ปรัชญาญี่ปุ่น

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ปรัชญาญี่ปุ่น ได้รับการผสมผสานระหว่างศาสนาชินโตของชนพื้นเมืองกับพุทธศาสนาและลัทธิขงจื่อจากภาคพื้นทวีป ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากทั้งปรัชญาจีนและปรัชญาอินเดีย เช่นเดียวกับ สำนักมิโทะงะขุ และ เซน ปัจจุบันปรัชญาญี่ปุ่นสมัยใหม่ส่วนมากได้รับอิทธิพลมาจากปรัชญาตะวันตก

ความคิดยุคโบราณและยุคกลาง[แก้]

ก่อนที่ระบบเจ้าขุนมูลนาย ได้รับการก่อตั้งขึ้นอย่างมั่นคงในญี่ปุ่น พุทธศาสนาได้ครอบครองความคิดหลักของญี่ปุ่น ในยุคนาระ วัฒนธรรมทางพุทธศาสนาที่นำโดยเจ้าชายโชโทะขุ ได้เสร็จสมบูรณ์ในฐานะความคิดที่ "ทำให้ประเทศปลอดภัย" เมื่อยุคเฮอัง (794–1185) เริ่มต้น รูปแบบหนึ่งของพุทธศาสนาอันลึกลับที่รู้จักกันในนาม มิก-คโย เริ่มแพร่หลายเพื่อทดแทน "แนวคิดทำให้ประเทศปลอดภัย" อย่างไรก็ตามในช่วงปลายยุคขุนนาง การมองโลกในแง่ร้ายได้รับความนิยมเนื่องจาก "ความเชื่อที่ว่าศาสนาพุทธจะเสื่อมลงในระยะหลังของโลกใบนี้" ขบวนการดินแดนบริสุทธิ์กระจายออกไปกระตุ้นให้เกิดความคาดหวังของ "ชีวิตในอนาคต" มากกว่า "ชีวิตในโลกนี้" ในยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1185–1333) เมื่อรัฐบาลที่ปกครองโดยชนชั้นซามูไรเริ่มขึ้น พุทธศาสนาแบบใหม่สำหรับชนชั้นที่กำเนิดขึ้นใหม่ (ซามูไร) ได้ปรากฏขึ้น

การเข้ามาของพุทธศาสนาและอิทธิพลต่อญี่ปุ่นในยุคแรก[แก้]

ในสมัยโบราณของญี่ปุ่น การมาถึงของพุทธศาสนาเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการสร้างชาติและการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่รัฐบาลแห่งชาติ เจ้าชายโชโทะขุ และตระกูลโซกะได้ต่อสู้และเอาชนะตระกูลโมโนะโนะเบะ ผู้ซึ่งได้จัดการกับศาสนาของญี่ปุ่นยุคโบราณและได้จัดทำแผนสำหรับการปกครองแห่งชาติโดยมีรากฐานอยู่ที่การผสมผสานของระบบกฎหมายและพุทธศาสนา ในขณะที่ร่วมมือกับตระกูลโซกะ เจ้าชายโชโทขุซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของ จักรพรรดินีซุอิโกะ ได้แสดงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพุทธศาสนาจาก "ต่างชาติ" [1] และวางแผนที่จะทำให้ การเมืองระดับชาติมีเสถียรภาพด้วยการใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือ ความคิดที่ว่าสันติภาพและความมั่นคงของชาติมาจากพลังของพุทธศาสนาเรียกว่า "การทำให้ประเทศปลอดภัย" ในยุคนาระ โดยเฉพาะในรัชสมัยจักรพรรดิโชมุ มีการสร้างวัดโคคุบุนจิและวัดโคคุบุนนิจิขึ้นทั่วประเทศ รวมไปถึงวัดโทไดจิและวัดไดบุทสึ ซึ่งถูกสร้างขึ้นที่เมืองนาระ นโยบายทางพุทธศาสนาของรัฐมาถึงจุดสูงสุดในช่วงยุคนาระ ดังที่ปรากฏในหลักฐานของเจี้ยนเจินแห่งราชวงศ์ถังผู้ซึ่งนำแท่นบวชจักรพรรดิไปยังวัดโทไดจิ

ในขณะที่พุทธศาสนายุคนาระปฏิบัติตามเพียงความคิด "การทำให้ประเทศปลอดภัย" พุทธศาสนาในยุคเฮอังไม่เพียงนำสันติภาพและความมั่นคงของชาติ เท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งกำไรทางโลกส่วนบุคคล เพราะผู้ปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธยุคเฮอังมักจะปฏิบัติธรรมโดยถือสันโดษอย่างเคร่งครัด เวทมนตร์ และ การอธิษฐานในภูเขา พุทธศาสนาแบบนี้ เรียกว่า มิคคฺโย ในขณะที่คณะทูตที่เดินทางไปยังราชสำนักจีน พระภิกษุนามว่าคูไคได้เรียนรู้พุทธศาสนานิกายวัชรยานจากจีน และนำพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่นมารวมเข้ากับการปฏิบัติที่ลึกลับของจีนจึงกลายมาเป็นพุทธศาสนาชินงอนแบบญี่ปุ่น ไซโชซึ่งเป็นพระภิกษุที่เดินทางไปยังประเทศจีนได้เรียนรู้การปฏิบัติของนิกายเทนไดแบบจีนและถกเถียงกันว่าคำสอนของคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตรควรเป็นแกนหลักของพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่นหรือไม่

