ความสัมพันธ์ไทย–อินโดนีเซีย
อินโดนีเซีย |
ไทย |
ประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1950[1] ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทวิภาคีที่จริงใจ[2] และแต่งตั้งสถานทูตของตนเองในเมืองหลวง โดยอินโดนีเซียมีสถานทูตของตนที่กรุงเทพมหานครและสถานกงสุลที่สงขลา ส่วนไทยตั้งสถานทูตที่จาการ์ตา ทั้งสองประเทศอยู่ในกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียนและเป็นสมาชิกขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและเอเปค อินโดนีเซียและไทยถูกมองเป็นพันธมิตรโดยธรรมชาติ[3] อินโดนีเซียก็ได้รับเชิญเป็นผู้สังเกตการณ์ในกรณีพิพาทพรมแดนไทย–กัมพูชา[4][5]
เปรียบเทียบประเทศ
[แก้]ไทย | อินโดนีเซีย | |
---|---|---|
ประชากร | 67,091,120 คน[6] | 272,229,372 คน[7] |
พื้นที่ | 513,120 ตารางกิโลเมตร | 1,904,569 ตารางกิโลเมตร |
ความหนาแน่นประชากร | 132.1 คนต่อตารางกิโลเมตร | 124.66 คนต่อตารางกิโลเมตร |
จำนวนเขตเวลา | 1 | 3 |
เมืองหลวง | กรุงเทพมหานคร | จาการ์ตา |
เมืองใหญ่สุด | กรุงเทพมหานคร – 8,280,925 คน (เขตมหานคร 14,565,547 คน) | จาการ์ตา – 11,374,022 คน (เขตมหานคร 30,326,103 คน) |
รัฐบาล | รัฐเดี่ยว ระบบรัฐสภา ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ | รัฐเดี่ยว ระบบประธานาธิบดี สาธารณรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญ |
ภาษาราชการ | ภาษาไทย | ภาษาอินโดนีเซีย |
ศาสนาหลัก | 93.2% พุทธ, 5.5% อิสลาม, 0.9% คริสต์, 0.3% ไม่นับถือศาสนา | 86.7% อิสลาม, 7.6% โปรเตสแตนต์, 3.12% คาทอลิก, 1.7% ฮินดู, 0.77% พุทธ, 0.03% ลัทธิขงจื๊อ, 0.04% อื่น ๆ |
กลุ่มชาติพันธ์ุ | 90% ไทย/จีน, 2% พม่า, 1.3% อื่น ๆ, 0.9% ไม่ระบุ | 40.22% ชวา, 15.5% ซุนดา, 3.58% บาตัก, 3.03% มาดูรา, 2.88% เบอตาวี, 2.73% มีนังกาเบา, 2.69% บูกิซ, 2.27 มลายู, 1.97% บันเติน, 1.74% บันจาร์, 1.73% อาเจะฮ์, 1.67% บาหลี, 1.34% ซาซัก, 1.27 ดายัก, 1.2% จีน, 1.14% ปาปัว, 1.13% มากัซซาร์, 14.24% อื่น ๆ |
จีดีพี (ต่อหัว) | 7,674 ดอลลาร์สหรัฐ | 4,224 ดอลลาร์สหรัฐ |
จีดีพี (เฉลี่ย) | 5.368 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ | 1.1150 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ |
ประวัติ
[แก้]ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซียสมัยโบราณสืบได้ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ในสมัยจักรวรรดิศรีวิชัย ภาคใต้ของไทยบางส่วนบนคาบสมุทรมลายูอยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิศรีวิชัยที่มีการปกครองแบบสมุทราธิปัตย์ (thalassocracy) ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บนเกาะสุมาตรา วัดแบบศรีวิชัยสามารถพบได้ที่ไชยา กษัตริย์ Dharanindra (ครองราชย์ ค.ศ. 780–800) แห่งมาตารัมอาจนำลิกอร์ในคาบสมุทรมลายูเข้าในดินแดนของไศเลนทร์[8]: 91–92 นาการาเกรตากามา เอกสารตัวเขียนชวาซึ่งเขียนขึ้นในสมัยมัชปาหิตเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 14 ระบุถึงบางรัฐที่ปัจจุบันอยู่ในประเทศไทยสมัยใหม่ เช่น Syangka (สยาม), Ayodhyapura (อยุธยา), Dharmanagari (นครศรีธรรมราช) ในภาคใต้ของไทย, Rajapura (ราชบุรี) และ Singhanagari (สิงห์บุรีที่ริมแม่น้ำสาขาของแม่น้ำเจ้าพระยา)[9]: 35–36 การค้นพบพระพุทธรูปสัมฤทธิ์อยุธยาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่ตีนเขาจีเรอไมในตาลากา หมู่บ้านใกล้จีเรอบน สามารถกล่าวแนะถึงความสัมพันธ์ในอดีต ในทางกลับกัน เอกสารไทยสมัยโบราณยังกล่าวถึงสถานที่ในอินโดนีเซียด้วย เช่น ชวา (เกาะชวา), มัชปาหิต, มักกะสัน (มากัซซาร์) และมีนังกาเบา[10]
ข้อมูลฝั่งไทยรายงานว่า ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีชาวมากัซซาร์ร้อยกว่าคนหลบหนีจากนครมากัซซาร์ไปยังอยุธยาหลังฝ่ายดัตช์ยึดครองอาณาจักรเมื่อปลายคริสต์ทศวรรษ 1660 พระองค์พระราชทานที่ดินในนครใกล้กับย่านมลายูแก่พวกเขา[10] ปันหยี เรื่องราวแห่งความรัก การผจญภัย และความกล้าหาญของเจ้าชายและมเหสีชวา มีต้นตอในเกอดีรีและได้รับความนิยมในสมัยมัชปาหิต ก่อนที่จะเดินทางเข้าคาบสมุทรมลายู กัมพูชา และสยามภายใต้ชื่อ อิเหนา (มาจาก Inu หรือ Hino Kertapati อีกพระนามหนึ่งของเจ้าชาย)
ในสมัยอาณานิคมหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ ความสัมพันธ์ที่ดียังคงดำเนินต่อไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปยังชวาสามครั้ง ได้แก่ ค.ศ. 1870, 1896 และ 1901[10] กษัตริย์ไทยเสด็จไปยังบาตาเวีย เซอมารัง และโบโรบูดูร์ พระองค์นำรูปปั้นช้างสัมฤทธิ์ให้เป็นของที่ระลึก ปัจจุบันรูปปั้นช้างตั้งอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่จาการ์ตา พระองค์ทรงกระตือรือร้นและสนพระทัยประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมชวาโบราณ ในกรณีหนึ่ง พระองค์ทรงแสดงความปรารถนาที่จะรวบรวมตัวอย่างโบราณวัตถุทางโบราณคดีชวาโบราณ ผู้ว่าการหมู่เกาะอินเดียตะวันออกจึงตอบรับด้วยการให้ของขวัญเป็นรูปปั้นและหินแกะสลักที่นำมาจากโบโรบูดูร์แปดเกวียนบรรทุก สิ่งของเหล่านี้รวมถึงภาพนูน 30 ชิ้น, พระพุทธรูป 5 องค์, รูปปั้นสิงโต 2 อัน, ปนาลี 1 อัน, ลายหน้ากาลจากบันไดและทางผ่านบางส่วน และทวารบาลขนาดใหญ่ โบราณวัตถุเหล่านี้หลายชิ้น โดยเฉพาะสิงโตและทวารบาล ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ[11]
หลังอินโดนีเซียเป็นเอกราชใน ค.ศ. 1945 ตามมาด้วยการปฏิวัติและการยอมรับอธิปไตยจากเนเธอร์แลนด์ใน ค.ศ. 1949 ราชอาณาจักรสยามจึงจัดตั้งความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐอินโดนีเซียในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1950 จากนั้นใน ค.ศ. 1967 ทั้งสองประเทศพร้อมกับฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์พบกันที่กรุงเทพมหานคร เพื่อจัดตั้งอาเซียน ซึ่งมีจุดประสงค์ให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
อ้างอิง
[แก้]- ↑ ""International Seminar "The 60th Anniversary of the Indonesia-Thailand Diplomatic Relations"". Embassy of Indonesia, Bangkok. 2015-12-08. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-25. สืบค้นเมื่อ 2016-05-25.
- ↑ ""International Seminar "The 60th Anniversary of the Indonesia-Thailand Diplomatic Relations"". Chula Global Network, Chulalongkorn University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 February 2011. สืบค้นเมื่อ 20 January 2013.
- ↑ Chongkittavorn, Kavi (3 August 2010). "Indonesia and Thailand: An emerging natural alliance". The Nation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2016. สืบค้นเมื่อ 20 January 2013.
- ↑ "Thailand, Cambodia Agree to Indonesian Observers at Border | News | Khmer-English". www.voanews.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 May 2011. สืบค้นเมื่อ 17 January 2022.
- ↑ "RI ready to send observers to Cambodia, Thailand". The Jakarta Post. 2012-01-17. สืบค้นเมื่อ 2016-10-22.
- ↑ "Thailand Population (2016)". World Population Review. สืบค้นเมื่อ 2016-10-22.
- ↑ "Indonesia's Demographics June 2021". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-01. สืบค้นเมื่อ 2023-04-01.
- ↑ Cœdès, George (1968). The Indianized states of Southeast Asia. University of Hawaii Press. ISBN 9780824803681.
- ↑ Pigeaud, Theodoor Gautier Thomas (1962). Java in the 14th Century: A Study in Cultural History, Volume IV: Commentaries and Recapitulations (3rd (revised) ed.). The Hague: Martinus Nijhoff. ISBN 978-94-017-7133-7.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 Yuliandini, Tantri (September 2, 2002). "Indonesia, Thailand: 50 years and beyond". The Jakarta Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 20 January 2013.
- ↑ John Miksic; Marcello Tranchini; Anita Tranchini (1996). Borobudur: Golden Tales of the Buddhas. Tuttle publishing. p. 29. ISBN 9780945971900. สืบค้นเมื่อ 2 April 2012.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]หนังสือและบทความ
[แก้]- ธนัท ปรียานนท์. (2563). จากเฮกสู่จาการ์ตา: ความเปลี่ยนแปลงในนโยบายต่างประเทศของไทยต่อเนเธอร์แลนด์ กรณีการเรียกร้องเอกราชของอินโดนีเซีย. วารสารอักษรศาสตร์. 49(2): 160-82.