ข้ามไปเนื้อหา

หม้อแกงลิง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Nepenthes ampullaria)

หม้อแกงลิง
หม้อผุดของ Nepenthes ampullaria จากอุทยานแห่งชาติบาโก เกาะบอร์เนียว
สถานะการอนุรักษ์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ แก้ไขการจำแนกนี้
อาณาจักร: พืช
Plantae
เคลด: พืชมีท่อลำเลียง
Tracheophyta
เคลด: พืชดอก
Angiosperms
เคลด: พืชใบเลี้ยงคู่แท้
Eudicots
อันดับ: คาร์เนชัน
Caryophyllales
วงศ์: หม้อข้าวหม้อแกงลิง
Nepenthaceae
สกุล: หม้อข้าวหม้อแกงลิง
Nepenthes
Jack (1835)
สปีชีส์: Nepenthes ampullaria
ชื่อทวินาม
Nepenthes ampullaria
Jack (1835)
ชื่อพ้อง

หม้อแกงลิง[2] (ชื่อวิทยาศาสตร์: Nepenthes ampullaria) เป็นพืชในสกุลหม้อข้าวหม้อแกงลิง ซึ่งมีการวิวัฒนาการแตกต่างจากชนิดอื่นในสกุลเดียวกันที่เป็นพืชกินสัตว์ (พืชกินเนื้อ) อย่างชัดเจน อาจเรียกหม้อแกงลิงได้ว่าเป็นพืชกินซากอินทรีย์จากเศษใบไม้ที่ร่วงลงสู่ภายในหม้อของมัน สามารถพบได้ในเกาะบอร์เนียว, หมู่เกาะมาลูกู, นิวกินี, มาเลเซียตะวันตก, สิงคโปร์, เกาะสุมาตรา และประเทศไทย[3][4][5][6][7]

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

[แก้]
หม้อผุดของ N. ampullaria

หม้อแกงลิง (N. ampullaria) มีรูปทรงของหม้อที่เป็นเอกลักษณ์ และลักษณะการเติบโตของหม้อที่แตกต่าง ทำให้สามารถแยกออกจากหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดอื่นในสกุลได้โดยง่าย ฟรานซิส เออร์เนส ลอยด์ (Francis Ernest Lloyd) นักพฤกษศาสตร์ชาวสหรัฐ ได้แปลงานเขียนทางสัณฐานวิทยาของเกอเทอ (บันทึกลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของเกอเทอ) ของวิลเฮล์ม โทรลล์ (Wilhelm Troll) ปี 1932 เกี่ยวกับพืชชนิดนี้ไว้ดังนี้:[8]

"ฉันพบ N. ampullaria ท่ามกลางพืชหนองน้ำชนิดอื่น ๆ โดยบังเอิญบนเกาะซิเบรุต (Siberut) ทางชายฝั่งตะวันตกของสุมาตรา มันมีอยู่มากมายในทุก ๆ ที่ ทำให้ฉันไม่อาจละสายตาไปได้ มีหม้อของมันเรียงรายตลอดเถา เป็นกระจุกหนาแน่น ช่างน่าทึ่งนัก แม้แต่บนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยมอสส์ก็ยังมีหม้อของมันผุดออกมา ช่างเป็นเหมือนผืนพรมที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม"

หม้อแกงลิงเป็นไม้เลื้อย ลำต้นสีน้ำตาลอ่อนอาจเลื้อยได้สูงถึง 15 เมตร มีขนนุ่มสีน้ำตาลตามลำต้นและใบ เมื่อยังเล็กจะมีอยู่หนาแน่นและจะน้อยลงเมื่อโตขึ้น ใบเดี่ยวเป็นรูปรี สีเขียวยาว 25 เซนติเมตร กว้าง 6 เซนติเมตร เรียงตัวเป็นเกลียว ขอบใบเรียบ สายดิ่งยาวไม่เกิน 15 เซนติเมตร[9]

ช่อดอกเป็นแบบช่อแยกแขนงหนาแน่น ออกดอกช่วงเดือนตุลาคมถึงมกราคม ผล/ฝักเป็นวงรีหรือคล้ายแคบซูลและแตกเมื่อแก่ มันเป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงเพียงชนิดเดียวจากเกาะสุมาตราและคาบสมุทรมาลายูที่มีช่อดอกแบบช่อแยกแขนง[10]

