "บ่วง" ที่ร้อยรัดมิให้พุทธองค์ตรัสรู้[35][36] เมื่อราหุลมีอายุได้ 7 ปี[36] หรือ 15 ปี[37] ก็ได้พบกับพระพุทธเจ้าที่เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ ราหุลได้ออกบวชเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา[35] พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนในเรื่อง ความจริงแท้ การสะท้อนตนเอง[36] และอนัตตา[38] จนราหุลบรรลุธรรม[39][40]

เอกสารพุทธยุคต้นระบุว่าราหุลนิพพานก่อนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน[35] บางเอกสารก็ว่าราหุลมีชีวิตอยู่และคอยดูแลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนกระทั่งเสด็จดับขันธปรินิพพาน[41] ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนามักกล่าวยกย่องราหุลเรื่องการใฝ่รู้ จึงได้รับเกียรติจากภิกษุและภิกษุณีมาโดยตลอด[42] เรื่องราวของราหุลทำให้ทราบได้ว่า ศาสนาพุทธเล็งเห็นศักยภาพของเยาวชนว่าสามารถบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกันกับผู้ใหญ่[43]

พระอนุชาและพระขนิษฐา[แก้]

นันทะ[แก้]

นันทะ เป็นพระราชโอรสของสุทโธทนะกับมหาปชาบดีโคตมี มีพระขนิษฐาร่วมพระชนกชนนีคือ นันทา หรือ รูปนันทา และเป็นพระอนุชาต่างพระชนนีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ นันทะก็ออกผนวชด้วย ในเวลาต่อมานันทะหลงใหลนันทาสากิยานี น้องสาวของตนเอง ผู้ได้รับสมญานามว่า ชนบทกัลยาณี จึงทูลขอลาสิกขาบทกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงดึงแขนแล้วสั่งสอนจนนันทะรู้แจ้งและบรรลุอรหันตผล[44]

นันทา[แก้]

นันทา บ้างเรียก รูปนันทา หรือ สุนทรีนันทา เป็นพระราชธิดาของสุทโธทนะกับปชาบดีโคตมี มีพระเชษฐาร่วมพระชนกชนนีคือ นันทะ และเป็นพระขนิษฐาต่างพระชนนีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธอได้รับการยกย่องจากเครือญาติว่าเป็นหญิงงาม และได้รับสมญานามว่า ชนบทกัลยาณี นันทาออกผนวชเป็นภิกษุณีเพียงเพราะความรักในเครือญาติหาได้เกิดจากความความศรัทธาในพระศาสนา[45] ด้วยเหตุนี้เธอจึงหลงใหลในรูปโฉมโนมพรรณขอตนเองแม้จะอยู่ในเพศบรรพชิตก็ตาม[46] นอกจากนี้นันทายังหลีกเลี่ยงที่จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเกรงว่าจะถูกตำหนิ[47][48] สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมให้นันทาเห็นหญิงงามสังขารไม่เที่ยง จนบรรลุอรหันตผลหลังการเพ่งฌาน ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงยกย่องเธอให้เป็น "ผู้เป็นเลิศในการเพ่งฌาน"[46][48]

เครือญาติ[แก้]

ฝ่ายพุทธบิดา[แก้]

กัญจนา[แก้]

กัญจนา เป็นพระราชธิดาของเทวทหสักกะ เจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ เป็นพระขนิษฐาของอัญชนะ เจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะลำดับถัดมา ด้วยเหตุนี้นางจึงมีศักดิ์เป็นพระปิตุจฉา (อา) ของสิริมหามายา และมหาปชาบดีโคตมี กัญจนาอภิเษกสมรสกับสีหหนุ เจ้าผู้ครองแคว้นสักกะ มีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกัน 7 พระองค์ ได้แก่ สุทโธทนะ สุกโกทนะ อมิโตทนะ โธโตทนะ ฆนิโตทนะ ปมิตา และอมิตา กัญจนาจึงเป็นพระอัยยิกาฝ่ายพระชนก (ย่า) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า[1]

กาฬิโคธา[แก้]

กาฬิโคธา เป็นนางสากิยานีแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ไม่ปรากฏนามบรรพชน ทราบแต่เพียงว่าเป็นพระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมทั้งไม่ปรากฏนามของสามี นางมีบุตรคนหนึ่งชื่อ ภัททิยะ ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นราชาหรือเจ้าผู้ครองแคว้นสักกะ แต่ภายหลังได้สละตำแหน่งเพื่อออกบวชในพระพุทธศาสนา[49] ใน กาฬิโคธาสูตร ระบุว่านางมีความศรัทธาในพระบรมศาสดาอย่างยิ่ง มีอุปนิสัยดี ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว มักบริจาคทานอยู่เป็นนิจศีล ซึ่งนางกาฬิโคธามีธรรมเหล่านั้นอยู่กับตัว พระพุทธองค์กล่าวชมเชยว่านางเป็นโสดาบัน และเข้าถึงการตรัสรู้ได้เป็นแน่[50][51]

กิมพิละ[แก้]