ในยุคเฮอังตอนปลาย มุ่งเน้นไปที่พุทธศาสนาแบบเฮอังที่เน้นทางโลกซึ่งได้นำพระสงฆ์ที่จะประกาศเป็น "ยุคสมัยอันชั่วร้าย" ในความเป็นไปได้ของการผ่อนคลายในโลกนี้ถูกปฏิเสธ ดังนั้นชีวิตหลังความตายจึงมีทิศทางของการเกิดใหม่ในแดนสวรรค์ของชาวพุทธ นอกจากนี้ความคิดใหม่ที่ว่า "พุทธศาสนาจะเสื่อมลงในยุคหลังของโลกนี้" นำไปสู่การเกิดขึ้นของขบวนการเคลื่อนไหวดินแดนพุทธเกษตร การเคลื่อนไหวนี้นำโดยคูยะ ซึ่งเป็นนักปฏิบัติธรรมชาวพุทธในดินแดนพุทธเกษตรแสดงธรรมและประกาศความศรัทธาต่อพระอมิตาภพุทธ และสอนว่าทุกคนสามารถเข้าถึงสวรรค์พุทธศาสนาได้ ไม่ใช่แค่เพียงพระสงฆ์เท่านั้น

ธรรมจักร (วงล้อพุทธศาสนา) หมวดหมู่: สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา

พุทธศาสนาในยุคคามาคุระ[แก้]

ความเชื่อแบบโจโด ซึ่งได้รับอิทธิพลจากนิกายโจโดแห่งยุคเฮอังตอนปลาย เน้นการพึ่งพาการช่วยให้พ้นทุกข์ผ่านความเมตตากรุณาของอมิตาภพุทธะ และจะได้รับการบรรเทาจากอำนาจ โฮเนน ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธนิกายโจโด ได้ละทิ้งการบำเพ็ญตนแบบเคร่งครัดรูปแบบอื่นอย่างสิ้นเชิง เขาได้เทศนาลูกศิษย์ของเขาให้เชื่อในอมิตาภพุทธะ และให้อธิษฐาน " นะมุ-อะมิดะ-บุทสึ "อย่างจริงจัง ดังนั้น พวกเขาจะได้ไปสวรรค์ ชินรัน ลูกศิษย์ของโฮเนน ผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายสุขาวดี ได้นำคำสอนของโฮเนนมาทำให้เสร็จสมบูรณ์ และประกาศการพึ่งพาอันสมบูรณ์ นอกจากนี้ชินรันยังสนับสนุนว่าสิ่งที่บรรเทาทุกข์ของอมิตาภพุทธะเป็นผู้ที่ตระหนักถึงความผิดทางโลกและความปรารถนา อิปเปน ผู้ก่อตั้งนิกายจีชู ได้ริเริ่ม "การเต้นรำทางศาสนาที่ท่องบทสวดเป็นทำนอง"

ในทางตรงกันข้าม ความเชื่อของนิกายโจโดที่ต้องอาศัยการพึ่งพา ศาสนาพุทธนิกายเซนพยายามเน้นการตรัสรู้อย่างเฉียบพลันด้วยตนเอง โดยการทำสมาธิแบบเซน เอไซ ได้ศึกษานิกายรินไซจากประเทศจีน เขาตั้งปัญหาให้แก่ลูกศิษย์ และให้พวกเขาแก้ปัญหาด้วยตนเองและพวกเขาก็จะได้รับความรู้ด้วยตนเอง สำนักรินไซเซนได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากชนชั้นซามูไรในยุคคามาคุระ โดเกน ศึกษานิกายโซโตจากประเทศจีน [2] ซึ่งตรงกันข้ามกับเอไซ เขาเน้นกา่รตรัสรู้ด้วยการนั่งสมาธิอย่างจริงจัง (ซาเซน) สำนักโซโตเซนได้รับการสนับสนุนจากซามูไรในท้องถิ่น

สำนักส่วนใหญ่ของพุทธศาสนานิกายนิชิเรน (ญี่ปุ่น: 法華系仏教 Hokke-kei Bukkyō ) อ้างถึงพระอาจารย์ในฐานะบิดาผู้ก่อตั้งนิกายนิชิเรน ในคำสอนของเขาได้ขีดเส้นใต้ถึงจิตใจของเขาและความยิ่งใหญ่ของคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตร เขาสนับสนุนการบรรลุของโพธิจิตในช่วงชีวิตของเขาและถือว่าการตีความคำสอนของพุทธศาสนาเป็นรูปแบบที่ถูกต้องของการปฏิบัติสำหรับกฎหมาย Three Ages of Buddhism ในปัจจุบัน หนึ่งในบทความสำคัญของเขา คือ "Rissho Ankoku Ron" (สร้างคำสอนที่ถูกต้องเพื่อความสงบสุขของแผ่นดิน) ในปัจจุบันนี้ การสวดมนต์แบบมันตระ "นามู เมียวโฮ เร็งเง เคียว" เป็นศูนย์กลางการปฏิบัติของโรงเรียนและองค์กรทางศาสนาพุทธนิกายนิชิเรนเกือบทุกแห่ง

