เคนนี แดลกลีช
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | เคนเนท แมทีสัน แดลกลีช[1] | ||
วันเกิด | [1] | 4 มีนาคม ค.ศ. 1951||
สถานที่เกิด | กลาสโกว์ สกอตแลนด์ | ||
ส่วนสูง | 1.73 m (5 ft 8 in)[2] | ||
ตำแหน่ง | กองหน้า, ผู้จัดการทีม | ||
สโมสรเยาวชน | |||
1967–1968 | คัมเบอร์นอลด์ยูไนเต็ด | ||
1967–1969 | เซลติก | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) |
1969–1977 | เซลติก | 204 | (112) |
1977–1990 | ลิเวอร์พูล | 355 | (118) |
รวม | 559 | (230) | |
ทีมชาติ | |||
1971–1986 | สกอตแลนด์ | 102 | (30) |
จัดการทีม | |||
1985–1991 | ลิเวอร์พูล | ||
1991–1995 | แบล็กเบิร์นโรเวอส์ | ||
1997–1998 | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | ||
2000 | เซลติก | ||
2011–2012 | ลิเวอร์พูล | ||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น |
เซอร์ เคนเนท แมทีสัน "เคนนี" แดลกลีช (อังกฤษ: Sir Kenneth Mathieson "Kenny" Dalglish, เกิด 4 มีนาคม 1951) เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพและผู้จัดการทีมชาวสก็อต เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เช่นเดียวกับเป็น 1 ในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของลิเวอร์พูลและอังกฤษ[3][4][5][6][7] ตลอดอาชีพของเขา เขาลงเล่นให้เซลติก 338 นัดและลิเวอร์พูล 515 นัดโดยเล่นในตำแหน่งกองหน้าและลงเล่นให้ทีมชาติสกอตแลนด์ 102 นัดยิงได้ 30 ประตูซึ่งถือเป็นสถิติร่วมด้วย แดลกลีชคว้ารางวัล Ballon d'Or Silver Award ในปี 1983, นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ในปีเดียวกัน และนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล ในปี 1979 และ 1983
ประวัติ
[แก้]เซอร์ เคนนี แดลกลีช เกิดที่เมืองกลาสโกว์ในสกอตแลนด์ ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1951 เมื่อเขาอายุได้ 1 ปี ครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายไปอยู่ที่แฟลตในเขตมิลตัน ห่างจากใจกลางกลาสโกว์ไปทางเหนือเพียง 3 กิโลเมตร แดลกลีชชื่นชอบฟุตบอลตั้งแต่ 4 ปี และมีความฝันว่าอยากจะเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเรนเจอส์ เนื่องจากเป็นสโมสรที่อยู่กับบ้านเกิดของตน แดลกลีชมีบิดาชื่อ บิลล์ แดลกลีช ทำงานเป็นวิศวกรบริษัทรถยนต์ และมารดาชื่อ แคที แดลกลีช ในปี ค.ศ. 1974 เคนนีได้แต่งกับงานกับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ มารีนา และได้กำเนิดบุตรทั้งหมดสี่คน คือ เคลลี แดลกลีช, พอล แดลกลีช, ลอเรน แดลกลีช และลินซีย์ แดลกลีช โดยเคลลีทำงานเป็นนักข่าว; พอลเป็นนักฟุตบอลและปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมฟุตบอลเรียลซอลต์เลกในสหรัฐอเมริกา; ลอเรนทำงานเป็นพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองกลาสโกว์ และลินซีย์เป็นนักดนตรีชื่อดังในเมืองกลาสโกว์เช่นกัน
สมัยเป็นนักฟุตบอล
[แก้]เซลติกและคัมเบอร์นอลด์ยูไนเต็ด (นักฟุตบอลเยาวชน)