เจ้าชายสักกะและโกลิยะทั้งห้าพระองค์ขอบวชกับพระพุทธเจ้าที่แคว้นมัลละ
พุทธองค์ขณะเสด็จออกจากพระนิเวศน์
ม้ากัณฑกะและนางฟ้อนที่กำลังหลับไหล
พระพุทธเจ้าขณะแสดงธรรมต่อหน้าพระสงฆ์และสาวก

กิมพิละ เป็นพระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนกของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ปรากฏข้อมูลว่าเป็นบุตรของใคร หลังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดญาติที่เมืองกบิลพัสดุ์ อุนุรุทธะได้ชักชวนกิมพิละออกบวชตามเสด็จพระบรมศาสดา โดยมีผู้ออกบวชด้วยพร้อมกัน ได้แก่ ภัททิยะ อุนุรุทธะ ภัคคุ อานนท์ เทวทัต และอุบาลีชาวภูษามาลา[52][53] เมื่อสิ้นสุดพรมแดนแคว้นสักกะแล้ว เหล่าเจ้าชายทั้งห้าก็เปลื้องเครื่องประดับมีค่าออก มอบให้อุบาลีนำไปขาย แต่อุบาลีไม่ยินยอมขอออกบวชด้วย ทั้งหมดจึงทิ้งเครื่องประดับเหล่านั้นไว้ใต้ต้นไม้ แล้วเดินทางขอบวชกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิมพิละมุ่งบำเพ็ญเพียรวิปัสสนากรรมฐานจนบรรลุพระอรหันต์[54][55]

กิสาโคตมี[แก้]

กิสาโคตมี เป็นพระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนกของพระพุทธเจ้า ทราบว่ามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นพระธิดาของพระเจ้าอาแต่ไม่ปรากฏพระนามว่าเป็นพระองค์ใด[56] (คนละท่านกับกีสาโคตมีผู้ภิกษุณี)[57] นางเสกสมรสกับสุกโกทนะ พระอนุชาของสุทโธทนะ มีพระโอรสด้วยกันเพียงพระองค์เดียวคือ อานนท์[58] กิสาโคตมีปรากฏในพุทธประวัติช่วงต้น ว่าหลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพบกับเทวทูตและเสด็จกลับไปยังพระนครในช่วงเย็น ก็สดับพระคาถาที่กิสาโคตมีภาษิตไว้ว่า[56]

พระราชกุมารผู้เช่นนี้ เป็นพระราชโอรสแห่งพระชนนี
พระชนก และเป็นพระสวามีของนางใด ๆ พระชนนี
พระชนก และพระนางนั้น ๆ ดับ (เย็นใจ) แน่แล้ว

หลังสดับภาษิตดังกล่าวแล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเปลื้องแก้วมุกดาหารที่พระศอ ส่งประทานแก่กิสาโคตมี แล้วกลับไปที่ประทับ ในคืนนั้นเอง พระองค์เกิดความเบื่อหน่ายเมื่อทอดพระเนตรนางฟ้อนที่กำลังหลับไหลด้วยท่าทางแปลก ๆ จึงเสด็จออกพร้อมฉันนะและม้ากัณฑกะ แล้วออกผนวชริมฝั่งแม่น้ำอโนมา[56]

นันทิยะ[แก้]

นันทิยะ เป็นพระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนกของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ปรากฏข้อมูลว่าเป็นบุตรของใคร เคยเข้าไปสนทนาธรรมกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า[59]

นาคมณฑา[แก้]

นาคมณฑา หรือ นาคบุณฑา เป็นนางทาสีซึ่งถือเป็นหญิงชั้นต่ำ นางตั้งครรภ์กับมหานามะ เจ้าผู้ครองแคว้นสักกะ มีธิดาด้วยกันคนเดียว คือ วาสภขัตติยา ผู้มีรูปโฉมงดงาม อย่างไรก็ตามทั้งนาคมณฑา วาสภขัตติยา และวิฑูฑภะ ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน ต่างถูกเลือกปฏิบัติอันเกิดจากการแบ่งชั้นวรรณะในเครือญาติศากยวงศ์[60][61][62]

ภัคคุ[แก้]

ภัคคุ หรือ ภคุ เป็นพระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนกของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ปรากฏข้อมูลว่าเป็นบุตรของใคร หลังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดญาติที่เมืองกบิลพัสดุ์ อุนุรุทธะได้ชักชวนภัคคุออกบวชตามเสด็จพระบรมศาสดา โดยมีผู้ออกบวชด้วยพร้อมกัน ได้แก่ ภัททิยะ อุนุรุทธะ กิมพิละ อานนท์ เทวทัต และอุบาลีชาวภูษามาลา[52] พระพุทธเจ้าเคยให้การชื่นชมการอยู่โดดเดี่ยวของภัคคุ[53]

ภัททิยะ[แก้]

