บรี ลาร์สัน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บรี ลาร์สัน
ลาร์สันในงานแซนดีเอโกคอมมิก-คอน ปี 2016
เกิดไบรแอนน์ ซีโดนี เดโซเนียร์
(1989-10-01) 1 ตุลาคม ค.ศ. 1989 (34 ปี)
แซคราเมนโต แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
อาชีพ
  • นักแสดง
  • นักร้อง
  • ผู้กำกับ
ปีปฏิบัติงาน1998–ปัจจุบัน
อาชีพทางดนตรี
แนวเพลง
เครื่องดนตรี
  • ร้องนำ
  • กีตาร์
ค่ายเพลง

ไบรแอนน์ ซีโดนี เดโซเนียร์ (อังกฤษ: Brianne Sidonie Desaulniers; เกิด 1 ตุลาคม ค.ศ. 1989)[1] เป็นที่รู้จักในชื่อ บรี ลาร์สัน (Brie Larson) เป็นนักแสดง ผู้กำกับ และนักร้องชาวอเมริกัน เกิดในแซคราเมนโต แคลิฟอร์เนีย ลาร์สันเข้าศึกษาในระบบบ้านเรียนก่อนที่เธอจะเรียนการแสดงที่โรงละครอเมริกันคอนเซอเวอทรีเธียเตอร์ เธอเริ่มต้นอาชีพด้วยการแสดงละครโทรทัศน์ และปรากฏตัวเป็นประจำในละครซิตคอมเรื่อง Raising Dad (2001) ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงเด็ก สาขานักแสดงนำเด็กหญิงจากซีรีส์ทางโทรทัศน์ประเภทตลก

ลาร์สันยังมีบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์ปี 2004 เรื่อง ต๊กกะใจ ตื่นขึ้นมา 30 และ คืนกรี๊ดสี่สาวโจ๊ะ การแสดงของเธอในภาพยนตร์ตลกเรื่อง สู้เพื่อฮูก ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงเด็กอีกหนึ่งครั้งในปี 2006 และรับบทสนับสนุนในภาพยนตร์เรื่อง กรีนเบิร์ก 40 ปี ชีวิตจะไปทางไหนดี, สก็อตต์ พิลกริม VS เดอะ เวิลด์, สายลับร้ายไฮสคูล และ รักติดเรท ตั้งแต่ปี 2009–2011 ลาร์สันยังรับบทเป็นวัยรุ่นสาวปากร้ายในซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง United States of Tara

ลาร์สันพลิกบทบาทครั้งสำคัญในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง ชอร์ท เทอม (2013) ซึ่งได้รับคำยกย่องอย่างกว้างขวางจากนักวิจารณ์[2][3] และประสบความสำเร็จอีกครั้งในปี 2015 เมื่อเธอได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง รูม ขังใจไม่ยอมไกลกัน ซึ่งมีบทดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของเอ็มมา โดโนฮิวที่ได้รับรางวัลแมนบุคเคอร์ รับบทเป็นหญิงผู้ตกเป็นเหยื่อในการลักพาตัว ลาร์สันได้รับคำวิจารณ์ตอบรับที่ดีและได้รับรางวัลหลายรางวัล รวมถึงรางวัลออสการ์ รางวัลแบฟตา และรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ต่อมาเธอรับบทเป็นช่างภาพในภาพยนตร์ผจญภัยเรื่อง คอง มหาภัยเกาะกระโหลก (2017) ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดของลาร์สัน

ประวัติและชีวิตในช่วงต้น[แก้]

ไบรแอนน์ ซีโดนี เดโซเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1989 ในเมืองแซคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย พ่อและแม่ของเธอคือ Heather (Edwards) และ Sylvain Desaulniers[4] ทั้งคู่ประกอบอาชีพเป็นหมอนวดทางชีวจิต และ พวกเขามีลูกสาวอีกคนหนึ่งคือ มิเลน ในวัยเด็กลาร์สัน พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแรกของ เธอใช้เวลาเรียนหนังสือที่บ้านเป็นส่วนใหญ่[5] ซึ่งเธอเชื่อว่ามันช่วยให้เธอสำรวจประสบการณ์ที่เป็นนวัตกรรมและเป็นนามธรรมได้[6] ลาร์สันเล่าถึงชีวิตในวัยเด็กของเธอว่าเธอ "ฉันเป็นคนซื่อสัตย์และเป็นคนซื่อตรง" และเธอมีความผูกพันใกล้ชิดกับแม่ของเธอแต่ขี้อายและทุกข์ทรมานจากโรควิตกกังวลในการเข้าสังคม ในช่วงฤดูร้อน ในเวลาว่างเธอมักจะเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ที่บ้านของเธอเอง เธอแสดงความสนใจที่จะเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เธอได้รับคัดเลือกให้เข้ารับการฝึกอบรมที่สถาบัน American Conservatory Theatre ในซานฟรานซิสโก ซึ่งเธอกลายเป็นนักเรียนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เข้าเรียนที่นั่น[7]

