หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม โรจนกุล)
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม โรจนกุล) | |
---|---|
เจ้ากรมพระอาลักษณ์ พระราชวังบวรสถานมงคล | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ก่อนหน้า | พระสุนทรโวหาร (ภู่) |
ถัดไป | ไม่ปรากฏ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 19 เมษายน พ.ศ. 2362 แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงรัตนโกสินทร์ |
เสียชีวิต | 6 กันยายน พ.ศ. 2439 (77 ปี) แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงรัตนโกสินทร์ |
บิดา | ขุนหมื่นช่างเขียน (ดี) |
มารดา | ไม่ปรากฏ |
คู่สมรส | คุณหญิงลิขิตปรีชา (พึ่ง) |
บุตร | 1 คน |
อาชีพ | ข้าราชการ, ขุนนาง |
หลวงลิขิตปรีชา (19 เมษายน พ.ศ. 2362 – 6 กันยายน พ.ศ. 2439) มีนามเดิมว่า คุ้ม[1] เป็นนักกวีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์[2][3] ช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 5 ราชเลขานุการในพระองค์ และเป็นเจ้ากรมพระอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล (ฝ่ายวังหน้า) ปรากฏในทำเนียบตำแหน่งข้าราชการ ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งเป็นทำเนียบในสมัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว[4] จนถึงรัชสมัย กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลองค์สุดท้ายในสมัยรัตนโกสินทร์[5]
ประวัติ[แก้]
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เกิดที่กรุงเทพพระมหานคร เมื่อวันจันทร์ แรม 10 ค่ำเดือนห้าปีเถาะสัมฤทธิศก ตรงกับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2362 สมัยรัชกาลที่ 2 มีนิวาสสถานอยู่ที่ย่านบ้านช่างหล่อ วังหลัง เคยเล่าเรียนหนังสือที่วัดโพธิ์ บิดาชื่อ ดี รับราชการเป็นขุนหมื่น ตำแหน่งช่างเขียนในกรมช่างสิบหมู่ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลอยู่กับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) นามมารดาไม่ปรากฎ ภรรยาชื่อ คุณหญิงลิขิตปรีชา (พึ่ง) ส่วนบุตรปรากฏว่าชื่อ หลวงพิสณฑ์ยุทธการ (ปึก โรจนกุล)[6] เป็นทหารกองหนุน ในสมัยรัชกาลที่ 5
สมัยรัชกาลที่ 3 ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล มีบรรดาศักดิ์เป็น นายราชอักษร (คุ้ม) ตำแหน่งนายเวร ถือศักดินา 400 โดยมีพระสุนทรโวหาร (ภู่) หรือ สุนทรภู่ เป็นเจ้ากรมพระอาลักษณ์ ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดปีละ 7 ตำลึง หลังรับราชการได้ 3 ปีเศษ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งนายราชอักษร (คุ้ม) นายเวร ให้เป็นหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวร ถือศักดินา 1,500 ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดปีละ 1 ชั่ง แล้วทรงโปรดเกล้าฯ ตั้งพระสุนทรโวหาร (ภู่) เป็นจางวางกรมพระอาลักษณ์ เมื่อ พ.ศ. 2408 ครั้นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) จึงได้ย้ายไปสมทบกับกรมพระอาลักษณ์ในพระบรมมหาราชวัง
สมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) จึงได้ย้ายไปกรมพระอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวร หลังจากกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเสด็จทิวงคตแล้วจึงย้ายไปสมทบกับกรมพระอาลักษณ์ในพระบรมมหาราชวังอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. พ.ศ. 2435 รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานเบี้ยหวัดเพิ่มอีกปีละ 5 ตำลึง พร้อมพระราชทานเหรียญรัชฎาภิเศกมาลา ร.ศ. ๑๑๒ แก่หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ๆ จึงได้รับเบี้ยหวัดเป็นปีละ 1 ชั่ง 5 ตำลึง[7]
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2439[8] หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ป่วย จึงให้พระอ่อน วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหารรักษามีอาการทรุดๆ ทรงๆ จึงเปลี่ยนให้หมอสีชะเลยศักดิ์ (หมอเชลยศักดิ์) รักษาแทนแต่อาการกลับทรุดลงมาก เมื่อวันที่ 6 กันยายน มีอาการอ่อนเพลียและหอบจวนหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ถึงแก่กรรมเมื่อเวลา 20.00 น. ด้วยโรคชรา สิริรวมอายุได้ 77 ปี[9] คุณหญิงลิขิตปรีชา (พึ่ง) จึงได้เข้าจัดการศพ วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ เพลิงหลวง พร้อมหีบศพเชิงชายเป็นเกียรติยศ
พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษณ์) ผู้ค้นคว้า รวบรวม และบันทึกเรื่องราวของสุนทรภู่ ได้เขียนบันทึกคำกล่าวของพระอมรสินธพ (นก) เมื่อ พ.ศ. 2456 ขณะมีอายุ 77 ปี[10] ซึ่งเล่าว่า "เวลานั้น ใบฎีกามี ของสมเด็จพระปรมา[หมายเหตุ 1] ได้เป็นหลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ท่านผู้นี้เจ้ายศเจ้าศักดิ์ ถือความมั่งมีภาคภูมิเต็มที่อย่างขุนนางโบราณคือ บ่าวไพร่นุ่งห่มร่มค้างคาว กล้องยาแดงกาน้ำเป็นต้น สุนทรภู่ถึงเป็นจางวางก็จริง แค่ลดความมั่งมีให้ท่านเจ้ากรม เวลาจะนั่งจะเดินอยู่ในกิริยาเป็นผู้ถ่อมตน ยอมเป็นผู้ที่ ๒ ไม่ตีตนเสมอเลย"[11]
ยศและบรรดาศักดิ์[แก้]

ตราลายชาดรูปเทวดาสวมชฎายอดชัยถือคัมภีร์นั่งแท่น (ซ้าย) ถือพระขรรค์ (ขวา)
- นายราชอักษร (คุ้ม) ตำแหน่งนายเวรพระอาลักษณ์ ศักดินา 400
- หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ ศักดินา 1,500[13] (ทำเนียบวังหน้าบอกว่าถือศักดินา 1,800)[14]
บรรดาศักดิ์เจ้ากรมพระอาลักษณ์ สมัยหลังรัชกาลที่ 5 ล้วนเป็น พระยาศรีสุนทรโวหาร[15][16][17] และกองรายงานหนังสือไปมา กรมราชเลขานุการ ปรากฏบรรดาศักดิ์ เป็น พระยาศรีราชอักษร[18] กระทั่ง ปี พ.ศ. 2475 กรมพระอาลักษณ์ ยุบเลิกตำแหน่งไปอยู่กับคณะรัฐมนตรี[19]
ผลงาน[แก้]
งานประพันธ์ของหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) โดดเด่นที่มีปรากฏและค้นพบได้ในปัจจุบันมีดังนี้
โคลงกลอน[แก้]
- จารึกวัดโพธิ์ (พ.ศ. 2374-2381)
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ได้ร่วมแต่งโคลงดั้นบาทกุญชร จารึกวัดโพธิ์[20][21] ปรากฏหลักฐานในคำประพันธ์บทหนึ่ง ความว่า “ฉันทพากย์เพลงโคลงคล่อง สองหลวงว่องโวหาร ชาญภูเบศร์สมญา ลิขิตปรีชาเฉลียวอรรถ เจนแจ้งจัดทุกอัน ร่วมสังสรรค์เสาวพจน์”[22]จารึกวัดโพธิ์ ได้รับการขึ้นทะเบียน มรดกความทรงจำของโลก[23][24] เมื่อ พ.ศ. 2551 โดย คณะกรรมการองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)
คำโคลงจารึกวัดโพธิ์ ที่หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เป็นผู้แต่ง ปรากฏว่ามีดังนี้
จารึกโคลงภาพฤๅษีดัดตน[25]