ภัททิยะ หรือ ภัททิยกาฬิโคธาบุตร ชนนีเป็นพระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนกของพระพุทธเจ้าแต่ไม่ปรากฏนามของบรรพชน[63] เป็นพระโอรสของนางกาฬิโคธา หญิงในวงศ์สักกะ แต่ไม่ปรากฎนามบิดา เมื่อจำเริญวัยภัททิยะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นราชาหรือเจ้าผู้ครองของแคว้นสักกะ กระทั่งอนุรุทธะชี้ชวนให้ภัททิยะออกบวชด้วย เบื้องต้นภัททิยะไม่พอใจที่จะบวช แต่ก็ตัดใจยอมบวช โดยสละตำแหน่งราชาของตน[49] แล้วออกบวชพร้อมกับอุนุรุทธะ ภัคคุ กิมพิละ อานนท์ เทวทัต และอุบาลีชาวภูษามาลา[52][53] ทว่าเมื่อบวชแล้วภัททิยะก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้อย่างรวดเร็ว ครั้นเมื่อบำเพ็ญพรตในป่า ภัททิยะมักกล่าวว่า "สุขหนอ ๆ" อยู่เป็นนิจศีล จนพระบรมศาสดาเปล่งวาจาชมเชย[49]

มหานามะ[แก้]

มหานามะ หรือ มหานาม[64] เป็นพระโอรสของอมิโตทนะ[65] (บางแห่งว่าสุกโกทนะ)[66][67] พระอนุชาของสุทโธทนะ เขามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มหานามะมีพระอนุชาคือ อนุรุทธะ และพระขนิษฐาคือ โรหิณี[58] มหานามะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นราชาของแคว้นสักกะ[64] เขามีพระธิดากับนางทาสีชื่อนาคมณฑา คือ วาสภขัตติยา ซึ่งต่อมาได้อภิเษกสมรสเป็นพระอัครมเหสีของปเสนทิโกศล กษัตริย์แห่งอาณาจักรโกศล[68] มหานามแม้จะไม่ได้ออกผนวช แต่ก็เป็นอุบาสกที่มีศรัทธาแก่กล้า ด้วยเป็นเอตทัคคะด้านการถวายของประณีต[64]

โรหิณี[แก้]

โรหิณี เป็นนางสากิยานีแห่งกบิลพัสดุ์ เป็นพระธิดาของอมิโตทนะ[58] (บางแห่งว่าสุกโกทนะ)[66][67] พระอนุชาของสุทโธทนะ นางมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางเป็นขนิษฐาของมหานามะ และอนุรุทธะ[58] โรหิณีประชวรด้วยโรคผิวหนังจึงละอายพระทัยไม่ออกนอกพระตำหนัก นางทำได้เพียงแต่นำเครื่องประดับอันมีค่าของตนออกขายแล้วนำเงินนั้นมาทำบุญแก่พระพุทธศาสนาเพื่อสร้างโรงฉันและภัตตาหาร พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมแก่โรหิณีและผู้คนว่าให้พึงระงับความโกรธลง[69] หลังจากนั้นนางบรรลุถึงโสดาบัน และผิวพรรณที่เคยป่วยโรคนั้นก็กลับมางดงามดุจทองคำ[70][71][72]

วัปปะ[แก้]

วัปปะ เป็นพระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนกของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ปรากฏข้อมูลว่าเป็นบุตรของใคร ทราบแต่เพียงว่ามีศักดิ์เป็นอาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดิมเป็นสาวกนิครันถ์ ได้เข้าไปสนทนาธรรมกับพระมหาโมคคัลลานะ แต่เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เข้าไปอธิบายธรรม วัปปะก็บรรลุธรรมและเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ[73]

วาสภขัตติยา[แก้]

วาสภขัตติยา เป็นนางสากิยานีแห่งกบิลพัสดุ์ เป็นพระธิดาของมหานามะ ที่ประสูติแต่นางนาคมณฑา ซึ่งเป็นนางทาสี[74][75] แม้จะเกิดแต่มารดาสกุลต่ำแต่ก็มีรูปงาม แต่เพราะมีมารดาเป็นนางทาสีนี้เองที่ทำให้ศากยวงศ์ล้วนรังเกียจเดียดฉันท์นาง[60][62] เมื่อวาสภขัตติยามีพระชันษาได้ 16 ปี ก็ได้เข้าเป็นพระอัครมเหสีของปเสนทิโกศล กษัตริย์แห่งโกศล[62][68] มีพระราชโอรสด้วยกันพระองค์หนึ่งคือ วิฑูฑภะ หรือ วิฏฏุภะ ครั้นเมื่อปเสนทิโกศลทราบว่าวาสภขัตติยามีมารดาเป็นทาสีจึงปลดนางออกจากตำแหน่ง รวมทั้งปลดวิฑูฑภะออกด้วยเช่นกัน แต่ทั้งสองยังคงประทับอยู่ในพระราชวังของปเสนทิโกศล[61]

วิฑูฑภะ[แก้]

