ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล"
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
👏 ป้ายระบุ: การแก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 308: | บรรทัด 308: | ||
=== ผู้อยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต === |
=== ผู้อยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต === |
||
'''ความจริงที่คนไทยโดนหลอกตลอดมา''' |
|||
* สถานการณ์ในขณะนั้นพุ่งเป้าไปที่ ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งประเด็นนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากปรีดีขณะนั้นมีศัตรูทางการเมืองอยู่จำนวนมากที่ต้องการจะกำจัดออกไป เช่น กลุ่มทหารสาย[[แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]] ที่สูญเสียอำนาจหลังร่วมมือกับจักรวรรดิญี่ปุ่นนำประเทศเข้าสู่[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] และ[[พรรคประชาธิปัตย์]] ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านขณะนั้น{{อ้างอิง}} |
|||
* ในหนังสือ ''The Revolutionary King: The True–Life Sequel to The King and I'' (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2543) ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนถึงพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ เขียนโดย วิลเลี่ยม สตีเฟนสัน ซึ่งเป็นแขกที่ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในช่วงระยะหนึ่ง ได้เขียนไว้ว่า สายลับญี่ปุ่น ชื่อ ซึจิ มาซาโนบุ ([https://en.wikipedia.org/wiki/Masanobu_Tsuji Tsuji Masanobu]) ซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทยหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง น่าจะเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ แต่ปัจจุบันมีหลักฐานที่ไม่สามารถโต้แย้งได้เลยว่า นายมาซาโนบุ ซุจิ ผู้นี้ไม่ได้อยู่ใกล้กับกรุงเทพเลย<ref>ดูหนังสือ กลางใจราษฎร์ ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่2(2559) หน้าที่92 ระบุว่าทางการญี่ปุ่นยอมรับว่าซึจิยังอยู่ในประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่2จบ แต่ได้ออกจากประเทสไทยไปเวียดนามตั้งแต่ พฤศจิกายน 2488 ท้ายที่สุดพันเอกซึจิหายสาบสูญไปในประเทศลาวเมื่อ เมษายน 2504</ref> ในขณะที่ในหลวงอานันทมหิดลได้ถูกปลงพระชนม์ ข้อสันนิษฐานนี้จึงตกไป |
|||
ของ ผู้เขียน Thailand : A Kingdom in Crisis |
|||
'''ช่วงเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน 2489''' |
|||
ในหลวงอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ของประเทศสยามที่มีพระชนมายุ 21 พรรษา ได้ถูกยิงที่ศีรษะและเสด็จสวรรคตอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ในพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ตอนเย็นของวันนั้น เจ้าฟ้าชายภูมิพลอดุลยเดชซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์พระชนมายุ 19 พรรษา ได้รับการสถาปนาให้เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ได้ครองราชสมบัติตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขณะนี้พระองค์ทรงชราภาพและเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ทรงเก็บพระองค์เองอยู่ในโรงพยาบาลศิริราช แต่พระองค์ก็ยังคงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยต่อไปอย่างไม่มีกำหนด |
|||
โดยทางการแล้ว คดีฆาตกรรมเรื่องนี้ได้ถูกพรรณาไว้ว่าเป็นเรื่องลึกลับ เป็นปริศนาทางอาชญากรรมที่ผิดวิสัยที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ซึ่งไม่สามารถเฉลยข้อเท็จจริงออกมาได้ในศตวรรษที่ผ่านมา แต่ในความจริงแล้ว มันชัดเจนมาเป็นเวลานานแล้วว่าใครเป็นผู้ปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 ความจริงได้ถูกปกปิดโดยระบอบเครือข่ายนิยมกษัตริย์ของประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันแสนเข้มงวด นั่นคือ กฎหมายอาญามาตรา112 ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการบุคคลต่างๆให้กลายเป็นอาชญากร เมื่อมีการสนทนาพูดคุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศไทยอย่างเปิดเผยและโดยสุจริตใจ |
|||
หลังจากที่ในหลวงอานันท์ได้เสด็จสวรรคตไปเพียงไม่กี่นาที สถานที่เกิดเหตุได้ถูกจัดเปลี่ยนอย่างจงใจเพื่อปกปิดหลักฐานต่างๆว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วคืออะไร บุคคลที่อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในตอนเช้าของวันนัั้น ไม่เคยเปิดเผยความจริงต่อหน้าสาธารณะว่าได้เกิดอะไรขึ้น และบุคคลคนเดียวในขณะนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คือ ตัวกษัตริย์ภูมิพลนั่นเอง ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่เคยเปิดเผยเลยว่าอะไรได้เกิดขึ้น และคงจะนำความลับนี้ลงสู่หลุมฝังศพไปพร้อมๆ กับตัวพระองค์เอง ถึงแม้ว่าจะมีการทำลายหลักฐานต่างๆ และข้อเท็จจริงตามที่บุคคลที่เกี่ยวข้องได้โกหกว่าอะไรเกิดขึ้นในกรณีสวรรคต แต่จุดสำคัญประการแรกคือ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ลอบสังหารที่ไม่มีใครรู้จัก สามารถหลบหลีกเข้าไปในพระบรมมหาราชวังในตอนเช้าของวันนั้นได้ การนำเอาปืนสั้น โคลท์ .45 อัตโนมัติออกมาจากตู้ที่อยู่ข้างเตียงนอนของพระองค์ ยิงพระองค์ตรงกลางศีรษะด้วยปืนกระบอกนั้น แล้วหลบหนีไปได้โดยที่ไม่มีใครเห็นเลย คนที่เป็นฆาตกรจะต้องเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่พักอาศัยในพระที่นั่งบรมพิมานเท่านััน |
|||
แต่ทันทีหลังจากที่ในหลวงอานันท์สวรรคตไปแล้ว กลับมีการกระจายข่าวออกไปอย่างกว้างขวางว่า พระองค์ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมคือฆ่าตัวตายเอง พระชนนีศรีสังวาลย์ ได้ขอร้องกับนายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์ ให้ประกาศว่า การสวรรคตเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากตัวในหลวงอานันท์เอง นายปรีดีและรัฐบาลก็ยินยอมทำตามคำขอร้องนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ในหลวงอานันท์จะยิงพระองค์เองด้วยความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุทำปืนลั่น ในขณะที่ปืนกระบอกนี้จี้อยู่ตรงหน้าผากของพระองค์ขณะที่นอนหงาย และจากวิถีกระสุนที่วิ่งจากหน้าผากผ่านกระโหลกศีรษะทะลุท้ายทอยของในหลวงอานันท์ ขณะฝ่ายนิยมระบอบเจ้าหลายคนที่เป็นนักการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้เริ่มการปล่อยข่าวว่า นายปรีดี พนมยงค์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ นำการสวรรคตมาแสวงหาผลประโยชน์เพื่อต้องการฟื้นระบอบเจ้าแบบเก่า เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้คืนกลับสู่อดีต |
|||
วันที่ 13 มิถุนายน2489 อุปทูตชาร์ล ดับเบิ้ลยู โยสท์ (Charge d’affaires Charles W. Yost ) ส่งโทรเลขลับไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกรุงวอชิงตัน เล่าถึงการสนทนากับนายดิเรก ชัยนาม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เพิ่งเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ภูมิพลที่ได้กล่าวยืนยันกับนายดิเรกว่า ข่าวลือต่างๆ ที่ว่านายปรีดีวางแผนปลงsพระชนม์หรือนายหลวงปลงพระชนม์พระองค์เอง เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และพระองค์มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การสวรรคตของในหลวงอานันท์เป็นเรื่องอุบัติเหตุ…… ขณะที่มรว.เสนีย์ ปราโมชส่งหลานและภรรยาของตนไปที่สถานทูตของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีปรีดีเป็นผู้วางแผนทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ |
|||
นายปรีดีและรัฐบาลของเขาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทำหน้าที่ค้นหาความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ในวันที่ 18 มิถุนายน 2489ประกอบด้วย ประธานศาลทั้งสามศาล พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา และอนุกรรมการทางการแพทย์จากหลายฝ่าย |
|||
ขณะที่ฝ่ายนิยมระบอบเจ้าได้ปล่อยข่าวว่า กษัตริย์ภูมิพลก็กำลังตกอยู่ในอันตรายด้วย และขอการสนับสนุนจากทูตสหรัฐและอังกฤษ เพื่อการทำรัฐประหารรัฐบาลของนายปรีดี โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องพระราชวงศ์ ขณะที่รายงานจากคณะแพทย์เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน2489 ลงความเห็นว่ามีคนยิงรัชกาลที่ 8 |
|||
โทรเลขลับจากเอกอัครราชทูตอังกฤษเซอร์เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สัน บันทึกการเปิดเผยของนายดิเรก ชัยนาม ว่าทางวังสั่งให้ปกปิดรายงานของคณะแพทย์เป็นความลับห้ามเผยแพร่เด็ดขาด |
|||
ความพยายามของรัฐบาลนายปรีดี ที่พยายามชี้ว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุนับเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของรัฐบาลเอง แม้ว่านายกปรีดีมีเจตนาจะรักษาศักดิ์ศรีของสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นรัฐบาลนายปรีดีจำเป็นต้องดำเนินการสอบสวนเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจของตน โดยไม่ต้องไปหวั่นเกรงเรื่องใดๆอีกต่อไปโดยอาจมีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ถ้าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวกษัตริย์ เพราะได้เห็นพิรุธชัดเจนว่าฝ่ายราชวังได้รีบทำความสะอาดเพื่อลบร่องรอยพยานหลักฐานก่อนที่จะยอมให้ใครเข้าไปในห้องพระบรรทมที่เกิดเหตุ ส่วนปืนก็ได้ถูกนำมาวางไว้ข้างๆ และมีการจัดฉากสร้างกระแสให้เกิดความสะเทือนใจ และโกรธแค้น เพื่อโหมโจมตีนายกรัฐมนตรีปรีดีอย่างขนานใหญ่หลายระลอก |
|||
ส่วนกษัตริย์ภูมิพลแสดงอาการรู้สึกหดหู่อย่างเห็นได้ชัดต่อการสวรรคตของพระเชษฐา กษัตริย์ภูมิพลดูเหมือนป่วยและซึมเศร้าตลอดเวลาไม่อยากพูดจา และเสด็จไปประทับยังเมืองโลว์ซานน์พร้อมพระชนนี เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489เพื่อศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลว์ซานน์ ถึงแม้ว่าการไว้ทุกข์ยังไม่ครบ 100 วัน แต่พระองค์ยังคงมีอาการซึมเศร้าเสมอ นานๆครั้งจึงจะเข้าไปเรียนในห้องเรียน และไม่เคยเรียนจบปริญญาใดๆเลย ในปลายปี 2489 พระองค์ส่งข้อความว่า จะไม่เสด็จกลับกรุงเทพเพื่อร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพของในหลวงอานันท์ ดูเหมือนว่าพระองค์มีพระประสงค์จะประทับอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกเป็นเวลาสองถึงสามปี เพื่อที่จะได้สำเร็จการศึกษาของพระองค์ โดยไม่มีแนวโน้มเลยว่า จะสามารถไขปริศนาเบื้องหน้าเบื้องหลังให้กระจ่างแจ้งออกมาได้ |
|||
'''มีแต่ภูมิพล ที่เป็นคนยิงรัชกาลที่ 8''' |
|||
ในขณะที่การสืบสวนกรณีสวรรคตได้เริ่มเข้มข้นขึ้นถึงจุดที่พุ่งเป้าไปยังกษัตริย์ภูมิพลว่าเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 และต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ รัฐบาลกลัวว่าจะมีผลกระทบที่สั่นคลอนต่อเสถียรภาพในการเปิดเผยเรื่องราวนี้ออกมา และไม่ต้องการให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติ |
|||
ขณะที่พวกเจ้าบางฝ่ายได้จัดเตรียมให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แทน รัฐบาลนายปรีดีได้ตัดสินใจเก็บข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวโยงถึงกษัตริย์ภูมิพลไว้เป็นความลับและทำการควบคุมการเสนอข่าวสารมิให้โยงใยไปถึงตัวกษัตริย์ภูมิพล ดังนั้น พวกนิยมระบอบเจ้าจึงต้องรีบทำการโค่นล้มรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ 8พฤศจิกายน 2490 โดยร่วมมือกับกลุ่มคณะทหารของจอมพล ป พิบูลสงคราม ใช้การโหมโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า นายปรีดี พยายามปกปิดซุกซ่อนหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับกรณีสวรรคต เพื่อสร้างความชอบธรรมให้การยึดอำนาจของพวกเขา นายปรีดี พนมยงค์ได้หลบหนีออกนอกประเทศเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง แล้วทำการกล่าวหาจับกุมมหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนีพร้อมกันกับนายเฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขาธิการ รัฐบาลนายควงที่มาจากการรัฐประหารได้กล่าวหาว่า พวกเขาร่วมกันวางแผนเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีนายปรีดีเป็นต้นคิดในการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ แต่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ซึ่งเป็นรัชทายาทของการสืบราชสมบัติ ได้แจ้งกับเอกอัครราชทูตอังกฤษ เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สันว่ารัฐบุรุษอาวุโสไม่เคยมีส่วนรู้เห็นแต่ประการใดในเรื่องการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 8 และที่สำคัญคือกรณีสวรรคตน่าจะเกิดจากที่พระอนุชาภูมิพลทำปืนลั่นโดยอุบัติเหตุ จึงต้องปกปิดเป็นความลับต่อไปอีกนานรวมทั้งการที่รัฐบาลต้องหาทางแก้ตัวให้กษัตริย์ภูมิพล รัฐบาลนายปรีดีต้องพยายามปกปิดข้อเท็จจริงแต่มันกลายเป็นว่าทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์กลับได้บาป |
|||
ในเวลานั้น ได้เกิดความตื่นตระหนกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องที่กษัตริย์ภูมิพลปฏิเสธที่จะเสด็จกลับจากเมืองโลว์ซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และความกังวลใจเรื่องที่กษัตริย์ภูมิพลมีส่วนรู้เห็นในกรณีสวรรคต ซึ่งจะสั่นสะเทือนสถานภาพของพระองค์ ผู้นำของกลุ่มนิยมระบอบกษัตริย์รวมทั้งนายควง อภัยวงศ์หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2491 พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน2490 จากเดือนสิงหาคม2489 จนถึงวันที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งจาก หลวงธำรงค์ได้กล่าวต่อเอกอัครราชทูตทอมพ์สันของอังกฤษอย่างหนักแน่นว่า กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงสวรรคตโดยกษัตริย์ภูมิพล โดยที่รัฐบาลของเขาไม่สามารถเปิดเผยข่าวนี้ได้ การสอบสวนที่ดำเนินการในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ได้ตัดเรื่องอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตายออกไป แต่สาธารณชนไม่ควรรับทราบสิ่งต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่สอบสวนได้ค้นพบ เนื่องจากเหตุผลของความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์จักรี นายกรัฐมนตรีหลวงธำรงได้มีคำสั่งห้ามทุกคนเปิดเผยข้อเท็จจริงตามสำนวนการสอบสวนโดยเด็ดขาด |
