ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โรเจอร์ เฟเดอเรอร์"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 45: | บรรทัด 45: | ||
อิวาน ลูบิซิช (2016–ปัจจุบัน)}} |
อิวาน ลูบิซิช (2016–ปัจจุบัน)}} |
||
'''โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ''' ({{lang-de|Roger Federer}}, {{IPA-de|ˈrɔdʒər ˈfeːdərər|pron}};<ref>{{Cite web|last=Comesipronuncia.it|first=Patrizia Serra-|title=How to pronounce Roger Federer - PronounceItRight|url=https://www.pronounceitright.com/pronunciation/roger-federer-5329|website=www.pronounceitright.com|language=en}}</ref> เกิด: 8 สิงหาคม ค.ศ. 1981) เป็นนัก[[เทนนิส]]อาชีพชายชาว[[ประเทศสวิตเซอร์แลนด์|สวิส]]มือวางอันดับ 16 ของโลกคนปัจจุบัน เขาเป็นหนึ่งในสามผู้เล่นที่ได้แชมป์[[เทนนิสแกรนด์สแลม|แกรนด์สแลม]]ในประเภทชายเดี่ยวมากที่สุด 20 สมัย และเป็นเจ้าของสถิติแชมป์[[เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล|เอทีพี ไฟนอล]]{{efn|ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อการแข่งขันว่า เดอะ มาสเตอร์ กรังปรีซ์, เอทีพี ทัวร์ เวิลด์ แชมป์เปียนชิป, เดอะ มาสเตอร์ส คัพ, เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ก่อนจะเปลี่ยนเป็น เอทีพี ไฟนอล ในปี 2017}} 6 สมัย เฟเดอเรอร์ยังทำสถิติครองตำแหน่ง[[:en:List_of_ATP_number_1_ranked_singles_players|มือวางอันดับ 1]] ติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวน 237 สัปดาห์ (2004– |
'''โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ''' ({{lang-de|Roger Federer}}, {{IPA-de|ˈrɔdʒər ˈfeːdərər|pron}};<ref>{{Cite web|last=Comesipronuncia.it|first=Patrizia Serra-|title=How to pronounce Roger Federer - PronounceItRight|url=https://www.pronounceitright.com/pronunciation/roger-federer-5329|website=www.pronounceitright.com|language=en}}</ref> เกิด: 8 สิงหาคม ค.ศ. 1981) เป็นนัก[[เทนนิส]]อาชีพชายชาว[[ประเทศสวิตเซอร์แลนด์|สวิส]]มือวางอันดับ 16 ของโลกคนปัจจุบัน เขาเป็นหนึ่งในสามผู้เล่นที่ได้แชมป์[[เทนนิสแกรนด์สแลม|แกรนด์สแลม]]ในประเภทชายเดี่ยวมากที่สุด 20 สมัย และเป็นเจ้าของสถิติแชมป์[[เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล|เอทีพี ไฟนอล]]{{efn|ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อการแข่งขันว่า เดอะ มาสเตอร์ กรังปรีซ์, เอทีพี ทัวร์ เวิลด์ แชมป์เปียนชิป, เดอะ มาสเตอร์ส คัพ, เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ก่อนจะเปลี่ยนเป็น เอทีพี ไฟนอล ในปี 2017}} 6 สมัย เฟเดอเรอร์ยังทำสถิติครองตำแหน่ง[[:en:List_of_ATP_number_1_ranked_singles_players|มือวางอันดับ 1]] ติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวน 237 สัปดาห์ (2004–2008)<ref>https://www.swissinfo.ch/eng/roger-federer-loses-his-crown/999832</ref> และเป็นผู้เล่นชายที่ครองตำแหน่งอันดับ 1 ด้วยจำนวนสัปดาห์รวมที่มากที่สุดเป็นอันดับสอง (310 สัปดาห์)<ref>{{Cite web|last=Thompson|first=Jackson|title=Novak Djokovic breaks Roger Federer's all-time record for most weeks ranked No. 1 by The ATP|url=https://www.insider.com/novak-djokovic-record-for-most-weeks-ranked-no-1-2021-3|website=Insider|language=en-US}}</ref> และครองตำแหน่ง[[:en:List_of_ATP_number_1_ranked_singles_players#Year-end_No._1|อันดับ 1 เมื่อจบฤดูกาล]] 5 ครั้ง<ref>{{Cite web|title=Roger Federer {{!}} Overview {{!}} ATP Tour {{!}} Tennis|url=http://www.atptour.com/en/players/roger-federer/f324/overview|website=ATP Tour}}</ref> เขาคว้าแชมป์การแข่งขันในประเภทชายเดี่ยว 103 รายการ<ref>{{Cite web|title=Roger Federer {{!}} Titles and Finals {{!}} ATP Tour {{!}} Tennis|url=http://www.atptour.com/en/players/roger-federer/f324/overview|website=ATP Tour}}</ref> และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามนักเทนนิสชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ([[:en:Big_Three_(tennis)|Big 3]])<ref>{{Cite web|last=Feb 22|first=TIMESOFINDIA COM / Updated:|last2=2021|last3=Ist|first3=16:01|title=Big Three: The incredible domination of Federer, Nadal and Djokovic {{!}} Tennis News - Times of India|url=https://timesofindia.indiatimes.com/sports/tennis/top-stories/big-three-the-incredible-domination-of-federer-nadal-and-djokovic/articleshow/81149814.cms|website=The Times of India|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|last=CNN|first=Ben Morse|title='All three of the best players are playing in this generation,' Murray believes tennis' 'Big Three' are GOATs|url=https://edition.cnn.com/2020/04/18/tennis/andy-murray-tennis-goat-novak-djokovic-instagram-live-spt-intl/index.html|website=CNN}}</ref><ref>{{Cite web|title=Big 3: Federer, Nadal, Djokovic dominate men's tennis|url=https://www.aa.com.tr/en/sports/big-3-federer-nadal-djokovic-dominate-mens-tennis/2156055|website=www.aa.com.tr}}</ref><ref>{{Cite web|title=Big Three greatest ever: McEnroe|url=https://www.telegraphindia.com/sports/big-three-greatest-ever-john-mcenroe/cid/1736468|website=www.telegraphindia.com}}</ref> ร่วมกับ [[ราฟาเอล นาดัล]] และ [[นอวาก จอกอวิช]]{{efn|ทั้งสามคนเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเทนนิสชาย อ้างอิงจากจำนวนถ้วยรางวัล เงินรางวัล และสถิติโลกต่าง ๆ ที่บันทึกโดยสมาคมเทนนิสอาชีพ}} รวมทั้งเป็นหนึ่งใน[[นักกีฬา]]ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล<ref>https://www.skysports.com/tennis/news/15538/11226407/roger-federer-is-the-greatest-sportsperson-of-all-time-says-mark-petchey</ref><ref>https://www.abc.net.au/news/2017-07-17/is-federer-the-greatest-athlete-of-them-all/8714850</ref><ref>https://www.foxsports.com.au/tennis/roger-federer-greatest-athlete-of-all-time-tiger-woods-tweets/news-story/7b74721d1225ad9e59274ff21f35bcde</ref><ref>https://bleacherreport.com/articles/392201-the-best-ever-the-50-greatest-male-athletes-of-all-time</ref> |
||
เฟเดอเรอร์เริ่มเล่นอาชีพในปี 1998<ref>https://www.biography.com/athlete/roger-federer</ref> และคว้าแชมป์แกรนด์สแลมครั้งแรกในวิมเบิลดันปี 2003 ก่อนจะขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ครั้งแรกในปี 2004<ref>https://www.tennisworldusa.org/tennis/news/Roger_Federer/51630/february-2-2004-roger-federer-becomes-world-number-1-for-the-first-time/</ref> ซึ่งเป็นปีที่เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ถึงสามรายการ และได้แชมป์เอทีพี ไฟนอล และทำสถิตินี้ได้อีกสองครั้งในปี 2006 และ 2007{{efn|ในปี 2004, 2006 และ 2007 ถือเป็นฤดูกาลที่เฟเดอเรอร์ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอาชีพ เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้สามรายการได้แก่ ออสเตรเลียนโอเพน, วิมเบิลดัน และ ยูเอสโอเพน รวมทั้งแชมป์ เอทีพี ไฟนอล }} ในช่วงเวลานั้น เขายังทำสถิติคว้าแชมป์วิมเบิลดันและยูเอสโอเพนติดต่อกัน 5 สมัย และตั้งแต่ปี 2005– |
เฟเดอเรอร์เริ่มเล่นอาชีพในปี 1998<ref>https://www.biography.com/athlete/roger-federer</ref> และคว้าแชมป์แกรนด์สแลมครั้งแรกในวิมเบิลดันปี 2003 ก่อนจะขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ครั้งแรกในปี 2004<ref>https://www.tennisworldusa.org/tennis/news/Roger_Federer/51630/february-2-2004-roger-federer-becomes-world-number-1-for-the-first-time/</ref> ซึ่งเป็นปีที่เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ถึงสามรายการ และได้แชมป์เอทีพี ไฟนอล และทำสถิตินี้ได้อีกสองครั้งในปี 2006 และ 2007{{efn|ในปี 2004, 2006 และ 2007 ถือเป็นฤดูกาลที่เฟเดอเรอร์ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอาชีพ เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้สามรายการได้แก่ ออสเตรเลียนโอเพน, วิมเบิลดัน และ ยูเอสโอเพน รวมทั้งแชมป์ เอทีพี ไฟนอล }} ในช่วงเวลานั้น เขายังทำสถิติคว้าแชมป์วิมเบิลดันและยูเอสโอเพนติดต่อกัน 5 สมัย และตั้งแต่ปี 2005–2010 เขาเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้มากถึง 18 จาก 19 รายการ และคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทุกรายการในอาชีพ ([[:en:career Grand Slam|Career Grand Slam]]) ภายหลังได้แชมป์เฟรนช์โอเพนในปี 2009<ref>https://www.theguardian.com/sport/2009/jun/07/roger-federer-wins-french-open</ref> หลังจากแพ้ ราฟาเอล นาดัล [[:en:Federer–Nadal rivalry|คู่แข่งคนสำคัญ]]ในรอบชิงชนะเลิศมา 3 ครั้งก่อนหน้านี้ ในปีนั้นเขายังคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 14 เท่ากับ[[พีต แซมพราส]] หลังจากคว้าแชมป์วิมเบิลดันได้ และเขาถือเป็นผู้เล่นชายที่เก่งและประสบความสำเร็จมากที่สุดในทศวรรษ 2000 |
||
อย่างไรก็ตาม การก้าวขึ้นมาของนาดัลและจอกอวิชทำให้ความสำเร็จของเฟเดอเรอร์ลดลงไปอย่างมาก |
อย่างไรก็ตาม การก้าวขึ้นมาของนาดัลและจอกอวิชในทศวรรษต่อมาทำให้ความสำเร็จของเฟเดอเรอร์ลดลงไปอย่างมาก ตั้งแต่ปี 2011–2016 เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มได้เพียงรายการเดียว แต่ยังคว้าเหรียญเงินประเภทชายเดี่ยวใน[[โอลิมปิกฤดูร้อน 2012]] ได้ ซึ่งเป็นเหรียญที่สองในโอลิมปิกของเขาหลังจากได้เหรียญทองประเภทคู่ในปี [[โอลิมปิกฤดูร้อน 2008|2008]] และพาทีมสวิตเซอร์แลนด์คว้าแชมป์เดวิส คัพ{{efn|การแข่งขันเริ่มขึ้นในปี 1900 เป็นการแข่งขันรายการนานาชาติของทีมชายที่ใหญ่ที่สุดของสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ เปรียบเสมือนการแข่งขันชิงแชมป์โลก ผู้จัดงานได้อธิบายไว้ว่าเป็น "World Cup of Tennis" และผู้ชนะจะเรียกว่าทีมแชมป์โลก}} สมัยแรกในปี 2014 ก่อนจะเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่าและพักฟื้นในปี 2016<ref>https://www.atptour.com/en/news/federer-opens-up-about-knee-surgery-miami-2016</ref> และกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้ในช่วงปี 2017–18 โดยคว้าแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มได้ 3 รายการ รวมถึงเอาชนะนาดัลในรอบชิงชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน 2017<ref>https://www.theguardian.com/sport/live/2017/jan/29/roger-federer-v-rafael-nadal-australian-open-final-live</ref> และยังทำสถิติคว้าแชมป์วิมเบิลดันสมัยที่ 8 ได้ในปีนั้น<ref>https://www.foxsports.com/stories/tennis/a-look-back-at-roger-federers-record-8-wimbledon-titles</ref> ต่อมาในปี 2018 เขาทำสถิติเป็นผู้เล่นมือวางอันดับ 1 ที่มีอายุมากที่สุดด้วยวัย 36 ปี<ref>https://www.theguardian.com/sport/2018/feb/16/roger-federer-oldest-world-no-1-robin-haase</ref> |
||
เฟเดอเรอร์ได้รับรางวัลนักกีฬาชายยอดเยี่ยมแห่งปี 5 สมัย (สถิติสูงสุด)<ref>{{cite news|title=Winners Archive Roger Federer|url=http://www.laureus.com/winners?id=418|accessdate=2008-07-10}}</ref>, [[:en:ATP_Awards|รางวัลนักเทนนิสยอดเยี่ยมของเอทีพี]] 5 สมัย<ref>{{Cite web|title=ATP Awards Honour Roll {{!}} ATP Tour {{!}} Tennis|url=http://www.atptour.com/en/news/atp-awards-honour-roll|website=ATP Tour}}</ref> และรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมจากการโหวตของเพื่อนนักเทนนิส 13 สมัย<ref name=":0">https://time.com/collection/most-influential-people-2018/5217613/roger-federer/</ref> เขาถือเป็นผู้เล่นขวัญใจแฟนเทนนิสทั่วโลก<ref>{{Cite web|last=CNN|first=Aimee Lewis|title=How Roger Federer inspires global devotion|url=https://edition.cnn.com/2017/07/14/tennis/roger-federer-fans-wimbledon-tennis/index.html|website=CNN}}</ref> โดยได้รับรางวัลขวัญใจอันดับหนึ่งจากการโหวตผ่านเว็บไซต์[[:en:Association_of_Tennis_Professionals|เอทีพี]] 18 ครั้งติดต่อกัน<ref>https://www.tennisworldusa.org/tennis/news/Roger_Federer/93648/roger-federer-wins-18th-consecutive-fans-favourite-singles-player-award/</ref> (2003– |