ท่าที่ 27 ท่าดัดตนแก้อาการลมชักปากเบี้ยว ลมลิ้นตาย ลมเท้าเหน็บ ลมมือเหน็บ
- จารึกนี้กล่าวถึงพระฤๅษีกาลสิทธิ์ (ฤๅษีปู่เจ้าสมิงพราย) แสดงบทอาสนะแห่งฤๅษีด้วยท่าตัดตนแก้ลมชักปากเบี้ยว ลมลิ้นตาย ลมเท้าเหน็บ ลมมือเหน็บ ด้วยการใช้มือหนึ่งเหนี่ยวไหล่ กดปลายนิ้วลงเหนือซอกรักแร้ และอีกมือหนึ่งหน่วงข้อเท้า โดยกดหัวแม่มือกดลงที่เอ็นเหนือตาตุ่มด้านใน จารึกดังกล่าวถูกค้นพบที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

ท่าที่ 40 ท่าดัดตนแก้เท้าเย็นสบาย ใจสวิงสวาย
- จารึกนี้กล่าวถึงพระฤๅษีกบิล แสดงบทอาสนะแห่งฤๅษีด้วยท่าดัดตนแก้เท้าเย็น ใจสวิงสวาย โดยการไขว้เท้าหนึ่งไปวางบนตักของอีกข้างหนึ่ง ซึ่งถูกสองมือกุมเข่า รัดแข้งยกเอาไว้จารึกดังกล่าวถูกค้นพบที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
จารึกโคลงภาพคนต่างภาษา
แผ่นที่ 31 ภาพเขมร[26]
- เป็นหนึ่งในจารึกโคลงภาพต่างภาษาจำนวน 32 แผ่น จารึกนี้กล่าวถึงอัตลักษณ์และตัวตนชนชาติเขมรว่ามีผิวดำ นับถือศาสนาพุทธ อาศัยอยู่ในประเทศกัมพูชาทางด้านทิศตะวันออกซึ่งเป็นเมืองขึ้นของสยาม แต่งกายโดยนุ่งผ้าปูม สวมเสื้อสีคราม คาดแพรเยื่อไม้ของญวนที่สะเอว และไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม ไม่ไว้ไรผม จารึกดังกล่าวถูกค้นพบที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
แผ่นที่ 32 ภาพลิ่วขิ่ว[27]
- เป็นหนึ่งในจารึกโคลงภาพต่างภาษาจำนวน 32 แผ่น จารึกนี้กล่าวถึงอัตลักษณ์และตัวตนชนชาติลิ่วขิ่ว ว่ามีการเกล้าผมมวยเหมือนจุกเด็ก สวมเสื้อสีหมากสุกยาวคลุมเข่า โพกศีรษะ บ้านเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก และมีการถวายบรรณาการแด่จีนจารึกดังกล่าวถูกค้นพบที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
จารึกเพลงยาวกลบทและกลอักษร
แผ่นที่ 8 กลบทกินรเกบบัว
- จารึกกลบทกินรเกบบัว มีคำจารึก 19 บรรทัดซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงความชอกช้ำใจจากหญิงคนรักที่กลับห่างเหินไป
แผ่นที่ 20 กลบทพระจันท์ธรงกลด
- จารึกกลบทพระจันท์ธรงกลด มีคำจารึก 22 บรรทัดซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงความโศกเศร้าเพราะการพลัดพรากจากหญิงคนรัก
แผ่นที่ 39 กลบทก้านต่อดอก
- จารึกกลบทก้านต่อดอก มีคำจารึก 19 บรรทัดซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงความทุกข์ระทมที่ต้องอยู่ห่างไกลจากหญิงอันเป็นที่รัก
ศิลาจารึกศาลเจ้าหลักเมืองพระตะบอง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เป็นผู้แต่ง เป็นโครงสี่สุภาพสลับกาพย์ฉบับ 16 โดยคำประพันธ์ที่จารึกผนังด้านทิศตะวันออกมีระบุบรรดาศักดิ์เป็นหลวงลิขิตปรีชาเป็นผู้แต่ง ซึ่งณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม ราชบัณฑิตประเภทประวัติศาสตร์ ระบุว่า หลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรมพระอาลักษณ์ผู้นี้มีนามเดิมว่า คุ้ม กวีในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นผู้แต่งโคลงดังกล่าว
ตัวอย่างคำประพันธ์
๏ อาลักษณ์ศักดิ์ยศพร้อง | สมญา | |
หลวงลิขิตปรีชา | ชื่ออ้าง |
นิพนธ์สรรพ์พจนา | โคลงพากย์ ฉันท์เอย | |
แนะตรนักนามป้อมสร้าง | สฤษดิ์ไว้เปนเฉลิม ฯ |
๏ ป้อมนารายน์นารายน์ทรง | จักรแก้วฤทธิรงค์ | |
ประหารประหัตดัษกร |
ป้อมเสือเสือร้ายแรงขจร | ในด้าวดงดอน | |