|||
ในเดือนถัดมา หลวงธำรงค์ฯ ได้กล่าวอย่างชัดเจนยิ่งกว่าทุกๆ ครั้ง กับนายเอ๊ดวิน สแตนตั้น (Ambassador Edwin Stanton ) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในการดื่มน้ำชาร่วมกันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2491 ที่สถานทูตสหรัฐ ว่ากรณีสวรรคตอันเศร้าสลดคงจะต้องเป็นความลับสุดยอดของประเทศไปแล้ว แม้ว่าหลักฐานต่างๆที่มีการรวบรวมกันในขณะที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น มีแนวโน้มที่จะพัวพันเชื่อมโยงมุ่งไปที่กษัตริย์ภูมิพลองค์ หลวงธำรงค์และนายปรีดีเองต่างก็อยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมปากแบบเดียวกัน เพราะถ้ามีการเปิดเผยว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เกี่ยวข้องกรณีสวรรคตอย่างแท้จริง เชื่อว่ากษัตริย์ภูมิพลคงจะต้องสละราชสมบัติ และคงเกิดเรื่องสับสนอลหม่านติดตามมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิตจะเป็นรัชทายาทผู้สืบราชสมบัติองค์ต่อไป แต่พระองค์เจ้าจุมภฏฯ และพระชายาไม่ได้รับความนิยม รัชทายาทองค์ต่อมาจากพระองค์เจ้าจุมภฏคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ก็ไม่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ขณะที่อำนาจของสถาบันกษัตริย์ยังคงฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย |
|||
และพี่น้องตระกูลปราโมชคือ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์และ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ได้ร่วมกันวางแผนเตรียมการประกาศว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ โดยพวกเขาหวังว่าจะเป็นการบังคับให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติเพื่อเปิดทางให้กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นเป็นกษัตริย์แทน |
|||
นายเคนเนท แลนดอน ( Kenneth Landon )ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานฝ่ายเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งโทรเลขถึงกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์2491 มีข้อความว่า…รายงานล่าสุดจากแหล่งข่าวหลายแห่ง ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ ส่งผลให้ นายควง เตรียมที่จะแถลงการณ์ว่า กษัตริย์ภูมิพลปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์โดยอุบัติเหตุ ซึ่งกษัตริย์ภูมิพลจะสละราชสมบัติ ต่อจากนั้นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร จะได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป เนื่องจากพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูง รวมทั้งมีความมั่งคั่งอย่างมากด้วย พร้อมทั้งมีประสบการณ์อย่างยาวนานด้านการเมืองภายในวัง แต่จอมพล ป พิบูลสงคราม ยืนกรานคัดค้านข้อเสนอของนายควงที่จะให้พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป แม้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ด้วยความตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุก็ตาม จอมพลป.และนายปรีดีเป็นคู่ปรปักษ์หรือศัตรูทางการเมืองซึ่งสังกัดอยู่ในพรรคการเมืองเดียวกัน แม้ว่าเขาทั้งสองเห็นพ้องต้องกันในการต่อต้านไม่ให้สถาบันกษัตริย์กลับคืนสู่อำนาจอีก แต่พวกเขาไม่ได้ต่อต้านกษัตริย์ภูมิพลเพราะว่าพระองค์ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและไม่มีบริวารห้อมล้อม จอมพล ป ซึ่งเป็นนายทหารผู้มีอิทธิพลมากของกองทัพ ได้รีบทำรัฐประหารล้มรัฐบาลของนายควง ในเดือนเมษายน 2491 เพราะจอมพล ป. ต้องการให้กษัตริย์ภูมิพลครองราชบัลลังก์ต่อไป โดยจะใช้พยานหลักฐานในคดีสวรรคตมาต่อรองผลประโยชน์กับกษัตริย์ภูมิพลได้ในภายหลัง |
|||
{| class="wikitable" |
|||
| |
|||
|- |
|||
|'''เฉลียว บุศย์ และชิต ในศาล''' |
|||
|} |
|||
การพิจารณาคดีการเสด็จสวรรคตของในหลวงอานันท์ได้เริ่มขึ้น ในตอนบ่ายของวันพุธที่ 28 กันยายน 2491 โดยมีมหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี รวมทั้งนายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งเป็นอดีตราชเลขาธิการ ถูกกล่าวหาว่า สมคบกันทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ การพิจารณาคดีและการอุทธรณ์ได้ถูกดึงให้ยืดเยื้อเป็นเวลามากกว่า 6 ปี |
|||
ในท้ายที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้เสด็จกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างเมื่อเดือนมีนาคม 2493 เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพฯพระเชษฐาของพระองค์ และเข้าพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ รวมทั้งพิธีราชาภิเษกสมรสกับ มรว.หญิงสิริกิติ์ กิติยากร แล้วพระองค์ก็เสด็จออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2493 ซึ่งเป็นเวลาเพียงสองสามวัน ก่อนที่จะครบรอบการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐา ต่อมาพระองค์จึงได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่พระมหากษัตริย์เมื่อปลายปี 2494 กษัตริย์ภูมิพลทรงทราบดีว่า นายบุศย์ ปัทมศริน, นายชิต สิงหเสนี และนายเฉลียว ปทุมรส ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เกี่ยวกับการปลงพระชนม์ของพระเชษฐาของพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่กระทำการใดๆ เพื่อช่วยชีวิตของพวกเขา บุคคลทั้งสามได้ถูกประหารชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2498 ด้วยข้อหาอาชญากรรมที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำแต่อย่างใด |
|||
กษัตริย์ภูมิพลได้เปลี่ยนคำให้การของพระองค์เองหลายครั้ง ทั้งๆที่กษัตริย์ภูมิพลเคยยืนยันอย่างแข็งขันไม่กี่วันหลังจากที่พระเชษฐาสวรรคตว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่พระองค์กลับยกเลิกคำให้การเหล่านั้นในการพิจารณาคดีครั้งต่อมา โดยพระองค์หันไปเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลายเรื่อง ที่เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือคือให้ร้ายนายเฉลียว ปทุมรส กษัตริย์ภูมิพลได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ บีบีซี ซึ่งออกอากาศเมื่อปี 2523 โดยแก้ตัวว่า การคดีสวรรคตเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อน จากการอำพรางคดีโดยบุคคลหลายคนที่มีอำนาจมากทั้งในและต่างประเทศที่ไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง |
|||
ระหว่างปีทศวรรษ 2530กษัตริย์ภูมิพลยังได้ให้นายวิลเลียม สตีเวนสัน (William Stevenson )นักเขียนชาวแคนาดา เขียนชีวประวัติกึ่งทางการโดยกษัตริย์ภูมิพลแต่งเรื่องว่านายมาซาโนบุ ซูจิ ( Masanobu Tsuji )นายทหารที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นได้ลักลอบเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง โดยปลอมตัวเป็นพระภิกษุ |
|||
ทั้งๆที่นายมาซาโนบุ ซุจิ ผู้นี้ไม่ได้อยู่ใกล้กรุงเทพเลย ในขณะที่ในหลวงอานันท์ถูกปลงพระชนม์ การเปลี่ยนเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่าไปเรื่อยๆของกษัตริย์ภูมิพลเอง แสดงให้เห็นพิรุธว่า กษัตริย์ภูมิพลพยายามปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 โดยที่กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยให้คำอธิบายที่น่าเชื่้อถือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกเกี่ยวที่ภายในวงการระดับสูงของประเทศไทย กลับรับรู้กันมาตลอดว่า กษัตริย์ภูมิพลเองที่เป็นผู้ปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ ซึ่งอาจจะเป็นอุบัติเหตุ |
|||
บันทึกของนางมากาเร็ต แลนดอน |
|||
('''Margaret Landon)''' |
|||
นางมากาเร็ต แลนดอนเป็นภรรยาของนายเคนเนท แลนดอน (Kenneth Landon )นักการทูตสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2514 ได้เขียนบันทึกด้วยลายมือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตเก็บไว้ที่หอสมุดวิทยาลัยวีตั้น ( Wheaton College ) สหรัฐอเมริกา อ้างการสนทนากับนางลิเดีย ณ ระนอง ( Lydia Na Ranong ) ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลผู้ดีของจีนและเป็นคนสนิทของกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูงในกรุงเทพฯที่ได้เล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาจากแวดวงของพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ว่า มหาดเล็กทั้งสองคน คือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี ได้รู้เห็นต่อการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ |
|||
โดยที่อดีตราชเลขาธิการ คือ นายเฉลียว ปทุมรส มีความสัมพันธ์เป็นชู้สาวกับนางสังวาลย์ และอยู่ในห้องบรรทมของพระนางในขณะที่ในหลวงอานันท์ถูกยิงสวรรคต โดยพระนางสังวาลย์ ซึ่งเป็นพระชนนีมาจากตระกูลสามัญชนและไม่เคยได้รับความชื่นชอบ จากกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่เลย |
|||
พระนางเจ้าสว่างวัฒนาส่งเจ้าฟ้ามหิดลไปเรียนที่อเมริกา ได้ส่งเด็กสาวให้เป็นผู้ติดตามไปด้วยสองคนไปเรียนให้ดูเหมือนว่าไปเรียนด้วยกัน แต่ที่จริงแล้วก็ส่งไปเป็นเมียน้อยเพื่อประกบเจ้าฟ้ามหิดล เพราะพระนางสว่างวัฒนากลัวว่าเจ้าฟ้ามหิดลจะไปได้ผู้หญิงต่างชาติเป็นเมีย |
|||
แต่เจ้าฟ้ามหิดลได้ตกหลุมรักกับนางสาวสังวาลย์และตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับเธอ ซึ่งได้สร้างความตกตะลึงในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์เป็นอย่างมาก โดยมีแนวโน้มว่าพระนางเจ้าสว่างวัฒนาและรัชกาลที่ 6 คงยังคงปฎิเสธที่จะจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรส แต่เจ้าฟ้ามหิดลเองได้วางแผนให้เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นผู้ประกอบพิธีอภิเษกสมรสให้จนสำเร็จ แต่พระบรมวงศานุวงศ์ก็ยังแสดงความเกลียดชังต่อนางสังวาลย์ตลอดมา |
|||
ในตอนเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ในหลวงอนันท์อานันท์ยังประชวรอยู่ โดยบรรทมอยู่บนเตียงพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาเล่น เจ้าฟ้าชายภูมิพลเสด็จเข้ามาข้างในห้องบรรทม ในหลวงอานันท์จับปืนขึ้นจ่อมาที่พระเศียรของเจ้าฟ้าภูมิพลและกล่าวว่า “ ฉันสามารถฆ่าเธอได้ ” แต่เจ้าฟ้าภูมิพลก็แย่งปืนมาและยกปืนจ่อที่พระเศียรของในหลวงอานันท์ แล้วกล่าวว่า “ ฉันก็ฆ่าเธอได้เช่นกัน ” ในหลวงอานันท์ ร้องว่า “ เหนี่ยวไกเลย เหนี่ยวไกเลย ” |
|||
ฝ่ายพระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า การสืบราชสมบัตินั้นจะถูกผ่านมายังพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทั้งๆที่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ได้ถูกกันออกไปแล้วตามพระประสงค์ของรัชกาลที่ 6เนื่องจากว่า พระมารดาของพระองค์เป็นชาวรัสเซีย บุคคลที่น่าจะได้รับการเลือกให้สืบราชบัลลังก์ตามหลักแล้วน่าจะเป็นพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร แต่พระองค์ไม่มีพระโอรส และมีแต่เพียงพระธิดา ซึ่งสมรสกับผู้ชายชาวฝรั่งเศส นายปรีดี พนมยงค์ มีจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเขียนโดยจอม ป พิบูลสงคราม 1 ปีก่อนหน้าที่จอมพลแปลกจะถึงแก่อสัญกรรม โดยยอมรับสารภาพว่า ข้อกล่าวหาให้ร้ายนายปรีดีในกรณีสวรรคตล้วนเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น และตัวจอมพล ป.เอง ก็รู้ดีในเรื่องนี้เจ้าฟ้าภูมิพลก็ทำตามนั้นและก็ได้สังหารหรือปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์จริงๆ นางลิเดียเชื่อว่า การปลงพระชนม์เป็นอุบัติเหตุ และมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีการจัดการสะสางข้อเท็จจริงกันเลย เจ้าฟ้าภูมิพลตกใจจนลนลานและหวาดกลัวสุดขีด หลังจากนั้น มหาดเล็กสองคนก็ต้องถูกประหารชีวิตเนื่องจาก ได้เห็นการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า พระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า พระชนนีสังวาลย์ควรจะต้องยืนกรานที่จะเปิดเผยความจริงให้เป็นที่รับรู้กัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการสวรรคตเป็นเรื่องของอุบัติเหตุโดยแท้ มิใช่การฆาตกรรมหรือเจตนาปลงพระชนม์ และประชาชนควรได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้น เจ้าฟ้าภูมิพลควรสละราชสมบัติไปเป็นพระภิกษุตลอดชีวิตและยินยอมให้ราชสมบัตินั้นเปลี่ยนผ่านไปยังสมาชิกของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นแทน วิธีการนี้จะเป็นวิถีทางที่น่ายกย่องซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุจริตใจ |
|||
* |
|||
=== จำเลยทั้งสามเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ === |
=== จำเลยทั้งสามเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ === |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 00:17, 24 ตุลาคม 2561
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล | |
---|---|
เจ้าพนักงานประกอบพระลองทองใหญ่ กางกั้นด้วยพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรจากคำบรรยายภาพของสำนักพระราชวัง เจ้าพนักงานประกอบพระลองทองใหญ่ กางกั้นด้วยพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรจากคำบรรยายภาพของสำนักพระราชวัง | |
การสวรรคต | |
พระปรมาภิไธย | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย |
วันสวรรคต | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 |
สถานที่สวรรคต | พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง |
ประดิษฐานพระบรมศพ | พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง |
พระโกศ | พระบรมโกศทองใหญ่ |
ฉัตร | พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร |
พระเมรุ | พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง |
ประดิษฐานพระบรมอัฐิ | พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง |
ประดิษฐานพระสรีรางคาร | วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร |
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร สวรรคตเพราะต้องพระแสงปืนเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดผลสะเทือนต่อการเมืองไทยอย่างรุนแรง และนำไปสู่การเถลิงถวัลยราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการลดบทบาททางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ ภายหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 โดยกลุ่มจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทุกวันนี้กรณีดังกล่าวยังคงมีการถกเถียงกันอยู่และได้รับความสนใจในหมู่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ แต่ไม่เป็นประเด็นสาธารณะเพราะกรณีดังกล่าวพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยโดยตรง[1]