หม้อแกงลิงเป็นหนึ่งในไม่กี่ชนิดที่มีหม้อผุด โดยหม้อผุดจะเกิดขึ้นบริเวณโคนต้นหรือไหล หม้อผุดนี้มีใบ (ฝา) ขนาดเล็กมากจนไม่สามารถสังเกตได้ชัดเจนหรือใบมีขนาดเล็กมาก หม้อมีลักษณะกลม มีขนาดสูง 7 เซนติเมตรขึ้นไป หม้อมีสีแดงหรือเขียวสีเดียวทั้งหม้อหรืออาจมีตั้งแต่หนึ่งสีขึ้นไป เช่น N. ampullaria จากเกาะสุมาตราและคาบสมุทรมาลายูส่วนมากมีหม้อสีเขียวหรือเขียวกระแดง ส่วนที่พบในแถบบอร์เนียวมีสีแดง และพบในนิวกินีมีหม้อขนาดใหญ่[9][10]

การกินเนื้อ

[แก้]
N. ampullaria มีการดัดแปลงที่เหมาะสมในการจับเศษใบไม้

จากหลักฐานการศึกษาพบว่าสารอาหารส่วนมากที่หม้อแกงลิง (N. ampullaria) ได้รับมาจากการย่อยเศษใบไม้ที่ตกลงสู่พื้นป่า ทำให้พืชชนิดนี้ไม่ใช่พืชกินเนื้อโดยตรงอย่างที่เข้าใจ ด้วยเหตุนี้สามารถจัดได้ว่า หม้อแกงลิงเป็นพืชกินซากอินทรีย์ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าหม้อแกงลิง (N. ampullaria) เป็นเพียงหนึ่งในสองชนิดในสกุลหม้อข้าวหม้อแกงลิงเท่านั้นที่ไม่ใช่พืชกินเนื้อที่แท้จริง อีกชนิดคือ N. hemsleyana ซึ่งอาศัยสารอาหารจากการดักจับมูลค้างคาวจากการดัดแปลงหม้อของมันให้เป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวพันธุ์ที่มีขนาดเล็ก[11]

หม้อแกงลิง (N. ampullaria) มีการพัฒนาลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเป็นผลมาจากการดัดแปลงตัวเองเพื่อเพิ่มความสามารถในการดักจับเศษใบไม้ ได้แก่

  • การเป็นพืชเพียงชนิดเดียวในสกุลที่ไม่มีเซลล์ "รูปจันทร์เสี้ยว" ที่บริเวณฝาหม้อซึ่งพัฒนาจากเซลล์ควบคุมปากใบ[12] ทำให้ฝาของหม้อนี้ไม่ปิดกักเหยื่อไว้ภายใน[8]
  • ฝาหม้อผิดรูป เล็กมาก และโค้งพับออกด้านนอก ซึ่งไม่บดบังเศษใบไม้แห้งที่ตกลงในหม้อ[10]
  • ต่อมน้ำต้อยซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการล่อเหยื่อ มีจำนวนน้อยมาก บางครั้งไม่พบในฝาหม้อเลย[10]
  • ต่อมขอบของเพอริสโตมลดรูปลงมากเมื่อเทียบกับชนิดอื่น[10]
  • เป็นหม้อที่ผุดจากพื้นดิน ซึ่งภายในหม้อบริเวณที่มีต่อมแผ่ไปจนเกือบถึงเพอริสโตม ซึ่งทำให้พื้นผิวที่มันลื่นคล้ายขี้ผึ้งมีน้อยมากหรือไม่มีเลย[13][14][9] ซึ่งพื้นผิวมันลื่นนี้หน้าที่ให้เหยื่อลื่นและตกลงไปในน้ำย่อย[10] (การไม่มีผิวมันลื่นทำให้แมลงสามารถปีนกลับออกไปได้)
  • โครงสร้างของต้นพืชประกอบด้วยไหลใต้ดินและตะเกียงซึ่งเป็นเรื่องไม่ปกติของพืชในสกุลนี้ บ่อยครั้งจะพบหม้อของหม้อแกงลิงมีจำนวนมากปกคลุมไปทั่วพื้นดิน ซึ่งเป็นการช่วยขยายพื้นที่ในการดักจับใบไม้ที่ร่วงลงมา[10]
  • หม้อของ N. ampullaria ค่อนข้างจะมีอายุยืนยาว เป็นไปตามการสะสมสารอาหารอย่างช้า ๆ จากเศษพืชที่ใช้เวลามาก[10]
  • คาดว่าผู้อิงอาศัยอย่างลูกน้ำ มีส่วนในการช่วยย่อยสลายเศษใบไม้และแปลงเป็นไนโตรเจนให้กับพืชได้ง่ายขึ้น โดยวิธีของการขับถ่ายของแอมโมเนียไอออน รวมทั้งแบคทีเรียที่ย่อยเศษใบไม้จะสร้างแอมโมเนียไอออนออกมาเช่นกัน[10]