ความคิดสมัยใหม่ตอนต้น[แก้]

ในขณะที่ความคิดยุคโบราณและยุคกลางของญี่ปุ่นมีความเชื่อมโยงกับพุทธศาสนาอย่างใกล้ชิดความคิดสมัยใหม่ในช่วงต้นของญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นลัทธิขงจื่อ หรือ ลัทธิขงจื่อใหม่ ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นการศึกษาของข้าราชการโดยรัฐบาลโทคุงาวะ นอกจากนี้ลัทธิขงจื่อแบบเน้นเหตุผล ยังกระตุ้นให้เกิดสำนัก Kokugaku, Rangaku และความคิดที่ไม่เป็นทางการหลังยุคเอโดะตอนกลาง

ลัทธิขงจื่อ[แก้]

ในสมัยเอโดะ ลัทธิขงจื่อเป็นการศึกษาที่ได้รับอนุญาต โรงเรียนลัทธิขงจื่อใหม่หลายแห่งได้รับความนิยม

สำนักจูซีของลัทธิขงจื่อใหม่เป็นที่เคารพนับถือ โดยระบบเจ้าขุนมูลนายที่เปรียบเสมือนครอบครัวซึ่งยึดถือสถานะทางสังคมที่แน่นอน ฮายาชิ ราซาน สันนิษฐานว่าสำนักจูซีของลัทธิขงจื่อใหม่เป็นพื้นฐานทางทฤษฎีของรัฐบาลโทคุงาวะ โดยผ่านหลักการของ รัฐบาลพลเรือน ที่ได้รับการจัดตั้งโดย ยูชิมะ เซโด เพื่ออุทิศให้กับขงจื่อ โดยการปฏิรูปคันเซ สำนักจูซีของลัทธิขงจื่อใหม่ยังคงแข็งแกร่งและได้รับอนุญาตจากรัฐบาลโทคุงาวะ นอกจากนี้แนวคิดของสำนักจูซี แห่งลัทธิขงจื่อใหม่ได้ให้อิทธิพลอย่างมากต่อขบวนการทางการเมืองที่แสดงความเคารพต่อ จักรพรรดิ และการขับไล่ชาวต่างชาติในยุคโทคุงาวะตอนปลาย

สำนักที่ตรงกันข้ามกับสำนักจูซีของลัทธิขงจื่อใหม่ คือ สำนักหวางหยางหมิงของลัทธิขงจื่อใหม่ที่เคารพจริยศาสตร์เชิงปฏิบัติได้รับการตรวจสอบและถูกกดขี่อย่างต่อเนื่องโดยโชกุนตระกูลโทคุงาวะเนื่องจากการวิพากษ์วิจารณ์สภาพทางสังคมและการเมืองภายใต้รัฐบาลโทคุงาวะ

สำนักที่สามของลัทธิขงจื่อใหม่ได้คำนึงถึงเจตนาที่แท้จริงของตำราดั้งเดิมโดยขงจื่อและเมิ่งจื่อ ยะมะกะ โซะโก ได้ก่อตั้งปรัชญาของเขาอยู่บนฐานของจริยศาสตร์แบบขงจื่อ และสมมติให้ซามูไรเป็นชนชั้นสูงสุด อิโต จินไซ ให้ความสนใจกับ "เหริน" (仁)ของขงจื่อ เขาเคารพหลักการ "เหริน" ว่าเป็น ความรักที่มีต่อบุคคลอื่นและ "ความจริง" อันเป็นการพิจารณาที่บริสุทธิ์ นอกจากนี้ ยังยอมรับการสืบทอดการศึกษาที่เป็นแกนของตำราจีนโบราณ โอกิว โซไร ยืนยันว่าจิตวิญญาณของลัทธิขงจื่อแบบดั้งเดิม คือ การครองโลก และ การรักษาความเป็นพลเมือง

โคคุงะขุ และ รังงะขุ[แก้]

ในช่วงกลางของยุคเอโดะ สำนักโคคุงะขุที่เน้นการศึกษาความคิดและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นโบราณได้รับความนิยมในการต่อต้านแนวคิดต่างประเทศ เช่น พุทธศาสนา หรือ ลัทธิขงจื่อ ตามนโยบายของซาโกกุ ผู้สำเร็จราชการโทคุงาวะ ปัญญาชนยุคเอโดะไม่สามารถติดต่อกับอารยธรรมตะวันตกในด้านบวก ดังนั้น สำนักรังงะขุ ที่สอนภาษาดัตช์จึงเป็นหน้าต่างบานเดียวสู่โลกตะวันตก