วิฑูฑภะ เป็นพระราชโอรสของปเสนทิโกศล กับวาสภขัตติยา ด้วยความที่มีพระราชชนนีสืบสันดานจากทาสจึงทำให้เขาถูกรังเกียจเดียดฉันท์ทั้งจากเครือญาติศากยวงศ์ที่ไม่ร่วมสนิทสมาคม[60][76] หรือแม้แต่พระราชชนกที่เคยปลดพระองค์และวาสภขัตติยาออกจากตำแหน่งมาแล้ว[61] ต่อมาเมื่อวิฑูฑภะขึ้นเสวยราชสมบัติอาณาจักรโกศลแล้ว หลังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ไม่นาน วิฑูฑภะได้กรีฑาทัพไปตีแคว้นสักกะและโกลิยะ เอกสารพุทธอธิบายว่าวิฑูฑภะไปฆ่าล้างวงศ์ด้วยการเชือดคอแล้วนำเลือดของพวกศากยะมาล้างไม้กระดาน ด้วยผูกใจเจ็บว่าพวกศากยะเคยนำน้ำเจือน้ำนมมาล้างไม้กระดานที่พระองค์และวาสภขัตติยะเคยนั่ง[60] ซึ่งในความเป็นจริง การรุกรานดังกล่าวอาจเกิดจากการอ้างสิทธิเหนือดินแดนของวาสภขัตติยาผู้ชนนี จึงกลายเป็นแรงจูงใจให้วิฑูฑภะยกทัพไปตีดินแดนทั้งสอง แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชาวสักกะได้ถูกผนวกเข้าเป็นประชากรของอาณาจักรโกศล มีบางครอบครัวที่ยังรักษาอัตลักษณ์ของตระกูลศากยะไว้ได้ ขณะที่ชาวโกลิยะเองกลับถูกกลืนไปจนหมดสิ้นหลังการผนวกดินแดน[77][78]

สรกานิ[แก้]

สรกานิ เป็นพระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนกของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ปรากฏข้อมูลว่าเป็นบุตรของใคร สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยทำนายไว้ว่าจะได้ไปเกิดเป็นโสดาบัน และจะตรัสรู้ได้ในเบื้องหน้า[79] เพราะแต่เดิมสรกานิโปรดเสวยน้ำจัณฑ์ และเพิ่งสมาทานศาสนาพุทธก่อนที่จะสิ้นพระชนม์[80] มหานามะและเจ้าศากยวงศ์พระองค์อื่นมองว่าสรกานิยังไม่บริบูรณ์ในสิกขา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตัดสินว่า สรกานิเป็นผู้บริบูรณ์ในสิกขาในเวลาจะสิ้นพระชนม์[79]

สีหหนุ[แก้]

สีหหนุ เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นสักกะ เป็นพระราชโอรสของชัยเสน เจ้าผู้คนแคว้นสักกะองค์ก่อน สีหหนุอภิเษกสมรสกับกัญจนา พระราชธิดาเจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ มีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกัน 7 พระองค์ ได้แก่ สุทโธทนะ สุกโกทนะ อมิโตทนะ โธโตทนะ ฆนิโตทนะ ปมิตา และอมิตา สีหหนุจึงเป็นพระอัยกาฝ่ายพระชนก (ปู่) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า[1]

สุกโกทนะ[แก้]

สุกโกทนะ เป็นพระราชโอรสลำดับที่สองของสีหหนุกับกัญจนา เป็นพระอนุชาของสุทโธทนะ และเป็นพระปิตุลา (อา) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุกโกทนะเสกสมรสกับนางกิสาโคตมี มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคนคือ อานนท์[1][58] แต่บางเอกสารระบุว่ามหานามะ อนุรุทธะ กับโรหิณี เป็นพระบุตรของสุกโกทนะ[66][67]

อนุรุทธะ[แก้]

อนุรุทธะ เป็นพระราชโอรสของอมิโตทนะ[65] (บางแห่งว่าสุกโกทนะ)[66][67] พระอนุชาของสุทโธทนะ อนุรุทธะมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระเชษฐาคือมหานามะ และมีพระขนิษฐาคือโรหิณี[58] อนุรุทธะเพียบพร้อมด้วยทรัพย์สินศฤงคารและบริวาร เขามีปราสาทสามหลัง แต่ละหลังใช้พำนักในสามฤดู[81]

จากความสะดวกสบายดังกล่าว มหานามะผู้เชษฐาได้ชักชวนให้อนุรุทธะออกบวช เบื้องต้นอนุรุทธะปฏิเสธอย่างแข็งขันเพราะตนนั้นรักสบาย มหานามะจึงให้ผู้อนุชาเรียนการครองเรือนเสียก่อน คือการทำนา แต่อนุรุทธะเบื่อหน่ายการเรือนจึงขอออกบวชเสียดีกว่า แต่มารดาก็ทัดทานไว้ตลอด อนุรุทธะได้ชวนให้ภัททิยะออกบวชเป็นเพื่อน แต่ภัททิยะก็ปฏิเสธเรื่อยมา ที่สุดภัททิยะมิอาจทนการรบเร้าของอนุรุทธะไม่ไหวจึงออกบวชด้วย พร้อมกับญาติวงศ์แห่งสักกะ ได้แก่ กิมพิละ ภัคคุ อานนท์ และเทวทัต รวมเดินทางไปขอบวชกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุปิยนิคม แคว้นมัลละ อนุรุทธะได้ศึกษาธรรมกับพระสารีบุตร และได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุอรหันต์[81]

อมิตา[แก้]

อมิตา เป็นพระราชธิดาของสีหหนุกับกัญจนา และเป็นพระขนิษฐาของสุทโธทนะ จึงมีศักดิ์เป็นพระปิตุจฉา (อา) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อมิตาอภิเษกสมรสกับสุปปพุทธะ เจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ มีพระราชบุตรด้วยกันสองพระองค์ คือ เทวทัต และยโสธรา ซึ่งต่อมายโสธราได้อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อมิตาจึงมีศักดิ์เป็นพระสัสสุ (แม่ยาย) ของพุทธองค์[1] แต่เอกสารบางแห่งระบุว่านางมีโอรสคนเดียวคือ ติสสะ ซึ่งภายหลังได้ออกบวชเป็นภิกษุ[82]