เฟเดอเรอร์ได้รับรางวัลนักกีฬาชายยอดเยี่ยมแห่งปี 5 สมัย (สถิติสูงสุด)<ref>{{cite news|title=Winners Archive Roger Federer|url=http://www.laureus.com/winners?id=418|accessdate=2008-07-10}}</ref>, [[:en:ATP_Awards|รางวัลนักเทนนิสยอดเยี่ยมของเอทีพี]] 5 สมัย<ref>{{Cite web|title=ATP Awards Honour Roll {{!}} ATP Tour {{!}} Tennis|url=http://www.atptour.com/en/news/atp-awards-honour-roll|website=ATP Tour}}</ref> และรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมจากการโหวตของเพื่อนนักเทนนิส 13 สมัย<ref name=":0">https://time.com/collection/most-influential-people-2018/5217613/roger-federer/</ref> เขาถือเป็นผู้เล่นขวัญใจแฟนเทนนิสทั่วโลก<ref>{{Cite web|last=CNN|first=Aimee Lewis|title=How Roger Federer inspires global devotion|url=https://edition.cnn.com/2017/07/14/tennis/roger-federer-fans-wimbledon-tennis/index.html|website=CNN}}</ref> โดยได้รับรางวัลขวัญใจอันดับหนึ่งจากการโหวตผ่านเว็บไซต์[[:en:Association_of_Tennis_Professionals|เอทีพี]] 18 ครั้งติดต่อกัน<ref>https://www.tennisworldusa.org/tennis/news/Roger_Federer/93648/roger-federer-wins-18th-consecutive-fans-favourite-singles-player-award/</ref> (2003–2020) เฟเดอเรอร์ได้รับการจัดอันดับโดย[[ไทม์]]ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกในปี 2018<ref name=":0" /> เขาถือเป็น[[ชาวสวิส]]คนแรกที่ยังมีชีวิตอยู่และมีรูปอยู่ใน[[แสตมป์]]และเหรียญที่ระลึกของ[[ประเทศสวิตเซอร์แลนด์|สวิตเซอร์แลนด์]]<ref>http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/europe/6544335.stm</ref><ref>https://edition.cnn.com/2019/12/03/tennis/roger-federer-commemorative-coin-switzerland-spt-intl/index.html</ref> และยังติดอันดับ 1 ใน 10 นักกีฬาที่ร่ำรวยที่สุดของโลกทุกปี<ref>{{Cite web|last=Badenhausen|first=Kurt|title=How Roger Federer Makes $71 Million A Year|url=https://www.forbes.com/sites/kurtbadenhausen/2013/06/05/how-roger-federer-makes-71-million-a-year/|website=Forbes|language=en}}</ref> และเป็นนักกีฬาที่ทำเงินรางวัลมากที่สุดในโลกในปี 2020 ด้วยรายได้ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref>https://www.forbes.com/sites/kurtbadenhausen/2020/05/29/roger-federer-on-top-the-swiss-tennis-ace-scores-first-no-1-payday-with-106-million/?sh=2034c71e18d9</ref> โดยถือเป็นนักเทนนิสคนแรกที่ทำได้ เขาก่อตั้งมูลนิธิ ''Roger Federer Foundation'' ในปี 2003 เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสใน[[ทวีปแอฟริกา]] และเป็นผู้ริเริ่มการแข่งขัน เลเวอร์ คัพ ในปี 2017{{efn|เป็นรายการที่นำนักเทนนิสชื่อดังจากทีมรวมดารายุโรป มาแข่งกับทีมรวมดาราโลกจำนวน 3 วัน ทีมที่ได้คะแนนรวมมากกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ}} และยังเคยดำรงตำแหน่งประธานสภานักเทนนิสของเอทีพี (2008–2014)<ref>{{Cite web|last=Reporter|first=Staff|date=2014-06-22|title=Roger Federer steps down as ATP Player Council's President|url=https://www.sportskeeda.com/tennis/roger-federer-steps-down-as-atp-player-council-president|website=www.sportskeeda.com|language=en-us}}</ref> |
||
== ชีวิตส่วนตัว == |
== ชีวิตส่วนตัว == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:09, 17 พฤศจิกายน 2564
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
เฟเดอเรอร์ในปี 2015 | |
ประเทศ (กีฬา) | สวิตเซอร์แลนด์ |
---|---|
ถิ่นพำนัก | รัฐบาเซิล-ลันท์ชัฟท์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ |
วันเกิด | บาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ | 8 สิงหาคม ค.ศ. 1981
ส่วนสูง | 1.85 m (6 ft 1 in)[1] |
เทิร์นโปร | 1998 |
การเล่น | มือขวา (แบ็กแฮนด์มือเดียว) |
ผู้ฝึกสอน | สเตฟาน เอ็ดเบิร์ก (2014–2015) อิวาน ลูบิซิช (2016–ปัจจุบัน) |
เงินรางวัล | 130,594,339 ดอลลาร์สหรัฐ |
เว็บไซต์ทางการ | rogerfederer |
เดี่ยว | |
สถิติอาชีพ | 1251–275 (82.0%) |
รายการอาชีพที่ชนะ | 103 (สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในประเภทชายเดี่ยว) |
อันดับสูงสุด | No. 1 (2 กุมภาพันธ์ 2004) |
อันดับปัจจุบัน | No. 16 (8 พฤศจิกายน 2021)[2] |
ผลแกรนด์สแลมเดี่ยว | |
ออสเตรเลียนโอเพน | ชนะเลิศ (2004, 2006, 2007, 2010, 2017, 2018) |
เฟรนช์โอเพน | ชนะเลิศ (2009) |
วิมเบิลดัน | ชนะเลิศ (2003, 2004, 2005, 2006, 2007, 2009, 2012, 2017) |
ยูเอสโอเพน | ชนะเลิศ (2004, 2005, 2006, 2007, 2008) |
การแข่งขันอื่น ๆ | |
Tour Finals | ชนะเลิศ (2003, 2004, 2006, 2007, 2010, 2011) |
Olympic Games | เหรียญเงิน (2012) |
คู่ | |
สถิติอาชีพ | 131–92 (58.7%) |
รายการอาชีพที่ชนะ | 8 |
อันดับสูงสุด | No. 24 (9 มิถุนายน ค.ศ.2003) |
ผลแกรนด์สแลมคู่ | |
ออสเตรเลียนโอเพน | 3R (2003) |
เฟรนช์โอเพน | 1R (2000) |
วิมเบิลดัน | QF (2000) |
ยูเอสโอเพน | 3R (2002) |
การแข่งขันคู่อื่น ๆ | |
Olympic Games | เหรียญทอง (2008) |
การแข่งขันแบบทีม | |
Davis Cup | ชนะเลิศ (2014) |
Hopman Cup | ชนะเลิศ (2001, 2018, 2019) |
Olympic medal record | |
อัปเดตล่าสุดเมื่อ: 8 พฤศจิกายน 2021 |
โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ (เยอรมัน: Roger Federer, ออกเสียง: [ˈrɔdʒər ˈfeːdərər];[3] เกิด: 8 สิงหาคม ค.ศ. 1981) เป็นนักเทนนิสอาชีพชายชาวสวิสมือวางอันดับ 16 ของโลกคนปัจจุบัน เขาเป็นหนึ่งในสามผู้เล่นที่ได้แชมป์แกรนด์สแลมในประเภทชายเดี่ยวมากที่สุด 20 สมัย และเป็นเจ้าของสถิติแชมป์เอทีพี ไฟนอล[a] 6 สมัย เฟเดอเรอร์ยังทำสถิติครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวน 237 สัปดาห์ (2004–2008)[4] และเป็นผู้เล่นชายที่ครองตำแหน่งอันดับ 1 ด้วยจำนวนสัปดาห์รวมที่มากที่สุดเป็นอันดับสอง (310 สัปดาห์)[5] และครองตำแหน่งอันดับ 1 เมื่อจบฤดูกาล 5 ครั้ง[6] เขาคว้าแชมป์การแข่งขันในประเภทชายเดี่ยว 103 รายการ[7] และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามนักเทนนิสชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (Big 3)[8][9][10][11] ร่วมกับ ราฟาเอล นาดัล และ นอวาก จอกอวิช[b] รวมทั้งเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล[12][13][14][15]
เฟเดอเรอร์เริ่มเล่นอาชีพในปี 1998[16] และคว้าแชมป์แกรนด์สแลมครั้งแรกในวิมเบิลดันปี 2003 ก่อนจะขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ครั้งแรกในปี 2004[17] ซึ่งเป็นปีที่เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ถึงสามรายการ และได้แชมป์เอทีพี ไฟนอล และทำสถิตินี้ได้อีกสองครั้งในปี 2006 และ 2007[c] ในช่วงเวลานั้น เขายังทำสถิติคว้าแชมป์วิมเบิลดันและยูเอสโอเพนติดต่อกัน 5 สมัย และตั้งแต่ปี 2005–2010 เขาเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้มากถึง 18 จาก 19 รายการ และคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทุกรายการในอาชีพ (Career Grand Slam) ภายหลังได้แชมป์เฟรนช์โอเพนในปี 2009[18] หลังจากแพ้ ราฟาเอล นาดัล คู่แข่งคนสำคัญในรอบชิงชนะเลิศมา 3 ครั้งก่อนหน้านี้ ในปีนั้นเขายังคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 14 เท่ากับพีต แซมพราส หลังจากคว้าแชมป์วิมเบิลดันได้ และเขาถือเป็นผู้เล่นชายที่เก่งและประสบความสำเร็จมากที่สุดในทศวรรษ 2000
อย่างไรก็ตาม การก้าวขึ้นมาของนาดัลและจอกอวิชในทศวรรษต่อมาทำให้ความสำเร็จของเฟเดอเรอร์ลดลงไปอย่างมาก ตั้งแต่ปี 2011–2016 เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มได้เพียงรายการเดียว แต่ยังคว้าเหรียญเงินประเภทชายเดี่ยวในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ได้ ซึ่งเป็นเหรียญที่สองในโอลิมปิกของเขาหลังจากได้เหรียญทองประเภทคู่ในปี 2008 และพาทีมสวิตเซอร์แลนด์คว้าแชมป์เดวิส คัพ[d] สมัยแรกในปี 2014 ก่อนจะเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่าและพักฟื้นในปี 2016[19] และกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้ในช่วงปี 2017–18 โดยคว้าแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มได้ 3 รายการ รวมถึงเอาชนะนาดัลในรอบชิงชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน 2017[20] และยังทำสถิติคว้าแชมป์วิมเบิลดันสมัยที่ 8 ได้ในปีนั้น[21] ต่อมาในปี 2018 เขาทำสถิติเป็นผู้เล่นมือวางอันดับ 1 ที่มีอายุมากที่สุดด้วยวัย 36 ปี[22]
เฟเดอเรอร์ได้รับรางวัลนักกีฬาชายยอดเยี่ยมแห่งปี 5 สมัย (สถิติสูงสุด)[23], รางวัลนักเทนนิสยอดเยี่ยมของเอทีพี 5 สมัย[24] และรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมจากการโหวตของเพื่อนนักเทนนิส 13 สมัย[25] เขาถือเป็นผู้เล่นขวัญใจแฟนเทนนิสทั่วโลก[26] โดยได้รับรางวัลขวัญใจอันดับหนึ่งจากการโหวตผ่านเว็บไซต์เอทีพี 18 ครั้งติดต่อกัน[27] (2003–2020) เฟเดอเรอร์ได้รับการจัดอันดับโดยไทม์ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกในปี 2018[25] เขาถือเป็นชาวสวิสคนแรกที่ยังมีชีวิตอยู่และมีรูปอยู่ในแสตมป์และเหรียญที่ระลึกของสวิตเซอร์แลนด์[28][29] และยังติดอันดับ 1 ใน 10 นักกีฬาที่ร่ำรวยที่สุดของโลกทุกปี[30] และเป็นนักกีฬาที่ทำเงินรางวัลมากที่สุดในโลกในปี 2020 ด้วยรายได้ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[31] โดยถือเป็นนักเทนนิสคนแรกที่ทำได้ เขาก่อตั้งมูลนิธิ Roger Federer Foundation ในปี 2003 เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสในทวีปแอฟริกา และเป็นผู้ริเริ่มการแข่งขัน เลเวอร์ คัพ ในปี 2017[e] และยังเคยดำรงตำแหน่งประธานสภานักเทนนิสของเอทีพี (2008–2014)[32]
ชีวิตส่วนตัว
เฟเดอเรอร์เกิดที่เมืองบาเซิลในประเทศสวิตเซอร์แลนด์[33] เป็นบุตรของ โรเบิร์ต เฟเดอเรอร์ บิดาซึ่งเป็นคนเชื้อสายสวิส-เยอรมัน และ ลินเนตต์ เฟเดอเรอร์ มารดาซึ่งมีเชื้อสายแอฟริกาใต้ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ทำงานบริษัทเภสัชกรรม โดยมารดาของเขาเคยเป็นนักกีฬาฮอกกี้ เขายังมีพี่สาวหนึ่งคนคือ "ไดอาน่า" เฟเดอเรอร์ถือสองสัญชาติได้แก่ สวิส และแอฟริกาใต้ เขาเติบโตในแถบชานเมือง Münchenstein ซึ่งห่างจากชายแดนฝรั่งเศสและเยอรมนีไป 10 นาที ในวัยเด็กเขาเป็นคนที่อารมณ์ร้อนจนถูกไล่ออกจากสนามซ้อมและเคยทะเลาะวิวาทที่โรงเรียนบ่อยครั้ง เขาเคยอยากเป็นนักฟุตบอลแต่ได้ตัดสินใจเป็นนักเทนนิสแทน[34] โดยยังคงเป็นแฟนฟุตบอลมาจนถึงปัจจุบันและชื่นชอบ เอฟซีบาเซิล ทีมในลีกสวิส[35] รวมทั้งสนับสนุนทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์[36][37] ไอดอลในกีฬาเทนนิสของเขาได้แก่ สเตฟาน เอดเบิร์ก, บอริส เบคเกอร์ และ พีต แซมพราสและมีนักเทนนิสหญิงที่ชื่นชอบคือ เซเรนา วิลเลียมส์
ปัจจุบันเฟเดอเรอร์อาศัยอยู่ที่ Bottmingen ในสวิตเซอร์แลนด์และสมรสกับอดีตนักเทนนิสหญิง "มิโรสลาวา วาฟริเนค" (เมียร์ก้า) โดยทั้งคู่พบกันที่การแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ที่ซิดนีย์ ปี 2000 ทั้งคู่มีลูกแฝดสองคู่โดยเป็นแฝดหญิงในปี 2010 และแฝดชายในปี 2014 เฟเดอเรอร์มีธุรกิจเป็นของตนเองโดยได้เปิดตัวน้ำหอม ยี่ห้อ "อาร์เอฟ คอสเมติคส์ " (RF Cosmetics) ในเดือนตุลาคมปี 2003[36] ในเวลาว่างครอบครัวของเขาชอบไปพักผ่อนที่ มัลดีฟส์, ดูไบ และเทือกเขาแอลป์[36][38]
เฟเดอเรอร์ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่น, อาหารอิตาเลียน และ อาหารอินเดีย และยังชื่นชอบของหวานโดยเฉพาะช็อคโกแลตและไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รี[39] โดยเขาเรียกตัวเองว่าเป็น "Chocoholic" (ผู้ที่ติดการทานช็อคโกแลต) และยังกล่าวว่าชาวสวิสทุกคนต้องรักการทานช็อคโกแลตจึงจะถือว่าเป็นชาวสวิสที่แท้จริง[40] เขามีเครื่องรางประจำตัวซึ่งจะพกติดตัวไปด้วยในการแข่งขันทุกรายการคือตุ๊กตาเต่าสีทอง และมีงานอดิเรกคือการเล่นเปียโน[41] เขาสามารถสื่อสารได้ 4 ภาษา[42] ได้แก่ ภาษาอังกฤษ, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาเยอรมัน และ ภาษาสวิส-เยอรมัน