ในยุคกลางของสมัยเอโดะ สำนักโคคุงะขุ เริ่มได้รับความนิยมในช่วงที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื่อโดยมีลัทธิชาตินิยมเป็นฉากหลัง สำนักโคคุงะขุได้ศึกษาความคิดและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในเชิงบวก รวมถึง "ตำนานโคจิกิ", "ตำนานนิฮงโชกิ" และ "ัมันโยชู" พวกเขามุ่งที่จะขุดวัฒนธรรมทางศีลธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นซึ่งแตกต่างจากลัทธิขงจื่อและพุทธศาสนา Kamo no Mabuchi ต่อสู้กับการศึกษาของ "Manyoshu" ซึ่งเรียกว่า "มะสึระโอะ-บุริ (masurao-buri)" สำหรับรูปแบบของความเป็นชายและความใจกว้าง เขาประเมินของสะสมที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย จากการศึกษา Kojiki ของเขา โมะโตริ โนรินางะ โต้แย้งว่าสาระสำคัญของวรรณกรรมญี่ปุ่นมาจาก " โมะโนะ โนะ อะวะเระ" ซึ่งเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อคุณติดต่อกับวัตถุ เขานับถือ "วิญญาณยะมะโตะ" ของญี่ปุ่นแทนที่จะเป็น"วิญญาณคะระ" (ขงจื่อ / พุทธศาสนา) ของจีน ตามที่เขากล่าวไว้ สำนักโคคุงะขุ ควรสืบทอดแนวคิดของ "ศาสนาชินโต" แบบเก่าของญี่ปุ่น ผ่านการศึกษาของสำนักโคคุงะขุ ฮิระตะอัทสึทะเนะ สนับสนุนรัฐชินโตที่เป็นชาตินิยม ซึ่งเน้นการเชื่อฟังจักรพรรดิ และยกเลิกลัทธิขงจื่อและพุทธศาสนา ซึ่งเป็นแรงผลักดันไปจนสิ้นสุดยุคโชกุนตระกูลโทคุงาวะและยุคปฏิรูปเมจิ

ในสมัยซาโกกุของยุคเอโดะ ไม่มีการติดต่อโดยตรงกับตะวันตก แต่สำนักรังงะขุ กลายเป็นที่นิยมโดยส่งเสริมการนำเข้าหนังสือตะวันตกที่แปลเป็นภาษาจีนจากประเทศจีนในช่วงการปฏิรูปปีเคียวโฮ มะเอะโนะ เรียวทะขุ และ สึงิตะ เงนปะขุ ได้แปลหนังสือภาษาดัตช์ "Tafel Anatomie" เป็นภาษาญี่ปุ่น การเรียนภาษาดัตช์ได้แผ่ขยายไปยังการศึกษาประเทศในซีกโลกตะวันตกอื่น ๆ เช่น การศึกษาของอังกฤษ ฝรั่งเศส และอเมริกันในยุคโทคุงาวะตอนปลาย ลักษณะของ "จิตวิญญาณของญี่ปุ่น อารยธรรมตะวันตก" เสร็จสมบูรณ์โดยการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาของ ซะคุมะ โชซัง "จริยศาสตร์แบบตะวันออกและ เทคโนโลยีจากตะวันตก" เนื่องจาก ทะคะโนะ โชเอ และ วะทะนะเบะ คะซัง ได้วิจารณ์สำนักซาโคขุอย่างเคร่งครัด พวกเขาถูกกดขี่โดยผู้สำเร็จราชการของ ตระกูลโทคุงาวะ

ความคิดที่ได้รับความนิยม[แก้]

ในยุคเอโดะ โรงเรียนเอกชนถูกเปิดโดยซามูไร พ่อค้า และนักวิชาการที่มีส่วนร่วมในทางการเมือง ความคิดของพวกเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับระบบเจ้าขุนมูลนายที่โดดเด่น

อิชิดะ ไบกัน ได้สังเคราะห์ลัทธิขงจื่อ พุทธศาสนา และ ศาสนาชินโต เข้าด้วยกัน และสร้างปรัชญาเชิงปฏิบัติสำหรับผู้คนจำนวนมาก เขาแนะนำให้ทำงานหนักในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากความซื่อสัตย์และความเจริญรุ่งเรือง อันโด โชเอกิ เรียกโลกแห่งธรรมชาติว่าเป็นสังคมอุดมคติที่มนุษย์ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำเกษตรกรรม พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างพอเพียงโดยปราศจากลาภยศสรรเสริญ เขาวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีการแบ่งแยกชนชั้น ศักดินาและแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน นิโนะมิยะ ซนโทะขุ ยืนยันว่าผู้คนจะต้องตอบแทนคุณงามความดีซึ่งสนับสนุนการดำรงอยู่ของพวกเขาด้วยคุณธรรมของพวกเขาเอง

ความคิดสมัยใหม่ตอนปลาย[แก้]

ในขณะที่ความคิดสมัยใหม่ของญี่ปุ่นในยุคแรก ๆ พัฒนาขึ้นในลัทธิขงจื่อและพุทธศาสนา แนวคิดการสว่างวาบทางปัญญาจากอังกฤษและสิทธิมนุษยชนของฝรั่งเศสนั้นได้รับการแพร่หลายหลังยุคปฏิรูปเมจิ ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างรวดเร็วจากความคิดตะวันตก จากช่วงเวลาสงครามจีน - ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง และ สงครามรัสเซีย - ญี่ปุ่น ระบบทุนนิยมของญี่ปุ่นได้รับการพัฒนาอย่างมาก ศาสนาคริสต์ และ แนวคิดสังคมนิยม ได้พัฒนาและกลายเป็นการเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวทางสังคมต่างๆ นอกจากนี้แนวคิดและการศึกษาแบบชาตินิยมก็ก่อตัวกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาที่ต่อต้านการศึกษาของต่างชาติ