สถาบันฝึกสอนการแสดง "American Conservatory Theatre" ในซานฟรานซิสโกที่ซึ่งลาร์สันเรียนการแสดงในฐานะนักเรียนที่อายุน้อยที่สุด

ลาร์สันประสบกับความทุกข์และจุดเปลี่ยนในชีวิตเมื่อพ่อแม่หย่าร้างกันเมื่อเธออายุได้ 7 ขวบ[8] เธอมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักกับพ่อของเธอ เธอเล่าว่า "ตอนเด็กๆ ฉันพยายามเข้าใจเขาและเข้าใจสถานการณ์ แต่เขาไม่ได้ช่วยให้มันดีขึ้น ฉันไม่คิดว่าเขาอยากจะเป็นพ่อแม่จริงๆ เลย" ไม่นานหลังจากที่พวกเขาแยกทางกัน เฮเธอร์แม่ของเธอย้ายไปลอสแอนเจลิสพร้อมกับลูกสาวสองคนเพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานในการแสดงของลาร์สัน พวกเขามีฐานะทางการเงินที่จำกัดและอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ใกล้กับสตูดิโอฮอลลีวูดที่เบอร์แบงก์ ลาร์สันอธิบายประสบการณ์นี้ว่า "เรามีอพาร์ตเมนต์แบบหนึ่งห้องเส็งเคร็งที่มีเตียงยื่นออกมาจากผนังและเราต่างก็มีเสื้อผ้าสามชิ้น ถึงกระนั้น เธอก็ยังเล่าถึงความทรงจำดีๆ ในช่วงเวลานั้นและให้เครดิตแม่ที่ทำดีที่สุดเพื่อพวกเขา[9]

เนื่องจากนามสกุลของเธอออกเสียงยาก[10] เธอจึงนำชื่อที่ใช้แสดงเป็นลาร์สันมาจากย่าทวดชาวสวีเดนของเธอและจากตุ๊กตาสาวชื่อเคิร์สเทน ลาร์สันที่เธอได้รับเมื่อตอนเป็นเด็ก[11] งานแรกของเธอคือการแสดงล้อเลียนแนวตลกสำหรับตุ๊กตาบาร์บี้ ชื่อ "มาลิบูโคลนถล่มตุ๊กตาบาร์บี้" ในปี 1998 ของรายการ The Tonight Show กับ Jay Leno ต่อมาเธอรับบทบาทแขกรับเชิญในละครโทรทัศน์หลายเรื่อง รวมทั้ง Touched by an Angel และ Popular ในปี 2000 เธอได้แสดงในซิทคอมเรื่อง Schimmel ของ Fox ซึ่งถูกยกเลิกก่อนออกอากาศเมื่อ Robert Schimmel ดาราของเรื่องนี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง[12][13]

อาชีพนักแสดง[แก้]

ค.ศ. 2001-2008: นักแสดงตลกและนักดนตรี[แก้]

บทบาทสำคัญครั้งแรกของลาร์สันเกิดขึ้นเมื่อเธอรับบทบาทเป็น เอมิลี่ ลูกสาวคนเล็กของตัวละครของ บ็อบ ซาเกต ในซิทคอมเรื่อง Raising Dad ซึ่งออกอากาศในช่วงหนึ่งฤดูกาลระหว่างตารางรายการโทรทัศน์ปี 2001-2002[14] ต่อมาเธอได้รับการว่าจ้างจากละครตลกเรื่อง Hope & Faith แต่เธอรวมถึงนักแสดงอีกหลายคนถูกริบบทบาทให้กับคนอื่นแทนในภายหลัง ในปี 2003 เธอแสดงร่วมกับเบเวอร์ลีย์ มิตเชลล์ ในภาพยนตร์ดิสนีย์แชนเนลเรื่อง Right on Track โดยอิงจากพี่น้องดาราแดร็กเรซสตาร์เอริก้าและคอร์ทนีย์ เอนเดอร์ส และเล่นบทบาทรองในคอเมดีเรื่อง Sleepover ปี 2004 และ 13 Going on 30[15][16]