ประวัติการเล่นอาชีพ
ระดับเยาวชน
เฟเดอเรอร์ เริ่มเล่นเทนนิสเมื่ออายุ 6 ปี[43] จนกระทั่งเมื่ออายุ 14 ปี เฟเดอเรอร์ถูกเลือกให้เข้ารับการฝึกฝนในสถาบันชื่อดัง “Swiss National Tennis Center“ และในที่สุด ก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันรายการ ไอทีเอฟ ระดับจูเนียร์ ปี 1996[44] และเขาก็สร้างชื่อให้กับตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการคว้าแชมป์วิมเบิลดันจูเนียร์ ปี 1998 ก่อนที่จะเริ่มเล่นอาชีพอย่างเป็นทางการ[45]
1998–2000: เริ่มต้นอาชีพ
เฟเดอเรอร์เริ่มเส้นทางอาชีพในเดือน กรกฎาคม 1998 และเป็นนักเทนนิสที่อายุน้อยที่สุดที่มีอันดับติดท็อป 100 ในปีนั้น ต่อมาในปี 2000 เฟเดอเรอร์ ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนได้สำเร็จ แต่ก็พลาดการคว้าเหรียญทองแดงหลังจากพ่าย อาร์โนลด์ ดิ ปาสกาล จากฝรั่งเศส ในขณะที่ในรายการใหญ่อย่างแกรนด์สแลม และมาสเตอร์ซีรีส์ (เอทีพี มาสเตอร์ ในปัจจุบัน) เฟเดอเรอร์ยังคงทำผลงานไม่น่าประทับใจ และจบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับ 29 ของโลก[46]
2001–03: แจ้งเกิดในวงการ
เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์แรกได้ที่มิลาน ในปี 2001 ตามด้วยการผ่านเข้าสู่รอบ 8 คนสุดท้ายแกรนด์สแลมวิมเบิลดัน หลังจากพลิกล็อกเอาชนะ พีต แซมพราส อดีตตำนานชาวอเมริกัน ส่งผลให้อันดับของเฟเดอเรอร์ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 13[47]
ในปี 2002 เฟเดอเรอร์เข้าชิงชนะเลิศรายการมาสเตอร์ได้เป็นครั้งแรก แต่ก็ต้องพ่าย อานเดร แอกัสซี ไปตามคาด แต่เขาก็กลับมาคว้าแชมป์ที่ ฮัมบวร์ค ได้รวมถึงชนะในรายการเดวิส คัพ ทั้งสองนัดในการพบกับ มารัต ซาฟิน และ เยฟกินี่ คาเฟนิคอฟ 2 นักเทนนิสรัสเซีย อย่างไรก็ตาม เขาต้องตกรอบในแกรนด์สแลมเฟรนช์โอเพน, วิมเบิลดัน และยูเอสโอเพน แต่ในช่วงปลายปีอันดับของเฟเดอเรอร์ได้ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 6 ของโลก ส่งผลให้เขาได้เข้าร่วมรายการ มาสเตอร์ คัพ (เอทีพี ไฟนอล ในปัจจุบัน) ได้เป็นปีแรก และผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแต่แพ้ เลย์ตัน ฮิววิตต์
ในปี 2003 เฟเดอเรอร์ทำผลงานได้ดีขึ้นตามลำดับ เขาปิดฤดูกาลด้วยการขึ้นถึงอันดับ 2 ของโลก ด้วยผลงานคว้าแชมป์ได้ถึง 8 รายการ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการคว้าแชมป์แกรนด์สแลมครั้งแรกในรายการวิมเบิลดันโดยชนะ มาร์ก ฟิลิปัสซิส นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีเฟเดอเรอร์ก็ยังคว้าแชมป์ มาสเตอร์ คัพ ได้ เอาชนะ อานเดร แอกัสซี[48]
2004–09: ขึ้นสู่มือวางอันดับ 1 และยุคแห่งความรุ่งเรือง
ในปี 2004 เฟเดอเรอร์ขึ้นมาเป็นผู้เล่นอันดับ 1 ของโลกได้สำเร็จ และได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นหนึ่งในนักเทนนิสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์[49] เขาคว้าแชมป์แกรนดสแลมได้ถึง 3 รายการ (ออสเตรเลียนโอเพน, วิมเบิลดัน และ ยูเอสโอเพน) และทำสถิติไม่แพ้ให้กับนักเทนนิสในบรรดาอันดับท็อป 10 ตลอดทั้งปี แต่ก็ต้องผิดหวังในแกรนด์สแลมเฟรนช์โอเพน รวมถึงรายการโอลิมปิก[50] อย่างไรก็ตาม เฟเดอเรอร์ป้องกันแชมป์ มาสเตอร์ คัพ ได้หลังจากเอาชนะเลย์ตัน ฮิววิตต์ ในปีนี้ เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์ได้ถึง 11 ราย และมีสถิติชนะถึง 74 นัด แม้ว่าตลอดทั้งปีเขาจะลงเล่นโดยที่ไม่มีโค้ชประจำตัวเลยก็ตาม ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลนักเทนนิสยอดเยี่ยมไปครอง
ในปี 2005 แม้ว่าเขาจะตกรอบรองชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน แต่เขาคว้าแชมป์หลังจากนั้นได้ 3 รายการ ก่อนที่จะมาตกรอบรองชนะเลิศเฟรนช์โอเพนโดยแพ้ ราฟาเอล นาดัลจากสเปนซึ่งถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเขามาจนถึงปัจจุบัน เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์วิมเบิลดันได้เป็นสมัยที่ 2 โดยเอาชนะ แอนดี ร็อดดิก ก่อนจะปิดท้ายด้วยการคว้าแชมป์ยูเอสโอเพน แม้ว่าในรายการ มาสเตอร์ คัพ เฟเดอเรอร์จะไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้ แต่เขาก็มีสถิติชนะถึง 83 นัดและแพ้เพียง 3 นัด ในปีนี้พร้อมกับจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งอันดับ 1 อีกครั้ง[51]
ในปี 2006 เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์แกรนดสแลมได้ 3 รายการอีกครั้ง (ออสเตรเลียนโอเพน, วิมเบิลดัน และ ยูเอสโอเพน) และจบฤดูกาลด้วยการครองตำแหน่งอันดับ 1 ต่อไปอย่างเหนียวแน่น รวมทั้งยังคว้าแชมป์ในรายการอื่น ๆ ได้อีก 9 รายการ เขาคว้าแชมป์วิมเบิลดันได้เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกันโดยเอาชนะนาดัลในรอบชิงชนะเลิศ 3–1 เซต รวมถึงกลับมาคว้าแชมป์ มาสเตอร์ คัพ สมัยที่ 3 เอาชนะ เจมส์ เบลค ในปีนี้เฟเดอเรอร์แพ้ให้กับนักเทนนิสเพียง 2 รายได้แก่ นาดัล และ แอนดี มาร์รี[52]
ในปี 2007 เขาป้องกันแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนได้ ส่งผลให้เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 10 พร้อมทำสถิติเป็นนักเทนนิสชายคนที่สองในยุคโอเพนที่คว้าแชมป์แกรนด์แสลมได้แบบไม่เสียเซตเลยนับจาก บียอร์น บอร์ก ในปี 1980 หลังจากนั้น เฟเดอเรอร์ก็ทำสถิติชนะติดต่อกันทุกรายการได้ถึง 41 นัด ก่อนจะแพ้ กิลแยร์โม่ คานาส สองรายการติดในรายการมาสเตอร์ที่อินเดียน เวลล์ และ ไมแอมี เข้าสู่การแข่งขันคอร์ตดิน เฟเดอร์เรอร์เข้าชิงชนะเลิศมาสเตอร์ที่ มงเต-การ์โล อีกครั้ง แต่แพ้นาดัลไปอีกเช่นเคย หลังจากนั้น เขาคว้าแชมป์บนคอร์ตดินได้เป็นครั้งแรกในรายการ ฮัมบวร์ค โดยเอาชนะนาดัล ซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งแรกในการพบกับนาดัลบนคอร์ตดิน ทั้งเป็นการหยุดสถิติชนะรวด 81 นัดบนคอร์ตดินของนาดัล[53] แต่ในเฟรนช์โอเพน เฟเดอเรอร์ก็ต้องพ่ายนาดัลอีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศ 1–3 เซต[54]
เฟเดอเรอร์ถอนตัวจากรายการคอร์ตหญ้าที่ ฮัลเลอ จากอาการบาดเจ็บ ก่อนที่จะหายทันลงเล่นวิมเบิลดัน และนี่ถือเป็นปีแรกที่เขาเข้าร่วมการแข่งขันโดยไม่ได้เตรียมตัวเลย แต่เขาก็คว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 5 ติดต่อกัน[55] เอาชนะนาดัลได้ในรอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง 3–2 เซต ซึ่งทำให้เขาคว้าแชมป์รายการนี้เท่ากับ บียอร์น บอร์ก (5 สมัย) และยังคว้าแชมป์ยูเอสโอเพนได้ โดยเอาชนะ นอวาก จอกอวิช สามเซตรวด[56] และปิดท้ายด้วยแชมป์มาสเตอร์ คัพ อีกหนึ่งสมัย[57]
ในปี 2008 เฟเดอเรอร์ไม่สามารถป้องกันแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนได้โดยแพ้จอกอวิชในรอบรองชนะเลิศ[58] ตามด้วยการแพ้ แอนดี มาร์รี ในรายการเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ 500 ที่ ดูไบ ต่อมา เขาแพ้ มาร์ดี้ ฟิช ในรอบรองชนะเลิศมาสเตอร์อินเดียน เวลส์ ตามด้วยการแพ้ แอนดี ร็อดดิก ในมาสเตอร์ที่ไมแอมี แต่เขาคว้าแชมป์แรกได้ที่โปรตุเกส ตามด้วยการตกรอบรายการมาสเตอร์สามรายการที่ มงเต-การ์โล, โรม และฮัมบวร์ค
เข้าสู่การแข่งขันเฟรนช์โอเพน เฟเดอเรอร์ก็ยังไม่สมหวังโดยแพ้นาดัลเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน และถือเป็นปีที่ 3 ที่แพ้นาดัลในรอบชิงชนะเลิศขาดลอย 0–3 เซต ก่อนที่จะกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งที่ ฮัลเลอ แต่ในวิมเบิลดันเขาแพ้นาดัลในรอบชิงชนะเลิศ 2–3 เซต[59] ซึ่งต้องเล่นกันถึง 4 ชั่วโมง 48 นาทีและได้รับการโหวตจากแฟน ๆ ให้เป็นหนึ่งในรอบชิงชนะเลิศเทนนิสที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง[60] ทำให้เขาหยุดสถิติชนะติดต่อกันบนคอร์ตหญ้า 65 นัดลง และหยุดสถิติการครองตำแหน่งอันดับ 1 ติดต่อกัน 237 สัปดาห์ ในเดือนสิงหาคม[61] และยังตกรอบรายการมาสเตอร์ที่แคนาดา และซินซินแนติ แต่เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้หนึ่งรายการในปีนี้ในยูเอสโอเพน เอาชนะแอนดี มาร์รี 3 เซตรวด และคว้าเหรียญทองประเภทคู่ในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ร่วมกับสตาน วาวรีงกา เฟเดอเรอร์ปิดท้ายฤดูกาลด้วยการเสียตำแหน่งอันดับ 1 ให้แก่นาดัลเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี และตกรอบแรกมาสเตอร์ คัพ
ในปี 2009 เฟเดอเรอร์เริ่มต้นด้วยการแพ้มาร์รีในรอบรองชนะเลิศที่โดฮา และแพ้นาดัลในรอบชิงชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน 2–3 เซต ตามด้วยการตกรอบรายการมาสเตอร์ 4 รายการรวดที่อินเดียน เวลส์, ไมแอมี, มงเต-การ์โล และโรม แต่มาได้แชมป์ที่มาดริด โดยชนะนาดัลในรอบชิงงชนะเลิศ และเขาคว้าแชมป์เฟรนช์โอเพนได้เป็นสมัยแรกโดยชนะโรบิน เซอเดอร์ลิง 3 เซตรวด ทำสถิติคว้าแชมป์แกรนด์สแลมสมัยที่ 14 เท่ากับ พีต แซมพราส และถือเป็นผู้เล่นชายคนที่ 6 ที่คว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทุกรายการ[62] ต่อมา เขาทำลายสถิติของแซมพราสได้สำเร็จ โดยได้แชมป์วิมเบิลดันสมัยที่ 6 เอาชนะ แอนดี ร็อดดิก 3–2 เซต ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่ดีที่สุด[63] ส่งผลให้เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์แกรนด์สแลม 15 รายการ มากที่สุดในประเภทชายเดี่ยวในขณะนั้น[64] ต่อมา เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์มาสเตอร์ที่ซินซินแนติได้ ชนะจอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศ 2–0 เซต
เขาผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูเอสโอเพนได้อีกครั้ง แต่แพ้ ฆวน มาร์ติน เดล โปโตร 2–3 เซต [65] ซึ่ง เดล โปโตร ถือเป็นผู้เล่นคนเดียวจนถึงปัจจุบันนอกจากนาดัลและจอกอวิชที่ชนะเฟเดอเรอร์ได้ในรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลม[66] เฟเดอเรอร์ตกรอบรองชนะเลิศ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ที่กรุงลอนดอน (เปลี่ยนชื่อมาจากมาสเตอร์ คัพ) แพ้ นิโคไล ดาวีเดนโก 1–2 เซต แต่ยังจบฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับ 1 เป็นครั้งที่ 5
2010: แชมป์ออสเตรเลียนโอเพนสมัยที่ 4
เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนได้ โดยเอาชนะมาร์รีในรอบชิงสามเซตรวด และเป็นแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 16 แต่เขาตกรอบรายการมาสเตอร์สามรายการที่อินเดียน เวลส์, ไมแอมี และโรม ก่อนจะเข้าชิงที่มาดริดแต่แพ้นาดัล และเขาไม่ประสบความสำเร็จในแกรนด์สแลมอีก 3 รายการที่เหลือ และอันดับโลกของเขาได้ตกไปอยู่อันดับที่ 3 เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี 8 เดือน และเฟเดอเรอร์ได้แต่งตั้งให้ พอล แอนนาโคน อดีตผู้เล่นชื่อดังชาวอเมริกันเป็นผู้ฝึกสอน[67] เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์มาสเตอร์เพิ่มที่ซินซินแนติได้ และจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ที่สวีเดนและสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล สมัยที่ 5[68] ชนะนาดัล 2–1 เซต
2011: ปีแห่งความล้มเหลว
เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์แรกของปีที่โดฮา ก่อนจะผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพนแต่แพ้ให้กับจอกอวิช[69] และแพ้จอกอวิชอีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศที่ดูไบ และตกรอบรายการมาสเตอร์อีกสี่รายการถัดมา และในการแข่งขันเฟรนช์โอเพน เฟเดอเรอร์เอาชนะจอกอวิชคืนได้ในรอบรองชนะเลิศ และเป็นการหยุดสถิติชนะติดต่อกัน 43 นัดของจอกอวิช ก่อนจะแพ้นาดัลในรอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง 1–3 เซต และไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ในอีกสองรายการใหญ่ ทั้งในวิมเบิลดันและยูเอสโอเพน[70] โดยเฉพาะในรอบรองชนะเลิศยูเอสโอเพน เฟเดอเรอร์แพ้ให้กับจอกอวิชไป 2–3 เซต ทั้งที่ได้เปรียบถึง 2 Match Points ส่งผลให้นี่เป็นฤดูกาลแรกในรอบ 9 ปีที่เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์แกรนด์สแลมไม่ได้ แต่เขายังจบฤดูกาลด้วยแชมป์ 3 รายการสุดท้ายในการแข่งขันในร่ม (Indoor Hard Court) ที่สวิตเซอร์แลนด์, ฝรั่งเศส และ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ทำสถิติคว้าแชมป์ 6 สมัย[71] และจบฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับ 3