แนวคิดการสว่างวาบทางปัญญาและสิทธิของประชาชน[แก้]

ในยุคปฏิรูปเมจิ ภาคประชาสังคมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ได้รับการแนะนำโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประโยชน์นิยม และ ลัทธิดาร์วินนิยมทางสังคมจากประเทศอังกฤษและแนวคิดอำนาจอธิปไตยของปวงชนของช็อง-ชาค รุสโซจากฝรั่งเศส

นักคิดในยุคเมจิตอนต้นสนับสนุนคุณค่าของแนวคิดการสว่างวาบทางปัญญาของอังกฤษที่ได้มาจากภาคประชาสังคมตะวันตก พวกเขาพยายามที่จะวิพากษ์วิจารณ์อำนาจหน้าที่ดั้งเดิมของญี่ปุ่นและระบบเจ้าขุนมูลนาย อย่างไรก็ตามพวกเขามีความประสานกลมกลืนของรัฐบาลและยอมรับความเป็นสมัยใหม่จากเบื้องบนโดยปราศจากความรุนแรง ในปี 1873 โมริ อะริโนริ ได้ก่อตั้ง เมโระกุชา มีสมาชิกที่รวมตัวกันในสมาพันธ์วัฒนธรรมเป็นจำนวนมาก ซึ่งเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาคปฏิบัติที่มีความสำคัญ การจับลักษณะของมนุษย์ในทางปฏิบัติ และการสันนิษฐานรูปแบบของรัฐบาลที่ยอมรับเงื่อนไขของรัฐชาติในอุดมคติ โมริ อะริโนริ สนับสนุนการศึกษาระดับชาติในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ นิชิ อะมะเนะ รับรองพฤติกรรมของมนุษย์ตามความสนใจ คะโต ฮิโรยูคิ นำสิทธิตามธรรมชาติ ออกไปภายใต้อิทธิพลของลัทธิดาร์วินนิยมทางสังคม และสนับสนุนการอยู่รอดที่เหมาะสมที่สุด

ฟูกูซะวะ ยูกิชิ เป็นผู้นำแนวคิดประโยชน์นิยมแบบอังกฤษมาให้ญี่ปุ่นและสนับสนุนสิทธิทางธรรมชาติ โดยสันนิษฐานว่าสวรรค์ได้มอบสิทธิมนุษยชนมาให้เรา เขาเห็นว่าการพัฒนาอารยธรรมเป็นการพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์ และสันนิษฐานว่าอิสรภาพของคน ๆ หนึ่งนำไปสู่เสรีภาพของประเทศใดประเทศหนึ่ง [3] ฟูกูซะวะคิดว่ารัฐบาลเป็นไปเพื่อ "ความสะดวกสบาย" และรูปลักษณ์ที่เหมาะสมกับวัฒนธรรม เขาบอกว่าไม่มีรูปแบบของรัฐบาลในอุดมคติ นอกจากนี้เขายืนยันว่าญี่ปุ่นควรจะเข้าร่วมกับประเทศในภาคพื้นทวีปเพื่อต่อต้านประเทศมหาอำนาจ [4]

ในขณะที่สมาชิกของเมโระ คุชะ ที่สนับสนุนการประสานกลมกลืนของรัฐบาลและประชาชน นักคิดประชาธิปไตย ได้ซึมซับแนวคิดเรื่องสิทธิของกลุ่มหัวรุนแรงจากฝรั่งเศส และพวกเขาได้สนับสนุนการต่อต้านและการปฏิวัติระดับชาติด้วยวาจาซึ่งต่อต้านระบอบคณาธิปไตยแบบเมจิ หลังจากเหตุการณ์กบฏซัทสึมะ ในปี 1874 อิทะงะคิ ไทสึเกะ ได้เสนอการจัดตั้งสภานิติบัญญัติการเลือกตั้งซึ่งแพร่กระจายไปทั่วประเทศในฐานะที่เป็นการเคลื่อนไหวทางเสรีภาพและสิทธิของประชาชน อุเอะคิ เอะโมริ ช่วยอิทะงะคิ และเขาได้ยกร่างเกี่ยวกับกลุ่มหัวรุนแรง นะคะเอะ โชมิน ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากรุสโซ ได้โต้แย้งสำหรับแนวคิดอำนาจอธิปไตยของประชาชน และ เสรีภาพทางการเมืองของปัจเจกบุคคล อย่างไรก็ตามในประเด็นที่เกี่ยวกับสถานการณ์ของญี่ปุ่น เขาได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของระบอบรัฐสภาและเห็นว่ารัฐธรรมนูญเมจิของราชวงศ์อิมพีเรียลควรจะค่อยๆปรับปรุงปฏิรูปโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติญี่ปุ่น

