สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง
ชื่อเต็ม | สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | PSG, Paris SG, Les Rouge-et-Bleu, Les Parisiens ยักษ์ใหญ่แดนน้ำหอม (ฉายาในภาษาไทย) | |||
ก่อตั้ง | 12 สิงหาคม ค.ศ. 1970 | |||
สนาม | ปาร์กเดแพร็งส์ | |||
ความจุ | 48,713 ที่นั่ง | |||
เจ้าของ | กาตาร์ สปอร์ต อินเวสเมนท์ (QSI) | |||
ประธาน | นาศิร อัลเคาะลัยฟี | |||
ผู้จัดการ | ลุยส์ เอนริเก | |||
ลีก | ลีกเอิง | |||
2023–24 | อันดับที่ 1 (ชนะเลิศ) | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (ฝรั่งเศส: Paris Saint-Germain F.C.) หรือเรียกอย่างย่อว่า เปแอ็สเฌ (PSG) เป็นสโมสรฟุตบอลซึ่งตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันเล่นอยู่ในลีกเอิง ลีกสูงสุดของฟุตบอลฝรั่งเศส เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของฝรั่งเศส[1][2] โดยชนะเลิศการแข่งขันในประเทศและระดับทวีปมากถึง 50 รายการ ซึ่งรวมถึงสถิติชนะเลิศฟุตบอลลีกเอิง 12 สมัย และยังครองสถิติในการเล่นในลีกสูงสุดยาวนานที่สุดโดยไม่ตกชั้น และเป็นสโมสรเดียวของฝรั่งเศสที่ชนะเลิศถ้วยรางวัลในประเทศ 3 รายการ และ 4 รายการในฤดูกาลเดียวกัน มีสนามเหย้าคือปาร์กเดแพร็งส์ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปกครองที่ 16 ใกล้กับเทศบาลบูโลญ-บียงกูร์[3] สโมสรมีสัญลักษณ์คือรูปหอไอเฟล และดอกลิลลี สีประจำสโมสรได้แก่ สีแดง สีน้ำเงิน และสีขาว
ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1970 จากการควบรวมสโมสรระหว่างปารี แอ็ฟเซ และ สตาดแซ็ง-แฌร์แม็ง[4] ถ้วยรางวัลแรกของสโมสรคือรายการกุปเดอฟร็องส์ใน ค.ศ. 1982 ก่อนจะคว้าแชมป์ลีกเอิงสมัยแรกได้ใน ค.ศ. 1986 ถัดมาในช่วงทศวรรษ 1990 สโมสรเข้าสู่ยุคแห่งความสำเร็จ โดยชนะเลิศลีกเอิงสมัยที่ 2, ชนะเลิศกุปเดอฟร็องส์เพิ่ม 3 สมัย และกุปเดอลาลีกอีก 2 สมัย และชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพใน ค.ศ. 1996 ส่งผลให้พวกเขาเป็นหนึ่งในสองสโมสรของฝรั่งเศสที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลยุโรป[5] สโมสรเข้าสู่ช่วงตกต่ำจนเกือบจะตกชั้นจากลีกเอิงในทศวรรษ 2000 ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นใน ค.ศ. 2011 เมื่อกลุ่มนายทุนมหาเศรษฐีจากกาตาร์เข้าซื้อกิจการสโมสร ส่งผลให้พวกเขาเป็นสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในฝรั่งเศส และหนึ่งในสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในโลก[6][7][8] และด้วยการลงทุนซื้อตัวผู้เล่นมากกว่า 1.2 พันล้านยูโร ส่งผลให้สโมสรครองความยิ่งใหญ่ในประเทศอย่างต่อเนื่องโดยชนะเลิศฟุตบอลลีกและฟุตบอลถ้วยหลายรายการ และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกใน ค.ศ. 2020[9][10]
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งเป็นสโมสรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในฝรั่งเศส รวมทั้งเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก[11][12][13] สโมสรมีคู่ปรับคือออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ โดยการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมเรียกว่า เลอกลาซิก[14] ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งเป็นสโมสรที่ทำรายรับมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกจากการจัดอันดับโดยดีลอยต์ทูชโทมัตสุด้วยรายรับกว่า 800 ล้านยูโร และได้รับการจัดอันดับโดยฟอบส์ให้เป็นสโมสรที่มีมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลกด้วยมูลค่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันสโมสรอยู่ภายใต้การบริหารโดย กาตาร์ สปอร์ต อินเวสต์เมนต์ ซึ่งถือหุ้น 87.5% และ Arctos Partners บริษัทด้านการลงทุนจากสหรัฐซึ่งถือครองส่วนแบ่งอีก 12.5%
ประวัติ
[แก้]ยุคแรกของการก่อตั้งและการแยกทีม (1970–73)
[แก้]สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1970[15] โดย กี เครซ็อง และ ปีแยร์-เอเตียน กีโย[16] นักธุรกิจชื่อดังซึ่งมีแนวคิดต้องการสร้างทีมฟุตบอลที่เป็นตัวแทนของกรุงปารีสในการแข่งขันระดับโลก[17] และต้องการนำชื่อเสียงมาสู่กรุงปารีสและวงการฟุตบอลฝรั่งเศส โดยแต่เดิมนั้นสโมสรได้เกิดจากการรวมทีมกันระหว่างสโมสร ปารี แอ็ฟเซ (ก่อตั้งใน ค.ศ. 1969) กับ สตาดแซ็ง-แฌร์แม็ง (ก่อตั้งใน ค.ศ. 1904) ภายหลังจากที่สตาดแซ็ง-แฌร์แม็งซึ่งเล่นอยู่ในลีก 3 ในขณะนั้นเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกเดอ (ลีก 2) โดย ปารี แอ็ฟเซ ได้ให้การสนับสนุนในด้านค่าใช้จ่าย ในขณะที่ สตาดแซ็ง-แฌร์แม็ง วางแผนในด้านโครงสร้างทีมและการบริหาร รวมถึงการสร้างศูนย์ฝึกซ้อม ซึ่งภายหลังจากการรวมทีมกันสโมสรได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง[18] และลงเล่นในลีกเดอในปีนั้น และ ปีแยร์-เอเตียน กีโย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสโมสรคนแรก[19] การแข่งขันนัดแรกอย่างเป็นทางการของพวกเขาคือการบุกไปเสมอ Stade Poitevin FC ด้วยผลประตู 1–1 ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1970 ผู้ทำประตูแรกให้แก่สโมสรก็คือ Bernard Guignedoux โดยทำได้จากลูกฟรีคิก[20]
ในช่วงเวลาดังกล่าว สโมสรยังเปิดโอกาสให้แฟนบอลได้ร่วมเป็นเจ้าของทีม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของฝรั่งเศส สโมสรมีสมาชิกร่วมลงนามกว่า 20,000 คน และสโมสรเรอัลมาดริดได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งสโมสร[21] โดยซานเตียโก เบร์นาเบว ประธานสโมสรเรอัลมาดริดในขณะนั้น ได้อนุมัติเงินทุนสนับสนุนพวกเขาจากการที่กลุ่มผู้บริหารเริ่มประสบปัญหาการเงิน[22]
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดอย่างลีกเอิงได้ใน ค.ศ. 1971 ในฐานะแชมป์การแข่งขันลีกเดอ[23] โดยในฤดูกาลแรกพวกเขาสามารถจบในอันดับที่ 16 และในฤดูกาลต่อมาพวกเขาจบอันดับที่ 12 ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน ค.ศ. 1972 สภาเมืองปารีสได้เสนอเงินจำนวน 850,000 ฟรังก์เพื่อชำระหนี้ของสโมสร และรักษาสถานะในการเล่นบนลีกสูงสุดต่อไป โดยข้อเสนอดังกล่าวแลกกับการต่อรองให้สโมสรเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า "Paris Football Club (สโมสรฟุตบอลปารี)" กี เครซ็อง ผู้เข้ามารับตำแหน่งประธานสโมสรคนใหม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนชื่อ ทว่า อ็องรี ปาเตรล ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ความขัดแย้งนี้นำไปสู่การลาออกของ เครซ็อง โดยเขายอมส่งมอบตำแหน่งประธานสโมสรให้แก่ปาเตรลแทน ซึ่งปาเตรลได้พยายามเจรจากับสภาของกรุงปารีสใหม่อีกครั้งทว่าก็ไม่เป็นผล