อมิโตทนะ[แก้]

อมิโตทนะ เป็นพระราชโอรสลำดับที่สามของสีหหนุกับกัญจนา เป็นพระอนุชาของสุทโธทนะ และเป็นพระปิตุลา (อา) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระบุตรสามพระองค์ คือ มหานามะ อนุรุทธะ และโรหิณี[1][58] แต่บางเอกสารกลับระบุว่าอมิโตทนะเป็นบิดาของอานนท์[83]

อานนท์[แก้]

รูปปั้นส่วนพระเศียรของอานนท์ ศิลปะจีนยุคราชวงศ์ฉีเหนือ

อานนท์ หรือ อานันทะ[84] เป็นพระโอรสของสุกโกทนะ กับกีสาโคตมี[58][85][86] บิดาของอานนท์เป็นพระอนุชาของสุทโธทนะ อานนท์จึงเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระพุทธเจ้าเมื่อนับจากฝ่ายบิดา[87] ทังยังเกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า จึงนับว่าเป็นหนึ่งในสหชาติ 7[88] อานนท์เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเมื่อคราวที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงธรรมที่เมืองกบิลพัสดุ์ ครั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จออกไปแสดงธรรมที่เมืองอื่น อานนท์จึงขอออกบวชเพื่อตามเสด็จ[89]

อานนท์มีความสำคัญในฐานะหนึ่งในสิบอัครสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า[90] ทั้งยังโดดเด่นเรื่องความจำเป็นเลิศ[91] เนื้อหาของ สุตตันตปิฎก ส่วนใหญ่มาจากการระลึกถึงคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการสังคายนาครั้งแรก[87] ด้วยเหตุนี้อานนท์จึงได้รับการยกย่องว่าเป็น "คลังของพระธรรม"[92] ยี่สิบปีของการออกผนวชเพื่อรับใช้พระศาสนา อานนท์ทำงานอย่างเอาใจใส่และจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง[93] โดยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระพุทธเจ้า ฆราวาส และคณะสงฆ์[94][95] อานนท์ติดตามรับใช้พระพุทธเจ้าทุกหนแห่ง ทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นเลขานุการและเป็นกระบอกเสียงแทนพระพุทธเจ้า[96] นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในการวางรากฐานระบบการบวชภิกษุณีอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการทูลขอพุทธานุญาตแทนมหาปชาบดีโคตมีให้สามารถอุปสมบทเป็นภิกษุณีได้[97][98] และในช่วงการเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานนท์แสดงออกถึงความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง[99]

ริชาร์ด แวกเนอร์ (Richard Wagner) นักแต่งเพลง ได้นำเรื่องราวของอานนท์มาร่างเป็นบทเพลง ต่อมาโจนาทาน ฮาร์วีย์ (Jonathan Harvey) ได้นำบทเพลงดังกล่าวไปจัดเป็นการแสดงโอเปราใช้ชื่อว่า แวกเนอร์ดรีม เมื่อ ค.ศ. 2007[100]

ฝ่ายพุทธมารดา[แก้]

เทวทัต[แก้]

จิตรกรรมรูปเทวทัตกำลังชี้นิ้วสั่งช้างนาฬาคิรีให้ไปทำร้ายพระพุทธเจ้า

เทวทัต หรือสะกดว่า เทวทัตต์[84] เป็นพระราชโอรสของสุปปพุทธะกับอมิตา เป็นพระเชษฐาของยโสธรา และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัตออกบวชจากการชักชวนของอนุรุทธะ เจ้าศากยวงศ์ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง โดยมีผู้ออกบวชด้วยพร้อมกัน ได้แก่ กิมพิละ ภัททิยะ ภัคคุ อานนท์ และอุบาลีชาวภูษามาลา[52][53] ซึ่งในกาลต่อมาผู้ที่บวชพร้อมกับเทวทัตล้วนแต่บรรลุอรหันตผลไปแล้ว แต่เทวทัตทำได้เพียงโลกิยสมาบัติเท่านั้น เทวทัตได้กระทำการชั่วช้าหลายครั้ง ได้แก่ การยุยงให้อชาติศัตรูกระทำปิตุฆาตพิมพิสารแล้วปราบดาภิเษก ส่งช้างนาฬาคิรีซึ่งตกมันไปยังพุทธองค์ที่กำลังบิณฑบาต จ้างพลธนู 10 ผลัดลอบยิงพุทธองค์ และกลิ้งหินลงจากหน้าผาเขาคิชฌกูฏใส่พระพุทธเจ้า แต่พุทธองค์กลับถูกสะเก็ดหินทำให้พระองค์เป็นห้อที่ข้อพระบาท[101][102] นอกจากนี้ยังตั้งตัวเป็นศาสดาแทนพระผู้มีพระภาคเจ้า รวมทั้งก่อให้เกิดสังฆเภท[103][104]