จากยุคเมจิตอนปลายไปจนถึงยุคไทโช แนวโน้มทางประชาธิปไตย ได้แพร่กระจายจนเป็นฉากหลังของจิตสำนึกทางการเมืองของชนชั้นกลาง ปัจจุบันนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อปกป้อง รัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้งทางตรง โยะชิโนะ ซะคุโซ โต้เถียงกับคณะรัฐมนตรี พรรคการเมืองและการเลือกตั้งทางตรง เขาไม่ได้ไล่ตามอย่างลึกซึ้งว่าใครเป็นรัฎฐาธิปัตย์ แต่เขายืนยันว่าเป้าหมายทางการเมืองมีวัตถุประสงค์เพื่อความสุขของประชาชนและการตัดสินใจทางการเมืองมีจุดมุ่งหมายเพื่อความตั้งใจของประชาชน มิโนะเบะ ทะสึคิชิ ตีความว่ารัฏฐาธิปัตย์ไม่ใช่จักรพรรดิ แต่เป็นรัฐ ตามที่ระบุไว้จักรพรรดิพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงพลังอำนาจของเขาในฐานะสัญลักษณ์ที่สูงที่สุดภายใต้รัฐธรรมนูญเมจิ แม้ว่าทฤษฏีของเขาจะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระยะแรก แต่เขาก็ถูกปราบปรามทางการเมืองโดยกองทัพและกลุ่มฝ่ายขวาในเวลาต่อมา

ในปี 1911 ฮิระทสึกะ ไรโช ได้ก่อตั้ง Seitosha เธอได้ปลุกระดมสิทธิสตรีของตัวเองและพัฒนา ขบวนการเรียกร้องสิทธิสตรี ในขณะที่ โยซาโนะ อากิโกะ ได้ปฏิเสธความแตกต่างทางเพศ ไรโช ได้เน้นย้ำแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกและเธอก็ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือผู้หญิงแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้หญิง ในปี 1920 ไรโชก่อตั้งสมาคมใหม่สำหรับผู้หญิงที่มี อิชิคะวะ ฟุสะเอะ และ โอะคุ มุเมะโอะ เป็นผู้นำ ไม่นานหลังจากที่กิจกรรมของพวกเขาประสบความสำเร็จในการทำให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมทางการเมือง สมาคมก็ล่มสลายเนื่องจากความแตกแยกภายใน ต่อมาอิชิคะวะ ก่อตัวขึ้นใหม่และยังคงเคลื่อนไหวต่อไปสำหรับสิทธิในการออกเสียงของผู้หญิง

ศาสนาคริสต์และสังคมนิยม[แก้]

ชาวคริสเตียน และ นักสังคมนิยม ผู้ซึ่งต่อสู้กับความขัดแย้งทางสังคมที่เกิดจากความเป็นสมัยใหม่ของญี่ปุ่น ขบวนการทางสังคมของชาวคริสเตียนมีการเคลื่อนไหวหลังจากเหตุการณ์สงครามจีน - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 และ สงครามรัสเซีย - ญี่ปุ่น ซึ่งได้นำระบบทุนนิยม และความขัดแย้งมาสู่สังคมญี่ปุ่น นักสังคมนิยมชาวญี่ปุ่นหลายคนได้รับอิทธิพลจากแนวคิดมนุษยนิยมแบบคริสเตียน ในตอนนั้นพวกเขามีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับศาสนาคริสต์

ศาสนาคริสต์ถูกต่อต้านโดยรัฐบาลโทคุงาวะ ซึ่งมีอิทธิพลต่อปัญญาชนเมจิหลายคน อูชิมุระ คันโซ ได้พัฒนา "หลักการ two Js" เพื่อรวมแนวคิดบูชิโดและจิตวิญญาณแบบคริสเตียนเข้าด้วยกัน เขาเชื่อว่าหน้าที่ของเขาคือรับใช้ "ประเทศญี่ปุ่น" และ "พระเยซู" เขาโต้แย้งสำหรับเคลื่อนไหวที่ปราศจากศาสนจักร เขาท้าทายพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดิด้านการศึกษา และกล่าวต่อต้านสงครามรัสเซีย - ญี่ปุ่น [5] นิโทะเบะ อินะโซ เป็นสมาชิกสมาคมเควกเกอร์ซึ่งพยายามรวมวัฒนธรรมญี่ปุ่นและศาสนาคริสต์ เขาทำให้วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศและกลายเป็นเลขาธิการของสมาคมสันนิบาตแห่งชาติ Joseph Hardy Neesima ได้ศึกษาเทววิทยาในสหรัฐอเมริกา เขาก่อตั้งมหาวิทยาลัยโดชิชะที่เมืองเกียวโตและเขามีส่วนร่วมในการก่อสร้างสัญลักษณ์ทางศาสนาคริสต์

ในช่วงเวลาของสงครามจีน - ญี่ปุ่นและสงครามรัสเซีย - ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการระดมทุนผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมทันทีที่ระบบสังคมนิยมแผ่ขยายต่อต้านระบบทุนนิยม อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวทางสังคมถูกระงับโดยกฎหมายตำรวจรักษาความปลอดภัยฉบับปี 1900 และเหตุการณ์กบฎเมื่อปี 1910 ชาวสังคมนิยมถูกกดขี่โดยทหารและรัฐบาลฟาสซิสต์ คะวะคะมิ ฮะจิเมะได้เขียนบทความเกี่ยวกับความยากจนลงหนังสือพิมพ์ เขาเน้นการปรับปรุงตัวปัจเจกบุคคลเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนในตอนแรก อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นชาวมาร์กซิสต์ และเขาโต้แย้งสำหรับการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยการบังคับทางสังคม โคโทะคุ ชูซุย เดิมพยายามที่จะตระหนักถึงลัทธิสัจสังคมนิยมผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติญี่ปุ่น แต่เขากลับกลายเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน และเขาโต้แย้งสำหรับการกระทำโดยตรงโดยการนัดหยุดงานทั่วไป เขาถูกประหารชีวิตในฐานะผู้บงการของเหตุการณ์กบฏในปี 1910 โอะสุกิ สะกะเอะ โต้เถียงเพื่อเสรีภาพส่วนบุคคลโดยใช้หลักการของอนาธิปไตยและสหภาพแรงงาน เขาถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อรัฐบาลและถูกลอบสังหารโดยตำรวจทหาร ในความผิดปกติหลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต ค.ศ.1923