จัตุบาทฤๅอาจเทียบทัน ฯ | ||
— ศิลาจารึกศาลเจ้าหลักเมืองพระตะบอง |
ส่วนคำประพันธ์ในจารึกผนังด้านทิศตะวันตก กล่าวถึงเหตุการณ์สร้างเมืองพระตะบองและยังกล่าวถึงการอธิษฐานขอให้เทพยดาช่วยรักษาคุ้มครองเมือง ซึ่งศิลาจารึกส่วนนี้เป็นของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เนื่องด้วยเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) สร้างเมืองไว้เพื่อป้องกันศัตรู
ตัวอย่างคำประพันธ์
๏ ปางปิ่นอดิศวร | ผู้ทรง ทศพิธธำรง | |
จารีตราชประเพณี |
เฉลิมดิลกพิภพศรี | อยุทธเยศบุรี | |
พระเกียรติเกริ่นธราดล ฯ |
๏ สถิตยพระโรงรัตนโสภณ | พร้อมหมู่มุขมน– | |
ตรีชุลีกรเดียรดาษ |
บัดเอื้อนราโชยงการประภาษ | สั่งตูข้าบาท | |
ผู้รองเบื้องมุลิกา ฯ | ||
— ศิลาจารึกศาลเจ้าหลักเมืองพระตะบอง |
- โคลงนิทานเบ็ดเตล็ด (พ.ศ. 2430)[30]
- สุริยพันธ์คำกลอน (พ.ศ. 2431)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระนิพนธ์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ทรงนิพนธ์ขึ้นในขณะยังทรงดำรงพระยศเป็น กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ เริ่มนิพนธ์ครั้งแรกเมื่อ 12 กรกฎาคม ร.ศ. 131 (พ.ศ. 2431) ปรากฏว่าหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ในขณะนั้นเป็นหนึ่งในกวีที่ได้ร่วมแต่งคำกลอนลงในพระนิพนธ์นี้ด้วยโดยมีปรากฏคำกล่อนใน สุริยพันธ์คำกลอน[31] ตอนที่ 5 ตอนที่ 8 ตอนที่ 9 ตอนที่ 12 และตอนที่ 21 เป็นต้น และเคยได้รับการเผยแพร่ลงใน วารสารศิลปากร ฉบับปีที่ 4 เล่มที่ 5 วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2494 - ฉบับ ปีที่ 8 เล่มที่ 12 วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2495 โดยสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร
ตัวอย่างคำประพันธ์
๏ ฝ่ายพระสุริยพันธุ์พงศ์กษัตริย์ | ซึ่งวิบัติเรือแตกแยกสลาย | |
ลงเรือน้อยลอยไปไม่วางวาย | เอกากายผู้เดียวให้เปลี่ยวใจ |
ด้วยเวลาราตรีก็มืดมิด | ทั่วทุกทิศไม่เห็นสิ่งใดได้ | |
พายุกล้าสลาตันพรั่นฤทัย | โอ้ที่ไหนจะได้รอดตลอดคืน ฯ | |
— สุริยพันธ์คำกลอน ตอนที่ 5 |
- โคลงพิพิธพากย์ (พ.ศ. 2455)[32]
เป็นคำโคลงสุภาษิตที่แสดงถึงคุณและโทษของเรื่องที่ตั้งกระทู้ความ เช่นว่า ความงาม ความรัก ความชัง ความเบื่อหน่าย เป็นต้น ซึ่งกรรมการหอพระสมุดวชิรญาณได้รวบรวมโคลงเหล่าให้เป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อ พ.ศ. 2457 หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ได้ร่วมแต่งโคลงนี้ในกระทู้ความเรื่อง ความอิจฉา
ตัวอย่างคำประพันธ์
๏ ความอิจฉาเกิดขึ้น | คนใด | |
พาจิตรไม่ผ่องใส | สดชื่น |
มักงุ่นง่านทยานใจ | เจียนคลั่ง | |
เพราะตฤกตรองตื้นตื้น | ต่ำช้าตนเฉา ฯ | |
— โคลงความอิจฉา |
- กำนันหลอกพราน
เป็นเพลงยาวมีความยาว 27 บท หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ร่วมแต่งกับนายนาน บางขุนพรหม ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกใน วารสารวชิรญาณวิเศษ[33] หมวดนิทานคำกลอน เล่ม 8 แผ่นที่ 20 ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก 111 ตรงกับ พ.ศ. 2435 และถูกตีพิมพ์อีกครั้งในหนังสือ นิทานวชิรญาณ เล่ม 1[34] เมื่อ พ.ศ. 2555 โดยสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร
นิราศ[แก้]