มีการแสดงให้เห็นว่าไอโซโทปเสถียรของไนโตรเจนจากใบไม้ (15N) ใน N. ampullaria ที่เติบใตภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ในป่า (และมีเศษใบไม้กิ่งไม้บนพื้น) มีน้อยกว่าต้นไม้ที่ไม่ได้รับเศษใบไม้ กลับกันความเข้มข้นไนโตรเจนรวมกลับมีมากกว่าต้นไม้ที่โตในที่โล่งไม่ได้รับเศษใบไม้ มีการประมาณว่า N. ampullaria ที่โตในป่า 35.7% (±0.1%) ของสารอาหารไนโตรเจนได้มาจากเศษใบไม้เหล่านั้น[15]

ถิ่นอาศัย

[แก้]

N. ampullaria พบได้ตั้งแต่พื้นราบจนถึงระดับสูงจากระดับน้ำทะเล 2,100 เมตร[16] ในเขตร้อนชื้น ทั้งเขตหนองน้ำและป่าฝนเขตร้อน ในบอร์เนียวสามารถพบได้ในพื้นราบในป่าฝนเขตร้อนและป่าพรุ ที่ความสูงไม่เกิน 1000 เมตรจากระดับน้ำทะเล[9] ส่วนในสุมาตราและแหลมมลายู พบที่ระดับความสูงถึง 1,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในป่าฝนเขตร้อน, ท้องทุ่ง, ป่าพรุ พบแม้กระทั่งในนาข้าว[10] และในนิวกินีพบในป่าสน, ป่าปลูก, ทุ่งหญ้า และป่าหญ้าหนองน้ำ[16]

อนุกรมวิธาน

[แก้]

ชื่อวิทยาศาสตร์ในส่วนการอธิบายลักษณะคือ ampulla มาจากภาษาละติน แปลว่า ขวดน้ำ ซึ่งทำให้ชื่อภาษาอังกฤษของหม้อแกงลิง คือ flask-shaped pitcher-plant (หม้อข้าวหม้อแกงลิงทรงขวด)[17] ซึ่งปรากฏในหนังสือ หม้อข้าวหม้อแกงลิงของบอร์เนียว (Pitcher-Plants of Borneo) ฉบับปี 1996 แต่ถูกยกเลิกไปในฉบับตีพิมพ์ครั้งที่สองในปี 2008[18]

ชื่ออื่น

[แก้]

หม้อแกงลิงยังมีชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ คือ ช่อหม้อแกง (ปัตตานี), บลางอกึกอ (มลายู ปัตตานี), หม้อแกงค่าง (ปัตตานี) [19] อังกฤษ: Flask-Shaped Pitcher-Plant

หน่วยอนุกรมวิธานต่ำกว่าระดับชนิด

[แก้]

เมื่อเร็วๆนี้มีการบรรยายลักษณะความผันแปรของ N. ampullaria var. racemosa จากรัฐซาราวักว่ามันมีช่อดอกแบบกระจะ บี.เอช. แดนเซอร์ พิจารณาว่าความหลากหลายอื่น ๆ นั้นไม่สำคัญ[20] มีการแจกแจงไว้ดังนี้:[21]

  • N. ampullacea var. picta Hort.Parker ex Rafarin (1869)
  • N. ampullacea var. vittata Hort.Van Houtte ex Rafarin (1869)
  • N. ampullaria var. geelvinkiana Becc. (1886)
  • N. ampullaria var. guttata D.Moore (1872)[22]
  • N. ampullaria var. longicarpa Becc. (1886)
  • N. ampullaria var. microsepala Macfarl. (1911)
  • N. ampullaria var. papuana Becc. in sched. nom.nud.
  • N. ampullaria var. racemosa J.H.Adam & Wilcock (1990)
  • N. ampullaria var. viridis Hort. ex Teijsm. (1859)[23] nom.nud.
  • N. ampullaria var. vittata-major Mast. (1872)[24]

ลูกผสมทางธรรมชาติ

[แก้]
N. ampullariaแดง

เนื่องจากดอกของ N. ampullaria ที่บานในทุกๆปีมีช่วงเวลาบานหลายสัปดาห์ ทำให้มีโอกาสที่จะผสมข้ามชนิดสูง นี่คือลูกผสมตามธรรมชาติของ N. ampullaria ที่ถูกบันทึกไว้