[แก้]เคนนี แดลกลีช ในวัย 16 ปี ลงนามเซ็นสัญญาชั่วคราวกับ สโมสรฟุตบอลเซลติก ในช่วงเดือน พฤษภาคม ค.ศ. 1968 ก่อนที่จะได้ตัว แดลกลีชไปนั้น ผู้จัดการทีมของเซลติกในสมัยนั้น จ็อค สเตอิน ส่ง ฌอน ฟอลลอน ผู้ช่วยผู้จัดการทีมเซลติกไปแอบดู แดลกลีชกับครอบครัวของเขาที่บ้านของพวกเขา เมื่อแดลกลีช ได้ยินฟอลลอนอยู่ที่ประตูชั้นบน แดลกลีช รีบเอาโปสเตอร์ของ สโมสรฟุตบอลเรนเจอร์ส จากผนังห้องนอนเขาออกไป เพราะเขารู้ว่า ฟอลลอน จะแอบเอาของที่เขาชอบมากๆออกไปเพื่อเป็นสิ่งประกันในการแลกตัวของ แดลกลีช ในการแลกตัวไปเล่นให้กับ เซลติก ซึ่งพ่อของแดลกลีชได้เตือนเขาไว้แล้ว[8] แต่แดลกลีชก้ตัดสินเลือกไปเล่นให้กับ เซลติก เพราะไม่อยากให้ครอบครัวของเขาวุ่นวายไปมากกว่านี้ แต่ก่อนที่แดลกลีชจะย้ายมาเล่นกับ เซลติกนั้น คณพ่อของเขาได้ลองให้แดลกลีชไปเล่นกับ คัมเบอร์นอลด์ยูไนเต็ด เพื่อทดสอบว่าลูกของตนเหมาะสมหรือไม่ที่จะไปเล่นให้กับ เซลติก สโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ใน ประเทศ สกอตแลนด์ ในสมัยนั้นโดยแดลกลีชทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมเมื่อมาอยู่กับ คัมเบอร์นอลด์ยูไนเต็ด โดยเขายิงไป 18 ประตู ในการลงเล่นทั้งหมด 37 นัด ในปี ค.ศ. 1968 แดลกลีชย้ายจาก คัมเบอร์นอลด์ยูไนเต็ด มาสู่ เซลติก ตามคำขอของตัวเขาเอง โดยแดลกลีชก็ได้โชว์ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมด้วยการจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมของเขาได้สวย ถึงแม้จะยิงประตูไม่ได้ก็ตาม แต่ แดลกลีชในวัย 16 ปีก็ยังดีใจที่ความพยามและความมั่นใจของตนเพิ่มพูนอยู่ตลอดจนเขาได้ถูกคัดเลือกให้มาเป็น นักฟุตบอล กองหน้า ของ เซลติก
เซลติก (นักฟุตบอลมืออาชีพ)
[แก้]พอเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ในปี ค.ศ. 1969 เคนนี แดลกลีช ได้ลงเล่นเป็นนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกโดยเขาได้ทำประตูไป ในฤดูกาล 1968-69 ไปได้ 14 ประตู และในช่วง 1969-70 30 ประตู แดลกลีชเคยบอกกับตนไว้ว่า
ถึงแม้เราจะไม่ได้เล่นให้กับทีมเรนเจอร์สทีมที่เราชื่นชอบ แต่ยังไงเราก็ยังได้เป็นนักฟุตบอลยังที่ใฝ่ฝันเอาไว้ไม่ว่าจะอยู่กับทีมไหนก็ตาม
คำกล่าวของนักฟุตบอลสายเลือดสก๊อตกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนจบฤดูกาล 1969-70
และในฤดูกาล 1970-71 ความฝันของแดลกลีชก็เป็นจริงเมื่อเขาได้พาทีมของเขาไปสู่รอบชิงชนะเลิศ ถ้วยสกอตติชลีกคัพ ไปเจอกับ เรนเจอร์ส โดยแข่งกันเสมอกันไป 2-2 แล้วในช่วงต่อเวลาพิเศษ แดลกลีชได้ทำไป 2 ประตู ทำให้เซลติกชนะไป 4-2 ซึ่งเป็นผลงานที่แดลกลีชภาคภูมิใจมากที่สุดตั้งแต่เขาเริ่มรู้จักฟุตบอลมา และในฤดูกาลนี้แดลกลีชทำประตูไปได้ 23 ประตู และในช่วงฤดูกาล 1976-77 แดลกลีชได้ถูกให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมของสโมสรฟุตบอลเซลติก แล้วก่อนทีแดลกลีชจะได้ถูกซื้อตัวไปเล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ในฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ประเทศ อังกฤษ แดลกลีชได้ทำลายสถิตการทำประตูให้กับเซลติกไป 167 ประตู โดยได้ลงเล่นทั้งหมด 322 นัด รวมทั้งหมด 9 ฤดูกาล ซึ่งเป็นนักฟุตบอลของเซลติกคนแรกที่ทำประตูมากกว่า 150 ประตู ใน 9 ฤดูกาล
ลิเวอร์พูล (นักฟุตบอล)
[แก้]ในวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1977 ลิเวอร์พูลได้ซื้อ เคนนี แดลกลีช ในวัย 26 ปี ด้วยค่าตัวสูงสุดถึง 18 ล้านบาทซึ่งเป็นสถิติในการซื้อนักฟุตบอลของเกาะอังกฤษในยุคนั้น โดย เควิน คีแกน เพื่อนรวมทีมของลิเวอร์พูลในยุคนั้นมั่นใจในตัวของแดลกลีชว่า
ชายคนนี้อาจจะเป็นนักเตะที่ดีและมีชื่อเสียงและนำลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์