2012: ครองตำแหน่งอันดับ 1 ครบ 300 สัปดาห์ และเหรียญเงินโอลิมปิก
เฟเดอเรอร์แพ้นาดัลในรอบรองชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน แต่ไปได้แชมป์ที่ร็อตเตอร์ดัม โดยเอาชนะ ฆวน มาร์ติน เดล โปโตร ก่อนจะลงแข่งขันที่ดูไบ และเอาชนะมาร์รี คว้าแชมป์สมัยที่ 5 ต่อมา เขาทำสถิติได้แชมป์มาสเตอร์จำนวน 19 รายการเท่ากับนาดัลในขณะนั้นโดยการคว้าแชมป์ที่อินเดียนเวลส์ ตามด้วยแชมป์มาสเตอร์ที่มาดริด ก่อนจะไปตกรอบที่โรม
เฟเดอเรอร์ทำอันดับแซงนาดัลขึ้นสู่อันดับ 2 ของโลกได้ในเดือนพฤษภาคม แต่เขาแพ้จอกอวิชในรอบรองชนะเลิศเฟรนช์โอเพน 0–3 แต่กลับมาคว้าแชมป์วิมเบิลดันได้อีกครั้งโดยชนะมาร์รี 3–1 เซต ซึ่งนี่เป็นแชมป์สมัยที่ 7[72] เป็นสถิติที่มากที่สุดเท่ากับ พีต แซมพราส เฟเดอเรอร์กลับขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 อีกครั้งทำลายสถิติการครองตำแหน่งของแซมพราสจำนวน 286 สัปดาห์
เขาเข้าชิงชนะเลิศโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน ก่อนจะแพ้มาร์รีสามเซตรวด ทำได้เพียงเหรียญเงิน ก่อนจะมาได้แชมป์มาสเตอร์ซินซินแนติ ชนะจอกอวิช 2–0 และตกรอบ 8 คน สุดท้ายยูเอสโอเพน แต่ในช่วงปลายปีเฟเดอเรอร์ทำสถิติเป็นผู้เล่นชายคนแรกที่ครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ครบ 300 สัปดาห์[73] และเข้าชิงชนะเลิศ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล แต่ก็แพ้จอกอวิช 0–2 เซต
2013: ปีแห่งการบาดเจ็บ
ตลอดทั้งปี เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์ได้เพียงรายการเดียวที่ฮัลเลอ โดยเขามีอาการบาดเจ็บบริเวณหลังรบกวนหลายเดือน[74] และอันดับโลกของเขาได้หลุดจาก 4 อันดับแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2003 ในเดือนธันวาคม สเตฟาน เอ็ดเบิร์ก อดีตตำนานผู้เล่นชาวสวีเดนได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนให้แก่เฟเดอเรอร์[75]
2014: แชมป์เดวิสคัพ
เฟเดอเรอร์แพ้นาดัลในรอบรองชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน[76] ก่อนจะคว้าแชมป์ที่ดูไบได้เป็นสมัยที่ 6 โดยเอาชนะโทมัส เบอร์ดิช ก่อนจะแพ้จอกอวิชในรอบชิงที่อินเดียน เวลส์ ต่อมา เขาพาสวิตเซอร์แลนด์เอาชนะคาซัคสถานได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเดวิส คัพ และเข้าชิงมาสเตอร์ที่ มงเต-การ์โล แต่แพ้สตาน วาวรีงกา และในเฟรนช์โอเพน เฟเดอเรอร์แพ้ เออร์เนสต์ กูลบิส ในรอบที่ 4 ก่อนจะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศวิมเบิลดัน และแพ้จอกอวิชในการแข่งขัน 5 เซต[77]
เฟเดอเรอร์เอาชนะ ดาวิต เฟร์เรร์ ในรายการมาสเตอร์ที่ซินซินแนติ ก่อนจะแพ้มาริน ซิลิช ในรอบรองชนะเลิศยูเอสโอเพน ต่อมาในรอบรองชนะเลิศ เดวิส คัพ สวิตเซอร์แลนด์เอาชนะอิตาลีผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1992 ก่อนที่เฟเดอเรอร์จะคว้าแชมป์มาสเตอร์ที่เซี่ยงไฮ้และกลับขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 2 เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี และพาสวิตเซอร์แลนด์คว้าแชมป์ เดวิส คัพ ได้เป็นสมัยแรก เอาชนะฝรั่งเศสในรอบชิงชนะเลิศ[78] เฟเดอเรอร์ลงแข่งขันรายการสุดท้ายโดยเข้าชิงชนะเลิศ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล พบกับจอกอวิช แต่ต้องถอนตัวจากอาการบาดเจ็บ
2015: ชัยชนะนัดที่ 1,000
ในปีนี้เฟเดอเรอร์ทำสถิติเป็นผู้เล่นชายคนที่ 3 ที่คว้าชัยชนะได้ครบ 1,000 นัดในการแข่งขันประเภทชายเดี่ยว[79] ต่อจาก จิมมี คอนเนอร์ และ อิวาน เลนเดิล ภายหลังจากได้แชมป์ที่บริสเบน[80] ก่อนจะคว้าแชมป์ที่ดูไบเป็นสมัยที่ 7 และทำสถิติเป็นผู้เล่นคนที่ 4 นับตั้งแต่ปี 1991 ที่เสิร์ฟเอชครบ 9,000 ครั้งในอาชีพ[81] แต่เฟเดอเรอร์ไม่สามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ในปีนี้ โดยตกรอบ 3 ในออสเตรเลียนโอเพน และตกรอบ 8 คนสุดท้ายเฟรนช์โอเพน ก่อนจะผ่านเข้าชิงชนะเลิศวิมเบิลดันและยูเอสโอเพน และแพ้จอกอวิชทั้งสองรายการ แต่เขาเอาชนะจอกอวิชได้ในรอบชิงชนะเลิศรายการมาสเตอร์ที่ซินซินแนติ คว้าแชมป์สมัยที่ 7 ตามด้วยแชมป์เอทีพี ทัวร์ 500 ที่บาเซิลสมัยที่ 7 โดยชนะนาดัล ก่อนจะปิดท้ายฤดูกาลด้วยรองแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล โดยแพ้จอกอวิชไปอีกครั้ง สเตฟาน เอ็ดเบิร์ก ได้ยุติบทบาทการทำหน้าที่ผู้ฝึกสอนให้กับเขา และอิวาน ลูบิซิช อดีตผู้เล่นโครเอเชียเข้ามาทำหน้าที่ต่อ[82]
2016: ปีแห่งการบาดเจ็บอีกครั้ง
เฟเดอเรอร์ยังไม่สามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มได้ และมีอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดปี เริ่มตั้งแต่การบาดเจ็บเข่าตั้งแต่ช่วงต้นปี และเขาต้องเข้ารับการผ่าตัดและพักรักษาตัวจนถึงเดือนพฤษภาคม[83] รวมทั้งถอนตัวจากเฟรนช์โอเพน เขาเข้าถึงรอบรองชนะเลิศวิมเบิลดันได้ก่อนจะแพ้ มิลอช ราวนิช โดยที่มีอาการบาดเจ็บเข่ากำเริบอีกครั้ง[84] หลังจบการแข่งขันเฟเดอเรอร์ประกาศยุติการแข่งขันในทุกรายการที่เหลือ
2017: ทวงความยิ่งใหญ่
เฟเดอเรอร์กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้โดยคว้าแชมป์แกรนด์สแลมสองรายการ ได้แก่ออสเตรเลียนโอเพนและวิมเบิลดัน และเป็นการกลับมาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ในรอบ 5 ปี โดยเอาชนะนาดัลในออสเตรเลียนโอเพน 3–2 เซต และเอาชนะ มาริน ซิลิช ในวิมเบิลดันสามเซตรวด เฟเดอเรอร์เริ่มต้นฤดูกาลในออสเตรเลียนโอเพนด้วยการเป็นมือวางอันดับ 17 ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดของเขาในรอบ 15 ปี และในรอบรองชนะเลิศ เขาทำสถิติเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดในรอบ 26 ปีที่ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ในวัย 35 ปี นับตั้งแต่ จิมมี คอนเนอร์ ทำได้ในปี 1991[85] และเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดในรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมนับตั้งแต่ เคน โรเซวอลล์ ในปี 1974 และการเอาชนะนาดัลในรอบชิงชนะเลิศถือเป็นการชนะนาดัลในแกรนด์สแลมได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รอบชิงวิมเบิลดัน 2007
หลังจากคว้าแชมป์มาสเตอร์ได้ทั้งสองรายการที่อินเดียนเวลส์ และ ไมแอมี เฟเดอเรอร์ไม่ลงแข่งขันในรายการคอร์ตดินเพื่อรักษาสภาพร่างกาย และเขาไม่ประสบความสำเร็จในยูเอสโอเพนโดยแพ้ ฆวน มาร์ติน เดล โปโตร ในรอบ 8 คนสุดท้าย 1–3 เซต และในเดือนกันยายน เขาได้ลงแข่งขันในรายการ เลเวอร์ คัพ (Laver Cup)[86] ซึ่งจัดการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรกโดยเป็นรายการที่นำนักเทนนิสชื่อดังจากทีมรวมดารายุโรปมาแข่งขันกับทีมรวมดาราโลก และเฟเดอเรอร์พาทีมคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยแรก เอาชนะทีมรวมดาราโลกไป 15–9 คะแนน[87]
เฟเดอเรอร์ปิดฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ชายเดี่ยวรายการที่ 95 ซึ่งเป็นสถิติที่มากที่สุดอันดับสองรองจากจิมมี คอนเนอร์ ด้วยแชมป์มาสเตอร์ที่เซี่ยงไฮ้ ชนะนาดัล 2–0 เซต ตามด้วยแชมป์ที่สวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะตกรอบรองชนะเลิศ เอทีพี ไฟนอล (เปลี่ยนชื่อมาจากเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล) โดยแพ้ ดาวิด กอฟแฟง[88] 1–2 เซต
2018: แชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 20
เฟเดอเรอร์เริ่มต้นด้วยการชนะเลิศรายการ ฮอพแมน คัพ ร่วมกับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะป้องกันแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนได้โดยเอาชนะ มาริน ซิลิช 3–2 เซต และเป็นผู้เล่นคนแรกที่ชนะเลิศสแลมในประเภทชายเดี่ยว 20 สมัย ต่อมา เฟเดอเรอร์ชนะเลิศรายการร็อตเตอร์ดัมสมัยที่ 3 และกลับคืนสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ได้อีกครั้ง พร้อมทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ครองตำแหน่งอันดับ 1 ที่มีอายุมากที่สุด (36 ปี 195 วัน) ก่อนจะแพ้เดล โปโตร ในรอบชิงมาสเตอร์อินเดียน เวลส์ และตกรอบสองที่ไมแอมี
เฟเดอเรอร์ไม่ลงแข่งขันในรายการคอร์ตดิน ต่อมา เขาเสียตำแหน่งอันดับ 1 ในเดือนมิถุนายนหลังจากที่ไม่สามารถป้องกันแชมป์ที่ ฮัลเลอ ได้ โดยแพ้ บอร์นา โชริช[89] ก่อนจะตกรอบ 8 คนสุดท้ายที่วิมเบิลดัน และตกรอบ 4 ในยูเอสโอเพน โดยแพ้ เควิน แอนเดอร์สัน และ จอห์น มิลแมน ตามลำดับ เฟเดอเรอร์พาทีมยุโรปป้องกันแชมป์ เลเวอร์ คัพ ได้เป็นสมัยที่ 2 เอาชนะทีมรวมดาราโลก 13–8 คะแนน[90] ต่อมา เขาคว้าแชมป์รายการที่ 99 ในอาชีพได้ โดยการป้องกันแชมป์ที่สวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะตกรอบรองชนะเลิศ เอทีพี ไฟนอล แพ้ อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ[91] เขาจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งมือวางอันดับ 3
2019: แชมป์รายการที่ 100 และชัยชนะนัดที่ 1,200
ในปีนี้ แม้ว่าเฟเดอเรอร์จะไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์แกรนด์สแลม แต่เขาได้สร้างสถิติใหม่ด้วยการคว้าแชมป์รายการที่ 100 ในอาชีพได้ที่ดูไบ[92] และคว้าชัยชนะนัดที่ 1,200 ในอาชีพได้[93] โดยเอาชนะ กาแอล มงฟิล์ส ในการแข่งขันมาสเตอร์ที่กรุงมาดริด ซึ่งทั้งสองสถิติถือเป็นสถิติที่มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจาก จิมมี คอนเนอร์ เฟเดอเรอร์เข้าชิงชนะเลิศวิมเบิลดันได้เป็นครั้งที่ 12 ก่อนจะแพ้จอกอวิชใน 2–3 เซต ซึ่งถือเป็นการแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์เนื่องจากใช้เวลาแข่งขันกันถึง 5 ชั่วโมง นานที่สุดในประวัติศาสตร์รอบชิงชนะเลิศของรายการ
เขาพาทีมยุโรปป้องกันแชมป์ เลเวอร์ คัพ สมัยที่ 3 ได้สำเร็จ เอาชนะทีมรวมดาราโลก 13–11 คะแนน[94] ก่อนจะปิดท้ายฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับ 3 และคว้าแชมป์ที่สวิตเซอร์แลนด์เป็นสมัยที่ 6 และตกรอบรองชนะเลิศ เอทีพี ไฟนอล แพ้ สเตฟานอส ซิตซิปาส[95]
2020: ผ่าตัดหัวเข่า
เฟเดอเรอร์ลงแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนโดยมีอาการเจ็บเข่ารบกวน แต่ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้ ก่อนจะแพ้ให้กับจอกอวิช ภายหลังจบรายการ เฟเดอเรอร์ได้เข้ารับการผ่าตัดหัวเข่า[96][97] เขาคาดว่าจะกลับมาลงแข่งขันได้อีกครั้งในเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 10 มิถุนายน เฟเดอเรอร์ได้ประกาศว่าอาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายขาด และจำเป็นต้องยกเลิกการแข่งขันในรายการที่เหลือ[98]
2021: สร้างสถิติใหม่ในวิมเบิลดัน, ผ่าตัดอีกครั้ง และช่วงท้ายของอาชีพ
เฟเดอเรอร์ไม่ได้ลงแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนเนื่องจากต้องการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ก่อนจะกลับมาลงแข่งขันเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน ที่โดฮา และตกรอบ 8 คนสุดท้าย[99] และกลับมาลงแข่งขันเฟรนช์โอเพนก่อนจะประกาศถอนตัวในรอบที่ 4[100] โดยให้เหตุผลว่าเขาต้องการเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อลงแข่งขันในรายการคอร์ตหญ้า เฟเดอเรอร์ลงแข่งขันรายการฮัลเลอ ซึ่งเขาเป็นแชมป์มา 10 สมัยก่อนหน้านี้ ก่อนจะตกรอบที่ 2 แพ้ เฟลิกซ์ โอเฌร์ อาลียาซีม[101]
ต่อมา เฟเดอเรอร์ลงแข่งขันวิมเบิลดัน และในวันที่ 5 กรกฎาคม ภายหลังเอาชนะ โลเรนโซ โซเนโก ในรอบที่ 4 เขาทำสถิติเป็นผู้เล่นชายที่เข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้ายวิมเบิลดันได้มากที่สุดจำนวน 18 ครั้ง[102] รวมทั้งเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดในยุคโอเพนที่ผ่านเข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้ายวิมเบิลดัน (39 ปี 11 เดือน)[103] และยังเป็นผู้เล่นที่เข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้ายในแกรนด์สแลมมากที่สุด 58 ครั้ง ก่อนจะตกรอบ 8 คนสุดท้ายโดยแพ้ให้กับ ฮูแบร์ต ฮูร์กัตช์สามเซตรวด[104] โดยถือเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปีที่เขาแพ้คู่แข่งสามเซตรวดในวิมเบิลดัน[105] และภายหลังจบการแข่งขันเขาให้สัมภาษณ์ถึงความเป็นไปได้ที่จะเลิกเล่นอาชีพ[106]