แม้เทวทัตจะสำนึกตนที่ทำชั่วต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในช่วงบั้นปลายของชีวิต ขณะที่เทวทัตกำลังเดินไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อขออภัยที่วัดเชตวันมหาวิหาร แต่เทวทัตกลับถูกธรณีสูบบริเวณหน้าวัดเสียก่อน[105]

สีวลี[แก้]

สีวลี หรือ สีวลิ[106] เป็นพระโอรสของสุปปวาสา พระราชโกฬิยธิดาของเจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะซึ่งไม่ได้ระบุพระนามของราชา และไม่ได้ระบุนามของบิดา เอกสารพุทธระบุว่าสุปปวาสาตั้งครรภ์สีวลีนานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เมื่อสีวลีจำเริญวัยขึ้นก็ได้ออกบวชในสำนักของพระสารีบุตร เอกสารระบุอีกว่าบรรลุอรหันตผลขณะกำลังปลงผมบวช[107] สีวลีมีชื่อเสียงว่าเป็นเอตทัคคะด้านผู้มีลาภมาก[108]

สุปปพุทธะ[แก้]

สุปปพุทธะ เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ เป็นพระราชโอรสของอัญชนะกับยโสธรา เขาอภิเษกสมรสกับอมิตา พระราชธิดาของสีหหนุแห่งสักกะ ทั้งสองมีพระราชบุตรด้วยกันสองพระองค์คือ เทวทัต และยโสธรา ต่อมายโสธราได้อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้สุปปพุทธะจึงมีฐานะเป็นสัสสุระ (พ่อตา) ของพระผู้มีพระภาคเจ้า[1] สุปปพุทธะผูกใจเจ็บกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงทอดทิ้งยโสธราให้เป็นม่าย และยังผูกเวรกับเทวทัตจนถูกธรณีสูบ สุปปพุทธะเสวยน้ำจัณฑ์แล้วไปขวางทางพระพุทธเจ้ามิให้เสด็จออกไปจากปราสาทเพื่อเผยแผ่คำสอน หลังจากนั้นเจ็ดวันสุปปพุทธก็ถูกธรณีสูบเช่นเดียวกับเทวทัต[109]

อัญชนะ[แก้]

อัญชนะ เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นโกลิยะ เป็นพระราชโอรสของเทวทหสักกะ เขาอภิเษกสมรสกับยโสธรา พระราชธิดาของชัยเสนแห่งสักกะ มีพระราชบุตรด้วยกันสี่พระองค์ ได้แก่ สุปปพุทธะ ทัณฑปาณิ สิริทหามายา และมหาปชาบดีโคตมี ด้วยเหตุนี้อัญชนะจึงเป็นพระอัยกาฝ่ายพระชนนี (ตา) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า[1]

อ้างอิง[แก้]