โดยแดลกลีชได้ลงเล่นนัดแรกหลังจากเขาย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูลได้ 1 สัปดาห์ ได้โชว์ฟอร์มอันแข็งแกร็งได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเป็นคนทำไป 4 ประตูในนัดที่เจอกับ สโมสรฟุตบอลมิดเดิลสโบร ทำให้ลิเวอร์พูลเก็บ 3 แต้มสำคัญได้และเป็นการทำ แฮตทริก ของเขาในนัดที่ลงแข่งวันแรก โดยถูกจารึกเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของสโมสรลิเวอร์พูล และในช่วงปลายฤดูกาล 1977-78 แดลกลีชนำลิเวอร์พูลได้แชมป์ฟุตบอลยุโรปถึง 3 ถ้วยมี ฟุตบอลในลีกดิวิชัน 1 และ แชมป์ ยูโรเปียนคัพ กับ แชริตีชีลด์ และแดลกลีชได้ถูกขึ้นเป็นดาวซัลโวในดิวิชัน 1 ประเทศอังกฤษในช่วงฤดูกาลนั้นอีกด้วยโดยทำไป 61 ประตู ในฤดูกาล 1978-79 แดลกลีชได้ถูกเลือกเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดจากสมาคมเอฟเอ ในประเทศอังกฤษ แดลกลีชทำผลงานต่างๆให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลได้มากมายไม่ว่าจะเป็น แชมป์ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ในประเทศ,ยูโรเปียนคัพ, เอฟเอคัพ, ลีกคัพ, ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ รวมทั้งหมด 22 ถ้วย และรวมถึง นักฟุตบอลดีเด่นประจำฤดูกาลของเกาะอังกฤษมาแล้ว 2 ครั้ง โดยแดลกลีชได้อยู่ร่วมกับผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลมา 2 ยุคแล้ว คือ บ๊อบ เพสลีย์ และ โจ เฟแกน ซึ่งผู้จัดการทีม 2 คนนี้ก็ได้ชม เคนนี แดลกลีช ว่า
ชายชาวสกอตคนนี้มีพรสวรรค์ เล่นได้ในทุกสถานการณ์ แม้ว่าลิเวอร์พูลจะอยู่ในยามไหน เขาก็จะนำแสงสว่างและชัยชนะมาให้หงส์แดงอยู่เสมอ พวกเราชาวลิเวอร์พูลคิดถูกแล้วที่เลือกชายคนนี้มาเพื่อจะปั้นเขาให้เป็นตำนานของลิเวอร์พูลที่อยู่ในขวัญใจชาวเดอะค็อปทั่วโลกตลอดไป
คำพูดของบ๊อบ เพสลีย์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในช่วงฤดูกาล 1974-1983 และคำกล่าวของ โจ เฟแกน ผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลในช่วงฤดูกาล 1983-1985
โดยในยุคนั้นลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะหนุ่มคนนี้ เขาได้สร้างความสำเร็จให้กับสโมสรเป็นอย่างมาก ไม่แน่ในอนาคตเขาอาจจะได้เป็นราชันย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลิเวอร์พูลเลยก็ได้
และเดอะค็อปทั่วโลกได้ตั้งนามให้เขาว่า "คิง" เพื่อให้ เคนนี แดลกลีช นักฟุตบอลสายเลือดสก๊อตคนนี้เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลและจะเป็นขวัญใจของเดอะค็อไปทั่วโลกตลอดไป และในช่วงฤดูกาล 1984-85 โจ เฟแกน ได้ขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล เดอะค็อปทั่วโลกจึงเสนอ เคนนี แดลกลีช เป็นผู้จัดการทีมคนต่อไปของลิเวอร์พูล และในช่วงปลายฤดูกาล 1989-90 แดลกลีชในช่วงผู้จัดการทีมได้นำลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ของเกาะ อังกฤษ ซึ่งเป็นแชมป์ที่ 18 ของลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ เคนนี แดลกลีช มอบให้สโมสรลิเวอร์พูล และเขาได้กล่าวไว้ก่อนที่เลิกเล่นอาชีพนักฟุตบอลเอาไว้ว่า
ผมภูมิใจมากที่ได้เล่นมาเล่นให้สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลแห่งนี้ ชีวิตของผมได้ผ่านสิ่งต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นฟุตบอล,การคุมทีมฟุตบอล,การช่วยเหลือผู้อื่น,การเป็นลุกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ ผมภูมิใจมากๆเลยครับ และผมเชื่อว่าลิเวอร์พูลของผมอาจจะยิ่งใหญ่ต่อไปถึงแม้จะไม่มีผมก็ตาม
คำกล่าวของนักฟุตบอลชาวสกอต ในวัย 40 ปี ก่อนที่จะออกจาก แอนฟิลด์ ไป ในปี ค.ศ. 1991 โดยแดลกลีชได้ลงเล่นไป 501 นัด ทำประตูไปได้ 169 ประตู
สมัยเป็นผู้จัดการทีม
[แก้]ลิเวอร์พูล (ผู้จัดการทีม)
