หม่อมราชวงศ์เทวาธิราช ป. มาลากุล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เทวาธิราช ป.มาลากุล
สมุหพระราชพิธี
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2471 - พ.ศ. 2501
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
หม่อมราชวงศ์โป้ย

22 กรกฎาคม พ.ศ. 2432
เสียชีวิต22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 (77 ปี)
คู่สมรสคุณหญิงเนื่อง
คุณหญิงเผื่อน
บุตร10 คน
บุพการี

หม่อมราชวงศ์เทวาธิราช ป.มาลากุล (22 กรกฎาคม พ.ศ. 2432 - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510) (นามเดิม:หม่อมราชวงศ์โป้ย มาลากุล) เคยมีบรรดาศักดิ์เป็นมหาเสวกตรี พระยาเทวาธิราช อดีตข้าราชการสำนักพระราชวัง เคยเป็นสมุหพระราชพิธี

ประวัติ[แก้]

หม่อมราชวงศ์เทวาธิราช ป.มาลากุล เกิดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2432 ณ วังซึ่งเป็นที่ทำการกรมศิลปากรในบัดนี้ นามเดิม หม่อมราชวงศ์โป้ย มาลากุล เป็นโอรสของพลเรือโท พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ และหม่อมสุ่น มีพี่น้องร่วมพระบิดา ดังรายนามต่อไปนี้

ในวัยเยาว์ พระบิดาได้ถวายตัวพร้อมกับพี่น้องทั้งหมดให้อยู่ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในพระบรมมหาราชวัง ได้ทรงพระกรุณาฯส่งไปศึกษาในขั้นแรกที่โรงเรียนราชวิทยาลัย และต่อมาที่ Higher Technological School ณ ประเทศญี่ปุ่น โดยส่งไปพร้อมกับบุคคลดังมีรายพระนามและรายนามต่อไปนี้

  • หม่อมเจ้าพงษ์ภูวนารถ ทวีวงศ์ ใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์
  • หม่อมราชวงศ์โป้ย มาลากุล
  • นายเจริญ สวัสดิ-ชูโต (ภายหลังเป็น มหาเสวกตรี พระยานรเทพปรีดา)
  • นายเสริม ภูมิรัตน (ภายหลังเป็น หลวงประกาศโกศัยวิทย์)
  • นางสาวขจร (ท่านผู้หญิงขจร ภะรตราชา)
  • นางสาวพิศ (นางประกาศโกศัยวิทย์ พิศ ภูมิรัตน)
  • นางสาวนวล
  • นางสาวหลี (คุณศรีนาฏ บูรณะฤกษ์)

ทั้งหมดนี้นับเป็นนักเรียนญี่ปุ่นรุ่นแรกของประเทศไทย

เมื่อเรียนสำเร็จแล้ว เดินทางกลับมาประเทศไทยในปลายรัชกาลที่ 5 เริ่มฝึกราชการในกรมพระราชพิธี กระทรวงวัง จนถึงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2453 ในรัชกาลที่ 6 จึงได้รับราชการ ทรงพระกรุณาฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น จมื่นศิริวังรัตน์ ตำแหน่งเจ้ากรมพระตำรวจวังในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ถือศักดินา ๖๐๐[1]และรับราชการเรื่อยมามีความเจริญโดยลำดับจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ "พระยาเทวาธิราช" ในที่สุด และมียศพลเรือนสูงสุด คือ "มหาเสวกตรี" จนถึงวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2485 ท่านจึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้ลาออกจากบรรดาศักดิ์[2]

ตำแหน่งราชการ[แก้]