ในช่วงนั้นมีนักเตะชื่อดังอย่างฟร็องซัว อึมเปอเล เขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดอันดับที่ 7 ของการแข่งขันในสโมสร ซึ่งเขายังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ Rouge et Bleu ในเฟรนช์คัพ (28 ประตู) นักเตะชาวคองโกซึ่งยิงประตูในลีกไปถึง 21 ประตู ต่อมาใน ค.ศ. 1972 สืบเนื่องจากความขัดแย้งที่เรื้อรังมาร่วมปี สโมสรได้ประกาศแยกทีมอีกครั้ง โดยสโมสรปารี แอ็ฟเซ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสภากรุงปารีส และ กี เครซ็อง กลับไปมีสถานะเดิมอีกครั้งและยังคงเล่นในลีกสูงสุดต่อไปในฤดูกาล 1973 ในขณะที่ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (สตาดแซ็ง-แฌร์แม็งเดิม) ของ อ็องรี ปาเตรล ต้องตกชั้นอีกครั้ง และสูญเสียสถานะสโมสรฟุตบอลอาชีพไปโดยปริยาย เอ็มเปเล่ทำผลงานยิงประตูในลีกให้กับสโมสรไปถึง 21 ประตูโดยเป็นรองดาวซัลโวของฤดูกาล 1974-75[24]
กลับคืนสู่ลีกสูงสุด และความสำเร็จในยุคแรก (1970–89)
[แก้]ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ทำการยกระดับทีมกลับมาอีกครั้ง ด้วยการมารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารคนใหม่อย่าง ดาเนียล เฮชเตอร์ นักออกแบบแฟชั่นชื่อดังชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเบลเยียม ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1973[25] โดยเขามีบทบาทสำคัญในด้านการลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก และยังเป็นผู้ออกแบบชุดแข่งขันของทีมให้ทันสมัยยิ่งขึ้น[26] และยังแต่งตั้ง ฌุสต์ ฟงแตน อดีตนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศสผู้โด่งดังเข้ามาเป็นผู้อำนวยการด้านกีฬา สโมสรกลับคืนสู่ลีกเอิงได้อีกครั้งหลังจากกลับมาเอาชนะ สโมสรฟุตบอลวาล็องเซียนส์ ในการแข่งขันเพลย์ออฟด้วยผลประตูรวมสองนัด 5–4 แม้จะบุกแพ้ในนัดแรก 1–2 แต่พวกเขากลับมาเอาชนะคืนได้ที่ปาร์กเดแพร็งส์ ด้วยผลประตู 4–2[27] และสโมสรไม่เคยตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกเลยจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้สโมสรยังได้รับสถานะสโมสรฟุตบอลอาชีพกลับมาอีกครั้ง
ในฤดูกาล 1973–74 ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ลงเล่นเกมในบ้านที่ ปาร์กเดแพร็งส์ บนลีกสูงสุดนัดแรกพบสโมสรเรดส์สตาร์ และพวกเขาเอาชนะด้วยผลประตู 3–1 โอตเนียล ดอสเซวี ชาวโตโก ถือเป็นผู้ทำประตูแรกของสโมสรที่สนามแห่งนี้[28] พวกเขายังทำผลงานในฟุตบอลถ้วยได้อย่างยอดเยี่ยมในเวลาอันสั้น โดยเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศรายการ กุปเดอฟร็องส์ ได้ หลังจากเอาชนะ แม็ส ด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–1[29] ในช่วงเวลานั้นสโมสรที่แยกตัวออกไปอย่าง ปารี แอ็ฟเซ มีช่วงเวลาที่มืดมน พวกเขามีผลงานย่ำแย่ถึงขั้นตกชั้นสู่ลีกเดอในฤดูกาลเดียวกับที่ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เลื่อนชั้นกลับมา การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารของ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ ดาเนียล เฮชเตอร์ ได้ปรับบทบาทด้วยการดำรงตำแหน่งประธานสโมสรคนใหม่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1974 ภายหลังการลาออกของ อ็องรี ปาเตรล และ ฟรองซิส บอเรลลิ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองประธานสโมสร
ภายใต้การบริหารทีมของ เฮชเตอร์ สโมสรยังไม่สามารถชนะถ้วยรางวัลใดในทศวรรศ 1970 นี้ แต่มีการพัฒนาทีมอย่างต่อเนื่องและทำผลงานในฟุตบอลถ้วยได้ดีอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้สโมสรมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นทุกปี นำไปสู่การดึงดูดผู้เล่นชื่อดังในยุคนั้นอย่าง ฌ็อง-ปีแยร์ โดเลียน, มุสตาฟา ดาร์เลฟ และ การ์ลอส เบียงคี[30] อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น เมื่อ ดาเนียล เฮชเตอร์ ถูกลงโทษจากสมาคมฟุตบอลฝรั่งเศส ห้ามมิให้ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางฟุตบอลในประเทศตลอดชีวิต สืบเนื่องจากการทุจริตในโครงการจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขัน ณ สนามปาร์กเดแพร็งส์ ส่งผลให้ ฟรองซิส บอเรลลิ รองประธานในขณะนั้นรับตำแหน่งประธานสโมสรต่อ
สโมสรคว้าแชมป์รายการแรกคือกุปเดอฟร็องส์ในฤดูกาล 1981–82[31] ด้วยการชนะอาแอ็ส แซ็งเตเตียนในการดวลลูกโทษ หลังจากเสมอกัน 2–2 ภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการอย่าง ฌอร์ฌ แปรอโช ซึ่งรับตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 1979 ท่ามกลางการเฉลิมฉลองของแฟน ๆ ในสนามรวมถึงประธานสโมสรที่วิ่งลงไปในสนาม โดยผู้ที่ยิงจุดโทษตัดสินให้ทีมชนะก็คือ ฌ็อง-มาร์ก ปียาร์เฌ ชัยชนะดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมแข่งขันฟุตบอลยุโรปของสโมสร ซึ่งพวกเขาเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศยูโรเปียนคัพในฤดูกาล 1982–83[32]
แม้จะยังไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกเอิงได้ แต่พวกเขาก็ทำอันดับได้ดีโดยจบอันดับสามในฤดูกาล 1982–83 และป้องกันแชมป์กุปเดอฟร็องส์ได้อีกครั้ง จากเอาชนะน็องต์ผู้ชนะการแข่งขันลีกเอิงในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลประตู 3–2[33] ก่อนที่ แปรอโช จะลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม[34] แต่การรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ลีกเอิงได้ในฤดูกาล 1985–86 ภายใต้การคุมทีมของ เฌราร์ อูลีเย[35] ทีมชุดนั้นมีผู้เล่นแกนหลักอย่าง โฌแอล บัตซ์, ด็อมมินิค เบเธเนย์, ลุยส์ เฟอร์นานเดส, ซาเฟต ซูซิช และ ด็อมมินิค โรเชตู โดยสโมสรคว้าแชมป์ด้วยผลงานยอดเยี่ยมโดยไม่แพ้ติดต่อกันถึง 26 นัด นับตั้งแต่บุกไปเอาชนะตูลูสในนัดที่สามของฤดูกาล แต่เส้นทางในฤดูกาลต่อมาก็ไม่ราบรื่นนัก เมื่อพวกเขาจบเพียงอันดับเจ็ดในลีกเอิง[36] และยังตกรอบฟุตบอลถ้วยอย่างรวดเร็วทั้งการแข่งขันในประเทศและยูโรเปียนคัพ