ลาร์สันเริ่มสนใจด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 11 ขวบเมื่อเธอเริ่มหัดเล่นกีตาร์ ผู้บริหารค่ายเพลงได้สนับสนุนให้เธอเขียนเพลงของเธอเอง และ เธอก็เริ่มบันทึกและอัปโหลดเพลงด้วยตนเองไปยังเว็บไซต์ของเธอเอง[17][18] หลังจากล้มเหลวในการคัดเลือกนักแสดงในบท เวนดี้ ดาร์ลิ่ง ในภาพยนตร์ปี 2003 ปีเตอร์ แพน ลาร์สันได้เขียนและบันทึกเพลงชื่อ "Invisible Girl" ซึ่งได้รับการออกอากาศทาง KIIS-FM ในไม่ช้าเธอก็ลงนามบันทึกข้อตกลงกับ ทอมมี่ มอตโตลา แห่งคาซาบลังกาเรเคิดส์; เธอ และ ลินด์เซย์ โลฮานเป็นศิลปินเพียงคนเดียวที่ได้ลงนามในเวลานั้น[19] ในปี 2005 เธอออกอัลบั้มเพลงชุดสุดท้ายจาก PE ซึ่งเธอได้ร่วมเขียนเพลงกับนักแต่งเพลงคนอื่นๆ เช่น Blair Daly, Pam Sheyne, Lindy Robbins และ Holly Brook เธอบอกว่าเพลงที่เธอเขียนส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานที่ล้มเหลว หนึ่งในซิงเกิลของเธอคือ "She Said" ซึ่งได้แสดงในซีรีส์ MTV Total Request Live จัดโดย Billboard ในรายชื่อรายสัปดาห์ของวิดีโอที่มีคนฟังมากที่สุดในช่อง และขึ้นถึงอันดับที่ 31 ใน Billboard Hot Single Sales ลาร์สันไปทัวร์กับ เจสซี แมคคาร์ทนีย์ ในคอนเสิร์ตในห้างสรรพสินค้า "Rock in Shop" ของ Teen People ซึ่งเปิดให้เขาเข้าชมระหว่างทัวร์ และ ได้แสดงในนิวยอร์กซิตี้ที่งาน Macy's Thanksgiving Day Parade อย่างไรก็ตาม อัลบั้มนี้ไม่ประสบความสำเร็จ[20] โดยขายได้เพียง 3,500 ชุดเท่านั้น[21][22]

ในปี 2006 ลาร์สันได้แสดงร่วมกับ โลแกน เลอร์แมน และ โคดี้ ลินลีย์ ในภาพยนตร์ตลกเรื่องฮูต เกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นที่ตั้งตัวศาลเตี้ยที่พยายามจะช่วยชีวิตกลุ่มนกฮูก ซึ่งภาพยนตร์ได้รับการวิจารณ์ที่ไม่ดี แต่ รูธ สไตน์ แห่งซานฟรานซิสโกโครนิเคิลชื่นชมลาร์สันและลินลีย์ในบทนำ ในปีต่อมา เธอมีส่วนร่วมเล็กๆ ในละครเรื่อง Remember the Daze ที่นำแสดงโดย แอมเบอร์ เฮิร์ด และเธอได้เปิดตัวนิตยสารศิลปะและวรรณกรรมชื่อ Bunnies and Traps ซึ่งเธอได้เขียนคอลัมน์ความคิดเห็นของเธอเองและยอมรับการส่งผลงานจากศิลปินคนอื่นๆ และ นักเขียน[23] ลาร์สันกล่าวว่าเธอมักมีคิดว่าจะเลิกอาชีพนักแสดงในช่วงนั้นเนื่องจากเธอพบว่ามันยากมากที่จะหางานทำ เธอรู้สึกท้อแท้อย่างยิ่งเมื่อเธอไม่ได้รับคัดเลือกให้รับบทบาทสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง Thirteen (2003) และ Juno (2007)[24] ในช่วงเวลานั้นลาร์สันทำงานเป็นดีเจในคลับต่างๆ[25]

ค.ศ. 2009-2015: เริ่มสร้างชื่อเสียงและโด่งดังอย่างต่อเนื่อง[แก้]

หลังจากนั้นเธอก็มีบทบาทสมทบในภาพยนตร์นานหลายปี เช่น United States of Tara (2009), Greenberg (2010), Scott Pilgrim vs. the World (2010), 21 Jump Street (2012), The Spectacular Now (2013), Don Jon (2013) และอื่นๆ อีกมากมาย

ลาร์สันในงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Short Ter 12 ซึ่งเป็นผลงานแจ้งเกิดในวงการของเธออย่างเป็นทางการ

