รถจักรไอน้ำ
![]() | ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
รถจักรไอน้ำ (Steam locomotive) เป็น รถไฟในยุคแรกที่ใช้กลไกของแรงดันไอ (น้ำ) ในการผลักดันให้ล้อรถหมุนและทำให้รถเคลื่อนที่ ซึ่งในปัจจุบันรถจักรประเภทนี้แทบไม่มีใช้ให้เห็นกันแล้ว
ที่มาของรถจักรไอน้ำ[แก้]
หลังจากปี ค.ศ. 1768 เจมส์ วัตต์ (James Watt) นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษสามารถสร้างเครื่องจักรไอน้ำได้สำเร็จได้มีนักประดิษฐ์จำนวนมากนำเครื่องจักรไอน้ำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องจักรชนิดต่างๆมากมาย แต่ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยมกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือริชาร์ด เทรวิทิก (Richard Trevithick) วิศวกรชาวอังกฤษที่ได้ทำการสร้างรถจักรไอน้ำเป็นผลสำเร็จ ซึ่งรถจักรไอน้ำนี้ยังเป็นล้อธรรมดาและวิ่งบนถนนอยู่ ต่อมาทางเหมืองแร่ที่จอร์จ สตีเฟนสัน (George Stephenson) ทำงานอยู่ได้นำรถจักรไอน้ำนี้มาใช้ในการขนถ่านหิน แต่รถจักรของวิชาร์ดทราวิคนั้นยังมีข้อเสียอยู่หลายอย่างทั้งเรื่องความเร็ว และยังทำความเสียหายแก่ถนนเพราะน้ำหนักการบรรทุกที่มาก จึงได้มีการสร้างรางเหล็กให้รถจักรนี้วิ่งซึ่งเป็นการกำจัดปัญหาการทำให้ถนนพัง แต่เมื่อมีการวิ่งรถบนรางแล้วรถจักรก็ยังคงตกรางอยู่บ่อย ๆ จึงได้มีการปรับปรุงล้อรถจักรเสียใหม่ จากเดิมที่เป็นล้อธรรมดาก็ให้เปลี่ยนเป็นล้อเหล็กและมีร่องสำหรับ วิ่งบนรางเหล็กอีกด้วย
ต่อมา จอร์จ สตีเฟนสัน ได้นำรถจักรนี้ไปพัฒนาให้มีความเร็วมากยิ่งขึ้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1814 รถจักรของสตีเฟนสันมีตัวถึงเป็นไม้ มีล้อเหล็ก 4 ล้อ วิ่งได้ 4 ไมล์ต่อชั่วโมงสามารถลากรถถ่านหินได้ถึง 30 ตัน สตีเฟนสันตั้งชื่อรถของเขาว่าบลูเซอร์ (Blueser) ระหว่างนั้นเองเอ็ดเวิร์ด พิส (Edward Piss) ได้สร้างทางรถไฟจากเมืองสตอกตัน (Stockton) ไปยังเมืองดาร์ลิงตัน (Darlington) สตีเฟนสันจึงได้นำรถจักรของเขาไปเสนอแก่พิสเพื่อหวังให้พิสเห็นดีกับรถของเขาและให้การสนับสนุน ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด พิสสนับสนุนเขาในการสร้างหัวรถจักรด้วยเงินเดือนปีละ 300 ปอนด์และรถจักรไอน้ำก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นจนทำให้บรรดาเจ้าของรถม้าที่เสียผลประโยชน์ไม่พอใจ และทำการขัดขวางการทำงานของสตีเฟนสันอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งรัฐบาลอังกฤษเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาระบบการขนส่งด้วยรถจักร จึงประกาศใช้กฤษฎีกาใช้สร้างทางรถไฟขึ้นในปี ค.ศ. 1826 ระหว่างแมนเชสเตอร์และลิเวอร์พูล ซึ่งการสร้างทางรถไฟสายนี้มีความยากลำบากมากแต่ในที่สุดสตีเฟนสันก็สามารถสร้างทางรถไฟจากแมนเชสเตอร์ไปถึงลิเวอร์พูลได้สำเร็จ กิจการรถไฟจึงเป็นที่นิยมมากขึ้น และเริ่มแพร่ขยายตัวไปยังเมืองต่าง ๆ ในอังกฤษ ในขณะเดียวกันก็เริ่มแพร่กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย
รถจักรไอน้ำที่นำเข้ามาใช้งานในประเทศไทย[แก้]


- รถจักรไอน้ำ ดับส์ (Dübs) (2-4-0T และ 2-4-0)
- รถจักรไอน้ำ สูงเนิน (0-6-0WT และ 0-4-0T)
- รถจักรไอน้ำ ซิกส์ คัปเปอร์ (Peckett B1) (0-6-0ST)
- รถจักรไอน้ำ เคราส์ (โมกุล) (Krauss) (Mogul type) (2-6-0)
- รถจักรไอน้ำ เคราส์ (แพรรี่) (Krauss) (Prairie type) (2-6-2)
- รถจักรไอน้ำ กาแร็ต (2-8-2+2-8-2)
- รถจักรไอน้ำ พี คลาส (FMSR P Class) (4-6-2)
- รถจักรไอน้ำ สวิสคอนโซลิเดชั่น (RhB G⅘) (2-8-0)
- รถจักรไอน้ำ ฮาโนแม็คโมกุล (Hanomag Mogul)
- รถจักรไอน้ำ ฮาโนแม็คโฟร์ วีลเลอร์ (Prussian P3) (2-4-0)
- รถจักรไอน้ำ ฮาโนแม็คแปซิฟิค (Hanomag Pacific) (4-6-2)
- รถจักรไอน้ำ ฮาโนแม็ค เท็น คัปเปอร์ สวิชเชอร์ (Hanomag Ten Coupler Dwitcher) (0-10-0)
- รถจักรไอน้ำ บรูช (Brush) (0-6-0T)
- รถจักรไอน้ำ เฮนเชล (Henschel) (0-6-0T)
- รถจักรไอน้ำ อี คลาส (E class) (4-6-0)
- รถจักรไอน้ำ บอลด์วินแปซิฟิค (Baldwin Pacific) (4-6-2)
- รถจักรไอน้ำ บอลด์วินมิกาโด (Baldwin Mikado) (2-8-2)
- รถจักรไอน้ำ แมคอาเธอร์ (USATC S118) (2-8-2)
- รถจักรไอน้ำ ซี 56 (JNR C56) (2-6-0)
- รถจักรไอน้ำ ญี่ปุ่นแปซิฟิค (Japanese Pacific) (4-6-2)
- รถจักรไอน้ำ ญี่ปุ่นมิกาโด (Japanese Mikado) (2-8-2)
- รถจักรไอน้ำ ซี 58 (JNR C58) (2-6-2)
- รถจักรไอน้ำ บาร์ติญโญ่แปซิฟิค (Batignolles Pacific) (4-6-2)
- รถจักรไอน้ำ บาร์ติญโญ่มิกาโด (Batignolles Mikado) (2-8-2)
- รถจักรไอน้ำ นาสมิธมิกาโด (Nasmyth Mikado) (2-8-2)
- รถจักรไอน้ำ ซี 52 (4-6-0)