เข้าสู่ฤดูกาล 1987–88 สโมสรยังทำผลงานย่ำแย่ต่อเนื่อง โดยต้องลุ้นหนีตกชั้นถึงนัดสุดท้าย แต่เอาตัวรอดได้จากการบุกไปเอาชนะ เลออาฟวร์ อาเซ[37] ก่อนจะกลับไปทำผลงานยอดเยี่ยมอีกครั้งในฤดูกาล 1988–89 โดยลุ้นแชมป์ลีกกับคู่อริอย่าง ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ แต่ก็พลาดแชมป์โดยเป็นรองเพียงแค่สามคะแนน[38]
ยุคทอง (1990–99)
[แก้]ใน ค.ศ. 1991 กานาลปลุส (Canal+) สถานีโทรทัศน์ชื่อดังของฝรั่งเศสได้เข้ามาซื้อกิจการของสโมสร และทำให้สโมสรเริ่มกลับมาประสบความสำเร็จมากขึ้น พวกเขากลายสภาพเป็นสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศ และถือเป็นจุดเริ่มต้นยุคทองของพวกเขาอย่างแท้จริง[39] มีแชล เดนีโซ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานสโมสรแทนที่ ฟรานซิส บอเรลลิ ภายใต้ความคาดหวังที่สูงขึ้น โดยกลุ่มผู้บริหารตั้งเป้ามหายว่าต้องผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในรายการยุโรปในฤดูกาลแรกทันที และต้องกลับไปคว้าแชมป์ลีกเอิงให้ได้ภายในสามปี[40] ด้วยเหตุนี้ Canal+ จึงเพิ่มงบประมาณของสโมสรเพื่อเสริมทีมจาก 90 เป็น 120 ล้านฟรังก์เพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งไว้สำหรับฤดูกาล 1991–92 รวมทั้งแต่งตั้งผู้จัดการทีมอย่าง อาร์ตูร์ จอร์จ ซึ่งพาฟูเตบอลกลูบึดูโปร์ตู หรือ สโมสรฟุตบอลโปร์ตู ทีมดังของโปรตุเกสคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ ค.ศ. 1987 รวมถึงเซ็นสัญญากับผู้เล่นใหม่อย่าง รีการ์ดู โกมึซ และ วัลดู สองผู้เล่นชื่อดังทีมชาติบราซิลจากสปอร์ลิชบัวอีไบฟีกา รวมทั้งผู้เล่นชาวฝรั่งเศศที่ทำผลงานโดดเด่นหลายราย ไม่ว่าจะเป็น โปล เลอ เก็น, โลร็องต์ โฟร์เนียร์, ปาทริค คอลเลเตอร์ และกองหน้าชาวไลบีเรียอย่าง จอร์จ เวอาห์
ในฤดูกาล 1992–93 ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของความดุเดือดในศึกแห่งศักดิ์ศรีอย่าง เลอกลาซิก ที่สโมสรต้องพบกับ ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ ซึ่งทั้งสองทีมแย่งแชมป์ลีกกันอย่างสูสีอีกครั้งเช่นเดียวกับในฤดูกาล 1988–89 และปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ก็ต้องผิดหวังไปอีกครั้ง หลังจากมีคะแนนตามหลังมาร์แซย์สองคะแนนได้เพียงรองแชมป์ โดยพวกเขาแพ้ต่อมาร์แซย์ไปทั้งเกมเหย้าและเกมเยือน[41] โดยการแข่งันนัดสำคัญเกิดขึ้นเพียงสามวันภายหลังออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 1992–93 ซึ่งพวกเขาต้องเปิดบ้านรับผู้มาเยือนอย่างปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง โดยนัดนั้นถือเป็นนัดตัดสินแชมป์และพวกเขาเอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ไปได้ อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส เมื่อออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ถูกตัดสินจากสมาคมฟุตบอลฝรั่งเศสว่ามีความผิดจากกรณีล็อกผลการแข่งขัน และสมาคมตัดสินใจทำการริบแชมป์และจะมอบตำแหน่งให้แก่ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ทีมอันดับสองแทน แต่เจ้าของสโมสรอย่างกานาลปลุสได้ปฏิเสธสิทธิ์ดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความไม่พอใจให่แก่กลุ่มผู้สนับสนุนของทีม ส่งผลให้ตำแหน่งผู้ชนะลีกสูงสุดในปีนั้นเป็นโมฆะ และถือว่าไม่มีทีมใดคว้าแชมป์ และ อาแอ็ส มอนาโก ซึ่งได้อันดับสามในฤดูกาลนั้น ได้สิทธิ์ไปแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 1993–94 แทน ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ที่ได้รับโทษแบน
แม้จะพลาดแชมป์ลีก แต่สโมสรสามารถคว้าแชมป์กุปเดอฟร็องส์ด้วยการชนะน็องต์ด้วยผลประตู 3–0 ต่อมาใน ค.ศ. 1995 สโมสรคว้าแชมป์กุปเดอฟร็องส์ ได้หลังเอาชนะอาแอ็สสทราซบูร์ 1–0 และคว้าแชมป์ทรอเฟเดช็องปียงในปีเดียวกัน รวมทั้งผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ จอร์จ เวอาห์ กองหน้าคนสำคัญของทีมซึ่งทำผลงานโดดเด่นในฤดูกาลนั้นยังคว้ารางวังบาลงดอร์ได้และยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของฟีฟ่า แม้เจ้าตัวจะย้ายไปร่วมทีมเอซีมิลาน ต่อมาใน ค.ศ. 1996 สโมสรคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพสมัยแรกได้ และเป็นการคว้าแชมป์รายการระดับทวีปครั้งแรก[42] โดยเอาชนะสโมสรราพิทวีนจากออสเตรียด้วยผลประตู 1–0 จากประตูชัยของบรูว์โน อึนกอตี[43] และยังได้รองแชมป์ลีกเอิงในปีเดียวกัน ต่อมา ในฤดูกาล 1997–98 ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งคว้าแชมป์ในประเทศได้สองรายการคือ ทรอเฟเดช็องปียงและกุปเดอลาลีกเอิง ก่อนที่จะได้รองแชมป์ลีกเอิงอีกครั้งในฤดูกาล 1999–2000[44] ในทศวรรษ 1990 ถือเป็นรุ่งเรื่องของสโมสรนับตั้งแต่ก่อตั้งทีม พวกเขาชนะถ้วยรางวัลเก้ารายการ
ประสบปัญหา (2000–09)
[แก้]นับจากปี 1998 เป็นต้นมาการเปลี่ยนแปลงของสโมสรได้เกิดขึ้นมากมาย เริ่มต้นจากการมีปัญหาภายในด้านการเงินของสโมสรจากนั้นฐานะทางการเงินของสโมสรก็ดีขึ้นตามลำดับ ในช่วงเวลาดังกล่าวสโมสรสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าอินเตอร์โตโต้คัพได้ในปี 2001 ซึ่งทีมชุดนั้นนำโดยผู้เล่นระดับตำนานเช่น มาร์โก ซีโมเน, รอนัลดีนโย และเปาเลตา ต่อมา กลุ่มกานาลได้ขายสโมสรให้กับ Colony Capital ในปี 2006 หลังจากนั้นมาสโมสรก็ได้ยกระดับตนเองขึ้นมาและเริ่มมีฐานแฟนบอลเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ในช่วงเวลาดังกล่าวพวกเขาคว้าแชมป์เพิ่มได้ 5 รายการ
อย่าไรก็ตาม ในช่วงฤดูกาล 2006–07 และ 2007–08 สโมสรต้องประสบกับปัญหาภายในหลายอย่างและมีผลงานย่ำแย่ในลีกเอิงจนถึงขั้นต้องหนีตกชั้นในฤดูกาล 2008 โดยในการแข่งขันนัดสุดท้ายพวกเขาต้องพบกับโซโชซ์ในการลุ้นหนีตกชั้น และอมารา ไดแอน กองหน้าชาวโกตดิวัวร์ เป็นผู้ทำประตูชัยช่วยให้ทีมชนะไปได้ 2–1 รอดตกชั้นไปอย่างหวุดหวิด
มหาเศรษฐีทีมใหม่ (2011–ปัจจุบัน)
[แก้]ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งเข้าสู่ยุคแห่งการฟื้นฟูครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 2011 เมื่อสโมสรถูกกลุ่มนายทุนจากประเทศกาตาร์ในนาม Qatar Sports Investments เข้าซื้อ โดยมีนาศิร อัลเคาะลัยฟี ดำรงตำแหน่งประธานสโมสรพร้อมด้วยเงินจำนวนมหาศาล ผู้บริหารสโมสรได้ลงทุนสร้างทีมจนกลายเป็นทีมยักษ์ใหญ่ทีมใหม่ของยุโรปด้วยผู้เล่นระดับโลก และมีเป้าหมายคือการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[45]