ในที่สุด บรี ลาร์สัน ก็ได้บทแจ้งเกิดในภาพยนตร์ Short Term 12 (2013)[26] ภาพยนตร์เรื่องนี้คว้าสามรางวัลจาก Spirit Award และได้รางวัลอีกครั้งจากสภาบัน South by Southwest แต่ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าสุด คือการแสดงของเธอเข้าตา เลนนี อับราฮัมสัน ผู้กำกับจาก Room เขากล่าวยกย่องลาร์สันว่า “การแสดงของเธอไม่ได้เข้มข้นฉูดฉาดเหมือนที่เรามักชื่นชมยกย่องนักแสดงภาพยนตร์อื่นๆ แต่มันคือความละเอียดอ่อนและการแสดงที่ออกมาจากใจจริงๆ”[27]

นอกจากนี้ ในปี 2013 ลาร์สันยังมีบทบาทสนับสนุนในละครโรแมนติกสองเรื่อง ได้แก่ ดอน จอน และ The Spectacular Now เขียนบทและกำกับโดยโจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ เธอรับบทเป็นน้องสาวของดอน จอน (แสดงโด ยกอร์ดอน-เลวิตต์) ปีเตอร์ ทราเวอร์ส แห่ง โรลลิงสโตนชื่นชมการแสดงออกทางเพศของภาพยนตร์เรื่องนี้ และพบว่าลาร์สัน "ยอดเยี่ยม" ในเรื่องดังกล่าว ใน The Spectacular Now ที่นำแสดงโดย Miles Teller และ Shailene Woodley เธอรับบทเป็น Cassidy อดีตแฟนสาวของตัวละครของ Teller ลาร์สันได้นำประสบการณ์เมื่อเธอเป็นนักเรียนมัธยมปลายมาถ่ายทอดในบทบาทนี้เพื่อให้การแสดงสมจริงยิ่งขึ้น

ชีวิตส่วนตัว[แก้]

ลาร์สันมีโลกส่วนตัวของเธอสูงมากและปฏิเสธที่จะตอบคำถามในการสัมภาษณ์ที่ทำให้เธอไม่สบายใจ ลาร์สันเริ่มออกเดทกับ Alex Greenwald นักดนตรีและนักร้องนำของวงดนตรี Phantom Planet ในปี 2013 และพวกเขาหมั้นกันในปี 2016 ก่อนจะแยกทางกันในปี 2019[28][29][30] ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันในย่านฮอลลีวูดฮิลส์ของลอสแอนเจลิส Holly Millea จาก Elle อธิบายถึงบุคลิกนอกจอของลาร์สันในปี 2016 ว่าเธอ "มีบุคลิกภาพเหมือนนักกีฬา ผอมเพรียว มั่นคง แต่เธอยังอบอุ่นและเป็นกันเอง" ลาร์สันกล่าวว่าเธอสนใจภาพยนตร์ที่แสดงถึง "สภาพของมนุษย์" และ "ทำให้ผู้คนรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวเองมากขึ้น [และ] ส่รวมถึงเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ของโลก"

ลาร์สันในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต ประเทศแคาดา ในปี 2019

เธอมีกให้สนใจแสดงในบทบาทที่แตกต่างจากบุคลิกของเธอเองและภาพยนตร์ที่มีเนื่อหาเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางสังคม ในปี 2020 เธอเริ่มสร้างช่อง YouTube ของตัวเอง เธอได้รับการเสนอชื่อโดย Forbes ในรายการ 30 Under 30 รวมถึงนิตยสาร People ให้เป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่สวยที่สุดในปี 2016 และ 2019 ในปี 2018 เธอได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในนักแสดงชาวอเมริกันที่ดีที่สุดที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีโดย IndieWire ในปี 2019 มาดามทุสโซนิวยอร์กได้เปิดตัวรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของลาร์สันในฐานะนักแสดงในบทบาทกัปตันมาร์เวล ในปีเดียวกันนั้น นิตยสารไทม์ได้ยกให้เธอเป็นหนึ่งใน 100 คนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก[31]

อ้างอิง[แก้]