การพัฒนาความเป็นญี่ปุ่น[แก้]

ยุคการสว่างวาบทางปัญญา ศาสนาคริสต์ และ สังคมนิยม มีอิทธิพลต่อความคิดของญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคปฏิรูปเมจิ ความสำคัญของวัฒนธรรมทางการเมืองของญี่ปุ่นและประเพณีของชาติเพิ่มขึ้นเนื่องจากปฏิกิริยาต่อต้านความเป็นตะวันตก แนวโน้มนี้มีด้าน อุดมการณ์ของลัทธิจักรวรรดินิยม และลัทธิทหาร / ลัทธิฟาสซิสต์ [6]

โทะคุโทะมิ โสะโฮ ตีพิมพ์นิตยสารที่เขาถกเถียงกันในเรื่องเสรีนิยมประชาธิปไตยและประชานิยมซึ่งต่อต้านการทำให้เป็นตะวันตกของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามเขาไม่แยแสกับชนชั้นกลางที่ควรมีส่วนร่วมทางการเมืองใน... คุงะ คัทสึนัน ยกย่องวัฒนธรรมทางการเมืองของญี่ปุ่นและประเพณีของชาติเป็นอย่างมาก เขามุ่งเป้าไปที่การฟื้นฟูและการเสริมสร้างอารมณ์แห่งชาติ แม้กระนั้นเขาก็ไม่ได้เป็นชาตินิยมโดยจิตใจ เขาวิพากษ์วิจารณ์กองทัพและโต้แย้งระบบรัฐสภาของรัฐบาลและการขยายตัวของสิทธิในการออกเสียง

หลังยุคปฏิรูปเมจิ รัฐบาลญี่ปุ่นปกป้องศาสนาชินโต และถือว่าไม่ได้เป็นแค่ศาสนาพิเศษ แต่เป็นศาสนาชินโตแห่งรัฐ รัฐบาลเกี่ยวข้องกับศาสนาชินโตอย่างใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิอันศักดิ์สิทธิ์ และพวกเขาใช้ศาสนาชินโตเป็นเครื่องมือในการปกครองของรัฐ ศาสนาชินโตแห่งรัฐโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดจากนิกายส่วนตัวของศาสนาชินโต ซึ่งเป็นรูปแบบของการกำกับดูแลของรัฐในอุดมการณ์ที่นำไปสู่รูปแบบชินโตแห่งรัฐและประกาศใช้พระราชฤษฎีกาของจักรพรรดิด้านการศึกษา แนวคิดรัฐนิยมแบบเมจิ พยายามที่จะเรียกร้องอธิปไตยของชาติคืนมาและติดตามลัทธิจักรวรรดินิยม และ ลัทธิล่าอาณานิคม ผ่าน สงครามจีน -ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 และ สงครามรัสเซีย - ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามแนวโน้มทางการทหารได้รับการพัฒนาให้เป็นลัทธิชาตินิยมแบบสุดโต่ง คิตะ อิคคิ สนับสนุนการยกเว้นไซบัทสึ รัฐบุรุษอาวุโส และ พรรคการเมือง รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลสำหรับการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างจักรพรรดิและประชาชน [7]

ยะนะกิตะ คุนิโอะ อยู่ในระดับแถวหน้าของการศึกษาคติชาวบ้านของญี่ปุ่น เขาตั้งชื่อสมาชิกของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นผู้นำทางการเมืองและ ปัญญาชน ในฐานะ "jomin" (โจมิน) นักคติชนวิทยาอื่น ๆ ได้แก่ มินะกะตะ คุมะกุสุ, ยะนะงิ มุเนะโยชิ และ โอริกุชิ ชิโนะบุ

ในยุคก่อนสงครามญี่ปุ่น มีการศึกษาและแนะนำ ปรัชญาเยอรมันอย่างกระตือรือร้น อย่างไรก็ตามตั้งแต่ยุคเมจิตอนปลายถึงยุคไทโช สำนักเกียวโตพยายามประสานความคิดตะวันตกกับความคิดตะวันออกเข้าด้วยกัน เช่น พุทธศาสนานิกายเซน นิชิดะ คิทะโระได้สร้างความคิดดั้งเดิมโดยการผสมผสานของเซนกับความคิดแบบตะวันตก ความคิดของเขาเรียกว่าปรัชญาของนิชิดะ ยืนยันในประสบการณ์อันบริสุทธิ์ซึ่งไม่มีการต่อต้านระหว่างผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ [8] หลักภววิทยาของเขาได้รับมาจากความว่างอันสมบูรณ์ วัทสึจิ เท็ทสึโระ ได้วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดปัจเจกบุคคลนิยมอันเห็นแก่ตัวของตะวันตก [9] จริยศาสตร์ของเขากล่าวว่ามนุษย์ไม่ได้ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ดำรงอยู่อย่างมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เขายืนยันว่าปัจเจกบุคคลและสังคมควรตระหนักถึงบุคลิคลักษณะเฉพาะของตัวเองและสมาชิกในสังคม เขายังเป็นที่รู้จักกันดีจากผลงาน ภูมิอากาศและวัฒนธรรม ซึ่งเขาศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น