เชิงอรรถ[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 1.8 ดาวสยาม วชิรปัญโญ, พระมหา. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย. กรุงเทพ : เม็ดทรายพริ้นติ้ง, พิมพ์ครั้งที่ 2, หน้า 27-31
  2. อดิเทพ พันธ์ทอง (20 พฤษภาคม 2559). "พุทธประวัตินอกกระแส (ในไทย): "สิทธัตถะ" เกิดในสังคมแบบชนเผ่า ไม่ได้ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  3. "ประติมากรรมดินเผารูป พระเจ้าสุทโธทนะ". สำนักการสังคีต กรมศิลปากร. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  4. Gombrich, 1988, pp. 49-50
  5. Batchelor, Stephen (2015). After Buddhism: Rethinking the Dharma for a Secular Age. Yale University Press. pp. 37. ISBN 978-0300205183.
  6. Schumann, H.W. (2016). Historical Buddha (New ed.). Motilal Banarsidass. pp. 17–18. ISBN 978-8120818170.
  7. Hirakawa, 2007, p. 21
  8. Schumann, 2016, p. 18
  9. พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 127
  10. Walshe, Maurice (1995). The Long Discourses of the Buddha: A Translation of the Digha Nikaya (PDF). Wisdom Publications. p. 409. ISBN 0-86171-103-3.
  11. Batchelor, Stephen (2015). After Buddhism. Yale University Press. pp. Chapter 2, Section 2, 7th paragraph. ISBN 978-0-300-20518-3.
  12. Schumann, H.W. (2016). Historical Buddha: The Times, Life and Teachings of the Founder of Buddhism. Motilal Banarsidass. p. 24. ISBN 978-8120818170.
  13. Dictionary of Buddhism, Keown, Oxford University Press, ISBN 0-19-860560-9
  14. พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 11
  15. "ทำไมหลังจากพระนางสิริมหามายาประสูติพระราชโอรสแล้วจึงมีพระชนชีพอยู่ต่อมาได้เพียง 7 วัน". วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-07-18. สืบค้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  16. "อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน โสณเถรวรรคที่ ๕ อัปปายุกาสูตร". ภิกษุณี เอตทัคคะ 84000. สืบค้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  17. "Maha Pajapati Gotami". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-28. สืบค้นเมื่อ 2010-11-07.
  18. 18.0 18.1 The Life of the Buddha: (Part Two) The Order of Nuns
  19. พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 13
  20. "A New Possibility". Congress-on-buddhist-women.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-28. สืบค้นเมื่อ 2010-11-19.
  21. Dhammadharini: Going Forth & Going Out ~ the Parinibbana of Mahapajapati Gotami - Dhammadharini เก็บถาวร 2013-02-21 ที่ archive.today
  22. พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 159
  23. 23.0 23.1 23.2 พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 14
  24. "IX:12 King Suppabuddha blocks the Lord Buddha's path". Members.tripod.com. 2000-08-13.
  25. "Dhammapada Verse 128 Suppabuddhasakya Vatthu". Tipitaka.net.
  26. K.T.S. Sarao (2004). "In-laws of the Buddha as Depicted in Pāli Sources". Chung-Hwa Buddhist Journal. Chung-Hwa Institute of Buddhist Studies (17). ISSN 1017-7132.
  27. "Suppabuddha". Dictionary of Pali Names.
  28. "เกิดเหตุอันอัศจรรย์ เกิดสหชาติทั้ง 7 ในกาลประสูติมีอะไรบ้าง". วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-06-04. สืบค้นเมื่อ 2 มิถุนายน 2562. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  29. "สหชาติทั้ง ๗". พุทธะ. 18 ธันวาคม 2552. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-06-29. สืบค้นเมื่อ 2 มิถุนายน 2562. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  30. 30.0 30.1 "ประวัติพระภัททากัจจานาเถรี เอตทัคคผู้ได้บรรลุอภิญญาใหญ่". ประตูสู่ธรรม. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-06-09. สืบค้นเมื่อ 2 มิถุนายน 2562. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  31. "The Compassionate Buddha". Geocities.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-10-21. สืบค้นเมื่อ 2009-09-23.
  32. 32.0 32.1 32.2 "ยโสธราเถริยาปทาน". พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒. สืบค้นเมื่อ 6 มิถุนายน 2563. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  33. Meeks 2016, p. 139.
  34. Strong 1997, pp. 122–4.
  35. 35.0 35.1 35.2 Buswell & Lopez 2013, Rāhula.
  36. 36.0 36.1 36.2 Saddhasena 2003, p. 481.
  37. Crosby 2013, p. 110.
  38. Crosby 2013, p. 115.
  39. Saddhasena 2003, pp. 482–3.
  40. Crosby 2013, p. 116.
  41. Strong 1997, p. 121.
  42. Meeks 2016, passim..
  43. Nakagawa 2005, p. 41.
  44. "นันทสูตร". พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  45. "The Story of Rupananda meeting Buddha". The Buddhist News.
  46. 46.0 46.1 "อภิรูปนันทา บรรลุอรหันต์เพราะละจากความหลงใหลในความงาม". Goodlife Update. สืบค้นเมื่อ 30 Jul 2022.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  47. "เรื่องพระนางรูปนันทาเถรี". อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑. สืบค้นเมื่อ 30 Jul 2022.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  48. 48.0 48.1 "พระนันทาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้แพ่งด้วยฌาน". 84000. สืบค้นเมื่อ 30 Jul 2022.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  49. 49.0 49.1 49.2 "ประวัติ พระภัททิยเถระ (กาฬิโคธาบุตร)". ธรรมะพีเดีย. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  50. "กาฬิโคธาสูตร". พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  51. "พระนางกาฬิโคธา". อุทยานธรรม. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  52. 52.0 52.1 52.2 52.3 "พระภคุเถระ". ธรรมะไทย. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  53. 53.0 53.1 53.2 53.3 "พระภัคคุเถระ". อุทยานธรรม. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  54. "พระกิมพิละ". อุทยานธรรม. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  55. "พระกิมพิละเถระ". ธรรมะไทย. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  56. 56.0 56.1 56.2 "เรื่องสญชัย". อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  57. "กีสาโคตมี". พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ พิมพ์ครั้งที่ 31. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  58. 58.0 58.1 58.2 58.3 58.4 58.5 58.6 58.7 พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 15
  59. "นันทิยสูตร อยู่ด้วยความประมาทและไม่ประมาท". พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  60. 60.0 60.1 60.2 60.3 "เรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะ". อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  61. 61.0 61.1 61.2 "อรรถกถากัฏฐหาริชาดกที่ ๗". อรรถกถา กัฏฐหาริชาดก. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  62. 62.0 62.1 62.2 "อรรถกถาภัททสาลชาดก ว่าด้วยการบำเพ็ญประโยชน์แก่ญาติ". อรรถกถาภัททสาลชาดก. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  63. พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 126