[แก้]ในช่วงฤดูกาล 1984-85 โจ เฟแกน ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในช่วงปี 1983-85 ได้ขอลาออกจากสโมสรเพราะเรื่องของการเมืองในประเทศของเขา ประธานสโมสรก็ไม่รู้ว่าจะเอาใครมาเป็นผู้จัดการทีมดี โดยเขาได้จัดตั้งกิจกรรมการเลือกโหวตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลขึ้นให้แฟนเดอะค็อปได้คิดกัน แล้วมีเดอะค็อปกลุ่มหนึ่งได้เสนอ เคนนี แดลกลีช มาเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล โดยประธานของสโมสรก็ได้เห็นด้วยจึงเลยเรียกตัว เคนนี แดลกลีช เข้ามาคุมทีม โดยการคุมครั้งแรกของแดลกลีชนั่นทำผลงานไปได้สวยเมื่อเข้ามาคุมทีมนัดแรกเก็บชัยชนะได้โดยบุกไปเยือน สโมสรฟุตบอลเชลซี โดยลิเวอร์พูลชนะไป 1-0 และคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ของอังกฤษมาครองได้เป็นครั้งที่ 15 ในฤดูกาล 1987-88 แดลกลีชได้ซื้อนักฟุตบอลที่ชื่อ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ มาเล่นในตำแหน่ง กองหน้าจากสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด แล้วแดลกลีชก็หวังจะปั้นเขาให้เก่งเหมือนตน และในปีนี้แดลกลีชนำหงส์แดงคว้าแชมป์ ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ของอังกฤษ และ เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ มาได้และในช่วงฤดูกาล 1988-89 แดลกลีชได้นำทีมลิเวอร์พูลไปคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ ได้สำเร็จโดยชนะสโมสรคู่เมือง คือ สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน ไป 3-2 และในช่วงฤดูกาล 1989-90 และ 1990-91 แดลกลีชได้นำทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ ฟุตบอลลีกดิวชั่น 1 ของอังกฤษ และ เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ มาได้ก่อนที่เขาจะลาออกจากผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล โดยในนัดสุดท้ายที่เขานำทีมลิเวอร์พูลไปเยือน สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในรอบชิงคอมมิวนิตีชิลด์ โดยเสมอไป 1-1 แต่คว้าแชมป์ได้ด้วยการยิงจุดโทษชนะไป 6-5
แดลกลีชกลับมาคุมลิเวอร์พูลอีกครั้ง ในฤดูกาล 2011-2012 ท่ามกลางความคาดหวังของผู้บริหารทีมและแฟนบอล เนื่องจากรอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการคนก่อนหน้านั้นมีผลงานที่ไม่ดี แต่ว่าผลงานของทีมในฤดูกาลนี้ กลับทำได้เพียงแค่แชมป์ลีกคัพเท่านั้น แม้จะเป็นแชมป์แรกของทีมในรอบ 6 ปี และได้เข้าชิงเอฟเอคัพกับเชลซี แต่อันดับในตารางเมื่อจบฤดูกาล ลิเวอร์พูลทำได้เพียงแค่ที่ 8 เท่านั้น ซึ่งอันดับต่ำกว่าเอฟเวอร์ตัน ทีมคู่ปรับร่วมเมืองเสียอีกที่ได้ที่ 7 ทำให้เมื่อจบฤดูกาลทางผู้บริหารตัดสินใจปลดแดลกลีชออกจากตำแหน่ง[9]
ในช่วงเปิดฤดูกาลใหม่ในฟุตบอลดิวิชัน 2 ประธานสโมสรแบล็กเบิร์นโรเวอส์ได้จ้างเคนนี แดลกลีช เข้ามาคุมทีม โดยแดลกลีชได้ตอบตกลง ในช่วง 1991-92 แดลกลีชนำทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์เก็บชัยชนะได้มาเกือบหมด โดยแดลกลีชได้วางแผนให้กับแบล็กเบิร์นโรเวอส์ไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเสริมแนวรุกหรือการป้องกันลูกยิงของทีมอื่น ๆ ซึ่งแดลกลีชได้นำทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์เก็บชัยชนะมาได้ 78 แต้ม เป็นอันดับ 1 ของฟุตบอลลีกดิวิชัน 2 ในอังกฤษ โดยได้ลงแข่งทั้งหมด 36 นัด คว้าชัยชนะมาได้ 31 นัด เสมอ 3 นัด แพ้แค่ 2 นัด จึงให้แบล็กเบิร์นโรเวอส์คว้าแชมป์ฟุตบอลลีกดิวิชัน 2 