เขาไม่ได้ลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 เนื่องจากอาการเจ็บเข่ากำเริบ[107] ตามด้วยการถอนตัวในมาสเตอร์ที่โทรอนโต และซินซินแนติ ในเดือนสิงหาคม ต่อมาในวันที่ 15 สิงหาคม เฟเดอเรอร์ประกาศว่าเขาต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่าอีกครั้ง และจะไม่ได้กลับมาลงเล่นอีกในปีนี้[108]
การช่วยเหลือสังคม
เฟเดอเรอร์ก่อตั้ง มูลนิธิโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ (Roger Federer Foundation) ในเดือนธันวาคม 2003[109] เพื่อรวบรวมทุนช่วยเหลือเด็กพิการโดยเน้นที่ประเทศแอฟริกาใต้ ตัวอย่างเช่น ทุน IMBEWU[110] ในปี 2017 เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยบาเซิลบ้านเกิดของเขา[111] ในฐานะที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองบาเซิลและประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่างยิ่งใหญ่ทั้งจากความสำเร็จในการเล่นเทนนิสอาชีพและจากการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ในทวีปแอฟริกาผ่านมูลนิธิของเขา[112] และในเดือนมกราคม 2005 เฟเดอเรอร์ได้สนับสนุนให้นักเทนนิสช่วยกันระดมทุนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ และเขาได้ประมูลไม้เทนนิสที่มีลายเซ็นของตนเพื่อนำเงินไปสมทบทุนองค์การยูนิเซฟ[113] เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2006 เฟเดอเรอร์ได้รับแต่งตั้งเป็น "ทูตระหว่างชาติ" โดยองค์การยูนิเซฟ[114] เพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนทั่วโลก และวันที่ 23 ธันวาคม 2006 เขาได้ไปเยี่ยมเด็ก ๆ ที่รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย ซึ่งประสบภัยสึนามิ
เฟเดอเรอร์ยังมีโครงการร่วมกับ บิล เกตต์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกันในการระดมทุนช่วยเหลือเด็กในทวีปแอฟริกา โดยลงแข่งขันเทนนิสในนัดการกุศลที่เรียกว่า “The Match for Africa” ในเดือนมีนาคม 2018 โดยเขาจับคู่กับบิล เกตต์ พบกับคู่ของนักเทนนิสอเมริกัน แจ็ค ซ็อค และผู้ประกาศของสถานีข่าวเอ็นบีซีนามว่า ซาวันนาห์ กูธรี ที่เมืองซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยสามารถขายตั๋วได้มากถึง 15,000 ใบ และระดมเงินได้ราว 2 ล้าน 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ[115]
รูปแบบการเล่น
เฟเดอเรอร์สามารถเล่นได้ดีในทุกพื้นคอร์ต (A versatile all-court player) และสามารถตีลูกทุกชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ[116] เขาเป็นผู้เล่นที่เล่นลูกวอลเลย์หน้าเน็ตได้ดีที่สุดคนหนึ่ง และยังเล่นที่เส้นท้ายคอร์ตหลังเบสไลน์ได้ดีและมีกราวน์สโตรกที่ดีจากทั้งสองฝั่งของสนาม การตีลูกโฟร์แฮนด์ของเขาจะก้ำกึ่งระหว่างแบบตะวันออกและตะวันตก โดยมือของเขาจะอยู่ที่ส่วนกลางค่อนไปทางด้านล่างของไม้ ทำให้สามารถตีได้ทั้งแบบตบและแบบท็อปสปิน เฟเดอเรอร์มักตีลูกโฟร์แฮนด์ในแนวราบและจบการตีลูกโดยที่แขนจะรวบอยู่กับตัวและไม้จะไปอยู่ด้านหลังซึ่งไม่ใช่การตีของนักเทนนิสทั่วไป ซึ่งหลังจากตีลูกแล้วไม้เทนนิสจะข้ามไหล่ไปด้านหลังและข้อศอกของมือข้างที่ตีจะชี้ขึ้นฟ้า[117] และยังสามารถตีลูกท็อปสปินได้รุนแรงทำให้เขาสามารถตีลูกครอสคอร์ตฉีกมุมได้อย่างแม่นยำ
นักวิเคราะห์และแฟนเทนนิสโดยทั่วไปยกย่องว่าเขาเป็นผู้เล่นที่ตีแบ็กแฮนด์มือเดียวได้ดีที่สุดในโลก[118][119][120] และเขายังตีลูกตัด (Slide) ได้อย่างยอดเยี่ยมและสามารถตีลูกสปินได้ดีในทุกพื้นคอร์ต เขามักจะตีลูกกราวน์สโตรกได้รวดเร็วเช่นเดียวกับที่อานเดร แอกัสซี ตีเป็นประจำซึ่งต้องอาศัยฟุตเวิร์กและปฏิกิริยาที่ยอดเยี่ยม และเฟเดอเรอร์ยังตีกราวน์สโตรกได้ใกล้เน็ตทำให้คู่แข่งถูกลดเวลาในการตีโต้ลง กราวน์สโตรกของเขาอาจไม่หนักหน่วงรุนแรงเท่า ราฟาเอล นาดัล, โดมินิค ธีม หรือ ดานิล เมดเวเดฟ แต่ถือเป็นการตีด้วยน้ำหนักและทิศทางที่พอดีและเขายังสามารถตีลูกฉีกมุมซึ่งเป็นลูกทีเด็ดของเขาในแต้มสำคัญ
เฟเดอเรอร์ยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีลูกเสริ์ฟที่ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เสริ์ฟเอชได้มากที่สุด[121] ลูกเสิร์ฟของเขาเป็นลูกที่อ่านได้ยากเนื่องจากเขามีจังหวะการโยนลูกและการย่อตัวตีที่แม่นยำ[122] โดยเสิร์ฟแรกของเขาจะมีความเร็วประมาณ 190 กม./ชม. (118 ไมล์/ชม.)[123] ส่วนลูกเสิร์ฟที่สองมักจะเป็นลูกปั่นเด้งสูงเน้นทิศทาง บ่อยครั้งที่เราเห็นเขาสามารถเสริ์ฟได้ลงตรงเส้นกึ่งกลางคอร์ตพอดีโดยที่คู่ต่อสู้ไม่มีโอกาสได้โต้กลับมา
เฟเดอเรอร์มีการเคลื่อนที่ การทรงตัว และการควบคุมพื้นที่ที่ยอดเยี่ยม เขาถูกจัดเป็นผู้เล่นที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ[124] ผู้เล่นส่วนมากจะก้าวเท้าสั้นๆหลายๆก้าวเพื่อจะเข้าถึงบอล แต่เฟเดอเรอร์สามารถก้าวเท้ายาว ๆ ได้อย่างลื่นไหล เขาสามารถตีลูกแรง ๆ ในขณะที่ยังวิ่งอยู่หรือแม้แต่ในขณะที่ก้าวถอยหลังทำให้เขาสามารถเปลี่ยนเกมจากการตั้งรับเป็นเกมบุกได้อย่างรวดเร็ว รูปแบบการเล่นของเฟเดอเรอร์เป็นแบบผ่อนคลายและไหลลื่นแต่ซ่อนแทคติกที่เน้นการบุกอย่างชาญฉลาดและฉาบฉวย
อุปกรณ์และชุดแข่ง
เฟเดอเรอร์ใช้ไม้เทนนิสยี่ห้อวิลสัน บี แอล เอกซ์ ซิก วัน ทัวร์ 90[125] ซึ่งเป็นไม้ที่มีหน้าแร็กเก็ตที่เล็กกว่าปกติ มีน้ำหนักมากแต่บาง บางคนคาดเดาว่าเป็นไม้ที่ดัดแปลงมาจากไม้วิลสัน โปรสต๊าฟ ออริจินอล 6.0 85 ที่พีท แซมพราสใช้ เฟเดอเรอร์ขึงตาข่ายไว้ค่อนข้างหลวม (53-60 ปอนด์ โดยขึ้นอยู่กับคู่แข่ง และพื้นสนาม) การแข่งขันวิมเบิลดัน 2008 เขาขึงไว้เพียง 47/48 ปอนด์เท่านั้น[126] การขึงตาข่ายเช่นนี้ทำให้เขาตีลูกด้วยความเร็วสูงได้โดยใช้แรงน้อยลง เฟเดอเรอร์เคยใช้ไม้วิลสัน เอ็นโค้ด เอ็นซิก-วัน ทัวร์ 90, ไม้วิลสัน โปรสต๊าฟ ทัวร์ 90 และไม้วิลสัน โปรสต๊าฟ ออริจินอล 6.0 85 เฟเดอเรอร์สนับสนุนไม้เทนนิสและอุปกรณ์ของวิลสันและสนับสนุนชุดกีฬาและรองเท้าของไนกี้ ในการแข่งขันวิมเบิลดัน ปี 2006 ไนกี้ทำเสื้อแจ๊กเก็ตโดยมีตราไม้เทนนิสสามอันเป็นเครื่องหมายว่า "เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์วิมเบิลดันมาแล้วสามสมัย"[127]
เฟเดอเรอร์ยังสนับสนุนอุปกรณ์อีกหลาย ๆ บริษัทโดยเฉพาะบริษัทของสวิตเซอร์แลนด์[128] และยังสนับสนุนผลิตภัณฑ์ยิลเลตต์ ร่วมกับยอดนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส เทียร์รี อองรี รวมถึงนักกอล์ฟชาวอเมริกัน ไทเกอร์ วูดส์ และนักคริกเกตชาวอินเดีย ราฮูล ดราวิด[129]
ในปี 2018 เฟเดอเรอร์ได้ยุติสัญญากับทางไนกี้ผู้สนับสนุนหลักที่ร่วมงานกันมากว่า 20 ปีและตัดสินใจเซ็นสัญญากับยูนิโคล่ (Uniqlo) แบรนด์ชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น[130][131] โดยสัญญาดังกล่าวส่งผลให้เฟเดอเรอร์จะมีรายได้จากยูนิโคล่กว่า 30 ล้านดอลลาร์ต่อปี[132] สัญญามีระยะเวลา 10 ปี มูลค่ารวม 300 ล้านดอลลาร์ โดยเฟเดอเรอร์ได้ประเดิมสวมชุดแข่งขันของยูนิโคล่ในแกรนด์สแลมวิมเบิลดันปี 2018 แต่ยังคงสวมรองเท้าของไนกี้มาจนถึงปัจจุบัน
สถิติโลก
โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ครองสถิติโลกมากมายโดยมีสถิติที่สำคัญได้แก่:[133]
- ชนะเลิศแกรนด์สแลมในประเภทชายเดี่ยวมากที่สุด 20 สมัย[134]
- ชนะเลิศแกรนด์สแลมออสเตรเลียนโอเพน, วิมเบิลดัน และ ยูเอสโอเพน ในปีเดียวกัน 3 ครั้ง (2004, 2006 และ 2007)
- คว้าชัยชนะติดต่อกันได้มากที่สุดบนพื้นคอร์ต 2 ประเภท (คอร์ตหญ้า[135] และ ฮาร์ดคอร์ต)[136]
- เข้าชิงชนะเลิศการแข่งขันชายเดี่ยว 17 รายการติดต่อกัน (2005–06)[137]
- ครองตำแหน่งอันดับ 1 ของโลก 237 สัปดาห์ติดต่อกัน (2004–08)[138]
- เป็นผู้เล่นที่ครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ที่มีอายุมากที่สุด (36 ปี 195 วัน: ปี 2018)[139]
- เป็นผู้เล่นคนเดียวในยุคโอเพนที่ชนะเลิศยูเอสโอเพนติดต่อกัน 5 สมัย (2004–08)
- เป็นหนึ่งในสามผู้เล่นชายในยุคโอเพนที่ชนะเลิศยูเอสโอเพน 5 สมัย (ร่วมกับ จิมมี คอนเนอร์ และ พีต แซมพราส)
- เป็นหนึ่งในสองผู้เล่นชายที่ชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน และวิมเบิลดันได้อย่างน้อย 6 สมัย (ร่วมกับนอวาก จอกอวิช)
- ชนะเลิศวิมเบิลดันติดต่อกัน 5 สมัย (2003–07 สถิติร่วมกับ บียอร์น บอร์ก)[140]
- ทำสถิติเข้าชิงชนะเลิศวิมเบิลดัน 12 สมัย[141] และชนะเลิศ 8 สมัย
- เป็นผู้เล่นคนเดียวที่ชนะในวิมเบิลดันเกิน 100 นัด (105 นัด)[142]
- เป็นผู้เล่นชายที่เข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้ายวิมเบิลดันได้มากที่สุด (18 ครั้ง)
- เป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดในยุคโอเพนที่เข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้ายวิมเบิลดัน (39 ปี 11 เดือน: ปี 2021)[143]
- เป็นผู้เล่นที่ลงแข่งขันแกรนด์สแลมมากที่สุดในประเภทชายเดี่ยว (429 นัด)[144]
- เป็นนักเทนนิสชายคนเดียวที่ชนะเลิศแกรนด์สแลม 3 รายการ (ออสเตรเลียนโอเพน, วิมเบิลดัน และ ยูเอสโอเพน) อย่างน้อย 5 สมัย ในทุกรายการ
- เข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมในประเภทชายเดี่ยวมากที่สุด 31 รายการ[145] (รวมทั้งเข้าชิงชนะเลิศติดต่อกัน 10 รายการ)
- เข้ารอบรองชนะเลิศแกรนด์สแลมในประเภทชายเดี่ยวมากที่สุด 46 รายการ[146] (รวมทั้งเข้ารอบรองชนะเลิศติดต่อกัน 23 รายการ)
- เข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้ายแกรนด์สแลมมากที่สุด 58 ครั้ง (รวมทั้งเข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้ายติดต่อกัน 36 รายการ)
- เป็นผู้เล่นที่ชนะเลิศเอทีพี ไฟนอล มากที่สุด (6 สมัย)[147], เข้าชิงชนะเลิศมากที่สุด (10 ครั้ง), เข้ารอบรองชนะเลิศมากที่สุด (16 ครั้ง) และชนะมากที่สุด (59 นัด)
- เป็นผู้เล่นที่ไม่เคยขอยอมแพ้เนื่องจากอาการบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขันแม้แต่นัดเดียวนับตั้งแต่เริ่มเล่นอาชีพในปี 1998[148]
- เป็นหนึ่งในสี่ผู้เล่นที่ชนะได้มากกว่า 1,000 นัดในการแข่งขันประเภทชายเดี่ยว (ร่วมกับ จิมมี คอนเนอร์, อิวาน เลนเดิล และ ราฟาเอล นาดัล)
คู่แข่งคนสำคัญ
ราฟาเอล นาดัล
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ ราฟาเอล นาดัล เป็นคู่แข่งขันที่แย่งความสำเร็จและสร้างประวัติศาสตรในวงการเทนนิสมาอย่างยาวนานร่วม 20 ปี[149][150] ทั้งสองฝ่ายพบกันรวม 40 ครั้ง โดยเฟเดอเรอร์ชนะ 16 ครั้ง แพ้ 24 ครั้ง เฟเดอเรอร์มีสถิติที่เหนือกว่าในการพบกันบนฮาร์ดคอร์ต (พื้นคอนกรีต) โดยชนะ 11 แพ้ 9 และเหนือกว่าบนคอร์ตหญ้า โดยชนะ 3 แพ้ 1 แต่เฟเดอเรอร์ก็มีสถิติที่ย่ำแย่มากในการพบกับนาดัลบนคอร์ตดิน โดยชนะได้เพียง 2 ครั้ง และแพ้ไปถึง 14 ครั้ง[151]
ทั้งคู่พบกันในรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลม 9 ครั้ง เฟเดอเรอร์ชนะ 3 ครั้ง ในวิมเบิลดัน 2 ครั้ง (2006 และ 2007), ออสเตรเลียนโอเพน 1 ครั้ง (2017) และนาดัลชนะได้ 6 ครั้ง ในเฟรนช์โอเพน 4 ครั้ง (2006–08 และ 2011), ออสเตรเลียนโอเพน 1 ครั้ง (2009) และ วิมเบิลดัน 1 ครั้ง (2008) ทั้งคู่พบกันในรายการแกรนด์สแลมรวม 14 ครั้ง ซึ่งเฟเดอเรอร์เอาชนะได้เพียง 4 ครั้ง และแพ้ 10 ครั้ง โดยเฟเดอรเรอร์มีสถิติที่ดีกว่าที่วิมเบิลดัน (3–1) ในขณะที่นาดัลมีสถิติที่เหนือกว่าในออสเตรเลียนโอเพน (3–1) และเฟรนช์โอเพน (6–0) และยังไม่เคยพบกันในยูเอสโอเพน
นอวาก จอกอวิช
คู่แข่งคนสำคัญของเฟเดอเรอร์อีกคนได้แก่ นอวาก จอกอวิช โดยพบกัน 50 ครั้ง โดยเฟเดอเรอร์ชนะ 23 ครั้ง แพ้ 27 ครั้ง ซึ่งจอกอวิชถือเป็นผู้เล่นที่มีชนะเฟเดอรเรอร์ได้มากที่สุด และยังเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ชนะเฟเดอเรอร์ในการแข่งขันแกรนด์สแลมได้ครบทุกรายการ ในทำนองเดียวกัน เฟเดอเรอร์ก็เป็นผู้เล่นคนเดียวที่ชนะจอกอวิชได้ในแกรนด์สแลมทุกรายการ ทั้งคู่พบกันในรอบชิงชนะเลิศทุกรายการ 19 ครั้ง เฟเดอเรอร์ชนะ 6 แพ้ 13 และพบกันในรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลม 5 ครั้ง เฟเดอเรอร์ชนะ 1 ครั้ง (ยูเอสโอเพน 2007) แพ้ 4 ครั้ง (วิมเบิลดัน 2014, 2015, 2019 และ ยูเอสโอเพน 2015)
การแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์ของทั้งคู่ได้แก่ รอบชิงชนะเลิศวิมเบิลดัน 2019 ใช้เวลาแข่งขันกว่า 5 ชั่วโมง ยาวนานที่สุดในประวัติของรายการซึ่งเฟเดอเรอร์แพ้ไปในการแข่งขัน 5 เซต ทั้งที่เขามีโอกาสได้เปรียบถึง 2 Championship points[152] และนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา เฟเดอเรอร์ยังไม่สามารถเอาชนะจอกอวิชในรายการแกรนด์สแลมได้เลย[153]
ทั้งคู่พบกันบนฮาร์ดคอร์ค (พื้นคอนกรีต) 38 ครั้ง เฟเดอเรอร์ชนะ 18 แพ้ 20, พบกันบนคอร์ตหญ้า 4 ครั้ง เฟเดอเรอร์ชนะ 1 แพ้ 3 และทั้งคู่มีสถิติการพบกันบนคอร์ตดินที่เท่ากันโดยผลัดกันแพ้ชนะคนละ 4 ครั้ง
แอนดี มาร์รี
เฟเดอเรอร์มีสถิติการพบกับ แอนดี มาร์รี ยอดนักเทนนิสสกอตแลนด์ 25 ครั้ง[154] เฟเดอรเรอ์ชนะ 14 ครั้ง และแพ้ 11 ครั้ง โดยเฟเดอรเรอร์มีสถิติที่เหนือกว่าทั้งในการพบกันในฮาร์ดคอร์ต (12–10) และ คอร์ตหญ้า (2–1) และยังไม่เคยพบกันบนคอร์ตดิน และนับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา เฟเดอเรอร์เอาชนะมาร์รีได้ถึง 9 ครั้งจากการพบกัน 12 ครั้ง ทั้งคู่พบกันในรายการแกรนด์สแลม 6 ครั้ง เฟเดอเรอร์ชนะ 5 ครั้ง รวมถึงรอบชิงชนะเลิศยูเอสโอเพน (2008), ออสเตรเลียนโอเพน (2010) และวิมเบิลดัน (2012) แต่มาร์รีก็เอาชนะเฟเดอเรอร์ได้ในการแข่งขันรายการสำคัญ เช่น รอบชิงชนะเลิศโอลิมปิกฤดูร้อน 2012[155] คว้าเหรียญทองไปครอง มาร์รียังถือเป็นหนึ่งในสามผู้เล่น (ร่วมกับ จอกอวิช และ นาดัล) ที่เอาชนะเฟเดอเรอร์ได้มากกว่า 10 ครั้ง
แอนดี ร็อดดิก
เฟเดอเรอร์ถือเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดในอาชีพของ แอนดี ร็อดดิก อดีตมือวางดับ 1 ของโลกชาวอเมริกัน โดยทั้งคู่พบกัน 24 ครั้ง และเฟเดอเรอร์เอาชนะไปได้ถึง 21 ครั้ง แพ้เพียง 3 ครั้ง[156] ร็อดดิกเคยขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 ของโลก 13 สัปดาห์ภายหลังจากชนะเลิศยูเอสโอเพน 2003 ต่อมา เฟเดอเรอร์ได้ทำคะแนนแซงร็อดดิกขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 ได้หลังจากชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน 2004 และนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในอาชีพของเฟเดอเรอร์ในการครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ยาวนานหลายปี
ทั้งคู่พบกันในรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลม 4 ครั้ง และเฟเดอเรอร์เอาชนะไปได้ทั้ง 4 ครั้ง ในวิมเบิลดัน 3 ครั้ง (2004, 2005 และ 2009) และยูเอสโอเพน 1 ครั้ง (2006) โดยร็อดดิกใกล้เคียงกับชัยชนะในรอบชิงชนะเลิศมากที่สุดในวิมเบิลดันปี 2009 ซึ่งเขาแพ้ไปในการแข่งขัน 5 เซต และต้องแข่งขันกันมากถึง 30 เกมในเซตสุดท้ายก่อนที่เฟเดอเรอร์จะชนะไปได้ 16–14 เกม ซึ่งในวันนั้นถือเป็นหนึ่งในนัดที่ร็อดดิกเล่นได้ดีที่สุดครั้งหนึ่งในอาชีพ แต่ก็ต้องแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย[157][158]
เลย์ตัน ฮิววิตต์
เลย์ตัน ฮิววิตต์ อดีตมือวางอันดับ 1 ชาวออสเตรเลีย เป็นอีกคนที่เคยพบกับเฟเดอเรอร์ในการแข่งขันสำคัญหลายรายการ โดยพบกัน 27 ครั้ง[159] เฟเดอเรอร์ชนะ 18 แพ้ 9 โดยฮิววิตต์เอาชนะเฟเดอเรอร์ได้ 7 ครั้งจากการพบกันใน 9 ครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นช่วงที่เฟเดอเรอร์เพิ่งขึ้นมาแจ้งเกิดในวงการ และยังไม่พัฒนาขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลก ทั้งคู่เคยพบกันในรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลม 1 ครั้ง ในยูเอสโอเพน 2004 ซึ่งเฟเดอเรอร์ชนะไป 3 เซตรวดคว้าแชมป์ยูเอสโอเพนครั้งแรก[160]
ทรัพย์สินและสปอนเซอร์
ในเดือนพฤษภาคม 2020 เฟเดอเรอร์ได้รับการจัดอันดับโดยฟอบส์ให้เป็นนักกีฬาที่ทำเงินรางวัลได้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นนักเทนนิสคนแรกที่ทำสถิตินี้ได้[161] เขาทำรายได้ในปี 2020 รวม 106.3 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเฟเดอเรอร์มีชื่อติดใน 10 อันดับแรกของนักกีฬาที่ทำเงินรางวัลมากที่สุดทุกปีแต่ยังไม่เคยขึ้นถึงอันดับหนึ่งมาก่อน โดยในปีนี้[162] เฟเดอเรอร์ทำสถิติแซงหน้านักกีฬาชื่อดังหลายราย เช่น คริสเตียโน โรนัลโด, ลิโอเนล เมสซิ และ เนย์มาร์ นักฟุตบอลชื่อดัง รวมทั้งเลอบรอน เจมส์, สตีเฟน เคอร์รี่ และ เควิน ดูแรนท์ในวงการบาสเก็ตบอล เฟเดอเรอร์ยังถือเป็นนักเทนนิสที่ร่ำรวยที่สุดในโลก[163] ด้วยทรัพย์สินรวม 450 ล้านดอลลาร์[164]
ในฐานะที่เฟเดอเรอร์เป็นหนึ่งในนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ทำให้เขาดึงดูดผู้สนับสนุนมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นแบรนด์ระดับโลก เช่น "โรเล็กซ์" แบรนด์นาฬิกาชื่อดังของสวิตเซอร์แลนด์บ้านเกิด โดยผู้บริหารของโรเล็กซ์ได้เล็งเห็นถึงภาพลักษณ์ที่สุขุม และความเป็นสุภาพบุรุษนักกีฬาของเฟเดอเรอร์ โดยเขาได้เซ็นสัญญาในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ด้วยมูลค่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (200 ล้านบาท) ต่อปี และมักปรากฏภาพเจ้าตัวออกสื่อโฆษณาของบริษัทและทุกครั้งที่เฟเดอเรอร์คว้าแชมป์ในแต่ละรายการได้ นาฬิกาโรเล็กซ์บนข้อมือซ้ายของเขาก็จะได้รับการโปรโมตออกสื่อไปทั่วโลกเมื่อเขาชูถ้วยรางวัล
สปอนเซอร์รายถัดมาได้แก่ "เมอร์เซเดส-เบนซ์" แบรนด์รถยนต์ชื่อดังจากเยอรมนี ซึ่งได้ดึงเฟเดอเรอร์เข้ามาร่วมงานตั้งแต่ปี 2008 โดยสัญญาดังกล่าวมีมูลค่าปีละ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (160 ล้านบาท) ต่อปี โดยบริษัทได้ส่งรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์มาให้ถึงบ้านของเฟเดอเรอร์ทุกครั้งที่มีการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ออกจำหน่าย นอกจากนี้เขายังมีสปอนเซอร์แบรนด์ดังอีกมากมาย เช่น "เครดิต ซุส" ธนาคารชื่อดังของสวิตเซอร์แลนด์ที่มอบสัญญามูลค่า 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (59 ล้านบาท) ต่อปีและยังให้การสนับสนุนมูลนิธิการกุศลของเฟเดอเรอร์ตลอดมา รวมทั้ง "ยิลเลตต์" แบรนด์ผลิตภัณฑ์โกนหนวดชื่อดังที่มอบสัญญามูลค่า 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (59 ล้านบาท) ต่อปีเช่นกัน และยังมีบริษัทอาหารอย่าง "บาริลลา" ผู้ผลิตเส้นพาสตาชื่อดัง และ "ลินด์" แบรนด์ช็อคโกแลตจากสวิตเซอร์แลนด์ด้วยสัญญามูลค่ากว่า 18 ล้านดอลลาร์ (600 ล้านบาท) ต่อปี[165]
สถิติอาชีพ
แกรนด์สแลม
เข้าชิงชนะเลิศ 31 รายการ (ชนะเลิศ 20, รองชนะเลิศ 11)
สถิติการแข่งขันอาชีพ | |||||
---|---|---|---|---|---|
ประเภท | รายการระดับ | ชนะ | แพ้ | รวม | (%) |
เดี่ยว | แกรนด์สแลม | 20 | 11 | 31 | 0.65 |
กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน | – | – | – | – | |
เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล | 6 | 4 | 10 | 0.67 | |
เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000* | 28 | 22 | 50 | 0.56 | |
เอทีพี ทัวร์ 500 | 24 | 7 | 31 | 0.77 | |
เอทีพี ทัวร์ 250 | 25 | 9 | 34 | 0.74 | |
รวม | 103 | 54 | 157 | 0.66 | |
คู่ | แกรนด์สแลม | – | – | – | – |
กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน | 1 | – | 1 | 1.00 | |
เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล | – | – | – | – | |
เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000* | 1 | 2 | 3 | 0.33 | |
เอทีพี ทัวร์ 500 | 3 | 1 | 4 | 0.75 | |
เอทีพี ทัวร์ 250 | 3 | 3 | 6 | 0.50 | |
รวม | 8 | 6 | 14 | 0.57 | |
รวม | 111 | 60 | 171 | 0.65 | |
1) (%) = อัตราส่วนการชนะ 2) *ในอดีตรู้จักกันในชื่อของ "ซุปเปอร์ 9" (ค.ศ. 1996–1999), "เทนนิส มาสเตอร์ซีรีส์" (ค.ศ. 2000–2003) และ "เอทีพี มาสเตอร์ซีรีส์" (ค.ศ. 2004–2008) |
ชนะเลิศ
ปี | รายการ | คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ | ผลการแข่งขัน |
2003 | วิมเบิลดัน (1) | มาร์ค ฟิลิปปูซิส | 7–6(7–5), 6–2, 7–6(7–3) |
2004 | ออสเตรเลียนโอเพน (1) | มารัต ซาฟิน | 7–6(7–3), 6–4, 6–2 |
2004 | วิมเบิลดัน (2) | แอนดี ร็อดดิก | 4–6, 7–5, 7–6(7–3), 6–4 |
2004 | ยูเอสโอเพน (1) | เลย์ตัน ฮิววิตต์ | 6–0, 7–6(7–3), 6–0 |
2005 | วิมเบิลดัน (3) | แอนดี ร็อดดิก | 6–2, 7–6(7–2), 6–4 |
2005 | ยูเอสโอเพน (2) | อานเดร แอกัสซี | 6–3, 2–6, 7–6(7–1), 6–1 |
2006 | ออสเตรเลียนโอเพน (2) | มาร์กอส แบกห์ดาติส | 5–7, 7–5, 6–0, 6–2 |
2006 | วิมเบิลดัน (4) | ราฟาเอล นาดัล | 6–0, 7–6(7–5), 6–7(2–7), 6–3 |
2006 | ยูเอสโอเพน (3) | แอนดี ร็อดดิก | 6–2, 4–6, 7–5, 6–1 |
2007 | ออสเตรเลียนโอเพน (3) | เฟอร์นานโด กอนซาเลซ | 7–6(7–2), 6–4, 6–4 |
2007 | วิมเบิลดัน (5) | ราฟาเอล นาดัล | 7–6(9–7), 4–6, 7–6(7–3), 2–6, 6–2 |
2007 | ยูเอสโอเพน (4) | นอวาก จอกอวิช | 7–6(7–4), 7–6(7–2), 6–4 |
2008 | ยูเอสโอเพน (5) | แอนดี มาร์รี | 6–2, 7–5, 6–2 |
2009 | เฟรนช์โอเพน | โรบิน โซเดอร์ลิง | 6–1, 7–6(7–1), 6–4 |
2009 | วิมเบิลดัน (6) | แอนดี ร็อดดิก | 5–7, 7–6(8–6), 7–6(7–5), 3–6, 16–14 |
2010 | ออสเตรเลียนโอเพน (4) | แอนดี มาร์รี | 6–3, 6–4, 7–6(13–11) |
2012 | วิมเบิลดัน (7) | แอนดี มาร์รี | 4–6, 7–5, 6–3, 6–4 |
2017 | ออสเตรเลียนโอเพน (5) | ราฟาเอล นาดัล | 6–4, 3–6, 6–1, 3–6, 6–3 |
2017 | วิมเบิลดัน (8) | มาริน ซิลิช | 6–3, 6–1, 6–4 |
2018 | ออสเตรเลียนโอเพน (6) | มาริน ซิลิช | 6–2, 6–7(5–7), 6–3, 3–6, 6–1 |
รองชนะเลิศ
ปี | รายการ | คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ | ผลการแข่งขัน |
2006 | เฟรนช์โอเพน | ราฟาเอล นาดัล | 6–1, 1–6, 4–6, 6–7(4–7) |
2007 | เฟรนช์โอเพน | ราฟาเอล นาดัล | 3–6, 6–4, 3–6, 4–6 |
2008 | เฟรนช์โอเพน | ราฟาเอล นาดัล | 1–6, 3–6, 0–6 |
2008 | วิมเบิลดัน | ราฟาเอล นาดัล | 4–6, 4–6, 7–6(7–5),7-6(10–8),7–9 |
2009 | ออสเตรเลียนโอเพน | ราฟาเอล นาดัล | 5–7, 6–3, 6–7(3–7), 6–3, 2–6 |
2009 | ยูเอสโอเพน | ฮวน มาร์ติน เดล โปโตร | 6–3, 6–7(5–7), 6–4, 6–7(4–7), 2–6 |
2011 | เฟรนช์โอเพน | ราฟาเอล นาดัล | 5–7, 6–7(3–7), 7–5, 1–6 |
2014 | วิมเบิลดัน | นอวาก จอกอวิช | 7–6(9–7), 4–6, 6–7(4–7), 7–5, 4–6 |
2015 | วิมเบิลดัน | นอวาก จอกอวิช | 6–7(1–7), 7–6(12–10), 4–6, 3–6 |
2015 | ยูเอสโอเพน | นอวาก จอกอวิช | 4–6, 7–5, 4–6, 4–6 |
2019 | วิมเบิลดัน | นอวาก จอกอวิช | 6–7(5–7), 6–1, 6–7(5–7), 6–4, 12–13(3–7) |
เอทีพี ไฟนอล
เข้าชิงชนะเลิศ 10 ครั้ง (ชนะเลิศ 6, รองชนะเลิศ 4)
ชนะเลิศ
ปี | รายการ | คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ | ผลการแข่งขัน |
2003 | ฮูสตัน | อานเดร แอกัสซี | 6–3, 6–0, 6–4 |
2004 | ฮูสตัน | เลย์ตัน ฮิววิตต์ | 6–3, 6–2 |
2006 | เซี่ยงไฮ้ | เจมส์ เบลค | 6–0, 6–3, 6–4 |
2007 | เซี่ยงไฮ้ | ดาวิด เฟร์เรร์ | 6–2, 6–3, 6–2 |
2010 | ลอนดอน | ราฟาเอล นาดัล | 6–3, 3–6, 6–1 |
2011 | ลอนดอน | โจ วิลเฟร็ด ซองก้า | 6–3, 6–7(6–8), 6–3 |
รองชนะเลิศ
ปี | รายการ | คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ | ผลการแข่งขัน |
2005 | เซี่ยงไฮ้ | ดาวิด นาบัลเดียน | 6–7(4–7), 6–7(11–13), 6–2, 6–1, 7–6(7–3) |
2012 | ลอนดอน | นอวาก จอกอวิช | 6–7(6–8), 5–7 |
2014 | ลอนดอน | นอวาก จอกอวิช | ขอถอนตัว |
2015 | ลอนดอน | นอวาก จอกอวิช | 3–6, 4–6 |
เอทีพี มาสเตอร์ 1000
เข้าชิงชนะเลิศ 50 รายการ (ชนะเลิศ 28, รองชนะเลิศ 22 )
ผลลัพธ์ | ปี | รายการ | พื้นสนาม | คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ | ผลการแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|
รองชนะเลิศ | 2002 | ไมแอมี | คอนกรีต | มารัต ซาฟิน | 3–6, 3–6, 6–3, 4–6 |
ชนะเลิศ | 2002 | ฮัมบวร์ค | ดิน | มารัต ซาฟิน | 6–1, 6–3, 6–4 |
รองชนะเลิศ | 2003 | โรม | ดิน | เฟลิกซ์ มันติลล่า | 5–7, 2–6, 6–7(8–10) |
ชนะเลิศ | 2004 | อินเดียนเวลส์ | คอนกรีต | ทิม เฮนแมน | 6–3, 6–3 |
ชนะเลิศ | 2004 | ฮัมบวร์ค (2) | ดิน | กิลเยร์โม กอเรีย | 4–6, 6–4, 6–2, 6–3 |
ชนะเลิศ | 2004 | มอนทรีออล | คอนกรีต | แอนดี ร็อดดิก | 7–5, 6–3 |
ชนะเลิศ | 2005 | อินเดียนเวลส์ (2) | คอนกรีต | เลย์ตัน ฮิวอิต | 6–2, 6–4, 6–4 |
ชนะเลิส | 2005 | ไมแอมี | คอนกรีต | ราฟาเอล นาดัล | 2–6, 6–7(4–7), 7–6(7–5), 6–3, 6–1 |
ชนะเลิศ | 2005 | ฮัมบวร์ค (3) | ดิน | ริชาร์ด กาสเกต์ | 6–3, 7–5, 7–6(7–4) |
ชนะเลิศ | 2005 | ซินซินแนติ | คอนกรีต | แอนดี ร็อดดิก | 6–3, 7–5 |