ท่านได้รับราชการโดยลำดับ ดังนี้

  • พ.ศ. 2453 เป็นเจ้ากรมพระตำรวจวัง ในราชสำนักสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
  • พ.ศ. 2463 เป็นผู้ช่วยสมุหพระราชพิธี ในกระทรวงวัง
  • พ.ศ. 2470 เป็นผู้ช่วยสมุหพระราชพิธี และ เจ้ากรมกรมวัง ในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
  • 1 เมษายน พ.ศ. 2471 เป็นสมุหพระราชพิธี[3]
  • พ.ศ. 2476 เป็นสมุหพระราชพิธี และทำการในตำแหน่งเจ้ากรม กองพระราชพิธี
  • พ.ศ. 2478 เป็นหัวหน้ากองวังและพระราชพิธี สำนักพระราชวัง
  • พ.ศ. 2479 เป็นสมุหพระราชพิธี กรรมการพระราชวัง เพื่อปรึกษากิจการพระราชสำนัก
  • พ.ศ. 2486 เป็นข้าราชการพลเรือนในพระองค์ชั้นพิเศษ
  • พ.ศ. 2492 เป็นสมุหพระราชพิธี และที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า เกือบครึ่งชีวิตในเวลาราชการของพระยาเทวาธิราช ท่านได้ครองตำแหน่งสมุหพระราชพิธียาวนานถึง 3 แผ่นดิน ตราบจนเกษียณอายุออกรับพระราชทานบำนาญ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2501 รวมอายุเวลาราชการ 47 ปี 6 เดือน เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถและรอบรู้ในเรื่องพิธีการในพระราชสำนักอันจะหาผู้เสมอได้ยาก ความรู้ในเรื่องระเบียบพระราชพิธีของท่านได้ถ่ายทอดให้บุคคลจำนวนมาก ทั้งบุตรและข้าราชการรุ่นหลัง เช่น นายเศวต ธนประดิษฐ์, นายเกรียงไกร วิศวามิตร เป็นต้น ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มหาวชิรมงกุฎ, ประถมาภรณ์ช้างเผือก, ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และเหรียญรัตนาภรณ์ ในรัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเกียรติยศ

และมีราชการพิเศษ ดังนี้

  • พ.ศ. 2478 เป็นประธานกรรมการปรึกษากิจการระหว่างพระราชสำนักและกรมศิลปากร
  • พ.ศ. 2478 เป็นกรรมการสอบแข่งขันส่งนักเรียนไปต่างประเทศ
  • พ.ศ. 2478 เป็นกรรมการพิจารณาทรัพย์สิน สำนักพระราชวัง และกรรมการพิจารณาหลักสูตรประถมและมัธยมศึกษา
  • พ.ศ. 2485 เป็นกรรมการชำระปทานุกรม
  • พ.ศ. 2486 เป็นกรรมการที่ปรึกษาวัฒนธรรม เรื่องชีวิตในบ้าน
  • พ.ศ. 2490 เป็นกรรมการสภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ
  • พ.ศ. 2491 เป็นกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ
  • พ.ศ. 2495 เป็นประธานกรรมการดำเนินงานพระเมรุ พระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร
  • พ.ศ. 2496 เป็นประธานกรรมการพิจารณาจัดวางแผนผังดัดแปลงและซ่อมทำพระราชฐาน

ในราชการพิเศษที่ได้กล่าวมานี้ ที่สำคัญที่สุดคือ ในปี พ.ศ. 2493 ได้เป็นผู้อำนวยการ งานพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส, พระราชพิธีบรมราชาภิเษกและงานพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวายพระเต้าเบญจคัพย รัชกาลที่ 1 สำหรับทรงรับน้ำอภิเษก (น้ำที่ได้พลีกรรมประกอบการพิธีแล้ว) ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นด้วย

ความสนใจ[แก้]

นอกจากหน้าที่ในพระราชสำนักแล้ว ยามว่าง พระยาเทวาธิราช จะเพลิดเพลินอยู่กับการสะสมวัตถุโบราณและหาความรู้ในหนังสือจากห้องสมุดภายในบ้านของท่าน ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ถนนประแจจีน (บ้านเลขที่ 408 สี่แยกราชเทวี ถนนเพชรบุรี ปัจจุบันรื้อถอนแล้ว) และเขียนบทความสารคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับประเพณีทั้งใน-นอกวัง อาทิ

  • พระราชประวัติสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
  • ราชาภิสดุดี
  • ประเพณีวัง
  • เจ้า
  • เบญจราชกกุธภัณฑ์ และ ราชูปโภค
  • วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
  • ประเพณีการสมรส
  • เรื่องเรือนหอ
  • เพชร-พลอย
  • เครื่องประดับของไทย
  • ช่าง 10 หมู่
  • บทสนทนา เรื่อง "เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์" ฯลฯ

