1 พงศ์กษัตริย์ 11

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
1 พงศ์กษัตริย์ 11
หน้าของหนังสือพงศ์กษัตริย์ (1 และ 2 พงศ์กษัตริย์) ใน Leningrad Codex (ค.ศ. 1008)
หนังสือหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1
ภาคในคัมภีร์ฮีบรูเนวีอีม
ลำดับในภาคของคัมภีร์ฮีบรู4
หมวดหมู่ผู้เผยพระวจนะยุคต้น
ภาคในคัมภีร์ไบเบิลคริสต์พันธสัญญาเดิม
ลำดับในภาคของคัมภีร์ไบเบิลคริสต์11

1 พงศ์กษัตริย์ 11 (อังกฤษ: 1 Kings 11) เป็นบทที่ 11 ของหนังสือพงศ์กษัตริย์ในคัมภีร์ฮีบรู หรือหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 ในพันธสัญญาเดิมในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์[1][2] หนังสือพงศ์กษัตริย์เป็นการรวบรวมจดหมายเหตุต่าง ๆ ที่บันทึกถึงพระราชกิจของกษัตริย์แห่งอิสราเอลและยูดาห์โดยผู้เรียบเรียงประวัติศาสตร์สายเฉลยธรรมบัญญัติในศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล โดยมีส่วนผนวกเพิ่มเข้ามาในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล[3] บทที่ 11 ของ 1 พงศ์กษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งของตอนที่เน้นไปที่การปกครองของซาโลมอนเหนืออาณาจักรยูดาห์และอิสราเอลที่รวมเป็นหนึ่งเดียว (1 พงศ์กษัตริย์ 1 ถึง 11)[4] จุดเน้นของบทนี้คือความเสื่อมและการสิ้นพระชนม์ของซาโลมอน[5]

ต้นฉบับ[แก้]

บทนี้เดิมเขียนด้วยภาษาฮีบรู แบ่งออกเป็น 43 วรรคตั้งแต่ศตวรรษที่ 16

พยานต้นฉบับ[แก้]

บางต้นฉบับในยุคต้นที่มีข้อความของบทนี้เป็นภาษาฮีบรูเป็น Masoretic Text ได้แก่ Codex Cairensis (ค.ศ. 895), Aleppo Codex (ศตวรรษที่ 10) and Codex Leningradensis (ค.ศ. 1008)[6]

ต้นฉบับโบราณที่หลงเหลืออยู่ของคำแปลเป็นภาษากรีกคอยนีที่รู้จักในชื่อเซปทัวจินต์ (ทำขึ้นในช่วงไม่กี่ศตวรรษสุดท้ายก่อนคริสตกาล) ได้แก่ Codex Vaticanus (B; B; ศตวรรษที่ 4) และ Codex Alexandrinus (A; A; ศตวรรษที่ 5)[7][a]

การอ้างอิงในพันธสัญญาเดิม[แก้]

  • 1 พงศ์กษัตริย์ 11:41–43: 2 พงศาวดาร 9:29–31[9]

เหล่ามเหสีของซาโลมอนและการนับถือรูปเคารพ (11:1–8)[แก้]

การที่ซาโลมอนสมรสกับมเหสีหลายคนอาจไม่ถือว่าผิดจริยธรรมในยุคนั้น โดยเฉพาะเมื่อเป็นการแต่งงานด้วยเหตุผลทางการทูต แต่ก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับในแง่คำสอนในโทราห์ (เทียบกับเฉลยธรรมบัญญัติ 17:17)[5] เรื่องราวนี้เน้นไปที่ประเด็นถกเถียงทางศาสนามากกว่าทางจริยธรรมเกี่ยวกับการมีภรรยาชาวต่างชาติ ด้วยลักษณะที่คล้ายกับความในคัมภีร์ช่วงหลังการไปเป็นเชลย (เอสรา 10; เนหะมีย์ 10) มองว่าภรรยาชาวต่างชาติเหล่านี้เป็นสิ่งยั่วใจที่คุกคามความภักดีต่อพระเจ้าของอิสราเอล[5] ซาโลมอนประทานสิ่งที่คล้ายกับสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนาของชนกลุ่มน้อยในสมัยใหม่แก่เหล่ามเหสี แต่พระองค์ทรงทำเกินเลยไปจนกลายเป็นทำบาปร้ายแรงต่อพระยาห์เวห์ นำไปสู่ผลที่ตามมาอย่างร้ายแรง[5]

การทรงสำแดงของพระเจ้า (11:9–13)[แก้]

เหตุเพราะพระทัยของซาโลมอน "ได้หันไปจากพระยาห์เวห์" ซาโลมอนจึงฝ่าฝืนพระบัญญัติข้อแรกจึงต้องเผชิญกับการสูญเสียอำนาจ แต่พระยาห์เวห์ยังทรงเห็นแก่ความดีของดาวิดจึงเลื่อนการลงโทษออกไป โดยผู้สืบเชื้อสายของซาโลมอนจะเหลืออาณาจักรที่มีขนาดเล็กลง[5][10]

วรรค 13[แก้]