ชนะเลิศ | 2006 | อินเดียนเวลส์ (3) | คอนกรีต | เจมส์ เบลค | 7–5, 6–3, 6–0 |
ชนะเลิศ | 2006 | ไมแอมี (2) | คอนกรีต | อิวาน ลูบิซิช | 7–6(7–5), 7–6(7–4), 7–6(8–6) |
รองชนะเลิศ | 2006 | มงเต-การ์โล | ดิน | ราฟาเอล นาดัล | 2–6, 7–6(7–2), 3–6, 6–7(5–7) |
รองชนะเลิศ | 2006 | โรม | ดิน | ราฟาเอล นาดัล | 7–6(7–0), 6–7(5–7), 4–6, 6–2, 6–7(5–7) |
ชนะเลิศ | 2006 | มอนทรีออล (2) | คอนกรีต | ริชาร์ด กาสเกต์ | 2–6, 6–3, 6–2 |
ชนะเลิศ | 2006 | มาดริด | คอนกรีต (ในร่ม) | เฟอร์นานโด กอนซาเลส | 7–5, 6–1, 6–0 |
รองชนะเลิศ | 2007 | มงเต-การ์โล | ดิน | ราฟาเอล นาดัล | 4–6, 4–6 |
ชนะเลิศ | 2007 | ฮัมบวร์ค (4) | ดิน | ราฟาเอล นาดัล | 2–6, 6–2, 6–0 |
รองชนะเลิศ | 2007 | มอนทรีออล | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 6–7(2–7), 6–2, 6–7(2–7) |
ชนะเลิศ | 2007 | ซินซินแนติ (2) | คอนกรีต | เจมส์ เบลค | 6–1, 6–4 |
รองชนะเลิศ | 2007 | มาดริด | คอนกรีต (ในร่ม) | ดาบิด นัลบาเดียน | 6–1, 3–6, 3–6 |
รองชนะเลิศ | 2008 | มงเต-การ์โล | ดิน | ราฟาเอล นาดัล | 5–7, 5–7 |
รองชนะเลิศ | 2008 | ฮัมบวร์ค | ดิน | ราฟาเอล นาดัล | 5–7, 7–6(7–3), 3–6 |
ชนะเลิศ | 2009 | มาดริด (2) | ดิน | ราฟาเอล นาดัล | 6–4, 6–4 |
ชนะเลิศ | 2009 | ซินซินแนติ (3) | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 6–1, 7–5 |
รองชนะเลิศ | 2010 | มาดริด | ดิน | ราฟาเอล นาดัล | 4–6, 6–7(5–7) |
รองชนะเลิศ | 2010 | มอนทรีออล | คอนกรีต | แอนดี มาร์รี | 5–7, 5–7 |
ชนะเลิศ | 2010 | ซินซินแนติ (4) | คอนกรีต | มาร์ดี ฟิช | 6–7(5–7), 7–6(7–1), 6–4 |
รองชนะเลิศ | 2010 | เซี่ยงไฮ่ | คอนกรีต | แอนดี มาร์รี | 3–6, 2–6 |
ชนะเลิศ | 2011 | ปารีส | คอนกรีต (ในร่ม) | โจ-วิลฟรีด ซองกา | 6–1, 7–6(7–3) |
ชนะเลิศ | 2012 | อินเดียนเวลส์ (4) | คอนกรีต | จอห์น อิสเนอร์ | 7–6(9–7), 6–3 |
ชนะเลิศ | 2012 | มาดริด (3) | ดิน | โทมัส เบอร์ดิช | 3–6, 7–5, 7–5 |
ชนะเลิศ | 2012 | ซินซินแนติ (5) | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 6–0, 7–6(9–7) |
รองชนะเลิศ | 2013 | โรม | ดิน | ราฟาเอล นาดัล | 1–6, 3–6 |
รองชนะเลิศ | 2014 | อินเดียนเวลส์ | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 6–3, 3–6, 6–7(3–7) |
รองชนะเลิศ | 2014 | มงเต-การ์โล | ดิน | สตาน วาวรีงกา | 6–4, 6–7(5–7), 2–6 |
รองชนะเลิศ | 2014 | มอนทรีออล | คอนกรีต | โจ-วิลฟรีด ซองกา | 5–7, 6–7(3–7) |
ชนะเลิศ | 2014 | ซินซินแนติ (6) | คอนกรีต | ดาวิต เฟร์เรร์ | 6–3, 1–6, 6–2 |
ชนะเลิศ | 2014 | เซี่ยงไฮ้ | คอนกรีต | จิล ซิมง | 7–6(8–6), 7–6(7–2) |
รองชนะเลิศ | 2015 | อินเดียนเวลส์ | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 3–6, 7–6(7–5), 2–6 |
รองชนะเลิศ | 2015 | โรม | ดิน | นอกวาก จอกอวิช | 4–6, 3–6 |
ชนะเลิศ | 2015 | ซินซินแนติ (7) | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 7–6(7–1), 6–3 |
ชนะเลิศ | 2017 | อินเดียนเวลส์ (5) | คอนกรีต | สตาน วาวรีงกา | 6–4, 7–5 |
ชนะเลิศ | 2017 | ไมแอมี (3) | คอนกรีต | ราฟาเอล นาดัล | 6–3, 6–4 |
รองชนะเลิศ | 2017 | มอนทรีออล | คอนกรีต | อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ | 3–6, 4–6 |
ชนะเลิศ | 2017 | เซี่ยงไฮ้(2) | คอนกรีต | ราฟาเอล นาดัล | 6–4, 6–3 |
รองชนะเลิศ | 2018 | อินเดียนเวลส์ | คอนกรีต | ฆวน มาร์ติน เดล ปอร์โต | 4–6, 7–6(10–8), 6–7(2–7) |
รองชนะเลิศ | 2018 | ซินซินแนติ | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 4–6, 4–6 |
รองชนะเลิศ | 2019 | อินเดียนเวลส์ | คอนกรีต | โดมินิค ธีม | 6–3, 3–6, 5–7 |
ชนะเลิศ | 2019 | ไมแอมี (4) | คอนกรีต | จอห์น อิสเนอร์ | 6–1, 6–4 |
- ตัวเลขในวงเล็บคือจำนวนครั้งที่ชนะเลิศในแต่ละรายการ
กีฬาโอลิมปิกประเภทเดี่ยว
ลงแข่งขัน 2 ครั้ง (คว้า 1 เหรียญเงิน)
ผลลัพธ์ | ปี | รายการ | พื้นสนาม | คู่แข่ง | ผลการแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|
อันดับ 4 | 2000 | การแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ปี 2000 รอบชิงเหรียญทองแดง | คอนกรีต | อาร์นอด์ ดิ ปาสเควล | 6–7(5–7), 7–6(9–7), 3–6 |
เหรียญเงิน | 2012 | การแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ปี 2000 รอบชิงชนะเลิศ | หญ้า | แอนดี มาร์รี | 2–6, 1–6, 4–6 |
กีฬาโอลิมปิกประเภทคู่
รอบชิงชนะเลิศ (คว้า 1 เหรียญทอง)
ปี | รายการ | พื้นสนาม | เล่นคู่กับ | คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ | ผลการแข่งขัน |
2008 | กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ณ กรุงปักกิ่ง รอบชิงชนะเลิศ | คอนกรีต | สตานิสลาส วาวรีงกา | ไซมอน แอสพีลิน โทมัส โยฮันส์สัน |
6–3, 6–4, 6–7(4–7), 6–3 |
ประเภททีม (ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์)
ชนะเลิศเดวิสคัพ 1 สมัย และฮอพแมน คัพ 3 สมัย
ผลลัพธ์ | วันที่ | รายการ | พื้นสนาม | ทีม | สมาชิกทีม | คู่แข่ง | สมาชิกทีมคู่แข่ง | ผลการแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ชนะเลิศ | มกราคม 2001 | ฮอพแมน คัพ, เพิร์ท , ออสเตรเลีย | คอนกรีต (ในร่ม) | สวิตเซอร์แลนด์ | โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, มาร์ติน่า ฮินกิส |
สหรัฐอเมริกา | โมนิก้า เซเลส, ยัน-ไมเคิล แกมบิลล์ |
ชนะ 2–1 |
ชนะเลิศ | พฤศจิกายน 2014 | เดวิส คัพ, เลียล , ฝรั่งเศส | ดิน (ในร่ม) | สวิตเซอร์แลนด์ | โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, สตาน วาวรีงกา, มาร์โค คิวดิเนลลี, ไมเคิล ลัมเมอร์ |
ฝรั่งเศส | โจ-วิลฟรีด ซองกา, กาแอล มงฟิล์ส, จูเลียง เบนน์โต, รีชาร์ กัสกุแอ |
ชนะ 3–1 |
ชนะเลิศ | มกราคม 2018 | ฮอพแมน คัพ, เพิร์ท , ออสเตรเลีย (2) | คอนกรีต (ในร่ม) | สวิตเซอร์แลนด์ | โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, เบลินดา เบนซิช |
เยอรมนี | อันเจลีค แคร์เบอร์, อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ |
ชนะ 2–1 |
ชนะเลิศ | มกราคม 2019 | ฮอพแมน คัพ, เพิร์ท , ออสเตรเลีย (3) | คอนกรีต (ในร่ม) | สวิตเซอร์แลนด์ | โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, เบลินดา เบนซิช |
เยอรมนี | อันเจลีค แคร์เบอร์, อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ |
ชนะ 2–1 |
เงินรางวัล
ปี | รายการ แกรนด์สแลม |
รายการ ATP |
รวม | เงินรางวัล ($) |
อันดับของ เงินรางวัล |
---|---|---|---|---|---|
1998 | 0 | 0 | 0 | $27,305 | – |
1999 | 0 | 0 | 0 | $225,139 | 97 |
2000 | 0 | 0 | 0 | $623,782 | 27 |
2001 | 0 | 1 | 1 | $865,425 | 14 |
2002 | 0 | 3 | 3 | $1,995,027 | 4 |
2003 | 1 | 6 | 7 | $4,000,680 | 1 |
2004 | 3 | 8 | 11 | $6,357,547 | 1 |
2005 | 2 | 9 | 11 | $6,137,018 | 1 |
2006 | 3 | 9 | 12 | $8,343,885 | 1 |
2007 | 3 | 5 | 8 | $10,130,620 | 1 |
2008 | 1 | 3 | 4 | $5,886,879 | 2 |
2009 | 2 | 2 | 4 | $8,768,110 | 1 |
2010 | 1 | 4 | 5 | $7,698,289 | 2 |
2011 | 0 | 4 | 4 | $6,369,576 | 3 |
2012 | 1 | 5 | 6 | $8,584,842 | 2 |
2013 | 0 | 1 | 1 | $3,203,637 | 6 |
2014 | 0 | 5 | 5 | $9,343,988 | 2 |
2015 | 0 | 6 | 6 | $8,682,892 | 2 |
2016 | 0 | 0 | 0 | $1,527,269 | 22 |
2017 | 2 | 5 | 7 | $13,054,856 | 2 |
2018 | 1 | 3 | 4 | $8,629,233 | 4 |
2019 | 0 | 4 | 4 | $8,716,975 | 3 |
2020 | 0 | 0 | 0 | $714,792 | 36 |
2021 | 0 | 0 | 0 | $647,655 | 34[166] |
ตลอดอาชีพ* | 20 | 83 | 103 | $130,594,339 | 2 [167] |
- * Statistics correct ข้อมูลเมื่อ 16 กันยายน ค.ศ. 2021[update].
เชิงอรรถ
- ↑ ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อการแข่งขันว่า เดอะ มาสเตอร์ กรังปรีซ์, เอทีพี ทัวร์ เวิลด์ แชมป์เปียนชิป, เดอะ มาสเตอร์ส คัพ, เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ก่อนจะเปลี่ยนเป็น เอทีพี ไฟนอล ในปี 2017
- ↑ ทั้งสามคนเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเทนนิสชาย อ้างอิงจากจำนวนถ้วยรางวัล เงินรางวัล และสถิติโลกต่าง ๆ ที่บันทึกโดยสมาคมเทนนิสอาชีพ
- ↑ ในปี 2004, 2006 และ 2007 ถือเป็นฤดูกาลที่เฟเดอเรอร์ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอาชีพ เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้สามรายการได้แก่ ออสเตรเลียนโอเพน, วิมเบิลดัน และ ยูเอสโอเพน รวมทั้งแชมป์ เอทีพี ไฟนอล
- ↑ การแข่งขันเริ่มขึ้นในปี 1900 เป็นการแข่งขันรายการนานาชาติของทีมชายที่ใหญ่ที่สุดของสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ เปรียบเสมือนการแข่งขันชิงแชมป์โลก ผู้จัดงานได้อธิบายไว้ว่าเป็น "World Cup of Tennis" และผู้ชนะจะเรียกว่าทีมแชมป์โลก
- ↑ เป็นรายการที่นำนักเทนนิสชื่อดังจากทีมรวมดารายุโรป มาแข่งกับทีมรวมดาราโลกจำนวน 3 วัน ทีมที่ได้คะแนนรวมมากกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ
ดูเพิ่ม
- นอวาก จอกอวิช
- ราฟาเอล นาดัล
- แอนดี มาร์รี
- แกรนด์สแลม
- เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล
- โอลิมปิกฤดูร้อน 2008
- โอลิมปิกฤดูร้อน 2012
- เทนนิส
อ้างอิง
- ↑ "Player profile – Roger Federer". ATP World Tour.
- ↑ "Rankings | Singles | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ Comesipronuncia.it, Patrizia Serra-. "How to pronounce Roger Federer - PronounceItRight". www.pronounceitright.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ https://www.swissinfo.ch/eng/roger-federer-loses-his-crown/999832
- ↑ Thompson, Jackson. "Novak Djokovic breaks Roger Federer's all-time record for most weeks ranked No. 1 by The ATP". Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Roger Federer | Overview | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Roger Federer | Titles and Finals | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ Feb 22, TIMESOFINDIA COM / Updated:; 2021; Ist, 16:01. "Big Three: The incredible domination of Federer, Nadal and Djokovic | Tennis News - Times of India". The Times of India (ภาษาอังกฤษ).
{{cite web}}
: CS1 maint: extra punctuation (ลิงก์) CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์) - ↑ CNN, Ben Morse. "'All three of the best players are playing in this generation,' Murray believes tennis' 'Big Three' are GOATs". CNN.
- ↑ "Big 3: Federer, Nadal, Djokovic dominate men's tennis". www.aa.com.tr.
- ↑ "Big Three greatest ever: McEnroe". www.telegraphindia.com.
- ↑ https://www.skysports.com/tennis/news/15538/11226407/roger-federer-is-the-greatest-sportsperson-of-all-time-says-mark-petchey
- ↑ https://www.abc.net.au/news/2017-07-17/is-federer-the-greatest-athlete-of-them-all/8714850
- ↑ https://www.foxsports.com.au/tennis/roger-federer-greatest-athlete-of-all-time-tiger-woods-tweets/news-story/7b74721d1225ad9e59274ff21f35bcde
- ↑ https://bleacherreport.com/articles/392201-the-best-ever-the-50-greatest-male-athletes-of-all-time
- ↑ https://www.biography.com/athlete/roger-federer
- ↑ https://www.tennisworldusa.org/tennis/news/Roger_Federer/51630/february-2-2004-roger-federer-becomes-world-number-1-for-the-first-time/
- ↑ https://www.theguardian.com/sport/2009/jun/07/roger-federer-wins-french-open
- ↑ https://www.atptour.com/en/news/federer-opens-up-about-knee-surgery-miami-2016
- ↑ https://www.theguardian.com/sport/live/2017/jan/29/roger-federer-v-rafael-nadal-australian-open-final-live
- ↑ https://www.foxsports.com/stories/tennis/a-look-back-at-roger-federers-record-8-wimbledon-titles
- ↑ https://www.theguardian.com/sport/2018/feb/16/roger-federer-oldest-world-no-1-robin-haase
- ↑ "Winners Archive Roger Federer". สืบค้นเมื่อ 2008-07-10.