เลโอนาร์ดู อาราอูฌู อดีตผู้เล่นของสโมสรเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการด้านกีฬา และดูแลตลาดซื้อขายนักเตะในช่วงฤดูร้อนปี 2011 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ลีกเอิง รวมถึงการเซ็นสัญญากับนักเตะหลายราย เช่น แบลซ มาตุยดี, ซัลวาโตเร ซีรีกู , มักซ์เวล, เควิน กาเมโร และ ฆาบิเอร์ ปัสโตเร[46] แม้จะจบการแข่งขันลีกเอิงฤดูกาล 2011–12 ด้วยรองแชมป์ แต่พวกเขากลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในประเทศได้ในปีต่อมา โดยการนำทีมของผู้เล่นชื่อดัง ซลาตัน อิบราฮีโมวิช และกัปตันทีม ชียากู ซิลวา ภายใต้การคุมทีมของ การ์โล อันเชลอตตี ผู้จัดการทีมชื่อดัง[47] รวมทั้งเซ็นสัญญาระยะสั้นกับเดวิด เบคแคม[48] จำนวน 30 ประตูของอิบราฮีมอวิชทำให้ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งคว้าแชมป์ลีกเอิงเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี และเป็นสมัยที่สามในประวัติศาสตร์ พวกเขายังกลายเป็นทีมที่เข้าสู่รอบแพ้คัดออกของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอย่างต่อเนื่อง โดยในฤดูกาลนั้นพวกเขาตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายโดยแพ้บาร์เซโลนาด้วยกฎประตูทีมเยือน
การลงทุนในตลาดซื้อขายยังคงดำเนินต่อไป ด้วยการมาถึงของเอดินซอน กาบานิ ในปี 2013 ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 64 ล้านยูโร[49] และดาวิด ลูอีซ ในปี 2014 ในราคา 50 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติโลกในขณะนั้นของการซื้อขายผู้เล่นกองหลัง แม้อันเชลอตตีจะอำลาทีมเพื่อไปคุมเรอัลมาดริด แต่สโมสรยังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องด้วยการคุมทีมของ โลร็องต์ บล็องก์ ซึ่งพาทีมคว้าแชมป์สามรายการหลักในประเทศ (ลีกเอิง, กุปเดอลาลีก และ ทรอเฟเดช็องปียง) ในฤดูกาล 2013–14 ตามด้วยการคว้า 4 แชมป์ในประเทศ (ลีกเอิง, กุปเดอฟร็องส์, กุปเดอลาลีก และ ทรอเฟเดช็องปียง) ได้สองฤดูกาลติตด่อกันตั้งแต่ปี 2014–16 โดยเฉพาะในปี 2016 ซึ่งสโมสรได้แชมป์ลีกโดยทำไปถึง 96 คะแนน เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของฟุตบอลฝรั่งเศส
ในฤดูกาล 2016–17 อูไน เอเมรี เข้ามาคุมทีมหลังจากประสบความสำเร็จในการพาเซบิยาคว้าแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก 3 สมัยติดต่อกัน แต่ผลงานโดยรวมของทีมตกลงไปจากการย้ายทีมของ ซลาตัน อิบราฮีโมวิช[50] พวกเขาเสียแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีให้แก่อาแอ็ส มอนาโก และยังล้มเหลวในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกโดยแพ้บาร์เซโลนาในรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยผลประตูรวม 5–6 ทั้งที่เอาชนะไปได้ก่อนในนัดแรกที่ปาร์กเดแพร็งส์ 4–0 แต่กลับพ่ายแพ้ในการไปเยือนที่สนามกัมนอว์อย่างยับเยิน 1–6 ความสำเร็จในการกลับมาของบาร์เซโลนาในครั้งนั้นได้รับการยกย่องเป็น "La Remontada" ("The Comeback")[51] จากความล้มเหลวดังกล่าว ส่งผลให้ทีมลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้งในฤดูกาลต่อมาด้วยการซื้อตัวเนย์มาร์ ผู้เล่นชื่อดังชาวบราซิลด้วยค่าตัวสถิติโลก 222 ล้านยูโร รวมถึงการยืมตัวกีลียาน อึมบาเป ดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสที่เป็นที่จับตามองมากที่สุดในยุโรปมาจากมอนาโกก่อนจะซื้อขาดในราคา 180 ล้านยูโร ทำให้ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งมีสองนักเตะที่ค่าตัวสูงที่สุดในโลกอยู่ในทีม ก่อนจะคว้า 4 ถ้วยรางวัลในประเทศได้เป็นครั้งที่สามในรอบสี่ฤดูกาล แต่ยังคงไม่ประสบความสำเร็จในรายการยุโรป โดยแพ้เรอัลมาดริดในยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีก ส่งผลให้เอเมรียุติสัญญา[52]
โทมัส ทุคเคิล เข้ามาคุมทีมต่อ[53] แต่พาทีมตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยแพ้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยกฎประตูทีมเยือน (ผลประตูรวม 3–3) แม้พวกเขาจะบุกไปชนะได้ก่อนที่โอลด์แทรฟฟอร์ด 2–0 แต่แพ้ในนัดที่สองที่ปาร์กเดแพร็งส์ด้วยประตู 1–3 รวมถึงแพ้สตาดแรแนในรอบชิงชนะเลิศกุปเดอฟร็องส์ และแพ้แก็งก็องในกุปเดอลาลีก 1–2 แต่พวกเขายังคว้าแชมป์ลีกเอิงได้เป็นสมัยที่ 8 ต่อมา ในฤดูกาล 2019–20 สโมสรคว้าแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 9 จากการที่รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศตัดจบฤดูกาลจากการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา[54] และยังคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยได้สองรายการคือ กุปเดอฟร็องส์ และ กุปเดอลาลีก เอาชนะ อาแอ็ส แซ็งเตเตียน และ ออแล็งปิกลียอแน ตามลำดับ และยังเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกแต่แพ้ไบเอิร์นมิวนิก 0–1[55] แม้จะประสบความสำเร็จกับสโมสร แต่ทุคเคิลได้ลาทีมในฤดูกาลต่อมาจากการมีปัญหากับผู้บริหารสโมสร[56] เมาริซิโอ โปเชติโน อดีตผู้เล่นของสโมสรได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมในเดือนมกราคม 2021[57] และพาทีมได้แชมป์ฟุตบอลถ้วยสองรายการคือทรอเฟเดช็องปียง และกุปเดอฟร็องส์ แต่พวกเขาตกรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยแพ้แมนเชสเตอร์ซิตี และยังเสียแชมป์ลีกเอิงให้แก่ล็อสก์ลีล[58]
ในฤดูกาลต่อมา สโมสรทำการลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการเซ็นสัญญากับผู้เล่นระดับโลก[59][60][61] ได้แก่ ลิโอเนล เมสซิ,[62] เซร์ฆิโอ ราโมส, อัชร็อฟ ฮะกีมี, จอร์จีนีโย ไวนัลดึม และ จันลุยจี ดอนนารุมมา รวมถึงการยืมตัว นูนู เม็งดึช[63] แต่ก็ล้มเหลวในฟุตบอลถ้วยทุกรายการ โดยแพ้ล็อสก์ลีลในทรอเฟเดช็องปียง 0–1 และตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายกุปเดอฟร็องส์จากการแพ้จุดโทษโอเฌเซ นิส และแพ้ เรอัล มาดริด ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[64] ก่อนจะคว้าแชมป์ลีกเอิงเป็นสมัยที่ 10 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดร่วมกับ อาแอ็ส แซ็งเตเตียน ในฤดูกาลนี้สโมสรต้องพบกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของผู้เล่นคนสำคัญอย่าง กีลียาน อึมบาเป ซึ่งตกเป็นข่าวว่าต้องการย้ายร่วมทีมเรอัลมาดริด[65] แต่ท้ายที่สุด อึมบาเป ก็ขยายสัญญากับสโมสรออกไปถึง ค.ศ. 2025[66] นำไปสู่การยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปโดยลาลิกา ซึ่งต้องการให้ตรวจสอบการละเมิดกฎการเงินของปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง[67]