ปรัชญาญี่ปุ่นร่วมสมัย[แก้]

หลังสงครามโลกครั้งที่สองนักปรัชญาทางวิชาการหลายคนได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับปรัชญาภาคพื้นทวีปยุโรปและปรัชญาอเมริกัน ในบรรดาเหล่านั้น โชโซ โอะโมะริ, วะทะรุ ฮิโระมัทสึ, ยะสุโอะ ยุอะสะ และ ทะคากิ โยะชิโมะโตะ พวกเขาสร้างผลงานต้นฉบับภายใต้อิทธิพลของลัทธิมาร์กซิสต์ ปรากฏการณ์วิทยา และ ปรัชญาวิเคราะห์ โชโซ โอะโมะริ ได้สร้างญาณวิทยาแบบเอกนิยมซึ่งเป็นหนึ่งเดียวอันมีพื้นฐานมาจากแนวคิดของ "เอกนิยมตัวแทน", "การพรรณาซ้ำ" และ "วิญญาณนิยมเชิงภาษา" วะทะรุ ฮิโรมัทสึ พัฒนาทฤษฎี "โครงสร้างทางภววิทยาเกี่ยวกับความเป็นอัตวิสัยของโลก" ของเขา ยะสุโอะ ยุอะสะ ได้พัฒนาทฤษฎีร่างกายใหม่ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก Merleau-Ponty และภาพร่างกายที่พบในวงการแพทย์แผนจีน ทะคากิ โยะชิโมะโตะ มีชื่อเสียงในเรื่อง "ทฤษฎีภาพลวงตาที่ใช้ร่วมกัน" ของเขาและบทความทางปรัชญาที่หลากหลายเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น วันนี้นักวิชาการ เช่น โคจิน คะระทะนิ (ทฤษฎีวรรณกรรม), ฮิโทชิ นะงะอิ (เอกัตนิยม), ชิเงะคิ โนะยะ (ปรัชญาวิเคราะห์), มะสะฮิโระ โมะริโอะกะ (ปรัชญาชีวิต) และ โมะโทะโยะชิ อิริฟูจิ ( ปรัชญาวิเคราะห์ ) ได้รับการพิจารณาให้เป็นนักปรัชญาที่มีลักษณะเฉพาะในวงการวิชาการญี่ปุ่น [10]

ดูเพิ่มเติม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. See Sangyo Gisho and Seventeen-article constitution.
  2. For a philosophical study of Dōgen's concept of language cf. Ralf Müller: Dōgens Sprachdenken: Historische und symboltheoretische Perspektiven [Dōgen’s language thinking: Systematic perspectives from history and the theory of symbols], Welten der Philosophie, vol. 13. Freiburg/München: Verlag Karl Alber, 2013; reviewed by Steffen Döll in Philosophy East & West Volume 65, Number 2 April 2015 636–639.
  3. Encouragement of learning (1872–76) and An outline of a theory of civilization (1875)
  4. Datsu-A Ron
  5. How I became a Christian (1895)
  6. See also Total war and Pan-Asianism.
  7. See February 26 Incident.
  8. An inquiry into the good
  9. The significance of ethics as the study as man
  10. See for example, Collected works of Shozo Omori เก็บถาวร 2015-12-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Shozo Omori bibliography,Collected works of Wataru Hiromatsu เก็บถาวร 2015-05-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Collected works of Yasuo Yuasa, Collected works of Takaaki Yoshimoto, Collected works of Kojin Karatani เก็บถาวร 2015-12-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน

บรรณานุกรม[แก้]

บทความ
  • James W. Heisig, Thomas P. Kasulis, John C. Maraldo (eds.), Japanese Philosophy: A Sourcebook, Honolulu: University of Hawaiʻi Press, 2011.
  • David A. Dilworth & Valdo H. Viglielmo, with Agustin Jacinto Zavala (eds.), Sourcebook for Modern Japanese Philosophy: Selected Documents, Westport: Greenwood Press, 1998.
  • R. Tsunoda, W.T.de Bary, D. Keene (eds.), Sources of Japanese Traditions, New York: Columbia University Press, 1964, 2 vols.
การศึกษา
  • H. Gene Blocker, Christopher L. Starling, Japanese Philosophy, Albany, N.Y.: State University of New York Press, 2001.
  • Hajime Nakamura, History of Japanese Thought: 592–1868. Japanese Philosophy before Western Culture Entered Japan, London – New York: Kegan Paul, 1969.
  • Gino K. Piovesana, Contemporary Japanese Philosophical Thought, New York: St John's University Press, 1969.

เชื่อมโยงภายนอก[แก้]