อ้างอิง

[แก้]
  1. Clarke, C.M. (2018). "Nepenthes ampullaria". IUCN Red List of Threatened Species. 2018: e.T39640A143958546. doi:10.2305/IUCN.UK.2018-1.RLTS.T39640A143958546.en. สืบค้นเมื่อ 19 November 2021.
  2. เต็ม สมิตินันทน์. 2523. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (ชื่อพฤกษศาสตร์-ชื่อพื้นเมือง). กรมป่าไม้ หน้า 379
  3. 1 2 3 McPherson, S.R. 2009. Pitcher Plants of the Old World. 2 volumes. Redfern Natural History Productions, Poole.
  4. (ในภาษาอิตาลี) Catalano, M. 2010. Nepenthes della Thailandia: Diario di viaggio. Prague.
  5. McPherson, S.R. & A. Robinson 2012. Field Guide to the Pitcher Plants of Peninsular Malaysia and Indochina. Redfern Natural History Productions, Poole.
  6. McPherson, S.R. & A. Robinson 2012. Field Guide to the Pitcher Plants of Australia and New Guinea. Redfern Natural History Productions, Poole.
  7. McPherson, S.R. & A. Robinson 2012. Field Guide to the Pitcher Plants of Sumatra and Java. Redfern Natural History Productions, Poole.
  8. 1 2 Lloyd, F.E. 1942. The Carnivorous Plants. Chronica Botanica 9. Ronald Press Company, New York, U.S.A. xvi + 352 pp.
  9. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 Clarke, C.M. 1997. Nepenthes of Borneo. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
  10. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 Clarke, C.M. 2001. Nepenthes of Sumatra and Peninsular Malaysia. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
  11. Gaume, Laurence; Bazile, Vincent; Huguin, Maïlis; Bonhomme, Vincent. "Different pitcher shapes and trapping syndromes explain resource partitioning in Nepenthes species". Ecology and Evolution (ภาษาอังกฤษ). 6 (5): 1378–1392. doi:10.1002/ece3.1920. ISSN 2045-7758. PMC 4739188. PMID 26865951.{{cite journal}}: CS1 maint: PMC format (ลิงก์)
  12. Pant, D.D. & S. Bhatnagar 1977. Morphological studies in Nepenthes (Nepenthaceae). Phytomorphology 27: 13-34.
  13. Macfarlane, J.M. 1893. Observations on pitchered insectivorous plants. Part II. Annals of Botany 7: 403-458.
  14. Jebb, M.H.P. 1991. An account of Nepenthes in New Guinea. Science in New Guinea 17 (1) : 7-54.
  15. Moran, J.A., C.M. Clarke & B.J. Hawkins 2003. From Carnivore to Detritivore? Isotopic Evidence for Leaf Litter Utilization by the Tropical Pitcher Plant Nepenthes ampullaria. International Journal of Plant Sciences 164: 635–639.
  16. 1 2 Jebb, M. & M. Cheek 1997. A Skeletal Revision of Nepenthes (Nepenthaceae). Blumea 42: 1-106.
  17. Phillipps, A. & A. Lamb 1996. Pitcher-Plants of Borneo. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
  18. Phillipps, A., A. Lamb & C.C. Lee 2008. Pitcher Plants of Borneo. Second Edition. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
  19. สำนักงานหอพรรณไม้. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ -- กรุงเทพมหานคร : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, 2549
  20. Danser, B.H. 1928. The Nepenthaceae of the Netherlands Indies. Bulletin du Jardin Botanique de Buitenzorg, Série III, 9(3–4): 249–438.
  21. Schlauer, J. N.d. Nepenthes ampullaria เก็บถาวร 2020-08-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Carnivorous Plant Database.
  22. Moore, D. 1872. On the culture of Nepenthes at Glasnevin. The Gardeners' Chronicle and Agricultural Gazette 1872(11): 359–360.
  23. (ในภาษาฝรั่งเศส) Teysmann, M.J.E. 1859. Énumération des plantes envoyées de Java au jardin botanique de l'Université de Leide. Annales d'horticulture et de botanique, ou Flore des jardins du royaume des Pays-Bas, et histoire des plantes cultivées les plus intéressantes des possessions néerlandaises aux Indes orientales, de l'Amérique et du Japon 2: 133–142.
  24. Masters, M.T. 1872. The cultivated species of Nepenthes. The Gardeners' Chronicle and Agricultural Gazette 1872(16): 540–542.
  25. Scharmann, M. & T.U. Grafe 2013. Reinstatement of Nepenthes hemsleyana (Nepenthaceae), an endemic pitcher plant from Borneo, with a discussion of associated Nepenthes taxa. Blumea 58(1): 8–12. doi:10.3767/000651913X668465
  26. Yulita, K.S. & M. Mansur 2012. The occurrence of hybrid in Nepenthes hookeriana Lindl. from Central Kalimantan can be detected by RAPD and ISSR markers. HAYATI Journal of Biosciences 19(1): 18–24. doi:10.4308/hjb.19.1.18
  27. Lowrie, A. 1983. Sabah Nepenthes Expeditions 1982 & 1983. Carnivorous Plant Newsletter 12(4): 88–95.
  28. (ในภาษาอินโดนีเซีย) Akhriadi, P. 2007. Kajian taksonomi hibrid alami Nepenthes (Nepenthaceae) di Kerinci เก็บถาวร 3 มีนาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Working paper, Andalas University, Padang. Abstract เก็บถาวร 4 มีนาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน

อ่านเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]