ในฤดูกาล 2022–23 นาศิร อัลเคาะลัยฟี ซึ่งไม่พอใจกับทิศทางของสโมสรซึ่งยังไม่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาครอง ได้ให้คำมั่นแก่กลุ่มผู้สนับสนุนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในด้านโครงสร้างและการบริหารทีม โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เลอ ปารีเซียง[68] ว่าทีมจะเดินหน้าไปยังทิศทางที่ถูกต้อง การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากการแต่งตั้ง ลุยส์ แกมโปส เข้ามารับตำแหน่งที่ปรึกษา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการด้านกีฬาให้แก่ อาแอ็ส มอนาโก และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันการซื้อตัวผู้เล่นชื่อดัง เช่น ราดาเมล ฟัลกาโอ, ฌูเวา โมตีญู, ฮาเมส โรดริเกซ, ฟาบิญญู, อ็องตอนี มาร์ซียาล, บือร์นาร์ดู ซิลวา และ ตอมา เลอมาร์ ตามด้วยการปลดโปเชติโนในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2022 และแต่งตั้ง คริสต็อฟ กาลตีเย เข้ามารับตำแหน่งแทนด้วยสัญญาสองปี[69] สโมสรยังเน้นเซ็นสัญญากับผู้เล่นอายุน้อย โดยมีการนำผู้เล่นอย่าง นูนู เม็งดึช, วีตีญา, อูโก เอกิติเก และ นอร์ดี มูคิเอเล เข้ามาเสริมทีม ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นอายุมากหลายรายได้ถูกขึ้นบัญชีขาย[70]
กาลตีเยพาทีมประเดิมฤดูกาล 2022–23 ด้วยการเอาชนะน็องต์ด้วยผลประตู 4–0 ในรายการทรอเฟเดช็องปียง 2022 แต่ทีมก็ยังล้มเหลวในฟุตบอลยุโรป โดยแพ้ไบเอิร์นมิวนิกในรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยผลรวมสองนัด 0–3[71] สโมสรสร้างสถิติใหม่ในการคว้าแชมป์ลีกเอิงสูงสุดสมัยที่ 11 ในฤดูกาลนี้ ภายหลังจบฤดูกาลทีมมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นอีกครั้ง เมื่อผู้เล่นสำคัญอย่างเมสซิ, เนย์มาร์ และราโมสอำลาทีม[72][73] รวมถึงมีการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างลุยส์ เอนริเก ซึ่งพาทีมคว้าแชมป์ทรอเฟเดช็องปียง 2023 ด้วยการเอาชนะตูลูซ ด้วยผลประตู 2–0 ตามด้วยแชมป์ลีกเอิงฤดูกาล 2023–24 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 12 และคว้าแชมป์กุปเดอฟร็องส์สมัยที่ 15 ด้วยการชนะออแล็งปิกลียอแน 2–1 ภายหลังจบฤดูกาลสโมสรต้องเสียผู้เล่นคนสำคัญอย่างอึมบาเปซึ่งย้ายไปร่วมทีมเรอัลมาดริดในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2024
เอกลักษณ์
[แก้]สโมสรถือเป็นตัวแทนของประเทศฝรั่งเศส โดยมีสีประจำทีมคือสีแดง สีน้ำเงิน และสีขาว โดยสีแดงและน้ำเงินถือเป็นสีของชาวปารีส และสีขาวสื่อถึงการเป็นตัวแทนของจักรพรรดิฝรั่งเศสในอดีต[74] นอกจากนี้ โลโก้ของสโมสรยังปรากฏภาพของหอไอเฟล ซึ่งต้องการสื่อถึงการเป็นตัวแทนของสโมสรที่ดีที่สุดในกรุงปารีสและยังสะท้อนถึงการเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอลฝรั่งเศส[75]
สัตว์นำโชคอย่างเป็นทางการของสโมสรคือ "Germain the Lynx" ซึ่งสวมชุดที่เป็นสีประจำสโมสร โดยเปิดตัวใน ค.ศ. 2010[76] ที่กรุงปารีส เพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของสโมสรและมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่เด็ก ๆ โดย "The Lynx" จะออกมาสร้างสีสันทุกครั้งก่อนเริ่มการแข่งขันโดยมักออกมาแจกของขวัญรวมทั้งขนมให้กับแฟนบอลในสนาม
คำขวัญ
[แก้]คำขวัญแรกอย่างเป็นทางการของสโมสรคือ "Allez Paris!"[77] ซึ่งเริ่มใช้โดย แอนนี คอร์ดี นักแสดงหญิงชื่อดังชาวเบลเยียมใน ค.ศ. 1970 ซึ่งเธอถือเป็นแฟนของสโมสรมาอย่างยาวนานและยังเป็นหนึ่งในบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่ให้การสนับสนุนเงินทุนสโมสรในระยะแรกของการก่อตั้งทีมในคริสต์ทศวรรษ 1970 อีกด้วย[78] ต่อมาใน ค.ศ. 1977 แฟนบอลในกรุงปารีสได้ร่วมกันก่อตั้งคำขวัญ "Allez Paris-Saint-Germain!" และเริ่มมีการนำมาร้องเชียร์ให้กำลังใจนักฟุตบอลในสนาม โดยยังคงให้เกียรติแอนนี่ คอร์ดีด้วยการใช้คำว่า Allez Paris นำหน้าเสมอ และสโมสรได้นำคำขวัญ Allez Paris-Saint-Germain! มาเป็นคำขวัญสโมสรมาจนถึงปัจจุบัน[79][80]
สนามกีฬา
[แก้]ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ลงเล่นเกมแรกของพวกเขาที่สนามเหย้าปัจจุบันคือปาร์ก เด แพร็งซ์ พบสโมสรเรดส์สตาร์ ใน ค.ศ. 1973 สนามมีความจุ 47,929 ที่นั่ง ตั้งอยู่ในกรุงปารีส โดยมีจุดเด่นคือสามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามโดยรอบกรุงปารีสได้อย่างชัดเจน และจะมีการเปิดไฟเป็นสีธงชาติฝรั่งเศสเป็นประจำทุกค่ำคืน[81] สนามแห่งนี้เคยถูกใช้โดย ปารี แอ็ฟเซ จนกระทั่งสโมสรตกชั้นสู่ลีกเดอใน ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นฤดูกาลเดียวกับทีม ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เลื่อนชั้นกลับคืนสู่ลีกสูงสุด สนามแห่งนี้จึงเป็นสนามเหย้าของ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง มานับตั้งแต่นั้น
ศึกแห่งศักดิ์ศรี
[แก้]ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งถือเป็นคู่ปรับสำคัญของสโมสรออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ การพบกันระหว่างทั้งสองทีมถือเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่เรียกว่าเลอกลาซิก ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ดุเดือดที่สุดของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส[82][83] และได้รับการขนานนามจากแฟนฟุตบอลว่าเป็นศึกเอลกลาซิโกของฝรั่งเศส[84][85]
ทั้งสองสโมสรถือเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดสองอันดับแรกของประเทศ และต่างก็เป็นหนึ่งในสองสโมสรของประเทศฝรั่งเศสที่ชนะเลิศถ้วยรางวัลระดับทวีป ทั้งสองฝ่ายต่างแย่งชิงความสำเร็จกันมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา นอกจากนี้ทั้งสองทีมยังถือเป็นสองสโมสรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในฝรั่งเศส[86][87] ทั้งคู่มีสถิติการพบกันจำนวน 101 นัด โดยปารีแซ็ง-แฌร์แม็งสามารถเอาชนะไปได้ 45 นัด เป็นชัยชนะของออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ 33 นัด และเสมอกันไป 23 นัด
บุคลากรปัจจุบัน
[แก้]- ณ วันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 2022[88]
คณะกรรมการ
[แก้]- เจ้าของสโมสร: ตะมีม บิน ฮะมัด อัษษานี
- ประธานสโมสร: นาศิร อัลเคาะลัยฟี
- รองผู้จัดการทั่วไป: ฌ็อง-โคลด บลังค์[89]
- เลขาธิการ: วิคตอเรียโน เมเรโร[90]
- ที่ปรึกษา: ลุยส์ แกมโปส[91]
- รองผู้อำนวยการด้านฟุตบอล: ออลีวีเย กาเย[92]
ทีมงานผู้ฝึกสอน