ลำดับเหตุการณ์
ลำดับเหตุการณ์ | |
---|---|
5 ธันวาคม 2488 | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัติพระนครพร้อมด้วยพระบรมราชชนนีและพระอนุชา |
9 มิถุนายน 2489 | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต |
21 มิถุนายน 2489 | เริ่มชันสูตรพระบรมศพ |
15 พฤศจิกายน 2490 | ตำรวจทำการจับกุมตัวชิต บุศย์และเฉลียว |
17 กุมภาพันธ์ 2498 | ประหารชีวิตสามจำเลย |
- วันที่ 5 ธันวาคม 2488 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัติพระนครอีกครั้งพร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช
- วันที่ 9 มิถุนายน 2489 เวลาประมาณ 9.30 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สวรรคตด้วยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน เวลาต่อมา สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าเป็น อุบัติเหตุโดยพระองค์[2] รัฐบาลประกาศให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์[3]
- วันที่ 10 มิถุนายน 2489ระหว่างการทำความสะอาดพระบรมศพ ได้พบบาดแผลที่พระปฤษฎางค์ (ท้ายทอย) ซึ่งเป็นบาดแผลที่พบใหม่ไม่ตรงกับคำแถลงการณ์ที่ออกมาในตอนแรก[4]
- ระหว่างช่วงเวลานี้ กลุ่มนิยมเจ้าและพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงหลักฐานความเชื่อมโยงของนายกฯ ปรีดี ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์[5]
- วันที่ 18 มิถุนายน 2489 รัฐบาลปรีดีประกาศตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีสวรรคต[6]
- วันที่ 21 มิถุนายน 2489 เริ่มทำการชันสูตรพระบรมศพ
- วันที่ 19 สิงหาคม 2489 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- วันที่ 23 สิงหาคม 2489 นายปรีดี ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีสวรรคต พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อมา และทำการสืบคดีต่อไป
- วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 เกิดการรัฐประหาร 2490 โดยกลุ่มทหารนอกราชการที่นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุผลด้านการทุจริตของรัฐบาล และ ปัญหาเรื่องกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 นายปรีดีและพลเรือตรี ถวัลย์ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ
- วันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 พันตรี ควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกต่อจากพลเรือตรีถวัยย์ และดำเนินการสืบสวนคดีสวรรคตต่อ
- วันที่ 15 พฤศจิกายน 2490 ตำรวจทำการจับกุมการจับคุมตัว นายชิต นายบุศย์ และ นายเฉลียว และได้ออกหมายจับนายปรีดี และเรือเอกวัชรชัย ในฐานะผู้ต้องหาร่วมกันลอบปลงพระชนม์ในหลวง ร.8[7]
- วันที่ 8 ธันวาคม 2490 แต่งตั้งพ.ต.ท.หลวงแผ้วพาลชน เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ต่อมาเปลี่ยนตัวหัวหน้าฝ่ายสืบสวนเป็นพระพินิจชนคดี พี่เขยของม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งออกจากราชการไปแล้วให้กลับเข้ามาเข้ามาทำงาน[8]
- วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2491 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นเป็นนายกแทนพันตรี ควง อภัยวงศ์ ตามมติคณะรัฐประหาร
- วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 นายปรีดี พยายามกลับไทยโดยก่อ กบฏวังหลวง ขึ้น โดยการรุกเข้ายึดครองพื้นที่พระบรมมหาราชวัง แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงต้องหลบหนีออกนอกประเทศ และไม่กลับประเทศไทยอีกเลยตลอดชีวิต
- วันที่ 5 มิถุนายน 2493 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จกลับมาประเทศไทย เพื่อ ประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพ, พระราชพิธีอภิเษกสมรส, และบรมราชาภิเษกแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- วันที่ 27 กันยายน 2494 ศาลชั้นต้นมีมติให้ประหารนายชิต ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นธันวาคม 2494 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการถาวร ระหว่างนั้นจอมพล ป. พิบูลสงครามทำรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ขณะในหลวงทรงอยู่ในเรือที่กำลังเข้ามาในน่านน้ำไทย และเสด็จถึงเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2494
- วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2498 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบให้ เรื่องโปรดเกล้าฯให้ยกฎีกานี้ (ขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ ชิต บุศย์ เฉลียว) ตามที่ราชเลขาธิการแจ้งมาว่า ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว โปรดเกล้าฯให้ยกฎีกานี้และมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้เตรียมการประหารนักโทษทั้ง 3
- วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลาตี 2 หัวหน้ากองธุรการเรือนจำอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้นักโทษทั้งสามฟัง และแจ้งว่า “บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามแล้ว โดยพระองค์ได้ทรงขอให้คดีดำเนินไปตามตัวบทกฎหมาย ดังที่ศาลสถิตย์ยุติธรรมชั้นสูงได้ตัดสินไปแล้ว" และประหารชีวิต นาย เฉลียว ด้วยปืนกล 20 นาทีต่อมาได้นำตัว นายชิต ไปประหาร ถัดมาอีก 20 นาที จึงนำตัวนายบุศย์ ไปประหาร[ต้องการอ้างอิง]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เหตุการณ์ช่วงสวรรคต
9 มิถุนายน 2489 (วันเกิดเหตุ)
ประมวลจากหนังสือ กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489 หน้า 7-20 และ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.8 หน้า 17-19[9]
- เวลาประมาณ 5 นาฬิกาเศษ สมเด็จพระราชชนนีทรงตื่นบรรทมแล้วเสด็จเข้าไปปลุกในหลวงอานันท์ที่ห้องนอน (เสด็จผ่านห้องแต่งพระองค์) เพื่อถวายน้ำมันละหุ่ง (มหาดเล็ก 2 คนช่วยยกถาดตามเสด็จ) หลังจากนั้นในหลวงอานันท์ทรงบรรทมต่อ พระราชชนนีกลับไปบรรทมต่อเช่นกันที่ห้องของพระองค์เอง (มหาดเล็กกลับลงชั้นล่าง)
- เวลาประมาณ 6.20 น. บุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเข้าเวรถวายงานที่พระที่นั่งบรมพิมาน ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
- เวลาประมาณ 7.00 น. - 8.00 น. มหาดเล็กรับใช้ขึ้นไปบนพระที่เตรียมจัดตั้งโต๊ะเสวย
- เวลาประมาณ 7 นาฬิกาเศษ บุศย์ ปัทมศริน เริ่มเวรมหาดเล็กประจำห้องบรรทมในหลวงอานันท์ ยกแก้วน้ำส้มคั้นมาเตรียมถวาย โดยนั่งรออยู่ที่หน้าห้องแต่งพระองค์
- เวลาประมาณ 8 นาฬิกาเศษ ในหลวงอานันท์ตื่นบรรทม เข้าห้องสรง ออกจากห้องสรงผ่านห้องแต่งพระองค์กลับไปยังห้องนอน บุศย์ยกน้ำส้มคั้นตามเข้าไปในห้องนอนเพื่อถวาย ในหลวงทรงโบกพระหัตถ์ไม่ต้องการ แล้วเสด็จขึ้นแท่นบรรทม บุศย์จึงวางน้ำส้มไว้ที่ธรณีประตู แล้วกลับมานั่งที่เดิม
- เวลา 8.55 ชิต สิงหเสนี ขึ้นไปบนพระที่นั่ง เพื่อวัดขนาดดวงพระตราเพื่อเอาไปให้ช่างทำหีบดวงพระตรา ชิตกับบุศย์นั่งคอยอยู่หน้าห้องแต่งพระองค์
- เวลา 9.00 น. พระพี่เลื้ยงเนื่อง (เนื่อง จิตตดุลย์) ขึ้นไปบนพระที่นั่ง เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชชนนีจัดห้องแล้วเก็บฟิล์มหนังในห้องสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช
- เวลาประมาณ 9 นาฬิกาเศษ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดชทรงเสวยพระกระยาหารเช้าพระองค์เดียว ณ มุขพระที่นั่งด้านหน้ามีมหาดเล็กรับใช้ 2 -3 คนเสด็จออกจากโต๊ะเสวยไปทางห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พบชิต สิงหเสนี, บุศย์ ปัทมศริน ที่หน้าห้องแต่งพระองค์ทรงถวายพระอาการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วเสด็จกลับห้องของพระองค์
- เวลาประมาณ 9.20 น. เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ภายในห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชิตสะดุ้งอยู่มองหน้าบุศย์และคิดหาที่มาของเสียงปืนอยู่ประมาณ 2 นาที จึงเข้าไปในห้องพระบรรทม พบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมหลับอยู่เป็นปกติ แต่ปรากฏว่ามีพระโลหิตไหลเปื้อนพระศอและพระอังสะ (ไหล่) ด้านซ้าย ชิตจึงวิ่งไปที่ห้องบรรทมของสมเด็จพระราชชนนีแล้วกราบทูลว่า “ในหลวงยิงพระองค์”[10] สมเด็จพระราชชนนีตกพระทัย ทรงร้องขึ้นได้เพียงคำเดียวและรีบวิ่งไปที่ห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทันที ชิต, พระพี่เลี้ยงเนื่อง, สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ, และจรูญได้วิ่งตามเสด็จสมเด็จพระราชชนนีไปติด ๆ
ขณะนั้นมีคนอยู่บริเวณพระที่นั่งชั้นบน 8 ด้วยกันคือ
- สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (บรรทมอยู่ในห้องของพระองค์)
- ชิต สิงหเสนี (นั่งอยู่หน้าประตูห้องแต่งพระองค์)
- บุศย์ ปัทมศริน (นั่งอยู่หน้าประตูห้องแต่งพระองค์)
- ฉลาด เทียมงามสัจ (อยู่ห้องเสวยมุขพระที่นั่ง)
- จรูญ ตะละภัฎ (อยู่ในห้องสมเด็จพระบรมราชชนนี)
- พระพี่เลี้ยงเนื่อง (อยู่ในห้องสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช)
- สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช (อยู่ในห้องเครื่องเล่น)
- สมเด็จพระราชชนนี (อยู่ในห้องของพระองค์)
ขณะที่เสียงปืนดังขึ้น ชิต สิงหเสนี และบุศย์ ปัทมศริน นั่งอยู่ที่พื้นระเบียงหน้าพระทวารห้องแต่งพระองค์เป็นทางเดียวจะเข้าสู่ห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันมหิดล[11]
- เมื่อไปถึงที่ห้องพระบรรทมนั้น ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเสียแล้ว ในลักษณะของคนที่นอนหลับธรรมดา มีผ้าคลุมพระองค์ตั้งแต่ข้อพระบาทมาจนถึงพระอุระ ที่พระบรมศพมีบาดแผลกลางพระนลาฎ (หน้าผาก) บริเวณระหว่างพระขนง (คิ้ว) ข้างพระศพบริเวณข้อพระกรซ้ายมีปืนพกกองทัพบกสหรัฐ ผลิตโดยบริษัทโคลต์ ขนาดกระสุน 11 มม. ซึ่งนายฉันท์ หุ้มแพร มหาดเล็กเป็นผู้ทูลเกล้าฯถวาย[12] วางอยู่ในลักษณะชิดข้อศอก ด้ามปืนหันออกจากตัว ปากกระบอกปืนชี้ไปที่ปลายพระแท่นบรรทม สมเด็จพระราชชนนีได้โถมพระองค์เข้ากอดพระบรมศพของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอต้องพยุงสมเด็จพระราชชนนีไปประทับที่พระเก้าอี้ปลายแท่นพระบรรทม
- จากนั้นสมเด็จพระราชชนนีจึงมีรับสั่งให้ตามพันตรี นายแพทย์ หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ (นิตย์ เปาเวทย์) แพทย์ประจำพระองค์ มาตรวจพระอาการของในหลวง ส่วนพระพี่เลี้ยงเนื่องได้จับพระชีพจรของในหลวงที่ข้อพระหัตถ์ซ้าย พบว่าพระชีพจรเต้นอยู่เล็กน้อยแล้วหยุด พระวรกายยังอุ่นอยู่ จึงเอาผ้าคลุมพระองค์มาซับบริเวณปากแผล และปืนกระบอกที่คาดว่าเป็นเหตุทำให้ในหลวงสวรรคตไปให้บุศย์เก็บพระแสงปืนไว้ที่ลิ้นชักพระภูษา เหตุการณ์ช่วงนี้ได้ก่อปัญหาในการพิสูจน์หลักฐานในเวลาต่อมาเมื่อมีการจัดตั้ง “ศาลกลางเมือง” เพื่อสอบสวนกรณีสวรรคต
- เวลาประมาณ 10.00 น. หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ได้มาถึงสถานที่เกิดเหตุและตรวจพระอาการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตแล้ว โดยบริเวณปากแผลมีผ้าพันแผลพันอยู่ เมื่อแกะผ้าพันแผลออกไม่พบรอยเขม่าดินปืน นอกจากนี้พระบรมศพยังได้ถูกชำระในขั้นต้นไปแล้วตามคำสั่งของสมเด็จพระราชชนนี[13] โดยสมเด็จพระราชชนนีได้ให้เหตุผลว่า จะได้ไม่เป็นการลำบากในการเตรียมงานถวายน้ำสรงพระบรมศพในช่วงบ่าย
- ในช่วงเวลาเดียวกัน พระยาเทวาธิราช (หม่อมราชวงศ์เทวาธิราช ป. มาลากุล) สมุหพระราชพิธีได้เดินทางไปที่ทำเนียบท่าช้าง ที่พักของปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งข่าวการสวรรคต (ขณะนั้นปรีดีประชุมกับหลวงเชวงศักดิ์สงคราม (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) พลตำรวจเอก พระรามอินทรา (ดวง จุลัยยานนท์) (อธิบดีกรมตำรวจ) และหลวงสัมฤทธิ์ สุขุมวาท (สัมฤทธิ์ สุขุมวาท) (ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล) เรื่องกรรมกรที่มักกะสันหยุดงานประท้วง)
- ประมาณ 11.00 น. ปรีดีมาถึงพระที่นั่งบรมพิมาน และสั่งให้พระยาชาติเดชอุดม (หม่อมราชวงศ์โป๊ะ มาลากุล) อัญเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และเชิญคณะรัฐมนตรี มาประชุมเกี่ยวกับเรื่องการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ประชุมสรุปว่าให้ออกแถลงการณ์แจ้งให้ประชาชนทราบว่า การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเป็นอุบัติเหตุ แถลงการณ์ของกรมตำรวจที่ออกมาในวันนั้นก็มีเนื้อหาในลักษณะเดียวกัน
- เวลา 21.00 น. รัฐบาลเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการด่วน เพื่อแจ้งให้สภาทราบเรื่องการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และสรรหาผู้สืบราชสมบัติ ที่ประชุมได้ลงมติถวายราชสมบัติให้แก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช ขึ้นสืบราชสมบัติ เป็น "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" จากนั้นปรีดีประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
10 มิถุนายน 2489
- เจ้าหน้าที่และแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้เดินทางมาทำการฉีดยารักษาสภาพพระบรมศพ ระหว่างการทำความสะอาดพระบรมศพเพื่อเตรียมการฉีดยานั้น คณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ได้พบบาดแผลที่พระปฤษฎางค์ (ท้ายทอย) ซึ่งเป็นบาดแผลที่ทะลุจากรูกระสุนปืนที่พระพักตร์บริเวณพระนลาฏ (หน้าผาก) ตรงระหว่างพระขนง (คิ้ว) ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า ที่จริงแล้วในหลวงถูกลอบปลงพระชนม์ เนื่องจากบาดแผลที่พบใหม่ไม่ตรงกับคำแถลงการณ์ที่ออกมาในตอนแรก และเนื่องจากบาดแผลที่ท้ายทอยเล็กกว่าที่พระนลาฏ ซึ่งโดยปกติลักษณะบาดแผลรูเข้าจะมีขนาดเล็กกว่ารูออก จึงเกิดข่าวลือว่าอาจจะถูกยิงจากข้างหลัง ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยว่ารัฐบาลมีส่วนในการปลงพระชนม์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรมตำรวจจึงออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่าได้ตั้งประเด็นการสวรรคตไว้ 3 ประเด็น คือ
- มีผู้ลอบปลงพระชนม์
- ทรงพระราชอัตวินิบาตกรรม (ปลงพระชนม์เอง)
- เป็นอุบัติเหตุ
11 มิถุนายน 2489