  64. 64.0 64.1 64.2 "มหานาม". พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ พิมพ์ครั้งที่ 31. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  65. 65.0 65.1 พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 122
  66. 66.0 66.1 66.2 66.3 "โรหิณี". พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ พิมพ์ครั้งที่ 31. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  67. 67.0 67.1 67.2 67.3 "อนุรุทธะ". พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ พิมพ์ครั้งที่ 31. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  68. 68.0 68.1 เสถียรพงษ์ วรรณปก (31 ตุลาคม 2561). "พระนางมัลลิกา มเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล". มติชนสุดสัปดาห์. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  69. Acharya Buddharakkhita (1985). The Dhammapada:The Buddha's Path of Wisdom (PDF). Kandy, Sri Lanka: Buddhist Publication Society.
  70. "โกธวรรควรรณนา (เรื่องเจ้าหญิงโรหิณี)". อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โกธวรรคที่ ๑๗. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  71. "เจ้าหญิงโรหิณี". อุทยานธรรม. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  72. Tin, Daw Mya (2019). The Dhammapada: Verses & Stories. Pariyatti Publishing. ISBN 9781681721200.[ลิงก์เสีย]
  73. "วัปปสูตร ว่าด้วยเจ้าศากยะพระนามว่าวัปปะ". พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  74. Raychaudhuri H. (1972). Political History of Ancient India, Calcutta: University of Calcutta, pp.177-8
  75. Kosambi D.D. (1988). The Culture and Civilisation of Ancient India in Historical Outline, New Delhi: Vikas Publishing House, ISBN 0-7069-4200-0, pp.128-9
  76. A. K. Ghosh (1968). "2". Legends from Indian History (Paperback) (ภาษาอังกฤษ). Children's Book Trust. p. 19. ISBN 9788170110460.
  77. Sharma 1968, p. 182-206.
  78. Sharma 1968, p. 207-217.
  79. 79.0 79.1 "สรกานิสูตรที่ ๒ ผู้ถึงสรณคมน์ไม่ไปสู่วินิบาต". พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  80. "สรกานิสูตรที่ ๑ ผู้ถึงสรณคมน์ไม่ไปสู่วินิบาต". พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  81. 81.0 81.1 "พระอนุรุทธเถระ". ธรรมะไทย. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  82. "อมิตา". พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ พิมพ์ครั้งที่ 31. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  83. "อมิโตทนะ". พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ พิมพ์ครั้งที่ 31. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  84. 84.0 84.1 พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 129
  85. อรรถกถาจุลลทุกขักขันธสูตร, อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรค
  86. "ประวัติพระอานนทเถระ". อุทยานธรรม. สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  87. 87.0 87.1 Powers, John (2013). "Ānanda". A Concise Encyclopedia of Buddhism. Oneworld Publications. ISBN 978-1-78074-476-6.
  88. พรรณนาวงศ์พระทีปังกรพุทธเจ้าที่ ๑, อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑. ทีปังกรพุทธวงศ์
  89. พระพุทธานุญาตจุณเภสัชเป็นต้น, พระไตรปิฎกเล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒
  90. Nishijima, Gudo Wafu; Cross, Shodo (2008). Shōbōgenzō : The True Dharma-Eye Treasury (PDF). Numata Center for Buddhist Translation and Research. p. 32 n.119. ISBN 978-1-886439-38-2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-08-02. สืบค้นเมื่อ 2018-09-23.
  91. Mun-keat, Choong (2000). The Fundamental Teachings of Early Buddhism: A Comparative Study Based on the Sūtrāṅga Portion of the Pāli Saṃyutta-Nikāya and the Chinese Saṃyuktāgama (PDF). Harrassowitz. p. 142. ISBN 3-447-04232-X.
  92. Sarao, K. T. S. (2004). "Ananda". ใน Jestice, Phyllis G. (บ.ก.). Holy People of the World: A Cross-cultural Encyclopedia. ABC-CLIO. p. 49. ISBN 1-85109-649-3.
  93. Keown 2004, p. 12.
  94. Malalasekera 1960, Ānanda.
  95. Buswell & Lopez 2013, Ānanda.
  96. Findly, Ellison Banks (2003). Dāna: Giving and Getting in Pāli Buddhism. Motilal Banarsidass Publishers. p. 377. ISBN 9788120819566.
  97. พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 155-156
  98. Ohnuma, Reiko (December 2006). "Debt to the Mother: A Neglected Aspect of the Founding of the Buddhist Nuns' Order". Journal of the American Academy of Religion. 74 (4): 862, 872. doi:10.1093/jaarel/lfl026.
  99. Strong, John S. (1977). ""Gandhakuṭī": The Perfumed Chamber of the Buddha". History of Religions. 16 (4): 398–9. doi:10.1086/462775. JSTOR 1062638. S2CID 161597822.
  100. App, Urs (2011). Richard Wagner and Buddhism. UniversityMedia. pp. 42–3. ISBN 978-3-906000-00-8.
  101. พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2 พระเทวทัตส่งคนไปพยายามลอบปลงพระชนม์พระศาสดา. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [1]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
  102. พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2 พระเทวทัตทำโลหิตุปบาท. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [2]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
  103. พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2 พระเทวทัตทูลขอปกครองสงฆ์. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [3]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
  104. พระไตรปิฎก เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2 เรื่องวัตถุ 5 ประการ. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [4]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
  105. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ 1 เรื่องพระเทวทัต. อรรถกถาพระไตรปิฏก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [5]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
  106. พุทธานุพุทธประวัติ, หน้า 153
  107. "อรรถกถาสูตรที่ ๙ ประวัติพระสีวลีเถระ". อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๒. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  108. "ประวัติ พระสีวลีเถระ". ธรรมะพีเดีย. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  109. "เรื่องเจ้าสุปปพุทธศากยะ". อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2566. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)

บรรณานุกรม[แก้]