[แก้]- ผู้จัดการทีม: ลุยส์ เอนริเก
- ผู้ช่วยผู้จัดการทีม: ตีแยรี โอเล็กเซียก
- ผู้ช่วยผู้จัดการทีมคนที่สอง: ฌูเวา ซาคราเมนโต
- ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู: จานลูกา สปิเนลลิ
- นักกายภาพบำบัด: เปโดร โกเมส
ผู้เล่น
[แก้]- ณ วันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2024[93]
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
[แก้]หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นที่ปล่อยยืม
[แก้]หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
เกียรติประวัติ
[แก้]ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ครองสถิติชนะเลิศการแข่งขันในประเทศหลายรายการ[94] พวกเขาเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฝรั่งเศสในแง่ของจำนวนถ้วยรางวัล[95] โดยชนะเลิศการแข่งขันในประเทศได้ 46 รายการรวมทั้งสถิติชนะเลิศลีกเอิง 12 สมัย และเป็นเจ้าของสถิติชนะเลิศสูงสุดในรายการ กุปเดอฟร็องส์, กุปเดอลาลีก และทรอเฟเดช็องปียง ในการแข่งขันระดับทวีป พวกเขาชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ และ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ รายการละ 1 สมัย[96][97][98]
ภายหลังจากการชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพในฤดูกาล 1995–96 ส่งผลให้พวกเขาเป็นสโมสรเดียวของฝรั่งเศสที่คว้าแชมป์รายการดังกล่าวได้ และเป็นหนึ่งในสองสโมสรของฝรั่งเศส (ร่วมกับ ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์) ที่ชนะเลิศการแข่งขันระดับทวีป รวมทั้งเป็นสโมสรจากยุโรปที่มีอายุการก่อตั้งน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์ได้[99] ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เป็นสโมสรฝรั่งเศสที่ลงเล่นในลีกสูงสุดติดต่อกันยาวนานที่สุด (47 ปีนับตั้งแต่ฤดูกาล 1974–75)[100] นอกจากนี้ยังเป็นสโมสรเดียวในฝรั่งเศสที่ชนะเลิศรายการ กุปเดอฟร็องส์ ได้โดยไม่เสียประตูเลยตลอดทั้งรายการ โดยทำสถิติดังกล่าวได้ 2 ครั้ง (ฤดูกาล 1992-93 และ 2016–17)[101] และยังเป็นสโมสรเดียวที่ชนะเลิศรายการ: กุปเดอฟร็องส์ 4 สมัยติดต่อกัน (2015–18), กุปเดอลาลีก 5 สมัยติดต่อกัน (2014–18) และ ทรอเฟเดช็องปียง 8 สมัยติดต่อกัน (2013–20)[102]
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ยังทำสถิติชนะเลิศการแข่งขันภายในประเทศทั้ง 4 รายการ (Domestic quadruple) ได้ถึง 4 ครั้ง และเป็นสโมสรเดียวที่ชนะเลิศฟุตบอลถ้วยของฝรั่งเศสได้มากกว่า 1 รายการภายในฤดูกาลเดียวกัน (ซึ่งพวกเขาเคยทำได้ทั้ง 2 รายการ, 3 รายการ และ 4 รายการในฤดูกาลเดียวกัน)[103]
ระดับประเทศ
[แก้]- ลีกเอิง (สถิติสูงสุด)
- ชนะเลิศ (12): 1985–86, 1993–94, 2012–13, 2013–14, 2014–15, 2015–16, 2017–18, 2018–19, 2019–20, 2021–22, 2022–23, 2023–24
- ลีกเดอ
- ชนะเลิศ (1): 1970–71
- กุปเดอฟร็องส์ (สถิติสูงสุด)
- ชนะเลิศ (15): 1981–82, 1982–83, 1992–93, 1994–95, 1997–98, 2003–04, 2005–06, 2009–10, 2014–15, 2015–16, 2016–17, 2017–18, 2019–20, 2020–21, 2023–24
- กุปเดอลาลีก (สถิติสูงสุด)
- ชนะเลิศ (9): 1994–95, 1997–98, 2007–08, 2013–14, 2014–15, 2015–16, 2016–17, 2017–18, 2019–20
- ทรอเฟเดช็องปียง (สถิติสูงสุด)
- ชนะเลิศ (12): 1995, 1998, 2013, 2014, 2015, 2016, 2017, 2018, 2019, 2020, 2022, 2023
ระดับทวีปยุโรป
[แก้]- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
- รองชนะเลิศ (1): 2019–20
- ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1995–96
- รองชนะเลิศ (1): 1996–97
- ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ
- ชนะเลิศ (1): 2001
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ
- รองชนะเลิศ (1): 1996
- อินเตอร์เนชันแนลแชมเปียนส์คัพ
- ชนะเลิศ (2): 2015, 2016
สถิติสำคัญ
[แก้]ผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุด
[แก้]- สถิติ ณ วันที่ 29 มกราคม 2023 รายชื่อตัวหนาคือผู้เล่นที่ยังคงเล่นให้กับสโมสรถึงปัจจุบัน
อันดับ | ผู้เล่น | จำนวนนัด |
---|---|---|
1 | ฌ็อง-มาร์ก ปียาร์เฌ | 435 |
2 | มาร์โก แวร์รัตตี | 401 |
3 | มาร์กิญญุส | 390 |
4 | ซิลเวน อาร์ม็อง | 380 |
5 | ซาเฟต ซูซิช | 344 |
โปล เลอ เก็น | ||
7 | แบร์นาร์ ลามา | 318 |
8 | ชียากู ซิลวา | 315 |
9 | มุสตาฟา ดาเลบ | 310 |
10 | เอดินซอน กาบานิ | 301 |
ผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุด
[แก้]สถิติ ณ วันที่ 4 มีนาคม 2023 รายชื่อตัวหนาคือผู้เล่นที่ยังคงเล่นให้กับสโมสรถึงปัจจุบัน
อันดับ | ผู้เล่น | จำนวนประตู |
---|---|---|
1 | กีลียาน อึมบาเป | 201 |
2 | เอดินซอน กาบานิ | 200[104] |
3 | ซลาตัน อิบราฮีมอวิช | 156 |
4 | เนย์มาร์ | 118 |
5 | เปาเลตา | 109 |
6 | ด็อมมินิก โรเชตู | 100 |
7 | มุสตาฟา ดาเลบ | 98 |
8 | ฟร็องซัว เอ็มเปเล่ | 95 |
9 | อังเฆล ดิ มาริอา | 90 |
10 | ซาเฟต ซูซิช | 85 |
สถิติอื่น ๆ
[แก้]- ผู้เล่นที่อายุมากที่สุดที่ลงเล่นให้กับสโมสร: จันลุยจี บุฟฟอน (41 ปี 5 เดือน)[105]
- ผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้กับสโมสร: กีงส์แล กอมาน (16 ปี 249 วัน)[106]
- ผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล: ซลาตัน อิบราฮีมอวิช (50 ประตู/ 2015-16)
- ผู้เล่นที่ผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมมากที่สุด: อังเฆล ดิ มาริอา (110 ครั้ง)[107]
- ผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด: มาร์โก แวร์รัตติ (29 ถ้วยรางวัล)
- การซื้อผู้เล่นที่แพงที่สุด: เนย์มาร์ (222 ล้านยูโร ค.ศ. 2017)[108]
- การขายผู้เล่นที่แพงที่สุด: กงซาลู แกดึช (40 ล้านยูโร ค.ศ. 2018)[109]
- ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด: โลร็องต์ บล็องก์ (11 ถ้วยรางวัล)[110]
- ผู้จัดการทีมที่พาทีมคว้าชัยชนะมากที่สุด: โลร็องต์ บล็องก์ (121 นัด)[111]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ UEFA.com. "Paris | History | UEFA Champions League". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Ligue 1 - Club market value". www.transfermarkt.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Le Parc des Princes". Le Parc des Princes. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-10-21. สืบค้นเมื่อ 21 October 2010.