อย่างไรก็ดี เราจะไม่ฉีกอาณาจักรเสียทั้งหมด แต่เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรชายของเจ้า เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกไว้[11]
  • "ให้เผ่าหนึ่ง": หมายถึง "เผ่ายูดาห์" ซึ่งภายหลังกลายเป็นชื่อของราชอาณาจักรด้านใต้[12] อย่างไรก็ตาม เผ่าเบนยามินก็สามารถนับรวมไว้ ณ ที่นี่ได้เช่นกัน เนื่องจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่ายูดาห์และมีทรัพย์สินร่วมกันในเยรูซาเล็ม (รวมไปถึงพระวิหาร) เพราะเมืองนี้เดิมเป็นของชาวเยบุสซึ่งต่อมาถูกพิชิตโดยดาวิด แต่ดินแดนทางเหนือของหุยเขาฮินโนมทั้งหมดแท้จริงแล้วอยู่ในอาณาเขตของเผ่าเบนยามิน[12] ผู้เผยพระวจนะอาหิยาห์ใช้รูปแบบคำเดียวกันนี้ (1 พงศ์กษัตริย์ 11:32) เมื่อพูดกับเยโรโบอัม หลังฉีกเสื้อคลุมใหม่ของตนออกเป็น 12 ชิ้นและมอบให้เยโรโบอัม 10 ชิ้น[12][13]

บรรดาศัตรูของซาโลมอน (11:14–40)[แก้]

การเผยพระวจนะของอาหิยาห์ต่อเยโรโบอัม โดย Gerard Hoet (ค.ศ. 1728)

ความไม่ซื่อสัตย์ของซาโลมอนต่อพระเจ้าส่งผลทำให้เกิด 'ศัตรู' (ภาษาฮีบรู: ซาตาน) ต่อต้านพระองค์ในรูปของ 3 บุคคลที่แตกต่างกัน ได้แก่ ฮาดัดเชื้อกษัตริย์แห่งเอโดม (วรรค 14–22), เรโซนบุตรของเอลียาดา (วรรค 23–25) และเยโรโบอัมบุตรเนบัท (วรรค 26–40)[5] เรื่องราวนี้ระบุอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดศัตรูเหล่านี้ (วรรค 14, 23 รวมถึง 29–33)[5] ประวัติโดยย่อของศัตรูแต่ละคนที่นำเสนอในเรื่องราวนั้นมีความคล้ายคลึงกับในประวัติศาสตร์ยุคก่อนหน้าของอิสราเอล[14]

ประวัติของฮาดัดเชื้อกษัตริย์แห่งเอโดมสะท้อนถึงประวัติศาสตร์การย้ายถิ่นของครอบครัวยาโคบไปยังอียิปต์และเรื่องราวการอพยพ:[14]

เหตุการณ์ ฮาดัด ครอบครัวของยาโคบ
ย้ายไปอียิปต์ เนื่องจากการยึดครองเอโดมโดยอิสราเอลที่นำโดยดาวิดและโยอาบ (11:14–15) เนื่องจากการกันดารอาหาร
การปฏิบัติอย่างกรุณาจากฟาโรห์ ประทานบ้าน อาหาร และที่ดิน (11:18) ประทานดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งโกเชน
สมรสเข้าราชวงศ์ ประทานน้องสาวของพระราชินีให้เป็นภรรยา (11:19) โยเซฟได้บุตรสาวของมหาปุโรหิตเป็นภรรยา
บุตรชายท่ามกลางบุตรของฟาโรห์ เกนูบัท (11:20) โมเสส
ออกจากอียิปต์ หาทางกลับไป (11:21–22) การอพยพโดยการนำของโมเสส

ฮาดัดกล่าวถึงความต้องการจะกลับไปเอโดมของตนโดยใช้ 'ภาษาหนังสืออพยพ' ว่า "ขอให้ข้าพระบาทไปเถิด" (อิงจากกริยาเดียวกันในภาษาฮีบรูว่า shalakh)[14]

ประวัติของเรโซนบุตรของเอลียาดาแห่งดามัสกัส (11:23–25) ก็ขนานกันกับประวัติศาสตร์ของดาวิดกษัตริย์แห่งอิสราเอล[15]

เหตุการณ์ เรโซน ดาวิด
หนีจากเจ้านาย จากฮาดัดเอเซอร์ (11:23) จากซาอูล
รวบรวมผู้คน กลายเป็นหัวหน้ากองปล้น (11:24) กลายเป็นผู้นำของผู้คนในถิ่นทุรกันดาร
กลายเป็นกษัตริย์ ขึ้นครองราชย์ที่ดามัสกัสในซีเรีย (11:25) ได้รับการเจิมตั้งให้ขึ้นครองราชย์ที่เฮโบรนและภายหลังที่เยรูซาเล็ม

เยโรโบอัมบุตรเนบัท ศัตรูคนที่ 3 ของซาโลมอน มาจากทางเหนือของอิสราเอล บ่งบอกว่ามาจากกลุ่มแรงงานเกณฑ์ในเอฟราอิม[5] ความคู่ขนานของประวัติของเยโรโบอัมกับประวัติของดาวิดเป็นดังนี้:[16]