ของอังกฤษได้สำเร็จและได้เลื่อนชั้นขึ้นไปในเล่นพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1993-94 แดลกลีชนำทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์จบอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีกได้โดยมีแต้ม 84 แต้ม ตามหลังสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซึ่งเป็นที่ 1 อยู่ 8 แต้ม โดยได้ลงแข่งไป 42 นัด ชนะ 25 นัด เสมอ 9 นัด แพ้ 8 นัด แล้วในฤดูกาล 1994-95 นัดแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก คือนัดที่เจอกับสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์โดยเสมอไป 2-2 และในนัดสุดท้ายเจอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทีมของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยแดลกลีชนำทีมแบล็กเบิร์นคว้าชัยชนะไปได้ 3-2 จึงทำให้แบล็กเบิร์นโรเวอส์มีแต้มทั้งหมด 89 แต้ม แล้วคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาได้สำเร็จและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบล็กเบิร์นโรเวอส์ โดยในขณะที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, นอตทิงแฮมฟอเรสต์ และลิเวอร์พูล มี 88, 77 และ 74 แต้มตามลำดับ โดยเคนนี แดลกลีช ได้ถูกจารึกในประวัติของสโมสรแบล็กเบิร์นโรเวอส์ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาให้กับสโมสรได้เป็นครั้งแรกแล้วได้นำทีมไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสรอีกด้วย
แต่เคนนี แดลกลีช ก็ได้ขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์ เนื่องจากมีเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของเขา ซึ่งปัจจุบันทางแบล็กเบิร์นโรเวอส์ก็ยังยกย่องแดลกลีชว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ดีอันดับต้นของสโมสรมาตลอด
เกียรติประวัติ
[แก้]นักฟุตบอล
[แก้]- เซลติก (1969–1977)
- สกอตติช ดิวิชัน 1 4 สมัย: 1971-72, 1972-73, 1973-74, 1976-77
- สกอตติช คัพ 4 สมัย: 1971-72, 1973-74, 1974-75, 1976-77
- สกอตติช ลีก คัพ 1 สมัย: 1974-75
- ลิเวอร์พูล (1977–1990)
- ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 อังกฤษ 6 สมัย: 1978-79, 1979-80, 1981-82, 1982-83, 1983-84, 1985-86
- เอฟเอคัพ 1 สมัย: 1985-86
- ลีกคัพ 4 สมัย: 1980-81, 1981-82, 1982-83, 1983-84
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 7 สมัย: 1976-77, 1978-79, 1979-80, 1981-82, 1985-86, 1987-88, 1988-89
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย: 1977-78, 1980-81, 1983-84
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1 สมัย: 1976-77
ผู้จัดการทีม
[แก้]- ลิเวอร์พูล (1985–1991, 2011–2012)
- ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 อังกฤษ 3 สมัย: 1985-86, 1987-88, 1989-90
- เอฟเอคัพ 2 สมัย: 1985-1986, 1988-89
- ลีกคัพ 1 สมัย: 2011-12
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 4 สมัย: 1986-87, 1988-89, 1989-90, 1990-91
- แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (1991–1995)
- พรีเมียร์ลีก 1 สมัย: 1994-95
- Football League Second Division Play Off Winners 1 สมัย: 1991-92
- เซลติก (2000)
- สกอตติซ ลีกคัพ 1 สมัย: 1999-2000
เกียรติประวัติส่วนตัว
[แก้]- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ: 1982-83
- FWA Footballer of the Year: 1979-79, 1982-83
- Scottish Premier Division top goalscorer: 1975-76