- กรมตำรวจยังคงแถลงการณ์ยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตด้วยอุบัติเหตุ แต่ประชาชนยังคงมีความคลางแคลงใจต่อรัฐบาลอยู่เช่นเดิม ในวันนี้ทางกรมตำรวจได้นำปืนของกลางที่พบในวันสวรรคตไปให้กรมวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ
- ปรีดี พนมยงค์ ได้รับเลือกจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
18 มิถุนายน 2489
ประเด็นสวรรคตมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น โดยนายปรีดีเป็นผู้ต้องสงสัยในฐานะผู้บงการให้ลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่๘ เพื่อให้ตนรอดพ้นจากข้อกล่าวหา นายปรีดีจึงสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น ซึ่งถูกเรียกสั้นๆว่า ศาลกลางเมือง เพื่อทำการสืบสวนกรณีสวรรคต[14]
สถานที่เกิดเหตุ
เหตุเกิดที่ชั้น 2 ของพระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมหาราชวัง
สถานที่เกิดเหตุ คือในห้องบรรทมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 8) จากการสอบสวนพบว่า ไม่พบร่องรอยการปีนป่ายจากภายนอก และทางเข้าออกห้องบรรทมมีแค่ทางเดียวในขณะนั้น โดย
- ด้านเหนือ ทางห้องทรงพระอักษร ถูกลงกลอนจากภายในตลอดและหลังเกิดเหตุ
- ด้านตะวันตก ติดกับห้องทรงพระสำราญ มีประตู 3 บาน แต่ถูกปิดตายทั้งหมด โดยลงกลอนจากฝั่งห้องบรรทม และฝั่งห้องทรงพระสำราญมีตู้โต๊ะเก้าอี้วางกั้นอยู่ เป็นอันว่า ด้านกลางนี้ไม่ได้ใช้เป็นทางเข้าออก คงเหลือแค่เพียงทางเดียว คือ
- ด้านใต้ ตรงส่วนห้องแต่งพระองค์ ซึ่งมีนายชิต นายบุศย์ นั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลาทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ[15]
มีบันได 3 ทางที่เชื่อมชั้นล่างกับชั้น 2 คือ
- บันไดเวียน ด้านตะวันตก ที่อยู่ระหว่างห้องสมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระอนุชา แต่ถูกปิดตายไว้นานแล้วก่อนเกิดเหตุ[16] และทางเชื่อมห้องสมเด็จพระอนุชาและห้องเครื่องเล่นถูกปิดตาย แต่ประตูที่เหลือเปิดตลอดเวลา[17]
- บันไดเล็ก ติดกับห้องเครื่องเล่นเชื่อมชั้น 1 กับชั้น 2 และห้องใต้หลังคา เปิดใช้ตอน 7 โมง และจะถูกปิดเมื่อหมดเวลาคือไม่มีแขก เมื่อเปิดใช้จะมียามเฝ้าอยู่ที่ชั้นล่าง[18]
- บันไดใหญ่ เปิดตลอดเวลา เวลากลางคืนจะมียามเฝ้าชั้นบน วันที่เกิดเหตุ มียามเฝ้าอยู่ข้างล่างคนนึงคือนายพร หอมเนียม[19]
ขณะเกิดเหตุมีมหาดเล็กยืนยามอยู่ ดังที่เห็นในภาพคือ มุมหน้าพระที่นั่ง 2 คน ที่บันไดหลังข้างอ่างน้ำพุ 2 คน กับบันไดขึ้นชานชาลาสุดพระที่นั่งด้านตะวันตก 1 คน และมีชาวที่อยู่เวรที่บันไดระหว่างห้องภูษากับห้องเครื่องเล่นอีก[20]
- ร.ท.ณรงค์ สายทอง เป็นผู้บังคับกองทหารมหาดเล็กที่รักษาพระที่นั่งบรมพิมาน ได้สอบถามทหารยามทั้ง (พลทหาร ขจร ยิ้มรักษา, พลทหาร บุญชู กัณหะ, พลทหาร รอย แจ้งเวหา, พลทหาร ร่อน กลิ่นผล, พลทหารเค้า ดีประสิทธิ์) ที่อยู่เฝ้าประตูพระที่นั่ง ได้ความว่าหลังเสียงปืน ไม่มีคนวิ่งออกมจากพระที่นั่งไปข้างนอกเลย[21]
- พลทหารขจร ยิ้มรักษา เฝ้าอยู่ที่บันไดพระที่นั่งคู่กับพลทหารบุญชู ก่อนเสียงปืนไม่พบใครผ่านตนเองเข้าไปในพระที่นั่งสักคนเดียว เฝ้าอยู่จนได้ยินเสียงปืนแล้ว ก็ไม่พบว่ามีใครผ่านเข้าออก[22]
- พลทหารบุญชู กัณหะ เฝ้าอยู่ที่บันไดพระที่นั่งคู่กับพลทหารขจร หลังเสียงปืนไม่เห็นมีใครผ่านขึ้นลง จนถึง 11.00น. ก็ไม่พบเห็นผ่านเข้าออกเลย[23]
- พลทหารลอย แจ้งเวหา เฝ้าอยู่ที่บันไดข้างซ้ายด้านหลังพระที่นั่งคู่กับพลทหารร่อนอยู่ทางด้านขวา หลังเสียงปืนมีมหาดเล็กเชิญเครื่องเสวย 2 คนผ่านขึ้นลงบันไดกลาง นอกนั้นไม่พบใครผ่าน และก่อนเสียงปืนไม่มีคนแปลกปลอมผ่านไปเลย[24]
- พลทหารร่อน กลิ่นผล เฝ้าอยู่ทางบันไดหลังคู่กับพลทหารลอย หลังเสียงปืนเห็นมีคนเชิญเครื่องเสวย 2 คนผ่านขึ้นลงบันไดกลาง นอกจากนี้ไม่พบเห็นใครผ่านขึ้นลง[25]
- พลทหารเค้า ดีประสิทธิ์ เฝ้าอยู่บันไดด้านตะวันตก มีประตูอยู่แต่ถูกปิดตายไว้ และก่อนถึงหลังเสียงปืน ไม่พบเห็นใครผ่านทางประตูที่ตนเฝ้าอยู่เลย[26]
- นายพร หอมเนียม เฝ้าอยู่บันไดอัฒจันทร์ใหญ่ หลังเสียงปืนเห็นนายมณี บูรณสุตและนายมังกร ภมรบุตรขึ้นๆ ลงๆ นอกจากนี้ไม่พบเห็นมีใครแปลกปลอม[27]
โดยพระแท่นบรรทมจะมีพระวิสูตร (มุ้ง) คลุมรอบด้าน และมีเหล็กทับกดอยู่ การเข้าออกต้องแหวกพระวิสูตรเข้าไป และพระวิสูตรไม่มีรอยทะลุ หัวกระสุนพุ่งลงทะลุผ่านพระเศียร และพระเขนย (หมอน) ไปฝังในฟูกที่นอนข้างใต้[28]
การชันสูตรพระบรมศพ
ช่วงแรกหลังเหตุการณ์ ทางรัฐบาลปรีดีในขณะนั้นไม่ได้มีความคิดที่จะต้องชันสูตรพระบรมศพ และกรมขุนชัยนาทฯเองก็ได้ห้ามปรามไว้[29] ต่อมารัฐบาลฯได้ออกประกาศในขณะนั้นสันนิษฐานว่าเป็นอุปัทวเหตุ(โดยพระองค์เอง)[30] และได้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์[31] ไม่กี่วันต่อมาฝ่ายปฏิปักษ์ของปรีดีฯนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มนิยมเจ้าได้นำมาเป็นประเด็นทางการเมือง โดยกล่าวหาว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ และมีนายปรีดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้[32] เพื่อสยบข่าวลือและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ นายกปรีดีจึงประกาศจัดตั้งคณะกรรมการสืบสวนขึ้น และดำเนินการชันสูตรพระบรมศพ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้กระจ่าง[33] การชันสูตรพระบรมศพเริ่มวันที่ 26 มิถุนายน 2489[34]
สภาพพระบรมศพเริ่มแรก
ต้องอาศัยจากคำให้การบุคคลที่เข้าไปพบพระบรมศพกลุ่มแรก[35]ในการการวิเคราะห์ เนื่องจากว่าภายหลังเมื่อตำรวจไปถึงได้มีการเคลื่อนย้ายและขยับพระบรมศพและวัตถุในที่เกิดเหตุไปจากเดิมแล้ว[36]
สภาพพระบรมศพ ทรงบรรทมหงายพิงพระเขนย (หมอน) คล้ายคนนอนหลับอย่างปกติ มีผ้าคลุมตั้งแต่พระอุระ (อก) ตลอดจนถึงข้อพระบาท (ข้อเท้า) มีพระโลหิต (เลือด) ไหลโทรมพระพักตร์ (หน้า) ลงมาที่พระเขนยและผ้าลาดพระยี่ภู่ พระเศียร (ศีรษะ) ตะแคงไปทางด้านขวาเล็กน้อย บริเวณกึ่งกลางพระนลาฏ (หน้าผาก) ตรงตรงเหนือพระขนง (คิ้ว) ซ้าย มีแผลกระสุนปืน หนังฉีกเป็นแฉกคล้ายเครื่องหมายคูณกว้างยาวประมาณ 4 ซม. พระเนตร (ตา) ทั้งสองหลับสนิท ไม่ได้ฉลองพระเนตร (แว่นตา) พระเกศา (ผม) แสกเรียบอยู่ในรูปที่เคยทรง พระโอษฐ์ (ปาก) ปิด พระกร (แขน) ทั้งสองเหยียดทอดทับนอกผ้าคลุมพระองค์แนบพระวรกายตามปกติ พระหัตถ์ทั้งสองแบอยู่ในท่าธรรมดา พระบาททั้งสองเหยียดทอดชิดกันอยู่ห่างจากปลายพนักพระแท่นประมาณ 7 ซม. มีปืนของกลางขนาดลำกล้อง 11 มม. วางอยู่ข้างพระกรซ้าย ลำกล้องขนานและห่างพระกร 1 นิ้ว ปากกระบอกหันไปทางพระบาท ศูนย์ท้ายของปืนอยู่ตรงระดับข้อพระกร (ข้อศอก)
ลักษณะบาดแผล และวิถีกระสุน[37]
-
มุมด้านหน้า
-
มุมด้านหลัง
-
มุมด้านข้าง
-
มุมด้านหน้า(X-ray)
-
มุมด้านข้าง(X-ray)
-
มุมด้านเอียง(X-ray)
-
มุมกดหน้า(X-ray)
-
มุมกดหน้า(X-ray)
-
มุมกดหน้า(X-ray)
-
ภาพจำลองจากหนังสือพิมพ์
ผลการชันสูตรพระบรมศพ
การชันสูตรพระบรมศพเริ่มในวันที่ 26 มิถุนายน 2489 โดยมี นพ.สุด แสงวิเชียร และ นพ.สงกรานต์ นิยมเสน เป็นผู้ลงมือผ่าตัดพระบรมศพด้วยกัน และมี นพ.สงัด เปล่งวานิช เป็นผู้คอยจดบันทึกผล[38]
- ผลตรวจสอบสารพิษ ไม่พบว่า ร.8 ได้รับสารพิษแต่อย่างใด[39]
- วิถีกระสุนเข้าทางพระนลาฎ (หน้าผาก) บริเวณกลางหน้าผากเหนือพระขนง (คิ้ว) ซ้ายเล็กน้อย และ ทะลุออกทางพระปฤษฎางค์ (ท้ายทอย) โดยมีวิถีเฉียงจากบนลงล่าง และมีทิศทางเอียงจากซ้ายไปขวา[40]
- บาดแผลที่พระนลาฎ เป็นรูปกากบาท หนังฉีกแยกเป็น 4 แฉก ทั้ง 4 แฉกจดกัน ศูนย์กลางของแผลกากบาทอยู่ที่บริเวณกลางหน้าผากเหนือคิ้วซ้ายประมาณ 1 เซนติเมตร[41]
- ปากกระบอกปืนต้องกดชิดติดบริเวณบาดแผลเมื่อลั่นไก ไม่เช่นนั้นก็ห่างไม่เกิน 5 เซนติเมตร[42]
- ไม่พบอาการอาการ “คาดาเวอริค สปัสซัม” (Cadaveric Spasm) ในพระบรมศพ กล่าวคือเป็นอาการเกร็งค้างของกล้ามเนื้ออันเกิดจากสมองตายเฉียบพลัน (ในกรณีนี้คือถูกกระสุนปืน) เนื่องจากส่วนสมองของพระบรมศพถูกกระสุนทำลายฉับพลัน[43] ซึ่งอาจแสดงให้เห็นชัดเจนจากบริเวณ แขน ขา มือ นิ้วมือ เป็นต้น
ความเห็นแพทย์จากการชันสูตร
หลังชันสูตรพระบรมศพ คณะแพทย์ได้ลงความเห็นไว้ว่า
- ลอบปลงพระชนม์ 16 เสียง
- ปลงพระชนม์เอง 4 เสียง
- อุบัติเหตุ 2 เสียง
โดยคณะแพทย์ 20 คน เป็นแพทย์ไทย 16 คน แพทย์ต่างชาติ 4 คน (อเมริกัน 1 คน, แพทย์จากกองทัพบริติชและบริติชอินเดีย 3 คน)[44] และใน 16 คนแรกที่เพิ่งกล่าวถึง 8 คนบอกตัด “อุบัติเหตุ” ออกไปเลยว่าเป็นไปไม่ได้ (หนึ่งในนั้น นพ.ชุบ โชติกเสถียร ตัดการยิงพระองค์เองออกหมดคือ ตัด “ปลงพระชนม์เอง” ด้วย) ที่เหลือเกือบทุกคนใส่ “อุบัติเหตุ” ไว้หลังสุด (คือเรียงลำดับความเป็นไปได้ว่า “ถูกปลงพระชนม์, ปลงพระชนม์เอง หรือ อุบัติเหตุ”)[45] นอกจากนี้แพทย์บางคนที่ไม่เจาะจงตัดอุบัติเหตุทิ้ง ยังให้เหตุผลว่าแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่ก็น้อยมากไม่ถึง 1 ในล้าน เช่นนพ.หลวงพิณพากย์พิทยาเพท และนพ.ใช้ ยูนิพันธ์[46] โดยการนับของแพทย์ นับจากใครเห็นว่าเหตุใดมีน้ำหนักมากสุด ให้นับอย่างนั้นเป็น 1 อย่างอื่นไม่นับ[47]
การวินิจฉัยของศาล
ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 รัฐบาลใหม่ได้ทำการสืบสวนต่อ โดยพุ่งเป้าไปที่เป็นการลอบปลงพระชนม์ โดยมีนายชิต นายบุศย์ นายเฉลียว นายปรีดี และเรือเอกวัชรชัย เป็นจำเลย จากนั้นอัยการได้นำสืบ คดีขึ้นสู่ศาล ทั้ง 3 ศาลวินิจฉัยความเป็นไปได้ดังนี้ จากความเป็นไปได้ทั้ง 4 แบ่งเป็น
การกระทำโดยพระองค์เอง
- ตั้งใจ (ฆ่าตัวตาย)
- ไม่ตั้งใจ (อุบัติเหตุ)
การกระทำโดยผู้อื่น
- ตั้งใจ (ลอบปลงพระชนม์)
- ไม่ตั้งใจ (อุบัติเหตุ)
ศาลชั้นต้น
- กรณีที่ 1 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยตั้งใจ (ฆ่าตัวตาย) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[48]
- กรณีที่ 2 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยไม่ตั้งใจ (อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[49]
- กรณีที่ 3 การกระทำโดยผู้อื่น โดยตั้งใจ (ลอบปลงพระชนม์) ศาลมั่นใจว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์[50]
- กรณีที่ 4 การกระทำโดยผู้อื่น โดยไม่ตั้งใจ (อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[51]
ศาลชั้นอุทธรณ์
- กรณีที่ 1 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยตั้งใจ (ฆ่าตัวตาย) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[52]
- กรณีที่ 2 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยไม่ตั้งใจ (อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[53]
- กรณีที่ 3 การกระทำโดยผู้อื่น โดยตั้งใจ (ลอบปลงพระชนม์) ศาลเห็นว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์[54]
- กรณีที่ 4 การกระทำโดยผู้อื่น โดยไม่ตั้งใจ (อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าให้ตัดข้อนี้ทิ้งโดยไม่มีทางที่จะโต้แย้งได้[55]
ศาลชั้นฎีกา
- กรณีที่ 1 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยตั้งใจ (ฆ่าตัวตาย) ศาลเห็นว่ามิใช่การกระทำโดยพระองค์เอง[56]
- กรณีที่ 2 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยไม่ตั้งใจ (อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่ามิใช่การกระทำโดยพระองค์เอง[57]
- กรณีที่ 3 การกระทำโดยผู้อื่น โดยตั้งใจ (ลอบปลงพระชนม์) ศาลเห็นว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์[58]
- กรณีที่ 4 การกระทำโดยผู้อื่น โดยไม่ตั้งใจ (อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลฎีกาไม่ได้กล่าวถึงข้อนี้[59]
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่อง การสวรรคตเพราะอุบัติเหตุโดยการกระทำของผู้อื่น ในข้อสรุปรายงานของคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์สวรรคต ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2489 ก็ได้สรุปไปในทำนองเดียวกับศาล คือ "อุบัติเหตุเกิดจากการกระทำของผู้อื่นนั้นไม่มีเค้ามูลอันจำต้องพิจารณาถึง"[60]
ความเห็นแย้งศาลอุทธรณ์
หลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ทำความเห็นแย้งไว้ในชั้นศาลอุทธรณ์ว่า คดีนี้ควรพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสาม[61] นอกจากนี้ หลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ยังให้ความเห็นว่าอาจเป็นอุบัติเหตุโดยพระองค์เอง ดังที่กล่าวไว้ในในเอกสารความเห็นแย้ง[62] และกล่าวย้ำอีกครั้งในบทสัมภาษณ์ในอีกหลายปีให้หลัง[63]
ผลกระทบ
- สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชสืบราชสมบัติเป็น "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช"
ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ในเวลานั้น ได้แก่
- คดีนี้ได้กลายเป็นข้ออ้างสำคัญประการหนึ่งของรัฐประหาร พ.ศ. 2490 เนื่องจากรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (นายกรัฐมนตรีคนถัดจากปรีดี) ไม่สามารถสะสางกรณีสวรรคตได้ อนึ่ง กรณีสวรรคตยังส่งผลให้กลุ่มการเมืองสายปรีดีต้องพลอยหมดบทบาทจากการเมืองไทยภายหลังรัฐประหารครั้งนี้ด้วย
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การตั้งคณะกรรมการการสอบสวน
วันที่ 18 มิถุนายน ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อสอบหาข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ประกอบด้วยประธานศาลฎีกา อธิบดีศาลอุทธรณ์ อธิบดีศาลอาญา อธิบดีกรมอัยการ ประธานพฤฒสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เจ้านายชั้นผู้ใหญ่สามพระองค์ ผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพอากาศ โดยมีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นเลขานุการ และนายสอาด นาวีเจริญ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมการชุดนี้เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า คณะกรรมการสอบสวนพฤติกรรมในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต
การดำเนินคดี
ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ตำรวจได้ทำการจับกุม นายชิต นายบุศย์ นายเฉลียว และออกหมายจับ นายปรีดี และเรือเอกวัชรชัย
จากพยานและหลักฐานที่มีอยู่ขณะนั้น ศาลนี้เชื่อว่า นายเฉลียว นายชิตและนายบุศย์ ได้ร่วมสมคบคิดกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8[64] จึงพิพากษาดังนี้
- ศาลชั้นต้น มีมติให้ประหารชีวิต นายชิต สิงหเสนี โดยให้ยกฟ้อง นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายเฉลียว ปทุมรส
- ศาลอุทธรณ์ มีมติให้ประหารชีวิต นายชิต สิงหเสนี และ นายบุศย์ ปัทมศริน โดยให้ยกฟ้อง นายเฉลียว ปทุมรส