เหตุการณ์ เยโรโบอัม ดาวิด
นักรบผู้กล้าหาญ สามารถเป็นบุคคลสำคัญของราชสำนัก (11:28) ชนะยุทธการที่รบกับชาวฟีลิสเตีย
ช่วงต้นชีวิตรับใช้เจ้านายอย่างซื่อสัตย์ รับใช้ซาโลมอน (11:28) รับใช้ซาอูล
ได้รับพระวจนะโดยผู้เผยพระวจนะ พบกับผู้เผยพระวจนะอาหิยาห์แห่งชิโลห์ (11:29–39) ได้รับการเจิมตั้งโดยผู้เผยพระวจนะซามูเอลผู้ได้รับการเลี้ยงดูจากปุโรหิตเอลีแห่งชิโลห์
ฉีกเสื้อคลุม อาหิยาห์ฉีกเสื้อคลุมของตนและมอบให้เยโรโบอัม (11:30) ซาอูลฉีกเสื้อคลุมของซามูเอล (1 ซามูเอล 15:27)
ถูกคุกคามในฐานะผู้มีสิทธิ์ชิงบัลลังก์ ซาโลมอนหาทางสังหารเยโรโบอัม (11:40) ซาอูลหาทางสังหารดาวิด
พระสัญญาของพระเจ้า แก่เยโรโบอัม (11:38–39) แก่ดาวิด

อาหิยาห์ชาวชิโลห์ปรากฏในฐานะผู้สนับสนุนเยโรโบอัมในเรื่องราวนี้ แต่เขาจะกลายเป็นศัตรูของเยโรโบอัมใน 1 พงศ์กษัตริย์ 14:1-18[17]

ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ (11:41–43)[แก้]

นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้รูปแบบสรุปรัชสมัยโดยทั่วไปในหนังสือพงศ์กษัตริย์[18] ผู้เขียนพงศาวดารกล่าวถึง 'หนังสือพระราชกิจของซาโลมอน' ว่าเป็นแหล่งข้อมูล ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของจดหมายเหตุหลวง[19]

วรรค 42[แก้]

และเวลาที่ซาโลมอนทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มเหนืออิสราเอลทั้งสิ้นนั้นคือ 40 ปี[20]
  • "40 ปี": ตามลำดับเหตุการณ์ของ Edwin R. Thiele รัชสมัยของซาโลมอนเริ่มต้นหลังการสิ้นพระชนม์ของดาวิดระหว่างเดือนกันยายน 972 ปีก่อนคริสตกาลและกันยายน 971 ปีก่อนคริสตกาล จนกระทั่งการสิ้นพระชนม์ของซาโลมอนระหว่างเดือนกันยายน 931 ปีก่อนคริสตกาลและเมษายน 930 ปีก่อนคริสตกาล[21]

ดูเพิ่ม[แก้]

  • ส่วนในคัมภีร์ไบเบิลที่เกี่ยวข้อง: เฉลยธรรมบัญญัติ 17, 1 ซามูเอล 15, 2 ซามูเอล 7, 2 ซามูเอล 8, 1 พงศ์กษัตริย์ 5, 1 พงศ์กษัตริย์ 6, 1 พงศ์กษัตริย์ 7, 1 พงศ์กษัตริย์ 9, 2 พงศาวดาร 2, 2 พงศาวดาร 9, เอสรา 10, เนหะมีย์ 10
  • หมายเหตุ[แก้]

    1. หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 ทั้งเล่มขาดหายไปจาก Codex Sinaiticus ที่หลงเหลืออยู่[8]

    อ้างอิง[แก้]

    1. Halley 1965, p. 190.
    2. Collins 2014, p. 288.
    3. McKane 1993, p. 324.
    4. Dietrich 2007, p. 234.
    5. 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 5.7 Dietrich 2007, p. 240.
    6. Würthwein 1995, pp. 35–37.
    7. Würthwein 1995, pp. 73–74.
    8. This article incorporates text from a publication now in the public domain: Herbermann, Charles, ed. (1913). "Codex Sinaiticus". Catholic Encyclopedia. New York: Robert Appleton Company.
    9. 1 Kings 11, Berean Study Bible
    10. Coogan 2007, p. 510 Hebrew Bible.
    11. 1 พงศ์กษัตริย์ 11:13 THSV11
    12. 12.0 12.1 12.2 Cambridge Bible for Schools and Colleges. 1 Kings 11. Accessed 28 April 2019.
    13. Barnes, Albert. Notes on the Bible - 1 Kings 11. James Murphy (ed). London: Blackie & Son, 1884. Reprint, Grand Rapids: Baker Books, 1998.
    14. 14.0 14.1 14.2 Leithart 2006, p. 87.
    15. Leithart 2006, pp. 87–88.
    16. Leithart 2006, p. 88.
    17. Dietrich 2007, pp. 240–241.
    18. Dietrich 2007, p. 241.
    19. Coogan 2007, p. 512 Hebrew Bible.
    20. 1 พงศ์กษัตริย์ 11:42 THSV11
    21. McFall 1991, no. 1.

    บรรณานุกรม[แก้]

    แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]