- ผู้จัดการยอดเยี่ยมประจำปี - 1985-86, 1987-88, 1989-90, 1994-95
- Inaugural Inductee to the English Football Hall of Fame: 2002
- Member of the Scotland Football Hall of Fame
- Member of the FIFA 100
- Freedom of the City of Glasgow: 1986
- 1st in the Liverpool Football Club poll 100 Players Who Shook The Kop: 2006
- Scotland: 30 goals in 102 international caps (both national records)
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "เคนนี แดลกลีช". Barry Hugman's Footballers. สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2018.
- ↑ Rollin, Jack (1980). Rothmans football yearbook. London: Queen Anne Press. p. 222. ISBN 0362020175.
- ↑ "The 100 Best Footballers of All Time". Bleacher Report. 31 May 2011. สืบค้นเมื่อ 23 October 2023.
- ↑ "Ranked! The 100 best football players of all time". FourFourTwo. 5 September 2023. สืบค้นเมื่อ 16 September 2023.
- ↑ "Best Liverpool players ever, the top 50". The Telegraph. 23 March 2015. สืบค้นเมื่อ 16 September 2023.
- ↑ "TBest Scottish Footballers Ever: Here are Scotland's 10 best footballers of all time - according to our readers". The Scotsman. 15 March 2023. สืบค้นเมื่อ 23 October 2023.
- ↑ "Ranked! The 25 best British players of all time". FourFourTwo. 14 April 2023. สืบค้นเมื่อ 23 October 2023.
- ↑ Kelly 1993, p. 34
- ↑ ประมวลภาพ "คิงเคนนี" วันแรกถึงวันลา จากผู้จัดการออนไลน์ เก็บถาวร 2012-05-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
หนังสืออ่านเพิ่ม
[แก้]- Kelly, Stephen (1993). Dalglish. Headline Book Publishing; New edition (19 August 1993). ISBN 0-7472-4124-4.
- Dalglish, Kenny; Winter, Henry (2010). My Liverpool Home. Hodder & Stoughton. ISBN 978-1-4447-0419-8.
- Macpherson, Archie (2007). Jock Stein: The Definitive Biography. Highdown; New Ed edition (18 May 2007). ISBN 978-1-905156-37-5.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Official past players at Liverpool fc.tv
- English Football Hall of Fame Profile เก็บถาวร 2006-05-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- LFCHistory.net Player profile
- LFCHistory.net Manager profile เก็บถาวร 2010-11-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ESPN Profile เก็บถาวร 2011-05-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2494
- บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่
- เคนนี แดลกลีช
- บุคคลจากกลาสโกว์
- กองหน้าฟุตบอล
- นักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์
- นักฟุตบอลทีมชาติสกอตแลนด์
- ผู้เล่นในฟุตบอลโลก 1974
- ผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอลเซลติก
- ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
- ฟีฟ่า 100
- ผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวสกอตแลนด์
- ผู้จัดการทีมฟุตบอลในพรีเมียร์ลีก
- ผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
- ผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอลแบล็กเบิร์นโรเวอส์
- ผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด
- ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลเซลติก
- ผู้จัดการทีมในชุดชนะเลิศเอฟเอคัพ
- เซอร์