- ศาลฎีกามีมติ มีมติให้ประหารชีวิต นายชิต นายบุศย์ และ นายเฉลียว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๔๔/๒๔๙๗ ด้วยการยิงเป้าที่เรือนจำบางขวาง
ทฤษฎีและความเชื่อ
ปัจจุบันเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับรัชกาลที่ 8 มักจะเขียนสาเหตุของการสวรรคตไว้แต่เพียงสั้น ๆ ทำนองว่า "เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง" หลายฉบับอาจระบุสาเหตุเพิ่มเติมด้วย ทำนองว่า "เป็นเพราะพระแสงปืนลั่นระหว่างทรงทำความสะอาดพระแสงปืน" เข้าใจว่าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการโต้เถียงกรณีสวรรคต
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรณีสวรรคตนี้แม้ถึงที่สุดโดยคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้ว ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่กระจ่างชัดเจน จึงทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ ซึ่งพยายามจะอธิบายกรณีที่เกิดขึ้น โดยประเด็นหลักก็คือกรณีสวรรคตนี้ เป็นการปลงพระชนม์โดยบุคคลอื่น หรือรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำการอัตวินิบาตกรรมปลงพระชนม์ตัวพระองค์เอง
สำหรับทฤษฎีที่อยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ ก็จะต้องอธิบายประเด็นสำคัญให้ได้คือ ใครอยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต และประเด็นที่เกี่ยวข้องคือ จำเลยที่ถูกศาลฎีกาตัดสินว่ากระทำความผิดนั้น แท้จริงเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่
ผู้อยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต
ความจริงที่คนไทยโดนหลอกตลอดมา
ของ ผู้เขียน Thailand : A Kingdom in Crisis
ช่วงเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน 2489
ในหลวงอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ของประเทศสยามที่มีพระชนมายุ 21 พรรษา ได้ถูกยิงที่ศีรษะและเสด็จสวรรคตอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ในพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ตอนเย็นของวันนั้น เจ้าฟ้าชายภูมิพลอดุลยเดชซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์พระชนมายุ 19 พรรษา ได้รับการสถาปนาให้เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ได้ครองราชสมบัติตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขณะนี้พระองค์ทรงชราภาพและเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ทรงเก็บพระองค์เองอยู่ในโรงพยาบาลศิริราช แต่พระองค์ก็ยังคงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
โดยทางการแล้ว คดีฆาตกรรมเรื่องนี้ได้ถูกพรรณาไว้ว่าเป็นเรื่องลึกลับ เป็นปริศนาทางอาชญากรรมที่ผิดวิสัยที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ซึ่งไม่สามารถเฉลยข้อเท็จจริงออกมาได้ในศตวรรษที่ผ่านมา แต่ในความจริงแล้ว มันชัดเจนมาเป็นเวลานานแล้วว่าใครเป็นผู้ปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 ความจริงได้ถูกปกปิดโดยระบอบเครือข่ายนิยมกษัตริย์ของประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันแสนเข้มงวด นั่นคือ กฎหมายอาญามาตรา112 ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการบุคคลต่างๆให้กลายเป็นอาชญากร เมื่อมีการสนทนาพูดคุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศไทยอย่างเปิดเผยและโดยสุจริตใจ
หลังจากที่ในหลวงอานันท์ได้เสด็จสวรรคตไปเพียงไม่กี่นาที สถานที่เกิดเหตุได้ถูกจัดเปลี่ยนอย่างจงใจเพื่อปกปิดหลักฐานต่างๆว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วคืออะไร บุคคลที่อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในตอนเช้าของวันนัั้น ไม่เคยเปิดเผยความจริงต่อหน้าสาธารณะว่าได้เกิดอะไรขึ้น และบุคคลคนเดียวในขณะนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คือ ตัวกษัตริย์ภูมิพลนั่นเอง ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่เคยเปิดเผยเลยว่าอะไรได้เกิดขึ้น และคงจะนำความลับนี้ลงสู่หลุมฝังศพไปพร้อมๆ กับตัวพระองค์เอง ถึงแม้ว่าจะมีการทำลายหลักฐานต่างๆ และข้อเท็จจริงตามที่บุคคลที่เกี่ยวข้องได้โกหกว่าอะไรเกิดขึ้นในกรณีสวรรคต แต่จุดสำคัญประการแรกคือ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ลอบสังหารที่ไม่มีใครรู้จัก สามารถหลบหลีกเข้าไปในพระบรมมหาราชวังในตอนเช้าของวันนั้นได้ การนำเอาปืนสั้น โคลท์ .45 อัตโนมัติออกมาจากตู้ที่อยู่ข้างเตียงนอนของพระองค์ ยิงพระองค์ตรงกลางศีรษะด้วยปืนกระบอกนั้น แล้วหลบหนีไปได้โดยที่ไม่มีใครเห็นเลย คนที่เป็นฆาตกรจะต้องเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่พักอาศัยในพระที่นั่งบรมพิมานเท่านััน
แต่ทันทีหลังจากที่ในหลวงอานันท์สวรรคตไปแล้ว กลับมีการกระจายข่าวออกไปอย่างกว้างขวางว่า พระองค์ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมคือฆ่าตัวตายเอง พระชนนีศรีสังวาลย์ ได้ขอร้องกับนายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์ ให้ประกาศว่า การสวรรคตเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากตัวในหลวงอานันท์เอง นายปรีดีและรัฐบาลก็ยินยอมทำตามคำขอร้องนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ในหลวงอานันท์จะยิงพระองค์เองด้วยความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุทำปืนลั่น ในขณะที่ปืนกระบอกนี้จี้อยู่ตรงหน้าผากของพระองค์ขณะที่นอนหงาย และจากวิถีกระสุนที่วิ่งจากหน้าผากผ่านกระโหลกศีรษะทะลุท้ายทอยของในหลวงอานันท์ ขณะฝ่ายนิยมระบอบเจ้าหลายคนที่เป็นนักการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้เริ่มการปล่อยข่าวว่า นายปรีดี พนมยงค์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ นำการสวรรคตมาแสวงหาผลประโยชน์เพื่อต้องการฟื้นระบอบเจ้าแบบเก่า เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้คืนกลับสู่อดีต
วันที่ 13 มิถุนายน2489 อุปทูตชาร์ล ดับเบิ้ลยู โยสท์ (Charge d’affaires Charles W. Yost ) ส่งโทรเลขลับไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกรุงวอชิงตัน เล่าถึงการสนทนากับนายดิเรก ชัยนาม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เพิ่งเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ภูมิพลที่ได้กล่าวยืนยันกับนายดิเรกว่า ข่าวลือต่างๆ ที่ว่านายปรีดีวางแผนปลงsพระชนม์หรือนายหลวงปลงพระชนม์พระองค์เอง เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และพระองค์มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การสวรรคตของในหลวงอานันท์เป็นเรื่องอุบัติเหตุ…… ขณะที่มรว.เสนีย์ ปราโมชส่งหลานและภรรยาของตนไปที่สถานทูตของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีปรีดีเป็นผู้วางแผนทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์
นายปรีดีและรัฐบาลของเขาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทำหน้าที่ค้นหาความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ในวันที่ 18 มิถุนายน 2489ประกอบด้วย ประธานศาลทั้งสามศาล พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา และอนุกรรมการทางการแพทย์จากหลายฝ่าย
ขณะที่ฝ่ายนิยมระบอบเจ้าได้ปล่อยข่าวว่า กษัตริย์ภูมิพลก็กำลังตกอยู่ในอันตรายด้วย และขอการสนับสนุนจากทูตสหรัฐและอังกฤษ เพื่อการทำรัฐประหารรัฐบาลของนายปรีดี โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องพระราชวงศ์ ขณะที่รายงานจากคณะแพทย์เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน2489 ลงความเห็นว่ามีคนยิงรัชกาลที่ 8
โทรเลขลับจากเอกอัครราชทูตอังกฤษเซอร์เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สัน บันทึกการเปิดเผยของนายดิเรก ชัยนาม ว่าทางวังสั่งให้ปกปิดรายงานของคณะแพทย์เป็นความลับห้ามเผยแพร่เด็ดขาด
ความพยายามของรัฐบาลนายปรีดี ที่พยายามชี้ว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุนับเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของรัฐบาลเอง แม้ว่านายกปรีดีมีเจตนาจะรักษาศักดิ์ศรีของสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นรัฐบาลนายปรีดีจำเป็นต้องดำเนินการสอบสวนเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจของตน โดยไม่ต้องไปหวั่นเกรงเรื่องใดๆอีกต่อไปโดยอาจมีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ถ้าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวกษัตริย์ เพราะได้เห็นพิรุธชัดเจนว่าฝ่ายราชวังได้รีบทำความสะอาดเพื่อลบร่องรอยพยานหลักฐานก่อนที่จะยอมให้ใครเข้าไปในห้องพระบรรทมที่เกิดเหตุ ส่วนปืนก็ได้ถูกนำมาวางไว้ข้างๆ และมีการจัดฉากสร้างกระแสให้เกิดความสะเทือนใจ และโกรธแค้น เพื่อโหมโจมตีนายกรัฐมนตรีปรีดีอย่างขนานใหญ่หลายระลอก
ส่วนกษัตริย์ภูมิพลแสดงอาการรู้สึกหดหู่อย่างเห็นได้ชัดต่อการสวรรคตของพระเชษฐา กษัตริย์ภูมิพลดูเหมือนป่วยและซึมเศร้าตลอดเวลาไม่อยากพูดจา และเสด็จไปประทับยังเมืองโลว์ซานน์พร้อมพระชนนี เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489เพื่อศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลว์ซานน์ ถึงแม้ว่าการไว้ทุกข์ยังไม่ครบ 100 วัน แต่พระองค์ยังคงมีอาการซึมเศร้าเสมอ นานๆครั้งจึงจะเข้าไปเรียนในห้องเรียน และไม่เคยเรียนจบปริญญาใดๆเลย ในปลายปี 2489 พระองค์ส่งข้อความว่า จะไม่เสด็จกลับกรุงเทพเพื่อร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพของในหลวงอานันท์ ดูเหมือนว่าพระองค์มีพระประสงค์จะประทับอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกเป็นเวลาสองถึงสามปี เพื่อที่จะได้สำเร็จการศึกษาของพระองค์ โดยไม่มีแนวโน้มเลยว่า จะสามารถไขปริศนาเบื้องหน้าเบื้องหลังให้กระจ่างแจ้งออกมาได้
มีแต่ภูมิพล ที่เป็นคนยิงรัชกาลที่ 8
ในขณะที่การสืบสวนกรณีสวรรคตได้เริ่มเข้มข้นขึ้นถึงจุดที่พุ่งเป้าไปยังกษัตริย์ภูมิพลว่าเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 และต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ รัฐบาลกลัวว่าจะมีผลกระทบที่สั่นคลอนต่อเสถียรภาพในการเปิดเผยเรื่องราวนี้ออกมา และไม่ต้องการให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติ
ขณะที่พวกเจ้าบางฝ่ายได้จัดเตรียมให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แทน รัฐบาลนายปรีดีได้ตัดสินใจเก็บข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวโยงถึงกษัตริย์ภูมิพลไว้เป็นความลับและทำการควบคุมการเสนอข่าวสารมิให้โยงใยไปถึงตัวกษัตริย์ภูมิพล ดังนั้น พวกนิยมระบอบเจ้าจึงต้องรีบทำการโค่นล้มรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ 8พฤศจิกายน 2490 โดยร่วมมือกับกลุ่มคณะทหารของจอมพล ป พิบูลสงคราม ใช้การโหมโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า นายปรีดี พยายามปกปิดซุกซ่อนหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับกรณีสวรรคต เพื่อสร้างความชอบธรรมให้การยึดอำนาจของพวกเขา นายปรีดี พนมยงค์ได้หลบหนีออกนอกประเทศเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง แล้วทำการกล่าวหาจับกุมมหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนีพร้อมกันกับนายเฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขาธิการ รัฐบาลนายควงที่มาจากการรัฐประหารได้กล่าวหาว่า พวกเขาร่วมกันวางแผนเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีนายปรีดีเป็นต้นคิดในการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ แต่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ซึ่งเป็นรัชทายาทของการสืบราชสมบัติ ได้แจ้งกับเอกอัครราชทูตอังกฤษ เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สันว่ารัฐบุรุษอาวุโสไม่เคยมีส่วนรู้เห็นแต่ประการใดในเรื่องการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 8 และที่สำคัญคือกรณีสวรรคตน่าจะเกิดจากที่พระอนุชาภูมิพลทำปืนลั่นโดยอุบัติเหตุ จึงต้องปกปิดเป็นความลับต่อไปอีกนานรวมทั้งการที่รัฐบาลต้องหาทางแก้ตัวให้กษัตริย์ภูมิพล รัฐบาลนายปรีดีต้องพยายามปกปิดข้อเท็จจริงแต่มันกลายเป็นว่าทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์กลับได้บาป
ในเวลานั้น ได้เกิดความตื่นตระหนกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องที่กษัตริย์ภูมิพลปฏิเสธที่จะเสด็จกลับจากเมืองโลว์ซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และความกังวลใจเรื่องที่กษัตริย์ภูมิพลมีส่วนรู้เห็นในกรณีสวรรคต ซึ่งจะสั่นสะเทือนสถานภาพของพระองค์ ผู้นำของกลุ่มนิยมระบอบกษัตริย์รวมทั้งนายควง อภัยวงศ์หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2491 พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน2490 จากเดือนสิงหาคม2489 จนถึงวันที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งจาก หลวงธำรงค์ได้กล่าวต่อเอกอัครราชทูตทอมพ์สันของอังกฤษอย่างหนักแน่นว่า กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงสวรรคตโดยกษัตริย์ภูมิพล โดยที่รัฐบาลของเขาไม่สามารถเปิดเผยข่าวนี้ได้ การสอบสวนที่ดำเนินการในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ได้ตัดเรื่องอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตายออกไป แต่สาธารณชนไม่ควรรับทราบสิ่งต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่สอบสวนได้ค้นพบ เนื่องจากเหตุผลของความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์จักรี นายกรัฐมนตรีหลวงธำรงได้มีคำสั่งห้ามทุกคนเปิดเผยข้อเท็จจริงตามสำนวนการสอบสวนโดยเด็ดขาด
ในเดือนถัดมา หลวงธำรงค์ฯ ได้กล่าวอย่างชัดเจนยิ่งกว่าทุกๆ ครั้ง กับนายเอ๊ดวิน สแตนตั้น (Ambassador Edwin Stanton ) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในการดื่มน้ำชาร่วมกันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2491 ที่สถานทูตสหรัฐ ว่ากรณีสวรรคตอันเศร้าสลดคงจะต้องเป็นความลับสุดยอดของประเทศไปแล้ว แม้ว่าหลักฐานต่างๆที่มีการรวบรวมกันในขณะที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น มีแนวโน้มที่จะพัวพันเชื่อมโยงมุ่งไปที่กษัตริย์ภูมิพลองค์ หลวงธำรงค์และนายปรีดีเองต่างก็อยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมปากแบบเดียวกัน เพราะถ้ามีการเปิดเผยว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เกี่ยวข้องกรณีสวรรคตอย่างแท้จริง เชื่อว่ากษัตริย์ภูมิพลคงจะต้องสละราชสมบัติ และคงเกิดเรื่องสับสนอลหม่านติดตามมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิตจะเป็นรัชทายาทผู้สืบราชสมบัติองค์ต่อไป แต่พระองค์เจ้าจุมภฏฯ และพระชายาไม่ได้รับความนิยม รัชทายาทองค์ต่อมาจากพระองค์เจ้าจุมภฏคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ก็ไม่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ขณะที่อำนาจของสถาบันกษัตริย์ยังคงฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย
และพี่น้องตระกูลปราโมชคือ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์และ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ได้ร่วมกันวางแผนเตรียมการประกาศว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ โดยพวกเขาหวังว่าจะเป็นการบังคับให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติเพื่อเปิดทางให้กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
นายเคนเนท แลนดอน ( Kenneth Landon )ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานฝ่ายเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งโทรเลขถึงกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์2491 มีข้อความว่า…รายงานล่าสุดจากแหล่งข่าวหลายแห่ง ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ ส่งผลให้ นายควง เตรียมที่จะแถลงการณ์ว่า กษัตริย์ภูมิพลปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์โดยอุบัติเหตุ ซึ่งกษัตริย์ภูมิพลจะสละราชสมบัติ ต่อจากนั้นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร จะได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป เนื่องจากพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูง รวมทั้งมีความมั่งคั่งอย่างมากด้วย พร้อมทั้งมีประสบการณ์อย่างยาวนานด้านการเมืองภายในวัง แต่จอมพล ป พิบูลสงคราม ยืนกรานคัดค้านข้อเสนอของนายควงที่จะให้พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป แม้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ด้วยความตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุก็ตาม จอมพลป.และนายปรีดีเป็นคู่ปรปักษ์หรือศัตรูทางการเมืองซึ่งสังกัดอยู่ในพรรคการเมืองเดียวกัน แม้ว่าเขาทั้งสองเห็นพ้องต้องกันในการต่อต้านไม่ให้สถาบันกษัตริย์กลับคืนสู่อำนาจอีก แต่พวกเขาไม่ได้ต่อต้านกษัตริย์ภูมิพลเพราะว่าพระองค์ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและไม่มีบริวารห้อมล้อม จอมพล ป ซึ่งเป็นนายทหารผู้มีอิทธิพลมากของกองทัพ ได้รีบทำรัฐประหารล้มรัฐบาลของนายควง ในเดือนเมษายน 2491 เพราะจอมพล ป. ต้องการให้กษัตริย์ภูมิพลครองราชบัลลังก์ต่อไป โดยจะใช้พยานหลักฐานในคดีสวรรคตมาต่อรองผลประโยชน์กับกษัตริย์ภูมิพลได้ในภายหลัง
เฉลียว บุศย์ และชิต ในศาล |
การพิจารณาคดีการเสด็จสวรรคตของในหลวงอานันท์ได้เริ่มขึ้น ในตอนบ่ายของวันพุธที่ 28 กันยายน 2491 โดยมีมหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี รวมทั้งนายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งเป็นอดีตราชเลขาธิการ ถูกกล่าวหาว่า สมคบกันทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ การพิจารณาคดีและการอุทธรณ์ได้ถูกดึงให้ยืดเยื้อเป็นเวลามากกว่า 6 ปี
ในท้ายที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้เสด็จกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างเมื่อเดือนมีนาคม 2493 เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพฯพระเชษฐาของพระองค์ และเข้าพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ รวมทั้งพิธีราชาภิเษกสมรสกับ มรว.หญิงสิริกิติ์ กิติยากร แล้วพระองค์ก็เสด็จออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2493 ซึ่งเป็นเวลาเพียงสองสามวัน ก่อนที่จะครบรอบการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐา ต่อมาพระองค์จึงได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่พระมหากษัตริย์เมื่อปลายปี 2494 กษัตริย์ภูมิพลทรงทราบดีว่า นายบุศย์ ปัทมศริน, นายชิต สิงหเสนี และนายเฉลียว ปทุมรส ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เกี่ยวกับการปลงพระชนม์ของพระเชษฐาของพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่กระทำการใดๆ เพื่อช่วยชีวิตของพวกเขา บุคคลทั้งสามได้ถูกประหารชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2498 ด้วยข้อหาอาชญากรรมที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำแต่อย่างใด
กษัตริย์ภูมิพลได้เปลี่ยนคำให้การของพระองค์เองหลายครั้ง ทั้งๆที่กษัตริย์ภูมิพลเคยยืนยันอย่างแข็งขันไม่กี่วันหลังจากที่พระเชษฐาสวรรคตว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่พระองค์กลับยกเลิกคำให้การเหล่านั้นในการพิจารณาคดีครั้งต่อมา โดยพระองค์หันไปเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลายเรื่อง ที่เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือคือให้ร้ายนายเฉลียว ปทุมรส กษัตริย์ภูมิพลได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ บีบีซี ซึ่งออกอากาศเมื่อปี 2523 โดยแก้ตัวว่า การคดีสวรรคตเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อน จากการอำพรางคดีโดยบุคคลหลายคนที่มีอำนาจมากทั้งในและต่างประเทศที่ไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง
ระหว่างปีทศวรรษ 2530กษัตริย์ภูมิพลยังได้ให้นายวิลเลียม สตีเวนสัน (William Stevenson )นักเขียนชาวแคนาดา เขียนชีวประวัติกึ่งทางการโดยกษัตริย์ภูมิพลแต่งเรื่องว่านายมาซาโนบุ ซูจิ ( Masanobu Tsuji )นายทหารที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นได้ลักลอบเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง โดยปลอมตัวเป็นพระภิกษุ
ทั้งๆที่นายมาซาโนบุ ซุจิ ผู้นี้ไม่ได้อยู่ใกล้กรุงเทพเลย ในขณะที่ในหลวงอานันท์ถูกปลงพระชนม์ การเปลี่ยนเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่าไปเรื่อยๆของกษัตริย์ภูมิพลเอง แสดงให้เห็นพิรุธว่า กษัตริย์ภูมิพลพยายามปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 โดยที่กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยให้คำอธิบายที่น่าเชื่้อถือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกเกี่ยวที่ภายในวงการระดับสูงของประเทศไทย กลับรับรู้กันมาตลอดว่า กษัตริย์ภูมิพลเองที่เป็นผู้ปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ ซึ่งอาจจะเป็นอุบัติเหตุ
บันทึกของนางมากาเร็ต แลนดอน
(Margaret Landon)
นางมากาเร็ต แลนดอนเป็นภรรยาของนายเคนเนท แลนดอน (Kenneth Landon )นักการทูตสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2514 ได้เขียนบันทึกด้วยลายมือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตเก็บไว้ที่หอสมุดวิทยาลัยวีตั้น ( Wheaton College ) สหรัฐอเมริกา อ้างการสนทนากับนางลิเดีย ณ ระนอง ( Lydia Na Ranong ) ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลผู้ดีของจีนและเป็นคนสนิทของกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูงในกรุงเทพฯที่ได้เล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาจากแวดวงของพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ว่า มหาดเล็กทั้งสองคน คือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี ได้รู้เห็นต่อการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์
โดยที่อดีตราชเลขาธิการ คือ นายเฉลียว ปทุมรส มีความสัมพันธ์เป็นชู้สาวกับนางสังวาลย์ และอยู่ในห้องบรรทมของพระนางในขณะที่ในหลวงอานันท์ถูกยิงสวรรคต โดยพระนางสังวาลย์ ซึ่งเป็นพระชนนีมาจากตระกูลสามัญชนและไม่เคยได้รับความชื่นชอบ จากกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่เลย
พระนางเจ้าสว่างวัฒนาส่งเจ้าฟ้ามหิดลไปเรียนที่อเมริกา ได้ส่งเด็กสาวให้เป็นผู้ติดตามไปด้วยสองคนไปเรียนให้ดูเหมือนว่าไปเรียนด้วยกัน แต่ที่จริงแล้วก็ส่งไปเป็นเมียน้อยเพื่อประกบเจ้าฟ้ามหิดล เพราะพระนางสว่างวัฒนากลัวว่าเจ้าฟ้ามหิดลจะไปได้ผู้หญิงต่างชาติเป็นเมีย
แต่เจ้าฟ้ามหิดลได้ตกหลุมรักกับนางสาวสังวาลย์และตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับเธอ ซึ่งได้สร้างความตกตะลึงในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์เป็นอย่างมาก โดยมีแนวโน้มว่าพระนางเจ้าสว่างวัฒนาและรัชกาลที่ 6 คงยังคงปฎิเสธที่จะจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรส แต่เจ้าฟ้ามหิดลเองได้วางแผนให้เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นผู้ประกอบพิธีอภิเษกสมรสให้จนสำเร็จ แต่พระบรมวงศานุวงศ์ก็ยังแสดงความเกลียดชังต่อนางสังวาลย์ตลอดมา
ในตอนเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ในหลวงอนันท์อานันท์ยังประชวรอยู่ โดยบรรทมอยู่บนเตียงพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาเล่น เจ้าฟ้าชายภูมิพลเสด็จเข้ามาข้างในห้องบรรทม ในหลวงอานันท์จับปืนขึ้นจ่อมาที่พระเศียรของเจ้าฟ้าภูมิพลและกล่าวว่า “ ฉันสามารถฆ่าเธอได้ ” แต่เจ้าฟ้าภูมิพลก็แย่งปืนมาและยกปืนจ่อที่พระเศียรของในหลวงอานันท์ แล้วกล่าวว่า “ ฉันก็ฆ่าเธอได้เช่นกัน ” ในหลวงอานันท์ ร้องว่า “ เหนี่ยวไกเลย เหนี่ยวไกเลย ”
ฝ่ายพระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า การสืบราชสมบัตินั้นจะถูกผ่านมายังพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทั้งๆที่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ได้ถูกกันออกไปแล้วตามพระประสงค์ของรัชกาลที่ 6เนื่องจากว่า พระมารดาของพระองค์เป็นชาวรัสเซีย บุคคลที่น่าจะได้รับการเลือกให้สืบราชบัลลังก์ตามหลักแล้วน่าจะเป็นพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร แต่พระองค์ไม่มีพระโอรส และมีแต่เพียงพระธิดา ซึ่งสมรสกับผู้ชายชาวฝรั่งเศส นายปรีดี พนมยงค์ มีจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเขียนโดยจอม ป พิบูลสงคราม 1 ปีก่อนหน้าที่จอมพลแปลกจะถึงแก่อสัญกรรม โดยยอมรับสารภาพว่า ข้อกล่าวหาให้ร้ายนายปรีดีในกรณีสวรรคตล้วนเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น และตัวจอมพล ป.เอง ก็รู้ดีในเรื่องนี้เจ้าฟ้าภูมิพลก็ทำตามนั้นและก็ได้สังหารหรือปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์จริงๆ นางลิเดียเชื่อว่า การปลงพระชนม์เป็นอุบัติเหตุ และมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีการจัดการสะสางข้อเท็จจริงกันเลย เจ้าฟ้าภูมิพลตกใจจนลนลานและหวาดกลัวสุดขีด หลังจากนั้น มหาดเล็กสองคนก็ต้องถูกประหารชีวิตเนื่องจาก ได้เห็นการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า พระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า พระชนนีสังวาลย์ควรจะต้องยืนกรานที่จะเปิดเผยความจริงให้เป็นที่รับรู้กัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการสวรรคตเป็นเรื่องของอุบัติเหตุโดยแท้ มิใช่การฆาตกรรมหรือเจตนาปลงพระชนม์ และประชาชนควรได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้น เจ้าฟ้าภูมิพลควรสละราชสมบัติไปเป็นพระภิกษุตลอดชีวิตและยินยอมให้ราชสมบัตินั้นเปลี่ยนผ่านไปยังสมาชิกของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นแทน วิธีการนี้จะเป็นวิถีทางที่น่ายกย่องซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุจริตใจ
จำเลยทั้งสามเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่
ข้อสังเกตคือ ระหว่างที่การสืบสวนโดยรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์กำลังคืบหน้านั้น คณะทหารสาย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ก่อรัฐประหาร พ.ศ. 2490 และแต่งตั้งให้ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้ง พล.ต.ต. พระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต) (พี่เขยของหม่อมราชวงศ์เสนีย์และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์) อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลซึ่งออกจากราชการไปแล้ว ให้กลับเข้ารับราชการ เพื่อทำหน้าที่สืบสวนกรณีสวรรคตเสียใหม่ นำไปสู่การจับกุมจำเลยทั้งสามในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เพียง 12 วันหลังรัฐประหาร และหลังจากการจับกุมนั้น พระพินิจชนคดีก็ยังไม่สามารถหาพยานหลักฐานได้ทันในระยะเวลาสอบสวนตามที่กฎหมายกำหนดคือ 90 วัน รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีจึงได้เสนอกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 23 มกราคม พ.ศ. 2491 ขยายกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีสวรรคตได้เป็นพิเศษ ให้ศาลอนุญาตให้ขังผู้ต้องหาได้หลายครั้ง รวมเวลาไม่เกิน 180 วัน[65] ก่อนการประหารชีวิต เฉลียว ปทุมรส 1 ใน 3 จำเลยของคดีดังกล่าว ได้ขอพบพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ และเล่ากันว่า เฉลียวได้บอกชื่อฆาตกรตัวจริงให้พลตำรวจเอกเผ่าทราบ[ต้องการอ้างอิง]
และถึงแม้สังคมบางส่วนจะว่าปรีดีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต แต่กรณีคดีของจำเลยทั้งสามที่ถูกประหารชีวิตไปก็ไม่เคยถูกรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่เลย ทั้งในกระบวนการยุติธรรมหรือการศึกษาหาความจริงใหม่ ทั้งที่ข้อกล่าวหาของจำเลยทั้งสามและปรีดีนั้น มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด (ข้อกล่าวหาคือ "ปรีดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของจำเลยทั้งสาม")[66] และมีหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่าอย่างน้อยหนึ่งในสามจำเลยน่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์[65]
ความเชื่อว่าทรงทำอัตวินิบาตกรรม
ทฤษฎีนี้มุ่งอธิบายประเด็นความขัดแย้งในราชสำนัก และเหตุผลที่ทำให้ในที่สุดรัชกาลที่ 8 ทรงตัดสินใจเช่นนั้น เอกสารสำคัญที่เสนอทฤษฎีนี้ก็คือหนังสือ The Devil’s Discus: An Enquiry Into the Death of Ananda, King of Siam โดย เรนย์ ครูเกอร์ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2507 หนังสือเล่มนี้ถูกแปลเป็นภาษาไทย ใช้ชื่อ กงจักรปีศาจ