ที่สำคัญที่สุด คือได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ให้เขียนจดหมายทูลถามความรู้เกี่ยวกับราชประเพณีโบราณ โต้ตอบกับพระองค์ท่าน ทำนองเป็นจดหมายเวรติดต่อเป็นเวลาหลายปี ซึ่งมีบุคคลเพียงไม่กี่ท่านที่จะได้รับพระเมตตาเช่นนี้

นอกจากการแสวงหาความรู้จากหนังสือแล้ว พระยาเทวาธิราช ยังมีความสามารถในการถ่ายภาพนิ่งและภาพยนตร์ จนถึงได้เป็นสมาชิกของสมาคมภาพยนตร์สมัครเล่นแห่งสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในบ้านของท่านจะมีห้องสำหรับล้างฟิล์มโดยเฉพาะ 1 ห้อง รวมถึงห้องฉายภาพยนตร์ด้วย สำหรับภาพยนตร์ที่ท่านสร้างและกำกับมี 2 เรื่องคือ เจ้าหญิงกุณฑลทิพย์และถลางพ่าย

ครอบครัว[แก้]

ด้านชีวิตครอบครัว ได้สมรสครั้งแรกกับคุณหญิงเนื่อง มาลากุล มีบุตร 1 คนคือ

  • หม่อมหลวงปีย์ มาลากุล

เมื่อคุณหญิงเนื่อง ถึงอนิจกรรม ในปี พ.ศ. 2458 ท่านได้สมรสอีกครั้งกับ คุณหญิงเผื่อน มาลากุล (สกุลเดิม สอาดเอี่ยม) มีบุตร-ธิดา รวม 9 คน คือ

  • หม่อมหลวงปุณฑริก ชุมสาย
  • หม่อมหลวงปัณยา มาลากุล
  • หม่อมหลวงปิลันธน์ มาลากุล
  • หม่อมหลวงปานีย์ เพ็ชรไทย
  • หม่อมหลวงปฤศนี ศรีศุภอรรถ
  • หม่อมหลวงปัทมาวดี มาลากุล
  • หม่อมหลวงปารวดี กันภัย
  • หม่อมหลวงปราลี ประสมทรัพย์
  • หม่อมหลวงโปรพ มาลากุล

และมีธิดากับนางผัน 1 คน คือ

  • หม่อมหลวงปาริชาต มาลากุล

อนิจกรรม[แก้]

บั้นปลายชีวิต หม่อมราชวงศ์เทวาธิราช ป.มาลากุล ป่วยเป็นโรคมะเร็ง และถึงอนิจกรรม ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 สิริรวมอายุได้ 78 ปี

เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]

ลำดับสาแหรก[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. พระราชทานสัญญาบัตรขุนนาง (หน้า ๒๒๗๑)
  2. "ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชการกราบถวายบังคับลาออกจากบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 59 (18 ง): 513. 17 มีนาคม 2485. สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2560. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  3. ประกาศกระทรวงวัง ปลดและตั้งข้าราชการ (หน้า ๑๖)
  4. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๗๔ ตอนที่ ๖ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๓๖, ๑๒ มกราคม ๒๕๐๐
  5. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๖๗ ตอนที่ ๓๑ ง หน้า ๒๒๙๔, ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๓
  6. ราชกิจจานุเบกษา, เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายหน้าและฝ่ายใน, เล่ม ๓๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๒๙, ๑ ธันวาคม ๒๔๗๒
  7. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๖๘, ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๐
  8. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ ๖, เล่ม ๕๙ ตอนที่ ๖๓ ง หน้า ๒๕๙๐, ๒๙ กันยายน ๒๔๘๕
  9. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ฝ่ายหน้า[ลิงก์เสีย], เล่ม ๔๓ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๑๒๒, ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๙
  10. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ ๘, เล่ม ๖๗ ตอนที่ ๓๗ ง หน้า ๓๐๓๘, ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๙๓
  11. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๗๐ ตอนที่ ๔๘ ง หน้า ๒๖๐๘, ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๙๖

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

  • ปกิณกะ ของ ม.ร.ว.เทวาธิราช ป.มาลากุล [พิมพ์เป็นอนุสรณ์ ในงานพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ พระราชทานเพลิงศพ ม.ร.ว.เทวาธิราช ป.มาลากุล ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2510]