  1. California Birth Index accessed December 22, 2016
  2. Walsh, Katie (March 10, 2013). "SXSW Review: 'Short Term 12' A Heartrending, Heartwarming & Authentic Portrait of Life At A Foster Care Facility". Indiewire. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-07. สืบค้นเมื่อ August 27, 2013.
  3. Freer, Ian. "Short Term 12". Empire. สืบค้นเมื่อ April 25, 2014.
  4. Smith, Krista. "Cover Story: Brie Larson, Hollywood's Most Independent Young Star". Vanity Fair (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  5. DeSalvo, Robert. "Q&A: Brie Larson Continues to 'Jump' Forward". MTV News (ภาษาอังกฤษ).
  6. "Brie Larson interview: 'I just wanted to do weird stuff'". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2013-10-19.
  7. Millea, Holly (2016-02-26). "Brie Larson's World Is About to Change. Just Don't Tell Her That". ELLE (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  8. Millea, Holly (2016-02-26). "Brie Larson's World Is About to Change. Just Don't Tell Her That". ELLE (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  9. Riley, Jenelle; Riley, Jenelle (2015-10-13). "Brie Larson Opens Up on the 'Emotional Marathon' of 'Room'". Variety (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  10. "What a doll! Brie Larson lived every girl's dream when picking her stage name". TODAY.com (ภาษาอังกฤษ).
  11. Radloff, Jessica. "Brie Larson of The Spectacular Now: The Rising Star You Need to Know About in 2014". Glamour (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  12. "The 25 Best Actresses in Their 20s". Complex (ภาษาอังกฤษ).
  13. Terrace, Vincent (2014-01-10). Encyclopedia of Television Pilots, 1937-2012 (ภาษาอังกฤษ). McFarland, Incorporated, Publishers. ISBN 978-1-4766-0249-3.
  14. Brooks, Tim; Marsh, Earle F. (2009-06-24). The Complete Directory to Prime Time Network and Cable TV Shows, 1946-Present (ภาษาอังกฤษ). Random House Publishing Group. ISBN 978-0-307-48320-1.
  15. "Brie Larson Starred In A Disney Channel Original Movie And Now Your Mind Is Blown - MTV". web.archive.org. 2018-02-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-02-22. สืบค้นเมื่อ 2021-06-10.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  16. "Brie Larson Is a New Breed of Reluctant Hollywood It Girl". web.archive.org. 2013-10-31. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-31. สืบค้นเมื่อ 2021-06-10.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  17. "Oscar nominee Brie Larson: 'Room was exhausting to shoot'". The Telegraph (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2016-01-09. ISSN 0307-1235. สืบค้นเมื่อ 2021-06-10.
  18. "Sugar Shock #013: Bunnies, Traps, and Slip 'n' Slides: An Interview with Brie Larson - Pop Playground - Stylus Magazine". web.archive.org. 2011-07-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-05. สืบค้นเมื่อ 2021-06-10.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  19. "Flashback: Listen to Oscar Winner Brie Larson's Pop Star Past – Rolling Stone". web.archive.org. 2018-07-21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-21. สืบค้นเมื่อ 2021-06-10.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  20. "On the Verge: Brie Larson | W Magazine". web.archive.org. 2018-07-21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-21. สืบค้นเมื่อ 2021-06-10.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  21. "Inside Oscar Winner Brie Larson's Pop Star Past". web.archive.org. 2016-12-20. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-12-20. สืบค้นเมื่อ 2021-06-10.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  22. "Remember That Brie Larson Was a Pop Star? -- Vulture". web.archive.org. 2017-12-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-12-28. สืบค้นเมื่อ 2021-06-10.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  23. Rosewarne, Lauren (2013-08-13). American Taboo: The Forbidden Words, Unspoken Rules, and Secret Morality of Popular Culture: The Forbidden Words, Unspoken Rules, and Secret Morality of Popular Culture (ภาษาอังกฤษ). ABC-CLIO. ISBN 978-0-313-39934-3.
  24. "Shailene Woodley, Brie Larson Conquer Hollywood -- Vulture". web.archive.org. 2014-06-02. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-06-02. สืบค้นเมื่อ 2021-06-10.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  25. "Before Becoming Famous, Brie Larson Was a DJ—Who "Only Played Vinyl" | Glamour". web.archive.org. 2018-08-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-08-12. สืบค้นเมื่อ 2021-06-10.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  26. Weisman, Jon; Weisman, Jon (2013-10-10). "10 Actors to Watch: Brie Larson Breaks Out With 'Short Term 12'". Variety (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  27. Hughes, Mark. "2013's Best Film 'Short Term 12' Does Strong Business In Limited Release". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
  28. "Brie Larson Engaged to Alex Greenwald". PEOPLE.com (ภาษาอังกฤษ).
  29. "Brie Larson is No Longer Engaged to the Guy From Phantom Planet". W Magazine (ภาษาอังกฤษ).
  30. "Brie Larson Is Ready To Become Your Favorite Actress". BuzzFeed News (ภาษาอังกฤษ).
  31. "Brie Larson: The 100 Most Influential People of 2019". TIME (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]