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส.ศิวรักษ์) เคยเขียนวิจารณ์หนังสือเล่มนี้ลงใน สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ว่าหนังสือเล่มนี้ให้ข้อมูลที่ผิดพลาด รวมถึงวิจารณ์ตัวนายปรีดีและผู้เขียนหนังสือไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากสุลักษณ์เชื่อว่าปรีดีมีส่วนเกี่ยวของกับการปลงพระชนม์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปในภายหลัง สุลักษณ์ได้เขียนเล่าในปาจารยสาร ฉบับกันยายน-ตุลาคม พ.ศ. 2550 ว่าการเขียนวิจารณ์ในครั้งนั้นเป็นเพราะเขาหลงเชื่อในคำโฆษณาชวนเชื่อ และต่อมาเขาจึงไถ่บาปด้วยการเขียนหนังสือเกี่ยวกับปรีดี และต่อมามีการแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ Powers That Be: Pridi Banomyong through the Rise and Fall of Thai Democracy[67][66]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อ้างอิง
- ↑ https://www.youtube.com/watch?v=5WzWy_BPxL0 ตั้งแต่นาทีที่8.30-9.30 อ.สมศักดิ์ได้ตั้งคำถามถึงสาเหตุที่สังคมไม่ยอมพูดเรื่องนี้ รวมทั้งบุคคลสำคัญๆเช่น ดร.ป๋วย และ ดิเรก ชัยนาม
- ↑ ราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ หน้า ๑ ตอนที่ ๓๙ เล่มที่ ๖๓
- ↑ ประกาศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงสืบราชสันตติวงศ์ ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๓/ตอนที่ ๓๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๔/๙ มิถุนายน ๒๔๘๙.
- ↑ อ้างอิงเรื่องการค้นพบแผลที่ท้ายทอย http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_8
- ↑
- คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 207/2489 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2489
- หน้า 31-32 อ้างอิงคำชี้แจงของพันเอกช่วงฯ รัฐมนตรีมหาดไทย ในหนังสือ คำตัดสินใหม่กรณีสวรรคตร.๘ จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน (ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2543)
- หน้า 33-35 อ้างอิงเอกสารลับสุดยอด ของเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศอังกฤษ (ฉบับแปลไทย) ในหนังสือ คำตัดสินใหม่กรณีสวรรคตร.๘ จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน (ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2543)
- หน้า 140-143 อ้างอิงเอกสารลับสุดยอด ของเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศอังกฤษ (สำเนาเอกสารฉบับจริง) ในหนังสือ คำตัดสินใหม่กรณีสวรรคตร.๘ จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน (ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2543)
- หน้า 46 และ 52 หนังสือ จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ โดย ปรีดี พนมยงค์ (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 5 เมื่อเดือน กันยายน 2543 http://www.openbase.in.th/files/pridibook083.pdf
- หน้า 33-35 หนังสือ ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ 6 ตุลา, 2544
- หน้า 21-22 (ในส่วนคำนำ) และ 15-23 (ในบท ปรีดี พนมยงค์ กับกรณีสวรรคต) ในหนังสือ "เรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส.ศิวรักษ์" (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 4 เมื่อ มีนาคม 2543) จัดจำหน่ายโดย บริษัท เคล็ดไทย จำกัด http://www.openbase.in.th/files/pridibook179.pdf
- หน้า 44 หนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ โดย สุพจน์ ด่านตระกูล (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 3) เมื่อ สิงหาคม 2544 http://www.openbase.in.th/files/pridibook227.pdf
- หน้า 83 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ โดยบุญร่วม เทียมจันทร์
- สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กล่าวไว้ในนาทีที่ 10.05-10.15 ในบทสัมภาษณ์ในรายการ ตอบโจทย์ฯ-สถาบันพระมหากษัตริย์ วันที่ 14 มีนาคม 2013 https://www.youtube.com/watch?v=BKeEALhJ-o0
- จากคำยืนยันของหลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ กรณีนายตี๋มาสารภาพบาปเรื่องรับจ้างเป็นพยานเท็จ https://www.youtube.com/watch?v=g4k3vAa-KxM ตัดมาบางส่วนจากสารคดีปรีดี พนมยงค์ https://www.youtube.com/watch?v=bTe9bUY8jic
- คำสารภาพของนายตี๋ ศรีสุวรรณ 25 มกราคม 2522 หน้า 289-292 อ้างอิงจากจดหมายฉบับจริง ในหนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ โดย สุพจน์ ด่านตระกูล (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 3) เมื่อ สิงหาคม 2544
- พินัยกรรมของ พระยาศรยุทธเสนี (กระแส ประวาหะนาวิน) หน้า 232-257 และ 259-288 (สำเนาฉบับจริง) หนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ โดย สุพจน์ ด่านตระกูล (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 3) เมื่อ สิงหาคม 2544
- หน้า 26 และ 65 ในหนังสือ "นายปรีดี พนมยงค์ กับแผนลอบปลงพระชนม์ของ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี" โดยสุพจน์ ด่านตระกูล (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 3) เมื่อ กันยายน 2543
- ↑ หน้า 72-73 อ้างอิงประกาศราชกิจจานุเบกษาเล่ม 23 ตอนที่ 45 วันที่ 25 มิถุนายน 2489 ในหนังสือ คำตัดสินใหม่กรณีสวรรคตร.๘ จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน (ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2543)
- ↑ หน้า 66 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์
- ↑ หน้า 70 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์
- ↑ สรรใจ แสงวิเชียร และ วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย. กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489 และ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.8 หน้า 17 หน้า 7–20
- ↑ หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ หน้า 116-117 โดยบุญ่รวม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำให้การนายชิต
- ↑ บุญร่วม เทียมจันทร์. คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.8. หน้า 20[ระบุข้อมูลทางบรรณานุกรมไม่ครบ]
- ↑ อ้างอิงหนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับบสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 หน้า 51 101 148 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์
- ↑ ดูหนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ร.8 ฉบับสมบูรณ์ หน้า 130-131 อ้างอิงคำให้การสมเด็จพระราชชนนี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2493 ณ สถาณเอกอัครราชทูตไทย ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยสุพจน์ ด่านตระกูล
- ↑ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) หน้า 43-46 โดยสุพจน์ ด่านตระกูล
- ↑ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) หน้า 148-149 โดยสุพจน์ ด่านตระกูล อ้างอิงมาจาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1544/2497
- ↑ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) หน้า 162-163 คำให้การพระพี่เลี้ยงเนื่อง
- ↑ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) หน้า 158 คำให้การของ นายเวศน์ สุนทรรัตน์ มหาดเล็กห้องพระบรรทมในหลวงองค์ปัจจุบัน
- ↑ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) หน้า 163 คำให้การพระพี่เลี้ยงเนื่อง
- ↑ * ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต (ฉบับสมบูรณ์) หน้า 388 อ้างอิงความเห็นแย้งหลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์
- หนังสือ คำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต ร.๘
- ↑ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.๘ คำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ที่สุด พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ หน้า 477-478 อ้างอิงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และหน้า 580 อ้างบันทึกความเห็นแย้งของหลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ หน้า 442-443 อ้างอิง คำให้การ ร.ท.ณรงค์ สายทอง
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ หน้า 451 อ้างอิง คำให้การ พลทหารขจร ยิ้มรักษา
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ หน้า 453 อ้างอิง คำให้การ พลทหารบุญชู กัณหะ
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่๘ หน้า 454-454 อ้างอิง คำให้การ พลทหารลอย แจ้งเวหา
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ หน้า 456-457 อ้างอิง คำให้การ พลทหารร่อน กลิ่นผล
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ หน้า 457 อ้างอิง คำให้การ พลทหารเค้า ดีประสิทธิ์
- ↑ หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 หน้า 581 ของบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงจากความเห็นแย้งของหลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์
- ↑ * กรณีสวรรคต ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙, หน้า 133-134
- คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.๘ (ฉบับสมบูรณ์) พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 หน้า 190 219 334 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์
- ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต (ฉบับสมบูรณ์) โดยสุพจน์ ด่านตระกูล
- http://somsakwork.blogspot.com.au/2007/11/2.html, ปริศนากรณีสวรรคต ตอนที่ 2
- ↑
- http://matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1286090533&grpid=01&catid= อ้างอิงคำให้การหมอนิตย์ โดยดอม ด่านตระกูล
- http://www.enlightened-jurists.org/directory/92/ข้อโต้แย้งกรณีสวรรคตในหนังสือ-เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ.html อ้างอิงคำให้การหมอนิตย์ โดยดอม ด่านตระกูล
- หนังสือ ขอเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ หน้า 55-57 โดยสุพจน์ ด่านตระกูล อ้างอิงคำแถลงการณ์ของนายปรีดีฯ(นายกในขณะนั้น)ในสภาฯ
- แต่ไหนหนังสือ เรื่องเอกกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เล่ม 2 หน้า 29 วิมลพรรณ ปิตธวัชชัย อ้างว่ากรมขุนชัยนาทฯไม่ได้ห้าม แต่ไม่ได้กล่าวว่าอ้างอิงมาจากหลักฐานใด
- ↑ หนังสือของเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ โดยสุพจน์ ด่านตระกูล หน้า 26 อ้างอิงจากประกาศสำนักพระราชวัง ดู พระราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ หน้า1 ตอนที่ 39 เล่ม 63
- ↑ หนังสือ รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (๒๔๗๕-๒๕๑๗) หน้า 534-535 ของนายประเสริฐ ปัทมสุคนธ์ อ้างอิงรายงานการประชุมรัฐสภา
- ↑
- หนังสือ ขอเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ หน้า 25-26 และ 44-45
- http://somsakwork.blogspot.com.au/2007/11/blog-post_15.html ราชนิกูลชั้นสูงบางคน (ระดับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ หรือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ) ได้ไปพบทูตอังกฤษประจำไทย ปล่อยข่าวว่าในหลวงอานันท์ถูกลอบปลงพระชนม์อย่างแน่นอน อ้างอิงจาก หนังสือคำพิพากษาใหม่กรณีสวรรคต ร.8, 2523, หน้า199-201
- มีคนไปตะโกนว่า ปรีดีฆ่าในหลวง ต่อมาถูกจับได้และได้ซักทอดไปยังสส.พรรคประชาธิปัตย์ ดู หน้า 10 บทความ-การ์ตูน, เลียง ไชยกาล: เจ้าของกระทู้ล้มรัฐบาล (2). "ส่วนร่วมสังคมไทย" โดย นรนิติ เศรษฐบุตร. เดลินิวส์ฉบับที่ 24,235: วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม
- บทสัมภาษณ์ในรายการ ตอบโจทย์ฯ-สถาบันพระมหากษัตริย์ วันที่ 14 มีนาคม 2013 ตั้งแต่นาทีที่ 10.04-10.35 ดู https://www.youtube.com/watch?v=BKeEALhJ-o0
- คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 207/2489 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2489
- จอมพลประภาสกล่าวว่ามีการล่อยข่าว จากบทสัมภาษณ์จอมพลประภาส ดูหนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ หน้า 346 โดยสุพจน์ ด่านตระกูล
- ดูหนังสือ คำตัดสินใหม่กรณีสวรรคต ร.๘ โดยคำพิพากษาศาลแพ่ง ตีพิมพ์ 14 มิถุนายน 2522 โดย โครงการฉลอง100ปี ชาตกาล หน้าที่ 29-30 และหน้า 31-32ที่กล่าวถึงว่ามีการโทรศัพท์ไปปล่อยข่าวลือให้ร้ายรัฐบาลปรีดี
- ↑ หนังงสือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ หน้า 45-46 โดยสุพจน์ ด่านตระกูล อ้างอิง ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 24 ตอนที่ 45 วันที่ 25 มิถุนายน 2489
- ↑
- หนังสือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ หน้า 60 โดยสุพจน์ ด่านตระกูล อ้างอิง คำให้การนายแพทย์นิตย์ฯ ต่อศาลสถิตยุติธรรม เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2492
- หนังสือ เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต หน้า 125 โดย นพ.สุด แสงวิเชียร
- ↑ หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ ลอบปลงพระชนม์ ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจัน อ้างอิงคำให้การของ นายชิต นส.จรูญ พระพี่เลี้ยงเนื่อง พระอนุชา
- ↑ คำให้การบุคคลกลุ่มแรกใน * หนังสือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ หน้า 125-129 และหน้า 222-223 โดยสุพจน์ ด่านตระกูล
- หน้งสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 หน้า 69 และ 108-109 โดย บุญร่วม เทียมจันทร์
- ↑ อ้างอิงจาก
- ศ.นพ.สุด แสงวิเชียร เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต หน้า 9-10
- พจน์ ด่านตระกูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต (ฉบับสมบูรณ์) โดยสุพจน์ ด่านตระกูล หน้า 50-51
- หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ หน้า 374
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. "http://somsakwork.blogspot.jp/2007/11/2.html ตรงส่วนลักษณะพระบรมศพ
- ↑ หน้า 372-373 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.8 ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงจาก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
- ↑ หนังสือ บันทึกการสอบสวรกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ โดยคณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษยอาวุโส หน้า 270-272 หนังสืออ้างอิงคำให้การ นพ.อวย เกตุสิงห์ ให้การต่อศาลกลางเมือง และหน้า 67 ใบรับรองผลการตรวจสอบหาสารพิษ โดย กัปตัน ไอ.เอม.เอส ปาโถโลยีส อ้างอิงจาก ข่าวโฆษณาการ ฉบับพิเศษ 5, วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2489
- หนังสือ เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต บันทึกของ นพ.สุด แสงวิเชียง ยืนยันว่าไม่พบสารพิษแต่อย่างใด