- ↑ redaction (2018-11-12). "La création du PSG de 1970 à 1973". Paris United (ภาษาฝรั่งเศส). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-07. สืบค้นเมื่อ 2021-12-01.
- ↑ "Palmares". PSG.fr. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-04. สืบค้นเมื่อ 12 October 2010.
- ↑ "PSG top on football's rich list, man city, others drop". The Guardian Nigeria News - Nigeria and World News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-02-15.
- ↑ "The Top 20 richest teams in world football". MARCA (ภาษาอังกฤษ). 2021-01-26.
- ↑ "Manchester United drop to fourth as Barcelona top Forbes rich list for first time despite huge debt". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Le Classique: Five reasons to watch OM-PSG". Ligue1 (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Johnson, Jonathan. "Paris Saint-Germain vs. Marseille: Why Le Classique Is France's Biggest Game". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Luck, Emma (2020-03-04). "The extreme fans of French football". The New European (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-08-10. สืบค้นเมื่อ 2021-08-10.
- ↑ "Paris Saint-Germain boasts more than 100 million fans on social media". EN.PSG.FR (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Fan clubs". EN.PSG.FR (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "PSG : Paris jouera avec son maillot bleu "hechter" pour le classique face à l'OM". France Bleu (ภาษาฝรั่งเศส). 2021-02-05.
- ↑ "Political and Organizational Factors of PSG". Sports and Leisure in France.
- ↑ "Association". Association Paris Saint-Germain (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "A brief history of PSG". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2012-08-17.
- ↑ "Paris Saint-Germain FC (PSG) history". www.footballhistory.org.
- ↑ "Association". Association Paris Saint-Germain (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "Bernard Guignedoux nous a quittés". PSG.FR (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ thefootballcult (January 16, 2018). "A brief history: Paris FC". Medium (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "6 interesting facts you should know about Paris Saint Germain". Discover Walks Blog (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2018-08-20.
- ↑ "ALGERIA: Paris Club Pay-Back". Africa Research Bulletin: Economic, Financial and Technical Series. 43 (5): 16972A–16972B. June 2006. doi:10.1111/j.1467-6346.2006.00275.x. ISSN 0001-9852.
- ↑ ฟรานซัวส์ เอ็มเปเล่ ฉายาว่า "ปิแอร์ ฟอนแตนสีดำ" (Pierre Fontaine noir) ดาวซัลโว PSG ในอดีต. สืบค้นเมื่อ 2024-04-30.
- ↑ Stephane.B (2019-03-20). "Daniel Hechter s'exprime sur les maillots du PSG faits par Nike et se dit prêt à en faire". www.parisfans.fr (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "Political and Organizational Factors of PSG". Sports and Leisure in France.
- ↑ "PSG70 : PSG - Valenciennes 1974". psg70.free.fr.
- ↑ "Millième au Parc des Princes : ces dix matches qui ont fait l'histoire du PSG". Europe 1 (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ Taille, Arnaud de La (2018-11-19). "1973 - 1978 : Paris se replace sur la scène française". Paris United (ภาษาฝรั่งเศส). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-08. สืบค้นเมื่อ 2022-08-17.
- ↑ "PSG70 : Histoire du Paris Saint Germain". psg70.free.fr.
- ↑ "PSG70 : PSG -Saint-Etienne 1982". psg70.free.fr.
- ↑ "Le Top 10 du PSG en Coupe d'Europe: De la Juve à Valence, de Liverpool au Bayern". Eurosport (ภาษาฝรั่งเศส). 2013-04-01.
- ↑ "PSG70 : PSG - Nantes 1983". psg70.free.fr.
- ↑ "PSG70 : Saison 1982/83". psg70.free.fr.
- ↑ "PSG70 : Saison 1985/86". psg70.free.fr.
- ↑ Sefraoui, Mehdi (2018-12-03). "Période 1978 - 1991 : l'ère Borelli, là où tout a commencé". Paris United (ภาษาฝรั่งเศส). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-04. สืบค้นเมื่อ 2022-08-17.
- ↑ "4 juin 1988, il y a 34 ans, dramatique Le Havre-PSG". Paris.canal-historique. 2022-06-04.
- ↑ "Welcome to FIFA.com News - France's passion play - FIFA.com". web.archive.org. 2019-03-29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-29. สืบค้นเมื่อ 2022-08-17.
- ↑ "L'histoire du PSG 1991-1998 : Le PSG devient un grand d'Europe - Paris United". Paris United (ภาษาฝรั่งเศส). 2018-12-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-09. สืบค้นเมื่อ 2021-08-10.
- ↑ CAPPELAERE, Hugo (2018-12-17). "L'histoire du PSG 1991-1998 : Le PSG devient un grand d'Europe". Paris United (ภาษาฝรั่งเศส). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-09. สืบค้นเมื่อ 2021-08-10.
- ↑ Post, Guest (2011-07-19). "The Greatest French Club Sides Of All Time – Part 3". frenchfootballweekly.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-09-16. สืบค้นเมื่อ 2022-08-17.
- ↑ UEFA.com (1997-03-01). "1996 Super Cup: Dazzling Juve shine in Paris | UEFA Super Cup". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "uefa.com - UEFA Cup Winners' Cup". web.archive.org. 2010-05-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-03. สืบค้นเมื่อ 2021-08-10.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Ligue 1 1999/2000 Table, Results, Stats and Fixtures". FootballCritic (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Reed, Adam (2018-09-18). "Paris Saint-Germain's Qatari owners have spent $1.17 billion on players, but the Champions League is still out of reach". CNBC (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ https://www.espn.com/soccer/story/1135960/a-brief-history-of-psg?src=com
- ↑ "PSG appoint Ancelotti as coach". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2011-12-30. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-11-24. สืบค้นเมื่อ 2021-11-24.
- ↑ "David Beckham joins Paris St-Germain and will play for free". BBC. 31 January 2013. Retrieved 1 February 2013.
- ↑ "PSG signs Uruguay striker Edinson Cavani". AP NEWS (ภาษาอังกฤษ). 2013-07-16.
- ↑ "Zlatan Ibrahimovic to leave PSG: 'I came like a king, left like a legend'". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2016-05-13.
- ↑ "Remembering la remontada: Barcelona 6-1 PSG". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2021-02-16.
- ↑ Agencies (2018-04-27). "Unai Emery says he will leave PSG manager's job at end of season". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Paris Saint-Germain appoint Thomas Tuchel as their new coach". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ https://www.skysports.com/football/news/11820/11981197/paris-saint-germain-crowned-ligue-1-champions-after-french-season-called-off#:~:text=Paris%20Saint%2DGermain%20have%20been,season%20was%20suspended%20in%20March.
- ↑ https://www.bbc.com/sport/football/53867676
- ↑ "Paris Saint-Germain confirm sacking of manager Tuchel following his dismissal after Strasbourg win | Goal.com". www.goal.com.