- ↑ "ATP Awards Honour Roll | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ 25.0 25.1 https://time.com/collection/most-influential-people-2018/5217613/roger-federer/
- ↑ CNN, Aimee Lewis. "How Roger Federer inspires global devotion". CNN.
- ↑ https://www.tennisworldusa.org/tennis/news/Roger_Federer/93648/roger-federer-wins-18th-consecutive-fans-favourite-singles-player-award/
- ↑ http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/europe/6544335.stm
- ↑ https://edition.cnn.com/2019/12/03/tennis/roger-federer-commemorative-coin-switzerland-spt-intl/index.html
- ↑ Badenhausen, Kurt. "How Roger Federer Makes $71 Million A Year". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ https://www.forbes.com/sites/kurtbadenhausen/2020/05/29/roger-federer-on-top-the-swiss-tennis-ace-scores-first-no-1-payday-with-106-million/?sh=2034c71e18d9
- ↑ Reporter, Staff (2014-06-22). "Roger Federer steps down as ATP Player Council's President". www.sportskeeda.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Profile". rogerfederer.com. สืบค้นเมื่อ 2007-07-19.
- ↑ "Roger Federer - Ask Roger". web.archive.org. 2007-02-25.
- ↑ ""FC Basel Was My Club as a Kid, And It is Still Today" - Roger Federer". EssentiallySports. 2020-02-14.
- ↑ 36.0 36.1 36.2 "Ask Roger - Official Website". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-02-25. สืบค้นเมื่อ 2007-03-02.
- ↑ "Favorite Football Team". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2007-03-02.
- ↑ "Favorite Vacation Spot". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2007-03-02.
- ↑ https://www.businessinsider.com/what-does-roger-federer-eat-drinks-2018-4
- ↑ "Roger Federer: 'You have to love chocolate if you're...'". Tennis World USA (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "That time when Roger Federer played the piano". Tennis World USA (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Stauffer, René; ebrary, Inc (2007). The Roger Federer story [electronic resource] : quest for perfection. Internet Archive. [Washington, D.C.] : New Chapter Press. ISBN 978-0-942257-39-7.
- ↑ "ประวัติRoger Federer ( โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ )". http://oknation.nationtv.tv.
{{cite web}}
: แหล่งข้อมูลอื่นใน
(help)|website=
- ↑ Staff, Tcrn (2019-11-27). "Roger Federer Reminisced about His Time in Costa Rica in 1996 ⋆ The Costa Rica News". The Costa Rica News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "ประวัติRoger Federer ( โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ )". http://oknation.nationtv.tv.
{{cite web}}
: แหล่งข้อมูลอื่นใน
(help)|website=
- ↑ "Home". www.rogerfederer.com.
- ↑ "Home". www.rogerfederer.com.
- ↑ "History". www.rogerfederer.com.
- ↑ "Roger Federer | Biography, Championships, & Facts". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Roger Federer lost two Olympic Games matches (August 17, 2004)". Tennis Majors (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-08-17.
- ↑ "Roger Federer | Biography, Championships, & Facts". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Roger Federer | Biography, Championships, & Facts". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Tennis365 (2018-04-09). "T365 Recall: Rafael Nadal's brilliant 81-match winning streak on clay". Tennis365 (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ Macur, Juliet (2007-06-11). "Nadal Defeats Federer for French Open Title". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-05-22.
- ↑ Branch, John (2007-07-09). "Federer Wins His Fifth Wimbledon Title in a Row". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-05-22.
- ↑ "Federer battles to win fourth straight U.S. Open". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2007-09-09.
- ↑ "Roger Federer | Titles and Finals | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Australian Open: Djokovic crushes Federer to seal final spot". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2008-01-25.
- ↑ "Why was 'the greatest match' so great?". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-05-22.
- ↑ "Why was 'the greatest match' so great?". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-05-22.
- ↑ "Remembering Rafael Nadal's Iconic Rise to World No.1 Ranking For the First Time". EssentiallySports. 2020-08-18.
- ↑ "Roger Federer | Titles and Finals | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Roger Federer On Epic Wimbledon Final vs. Andy Roddick: 'I Couldn't Control The Match At All' | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ Clarey, Christopher (2009-07-05). "Federer Outlasts Roddick to Win Record 15th Major Title". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-05-23.
- ↑ "The US Open 2008 - Grand Slam Tennis - Official Site by IBM". web.archive.org. 2009-02-22.
- ↑ "Roger Federer VS Juan Martin del Potro | Head 2 Head | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ Press, Associated (2010-07-26). "Roger Federer hires Paul Annacone as coach to help revive career". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Roger Federer surges to victory over Rafa Nadal at World Tour Finals". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2010-11-28.
- ↑ "Australian Open 2011: Novak Djokovic beats Roger Federer to reach final". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2011-01-27.
- ↑ Faulconer, Matt. "Djokovic vs. Federer: Score and Recap of 2011 US Open Tennis Semifinal". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "2011 Flashback: Roger Federer's Historic Sixth Nitto ATP Finals Crown | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Federer reclaims number one spot". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-05-23.
- ↑ McCarry, Patrick. "9 pictures celebrating Roger Federer's 300 weeks as World Number 1". The42 (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Back injury sparks latest Federer slump". www.abc.net.au (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). 2013-07-25.
- ↑ "Edberg joins Federer coaching team". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-05-23.
- ↑ Steinberg, Jacob (2014-01-24). "Rafael Nadal beats Roger Federer to reach Australian Open final – as it happened | Jacob Steinberg". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
- ↑ "2014 Wimbledon F: Novak Djokovic vs Roger Federer Detailed Stats | Tennis Abstract". www.tennisabstract.com.
- ↑ "Coupe Davis : Roger Federer explique avoir pensé à l'abandon contre Richard Gasquet". Eurosport (ภาษาฝรั่งเศส). 2015-01-19.
- ↑ "Federer's Desire Propes Him To 1000 Match Wins | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Federer wins 1000th match to win Brisbane crown". Tennishead (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2018-10-24.
- ↑ "Roger Federer Joins The 9000 Aces Club | Video Search Results | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Federer To Begin 2016 With New-Look Team | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ Reuters (2016-02-03). "Roger Federer faces a month on sidelines after knee surgery". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Raonic beats Federer in Wimbledon semis". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
- ↑ "Federer outlasts Wawrinka to make Australian Open final". www.abc.net.au (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). 2017-01-26.
- ↑ "The official website of the Laver Cup". Laver Cup (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "2017 Results & Leaderboard | Scores & Results". Laver Cup (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Goffin Shocks Federer In London | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Borna Coric defeats Roger Federer in absorbing Gerry Weber Open final in Halle". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Simpson, Christopher. "Laver Cup 2018: Roger Federer, Team Europe Beat Team World to Win Title". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Zverev Beats Federer To Reach Final In London | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Federer wins landmark 100th ATP title". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.
- ↑ "Tribute: Federer Records 1200th Match Win In Madrid | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Alexander Zverev Defeats Milos Raonic To Clinch Laver Cup For Team Europe | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Tsitsipas to face Thiem for title". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.
- ↑ "What does Roger Federer's knee surgery mean for his 2020 Slam chances?". Tennis.com.
- ↑ Clarey, Christopher (2020-06-10). "Roger Federer Won't Play in 2020 After Knee Surgery". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-05-25.
- ↑ ""A Long Process" - Roger Federer Gives an Update on Knee Surgery". EssentiallySports. 2020-10-31.
- ↑ "After 405 Days, Roger Federer Makes Winning Return In Doha | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Federer withdraws from French Open after gruelling third-round match". France 24 (ภาษาอังกฤษ). 2021-06-06.
- ↑ "Felix Auger-Aliassime Stuns 'Idol' Roger Federer To Reach Halle QF | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Roger Federer Soars Past Lorenzo Sonego Into 18th Wimbledon Quarter-final | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Djokovic, Federer into Wimbledon quarter-finals as first-timers shine". Deccan Herald (ภาษาอังกฤษ). 2021-07-06.
- ↑ Amako, Uche (2021-07-07). "Roger Federer crashes out of Wimbledon to impressive Hubert Hurkacz in straight sets". The Telegraph (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0307-1235. สืบค้นเมื่อ 2021-07-07.
- ↑ Clarey, Christopher (2021-07-07). "Roger Federer Loses at Wimbledon, Maybe for the Last Time". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-07-08.
- ↑ Ballard, Stuart (2021-07-08). "Roger Federer confirms retirement talks after Wimbledon defeat to Hubert Hurkacz". Express.co.uk (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ CNN, Kevin Dotson. "Tennis great Roger Federer pulls out of Olympics, citing knee injury". CNN.
- ↑ Pantorno, Joe. "Roger Federer withdraws from 2021 US Open | amNewYork". www.amny.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-03-25. สืบค้นเมื่อ 2021-05-18.
- ↑ "Roger Federer Foundation". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-11. สืบค้นเมื่อ 2007-03-02.
- ↑ IANS (2017-11-25). "Tennis star Roger Federer gets new title: Dr Federer". Business Standard India. สืบค้นเมื่อ 2021-06-12.
- ↑ "Roger Federer Foundation | Educate a Child". educateachild.org.
- ↑ "Tennis stars rally for UNICEF's tsunami relief". UNICEF.com. 2005-01-13. สืบค้นเมื่อ 2007-03-02.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Dolan, Sabine (2006-04-03). "UNICEF's newest Goodwill Ambassador, tennis star Roger Federer, hits an ace for children". UNICEF.com. สืบค้นเมื่อ 2007-03-02.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Africa, Match for. "Roger Federer welcomes Bill Gates, Savannah Guthrie, and Jack Sock in San Jose for the Match for Africa 5 to benefit children's education in Africa". www.prnewswire.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ https://www.onlinetennisinstruction.com/rogerfedererbiography/
- ↑ Clarey, Christopher (2006-06-25). "Coming to grips with today's forehand". International Herald Tribune. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-27. สืบค้นเมื่อ 2007-03-02.
{{cite web}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - ↑ Bhargav (2020-05-29). "Roger Federer has one of the best single-handed backhands, says Dirk Nowitzki". www.sportskeeda.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Roger Federer Leads The Way, But Dominic Thiem, Stefanos Tsitsipas Will Carry On The One-Handed Backhand | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ Jonathan. "Roger Federer Backhand Analysis - peRFect Tennis". https://www.perfect-tennis.com/ (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
{{cite web}}
: แหล่งข้อมูลอื่นใน
(help)|website=
- ↑ Biswas, Rudra (2021-03-14). ""Reading Roger Federer's serve is almost impossible" - Richard Krajicek on why the Swiss' serve is one of the best in the world". www.sportskeeda.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ Posnanski, Joe (2015-09-11). "Outstanding service". NBC SportsWorld (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Service Speed Comparison:Federer, Roddick, Sampras". สืบค้นเมื่อ 2007-05-31.
- ↑ Singh, Akash (2020-04-20). "Roger Federer One of the Most Complete Player: Novak Djokovic | Latest & Breaking News, India News, Political, Sports- Since independence" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Roger Federer Equipment". สืบค้นเมื่อ 2007-03-07.
- ↑ "Ask Roger; Official Website". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2007-03-02.
- ↑ Hodgkinson, Mark (2006-06-27). "More jacket than racket for Federer". Telegraph.co.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-02. สืบค้นเมื่อ 2007-09-05.
- ↑ "Roger Federer-Sponsors". rogerfederer.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-17. สืบค้นเมื่อ 2007-06-20.
- ↑ "Gillette Winners". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-11. สืบค้นเมื่อ 2007-09-28.
- ↑ "Roger Federer: 'Uniqlo offered better post-career benefits than Nike' - SportsPro Media". www.sportspromedia.com.
- ↑ "เลือก Uniqlo : Deal ใหม่ปลายอาชีพที่พา Federer ยังมั่งคั่งหลังเลิกเล่น". Marketeer Online (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2018-07-18.
- ↑ www.mainstand.co.th. "ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ : ทำไม เฟเดอเรอร์ ถึงทิ้ง Nike ที่อยู่ด้วยกันกว่า 20 ปี หันมาซบ UNIQLO?". www.mainstand.co.th.
- ↑ "Roger Federer | Bio | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "French Open 2020: Roger Federer Congratulates Rafael Nadal On 20th Grand Slam Win | Tennis News". NDTVSports.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Roger Federer And His Incredible Records On Grass Courts". EssentiallySports. 2020-02-28.
- ↑ rogerfederer.club https://rogerfederer.club/5e52ea1d5978c3000116988d-5e564e3f3b3453000151032d.
{{cite web}}
:|title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help) - ↑ Boyden, Alex. "Medvedev about beating Federer and Djokovic's record of 17 finals in a row | Tennis Tonic - News, Predictions, H2H, Live Scores, stats". tennistonic.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Ultimate Tennis Statistics - Most Consecutive Weeks at ATP No. 1". www.ultimatetennisstatistics.com.
- ↑ Rossingh, Danielle. "At 36, Roger Federer Becomes Oldest No. 1 In Tennis". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Jack Kramer: Federer is the best I have ever seen". The Observer. 2007-06-24. สืบค้นเมื่อ 2007-07-15.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Roger Federer defeats Rafael Nadal to reach 12th Wimbledon final". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Roger Federer's 100: 10 Memorable Match Wins At Wimbledon | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Wimbledon: Roger Federer Becomes Oldest Quarter-Finalist In Modern Era | Tennis News". NDTVSports.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Federer wins 400th career Grand Slam match". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2019-05-31.
- ↑ "Roger Federer's Grand Slam Finals History". Love Tennis Blog (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-06-19.
- ↑ "Roger Federer | Bio | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Champions & Cities". Nitto ATP Finals.
- ↑ "Roger Federer has never retired from a professional match - he's played 1,511 times". GiveMeSport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2020-01-28.
- ↑ Flanagan, Martin (2008-07-12). "Federer v Nadal as good as sport gets". The Age (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Federer-Nadal rivalry as good as it gets". ESPN.com.
- ↑ "Roger Federer VS Rafael Nadal | Head 2 Head | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Djokovic Beats Federer: How The Wimbledon 2019 Final Was Won | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Roger Federer VS Novak Djokovic | Head 2 Head | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Roger Federer VS Andy Murray | Head 2 Head | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ "Andy Murray beats Roger Federer to win Olympic gold for Great Britain". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2012-08-05.
- ↑ "Roger Federer VS Andy Roddick | Head 2 Head | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ Staff, Guardian (2009-07-05). "Roger Federer wins Wimbledon after epic Andy Roddick battle". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Amako, Uche (2019-06-28). "Andy Roddick reveals classy Roger Federer story after Wimbledon 2009 final 'devastation'". Express.co.uk (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Roger Federer VS Lleyton Hewitt | Head 2 Head | ATP Tour | Tennis". ATP Tour.
- ↑ York, Stephen Bierley in New (2004-09-13). "Tennis: Federer wins US Open". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ https://www.forbes.com/profile/roger-federer/?sh=29a4c66314ba
- ↑ "Federer new world's highest paid athlete". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
- ↑ https://sportskhabri.com/top-10-richest-tennis-players-2020/
- ↑ https://www.celebritynetworth.com/richest-athletes/richest-tennis/roger-federer-net-worth/
- ↑ Online, Manager. "ชำแหละมูลค่านอกสนาม ลุคแพงของ "โรเจอร์ เฟเดอเรอร์" นักกีฬาเป๋าตุงที่สุด พ.ศ. นี้ | Manager Online". LINE TODAY.
- ↑ "Federer 2021 current prize money ranking" (PDF). สืบค้นเมื่อ 3 May 2021.
- ↑ "Federer career prize money ranking" (PDF). สืบค้นเมื่อ 31 May 2021.
- บทความที่มีข้อความที่อาจล้าสมัยตั้งแต่กันยายน 2021
- Pages using reflist with unknown parameters
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2524
- บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่
- นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก
- นักกีฬาเหรียญเงินโอลิมปิก
- นักเทนนิสในโอลิมปิกฤดูร้อน 2004
- นักเทนนิสในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008
- นักเทนนิสในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012
- นักเทนนิสชาวสวิส
- บุคคลจากบาเซิล