- หน้า 375 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.8 ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงจาก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
- ↑ หนังสือ เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต หน้า 9-10 บันทึกของนพ.สุด แสงวิเชียง https://issuu.com/angkut/docs/____________________________________b0fd570cdb522f
- หนังสือ บันทึกการสอบสวรกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ โดยคณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส หน้า 324 อ้างอิงเอกสารลงนามโดย พลตำรวจโทพระรามอินทรา
- หนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ร.8 ฉบับสมบูรณ์ หน้า 50-51 อ้างอิงคำให้การ นพ.นิตย์ เมื่อ 15 มกราคม 2492 โดย สุพจน์ ด่านตระกูล
- หน้า 374 และ 403 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.8 ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงจาก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
- ↑ หน้า 372-373 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.8 ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงจาก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
- ↑ http://somsakwork.blogspot.com.au/2007/11/2.html ลักษณะพระบรมศพ
- หน้า 376 และ 378 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.8 ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงจาก ความเห็นคณะแพทย์ ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
- ↑ หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 หน้า 59 60 226 228 400 433 444 620 อ้างอิงคำพิพากษาศาล ชั้นต้น, อุทธรณ์, ฎีกา โดย บุญร่วม เทียมจันทร์
- ↑ ดูหนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.๘ ฉบับสมบูรณ์หน้า พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 59-60 โดยบุญ่รวม เทียมจันทร์
- ↑ * http://somsakwork.blogspot.com.au/2007/11/2.html ปริศนากรณีสวรรคต ตอนที่ 2 โดยดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
- แถลงการณ์กรมตำรวจเรื่องรายงานของแพทย์เกี่ยวกับพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ตีพิมพ์ใน สรรใจและวิมลพรรณ, กรณีสวรรคต ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙, หน้า ๔๔-๔๙ และ บันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘, หน้า ๕๗-๖๕
- ↑ หน้า 208 และ 226 หนังสือ บันทึกการสอบสวรกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ โดยคณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษยอาวุโส
- ↑ หนังสือ บันทึกการสอบสวรกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ โดยคณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษยอาวุโส หน้า 184 อ้างอิงคำให้การ นพ.ม.ล.เกษตร สนิทวงศ์
- ↑ หน้า 231-232 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลอาญา 27 กันยายน 2494
- ↑ หน้า 232-233 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลอาญา 27 กันยายน 2494
- ↑ หน้า 229-230 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลอาญา 27 กันยายน 2494
- ↑ หน้า 232 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลอาญา 27 กันยายน 2494
- ↑ หน้า 408 และ 543-544 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 28 ตุลาคม 2496
- ↑ หน้า 406 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลอุธรณ์ 28 ตุลาคม 2496
- ↑ หน้า 475-476 และ 487 และ 523 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 28 ตุลาคม 2496
- ↑ หน้า 402 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 28 ตุลาคม 2496
- ↑ หน้า 620 และ 640 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกา 12 ตุลาคม 2497
- ↑ หน้า 620 และ 640 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกา 12 ตุลาคม 2497
- ↑ หน้า 633-634 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกา 12 ตุลาคม 2497
- ↑ ไม่มีการพูดถึงกรณีนี้ในคำพิพาษาศาลฎีกา ดูหน้า 611-634หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกา 12 ตุลาคม 2497
- ดูหนังสือ "คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา คดีประทุษฐ์ร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่๘" จัดพิมพ์โดย โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์ http://www.openbase.in.th/files/pridibook232.pdf
- หนังสือ "คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา พร้อมด้วยคำแถลงของอัยการโจทย์ ความอาญาคดีประทุษฐร้ายต่อพระองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่๘" หนังสือที่ระลึกในงานทำบุญอายุครบ ๕รอบ มลว.บุญรับ พินิจชนคดี 10 มกราคม 2498
- ↑ หนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) โดยสุพจน์ ด่านตระกูล ตีพิมพ์ครั้งที่สาม พ.ศ. 2544 หน้า81
- ↑ หน้า 568 และ 587 หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงความเห็นแย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยหลวงปริพนธ์พจน์พิสุทธิ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ 28 ตุลาคม 2496
- หน้า 501 หนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต (ฉบับสมบูรณ์) โดยสุพจน์ ด่านตระกูล อ้างอิงเสาเนาเอกสารฉบับจริง ของหลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์
- หนังสือ ความเห็นแย้งคำพิพากษากรณีสวรรคต โดย นเรศ นโรปกรณ์ http://www.su-usedbook.com/product.detail_15673_th_5257164
- หนังสือ "ข้อโต้แย้งกรณีสวรรคต กับ ความเห็นแย้ง โดย หลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์" โดยสุพจน์ ด่านตระกูล http://khunmaebook.tarad.com/product.detail_646347_th_4841072#
- ↑ หน้า 577หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงความเห็นแย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยหลวงปริพนธ์พจน์พิสุทธิ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ 28 ตุลาคม 2496
- หน้า 379 หนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต (ฉบับสมบูรณ์) โดยสุพจน์ ด่านตระกูล อ้างอิงเสาเนาเอกสารฉบับจริง ของหลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์
- หน้า 164 อ้างอิงความเห็นแย้งหลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ในหนังสือคำตัดสินใหม่กรณีสวรรคตร.๘ ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2543 โดยคณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปีชาตกาลนายปรีดี พนมยงค์ http://www.openbase.in.th/files/pridibook231.pdf
- ↑ หน้า 188 อ้างอิงบทสัมภาษณ์พิเศษ หลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ โดยนเรศ นโรปกรณ์ ในหนังสือคำตัดสินใหม่กรณีสวรรคตร.๘ ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน2543 โดยคณะกรรมการดำเนินงานฉลอง100ปีชาตกาลนายปรีดี พนมยงค์ http://www.openbase.in.th/files/pridibook231.pdf
- ↑ * https://www.youtube.com/watch?v=k48gueRlkwg, ดร.สมศักดิ เจียมธีรสกุล กล่าวถึงกระบวนการเอาผิดจำเลยทั้งสาม
- หนังสือ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฏีกา คดีประทุษฐ์ร้าย
- หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.๘ (ฉบับสมบูรณ์) พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2551 โดย บุญร่วม เทียมจันทร์
- ↑ 65.0 65.1 สุพจน์ ด่านตระกูล, ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับท่านปรีดีฯ และกรณีสวรรคต, นิตยสารสารคดี, เมษายน พ.ศ. 2543
- ↑ 66.0 66.1 กานต์ ยืนยง, บทความ: เมื่อเราถูกสาป ให้จดจำประวัติศาสตร์อย่างกระพร่องกระแพร่ง, ประชาไท, 1 มีนาคม 2551
- ↑ ปาจารยสาร, 32: 1 (กันยายน-ตุลาคม 2550), หน้า 80-82
เอกสารอ่านเพิ่ม
บทความภาษาไทย
- ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับท่านปรีดีฯ และกรณีสวรรคต ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์
- รายละเอียดและความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ในการที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต. ดุลพาห, 28 (1 ม.ค.–ก.พ. 2534): 68-134.
- ชาลาดิน ชามชาวัลลา (นามแฝง). ว่าด้วยแอกอันหนึ่งในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย. ปาจารยสาร, 28 (3 มี.ค.–มิ.ย. 2545): 29-38.
- พุทธพล มงคลสุวรรณ. กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489: ความทรงจำและการเมืองของความทรงจำ = The mysterious death of King Rama VIII on june 9, 1943: Memories and the politics of memories. วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร, 23 (3 2546): 201-237.
- ปรามินทร์ เครือทอง. หลักฐานประวัติศาสตร์ที่เหลืออยู่กรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8. ศิลปวัฒนธรรม. 24 (7 พ.ค. 2546): 114-121.
- ส. ศิวรักษ์ (นามแฝง). คำวิจารณ์หนังสือ "พระราชาผู้อภิวัฒน์" (The Revolutionary King: The True Life Sequel of the King and I). ปาจารยสาร, 26 (2 พ.ย.2542.–ก.พ..2543).
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. "ปริศนากรณีสวรรคต," ฟ้าเดียวกัน 6, 2 (เมษายน-มิถุนายน 2551): 116-135. หรือฉบับออนไลน์ที่ http://somsakwork.blogspot.com/2007/11/blog-post.html และ http://somsakwork.blogspot.com/2007/11/2.html
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. "ข้อมูลใหม่กรณีสวรรคต: หลวงธำรงระบุชัด ผลการสอบสวนใครคือผู้องสงสัยที่แท้จริง," ฟ้าเดียวกัน 7, 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2552): 60-73.
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. "50 ปี การประหารชีวิต," ฟ้าเดียวกัน 3, 2 (เมษายน-มิถุนายน 2548) 64-80.
หนังสือภาษาไทย
- ไข่มุกด์ ชูโต, คุณ. พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลของปวงชน. พิมพ์ครั้งที่ 2. (ม.ป.ท.): โรงพิมพ์หยีเฮง, (ม.ป.ป.).
- คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือที่ระลึกฉลอง 100 ปี รัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 145/2541. สารคดี ฉบับพิเศษ คือวิญญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : วิริยะธุรกิจ, 2543.
- คำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต ร.8 โดย คำพิพากษาศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 5810/2522 (วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2522). กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2523.
- คำพิพากษาศาลอาญา คดีประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8. กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์, 2517.
- คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา คดีประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8. กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์, 2517.
- ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. ประวัติการเมืองไทย 2475-2500 = Political History of Thailand. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำรามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 2544.
- ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์. ในหลวงอานันท์กับคดีลอบปลงพระชนม์. กรุงเทพ: พีจี. 2517.
- พุฒ บูรณสมภพ, พ.ต.อ. ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย. กรุงเทพฯ : ศูนย์รวมข่าวเอกลักษณ์, (ม.ป.ป.).
- บุญร่วม เทียมจันทร์ คดีประวัติศาสตร์ ลอบปลงพระชนม์ร.8 พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อนิเมทกรุ๊ป, 2550.
- มรกต เจวจินดา. ภาพลักษณ์ ปรีดี พนมยงค์ กับการเมืองไทย พ.ศ. 2475-2526 = The Images of Pridi Banomyong and Thai Politics, 1932-1983. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2543.
- ส. ศิวรักษ์ (นามปากกา). เรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส. ศิวรักษ์. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2543.
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ 6 ตุลา, 2544.
- สรรใจ แสงวิเชียร และ วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย. กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : แหล่งพิมพ์เรือใบ, 2517.
- สุด แสงวิเชียร. เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต. กรุงเทพฯ : บี พี พี เอส, 2529.
- สุพจน์ ด่านตระกูล. ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต (ฉบับสมบูรณ์). พิมพ์ครั้งที่ 3. นนทบุรี: สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), 2544.
- อนันต์ อมรรตัย. แผนการปลงพระชนม์ ร.8 ของนายปรีดี พนมยงค์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : จิรวรรณนุสรณ์, 2526
- บุญร่วม เทียมจันทร์ และ คณะ . เจาะลึกเบื้องหลังคดัประวัติศาสตร์ คดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่8 และคดีพยายามลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่9. พิมพ์ครั้งแรก กรุงเทพฯ ฐานบัณฑิต 2556
หนังสือภาษาอังกฤษ
- Kruger, Rayne. The Devil’s Discus: An Enquiry Into the Death of Ananda, King of Siam. London: Cassell, 1964.
- Sivaraksa, Sulak. Powers that Be : Pridi Banomyong through the Rise and Fall of Thai Democracy. Lantern Books, 2000. ISBN 9747449188
- Stevenson, William. The Revolutionary King: The True–Life Sequel to The King and I. London: Constable, 2000.
แหล่งข้อมูลอื่น
- 50 ปีการประหารชีวิต 17 กุมภาพันธ์ 2498 โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
- รายชื่อหนังสือเก่าเกี่ยวกับกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ที่ เว็บไซต์สุหนังสือเก่า (1)
- รายชื่อหนังสือเก่าเกี่ยวกับกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ที่ เว็บไซต์สุหนังสือเก่า (2)
- รายชื่อหนังสือเก่าเกี่ยวกับกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ที่ เว็บไซต์สุหนังสือเก่า (3)
- Simpson, Keith (1978). Forty Years of Murder: an Autobiography (Chapter 13: The Violent Death of King Ananda of Siam. Harrap. สืบค้นเมื่อ June 23, 2006.