- ↑ "PSG appoint Pochettino to replace Tuchel as boss". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2021-01-02.
- ↑ https://www.independent.co.uk/sport/football/lille-ligue-1-psg-results-b1852559.html
- ↑ https://www.theguardian.com/football/2021/jun/16/gianluigi-donnarumma-joins-psg-as-gianluigi-buffon-goes-back-to-parma
- ↑ https://en.psg.fr/teams/first-team/content/sergio-ramos-signs-with-paris-saint-germain-until-2023
- ↑ https://www.theguardian.com/football/2021/jun/07/georginio-wijnaldum-signs-contract-to-join-psg-rather-than-barcelona
- ↑ https://www.bbc.co.uk/sport/football/58163106
- ↑ https://en.psg.fr/teams/first-team/content/nuno-mendes-joins-paris-saint-germain-until-2022-mercato
- ↑ "Benzema hat-trick as Real send PSG out". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2022-03-23.
- ↑ Gastelum, Andrew. "Kylian Mbappé Reacts to PSG's Champions League Collapse Amid Links to Real Madrid". Sports Illustrated (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Kylian Mbappé extends contract with Paris saint-Germain until 2025". EN.PSG.FR (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Nota informativa". Página web oficial de LaLiga | LaLiga (ภาษาสเปน).
- ↑ Daniel (2016-06-06). "A New Era Begins at PSG". PSG Talk (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "PSG confirm Pochettino sacking as Galtier takes over to lead Mbappe, Messi and Co. | Goal.com". www.goal.com.
- ↑ "PSG put 11 players on the transfer list". MARCA (ภาษาอังกฤษ). 2022-07-10.
- ↑ "Bayern cruise past PSG to reach quarter-finals". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-03-14.
- ↑ "Sergio Ramos will leave PSG at the end of the season, following Lionel Messi out of Parc des Princes after two years". Eurosport (ภาษาอังกฤษ). 2023-06-02.
- ↑ King, Kieran (2023-06-02). "Sergio Ramos joins Lionel Messi in quitting PSG after two seasons with club". mirror (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ McQueen, Paul. "Things You Should Know About Paris Saint-Germain FC". Culture Trip.
- ↑ FootballDatabase.com. "Paris Saint-Germain, Ranking and Statistics - FootballDatabase". footballdatabase.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ à 07h00, Par Le 21 juillet 2010 (2010-07-21). "Le lynx Germain, nouvelle mascotte du PSG". leparisien.fr (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "Allez Paris ! par Annie Cordy". www.bide-et-musique.com.
- ↑ "L'hommage du PSG à Annie Cordy, qui avait chanté le premier hymne du club". RMC SPORT (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "PSG: Ecoutez l'hymne des Parisiens chanté par les joueurs !". Sportune (ภาษาฝรั่งเศส). 2012-03-22.
- ↑ "Le PSG prend un nouveau virage - Tous PSG - PSG.fr". web.archive.org. 2017-08-19. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-19. สืบค้นเมื่อ 2021-08-10.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Stadium Tour". EN-EXP (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-08-12. สืบค้นเมื่อ 2021-08-11.
- ↑ Almeras, Christopher. "Joey Barton Puts the "Punch" Back into the Marseille-PSG Rivalry". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ April 2021, Greg Lea 20 (2021-04-20). "Ranked! The 50 biggest derbies in world football". fourfourtwo.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Mewis, Joe (2018-04-13). "The top 50 derbies in the world 20-11: The 'Mother of all Battles' and more". mirror (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Paris SG – Marseille : Parier, Pronostics, Cotes" (ภาษาฝรั่งเศส). 2007-09-02.
- ↑ withafunfilter (2020-04-16). "The Top 15 Biggest and Most Supported Football Teams in the World". With a Fun Filter (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-07-24. สืบค้นเมื่อ 2021-08-10.
- ↑ "France : Le PSG est le nouveau club préféré des Français". Onze Mondial (ภาษาฝรั่งเศส). 2018-03-22.
- ↑ "Effectif". PSG.FR (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "Jean-Claude Blanc nommé directeur général délégué du PSG". Le Monde.fr (ภาษาฝรั่งเศส). 2011-10-07. สืบค้นเมื่อ 2022-08-16.
- ↑ "Victoriano Melero officiellement secrétaire général du PSG". CulturePSG (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "Luis Campos devient Conseiller Football du Paris Saint-Germain". PSG.FR (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "Présentation du nouvel organigramme de l'équipe première du club". PSG.FR (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "Equipe première". PSG.FR. สืบค้นเมื่อ 1 September 2021.
- ↑ "Statistiques". Histoire du #PSG (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ perdues, RemiSudiste à l'esprit contradictoire amoureux de Paris et du PSG depuis mon enfance Nostalgique à mes heures; Gr, J'aime Me Souvenir De Nos Belles Heures Et Savoure Ces; Rémi, es années Avec "Histoire du PSG" je me régale chaque jour autour des rouge et bleu Voir la bio de (2018-05-09). "Le Palmarès du PSG". Histoire du #PSG (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "Listes des saisons". Histoire du #PSG (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "victoire à l'ICC : PSG, 22 ans après". Paris.canal-historique. 2015-07-30.
- ↑ "Trophée national du meilleur public sportif - Football Division II - Collection privée Valjustrotinou - Pour la mémoire". valjustrotinou.canalblog.com (ภาษาฝรั่งเศส). 2018-12-24.
- ↑ "Le Paris Saint-Germain et les finales européennes, acte 3 !". PSG.FR (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "Ligue 1 Uber Eats : la longévité des clubs à la loupe". Ligue1 (ภาษาฝรั่งเศส). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-02-12. สืบค้นเมื่อ 2021-08-11.
- ↑ perdues, RemiSudiste à l'esprit contradictoire amoureux de Paris et du PSG depuis mon enfance Nostalgique à mes heures; Gr, J'aime Me Souvenir De Nos Belles Heures Et Savoure Ces; Rémi, es années Avec "Histoire du PSG" je me régale chaque jour autour des rouge et bleu Voir la bio de (2019-04-04). "Défense parfaite en Coupe de France : Et de 3 pour le PSG !". Histoire du #PSG (ภาษาฝรั่งเศส).
- ↑ "Pochettino wins first trophy with PSG". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-08-11.
- ↑ Brunt, Gordon. "PSG win Coupe de la Ligue to complete domestic quadruple". theScore.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Cavani becomes first PSG player to score 200 goals for the club | Goal.com". www.goal.com.
- ↑ "Buffon sets new record! PSG's oldest player in the history of Ligue 1". Daily Active (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2018-08-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-08-11. สืบค้นเมื่อ 2021-08-11.
- ↑ ans, GrichkaSupporter du PSG depuis presque 20; Abonné, Ancien; fond, et actuel salarié du club Je vis football à; Grichka, et donc pour le PSG Voir la bio de (2017-06-01). "Les records individuels". Histoire du #PSG (ภาษาฝรั่งเศส). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-08-13. สืบค้นเมื่อ 2021-08-11.
- ↑ Zavala, Steve (2021-05-20). "The Numbers Behind Di Maria's Record 104 Assists With PSG". PSG Talk (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Neymar". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Official: Valencia sign Guedes from PSG for €40mn". AS.com (ภาษาอังกฤษ). 2018-08-27.
- ↑ June 2016, FourFourTwo Staff 27 (2016-06-27). "Eleven trophies and records galore: The best stats from Blanc's PSG reign". fourfourtwo.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ June 2016, FourFourTwo Staff 27 (2016-06-27). "Eleven trophies and records galore: The best stats from Blanc's PSG reign". fourfourtwo.com (ภาษาอังกฤษ).
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- PSG.fr (ฝรั่งเศส) (อังกฤษ)
- Paris Saint-Germain เก็บถาวร 2011-08-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at Ligue 1 (ฝรั่งเศส) (อังกฤษ)
- Paris Saint-Germain at UEFA (ฝรั่งเศส) (อังกฤษ)
- สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่เฟซบุ๊ก
- สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่เฟซบุ๊ก