นิราศสรวมครวญเป็นวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วยโคลงสุภาพชาตรีจำนวน 186 บท และใช้ร่ายสุภาพปิดท้ายโคลงนิราศ ซึ่งหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ร่วมแต่งกับขุนสาราบรรจง ขุนจำนงสุนธร และนายเวรจำลอง ภายหลังหม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนีได้ตรวจสอบ ชำระใหม่และเขียนเพิ่มเติมเป็นฉบับ นรินทร์จัน-ประชันนรินทร์อิน ทรงใช้นามปากกาว่า “พ.ณ.ประมวญมารค”
ตัวอย่างคำประพันธ์
๏ เทเวนทรวาสุเทพท้าว | ผทมสินธุ์ | |
อ่อนอาสน์อุรัคคินทร์ | ค่ำเช้า |
ทรงสังข์จักราจิณ | เจนหัตถ์ | |
หลับอย่าลืมละเจ้า | ปิ่นไท้ผไทสยาม ฯ | |
— นิราศสรวมครวญ |
อื่นๆ[แก้]
- เลียดก๊ก พงศาวดารจีน (พ.ศ. 2362)
เมือ พ.ศ. 2362 ตรงกับรัชกาลที่ 2 หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ได้ร่วมแปลและเป็นบรรณาธิการ เลียดก๊ก พงศาวดารจีน ปรากฏในย่อหน้าที่ 3 ของพงศาวดารว่า "ห้องสินแลในเลียดก๊กนั้น ว่าด้วยพระเจ้าบู๊อ่องครองเมืองทั้งปวงคิดทำศึกกัน ข้าพเจ้าหลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรมอาลักษณ์ชำระขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย"[37] พร้อมด้วยกวีดังนี้ ขุนมหาสิทธิโวหาร พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนเรศร์โยธี หลวงญาณปรีชา เจ้าพระยายมราช เจ้าพระยาวงศาสุรศักดิ์ (แสง วงศาโรจน์) พระยาโชดึกราชเศรษฐี หลวงวิเชียรปรีชา ขุนท่องสื่อ จมื่นไวยวรนาถ นายเล่ห์อาวุธ และจ่าเรศ
- ตำรานพรัตน์
ตำรานพรัตน์[38][39][40] ฉบับร้อยแก้ว คือ ตำราว่าด้วยอัญมณี ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกใน งานบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชนมายุครบ ๖๐ พระพรรษาของสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี เมื่อ พ.ศ. 2464 ในวาระต่อมาได้รับการตีพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง นับว่า ตำรานพรัตน์ ฉบับนี้เป็นฉบับที่แพร่หลายมากที่สุด[41] ซึ่งหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เป็นผู้แต่งตำรับพุทธศาสตร์ประกอบ ตำรานพรัตน์ ว่า "วชิรํ รัตตํ อินฺทนีลํ เวฬุริยํ รัตฺตกาฬมิสิสกํ โอทาตปีตมิสสฺกํ นีลํ ปุสฺสราคํ มุตตาหารญจาติ อิมานิ นวากาทีนิ รตนานิ ตฺสมา รตนชาติ โย อเนกวิธา นานาปเทเสสุ อุปปชฺชนตีติ เวทิตฺพพา" ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ถอดความพระบาลี ว่า
อันว่ารัตนชาติทั้งหลายมีประการเป็นอันมากจะประมาณมิได้ มีแก้วเก้าประการเป็นอาทิ คือ แก้ววิเชียร ๑ แก้วแดง ๑ แก้วอินทนิล ๑ แก้วไพทูรย์ ๑ แก้วรัตกาลมิสก ๑ แก้วโอทาตปปิตมิสก ๑ นิลรัตน์ ๑ แก้วบุษราคัม ๑ แก้วมุกดาหาร ๑ แก้วทั้งเก้าประการมีพรรณต่างกัน แต่แก้ววิเชียรนั้นมีสีงามบริสุทธิ์ดังน้ำอันใส ตำราไสยศาสตร์ชื่อว่าเพชร นับถือว่าเป็นมงคล อันพราหมณ์ทั้งหลายนำมาใช้ให้ช่างเจียรนัยผูกเรือนธำมรงค์ประดับด้วยเนาวรัตน์จัดเอาเพชรตั้งเป็นปฐม อันว่าแก้วมีพรรณแดงงามสดใสยิ่งนักในตำราไสยศาสตร์สมมุติชื่อว่าปัทมราช ถ้ามีสีแดงอ่อนดังผลเมล็ดทับทิมสุกนั้นชื่อว่าทับทิมประดับเรือนธำมรงค์เนาวรัตน์เป็นที่สอง อันว่าแก้วอินทนิลมีพรรณผลนั้นเขียวเลื่อมประภัสสรดังแสงแห่งปีกแมลงทับประดับเรือนนพรัตน์เป็นที่สาม อันว่าแก้วไพทูรย์มีสีเหลืองเลื่อมพรายดังสีสรรพ์พรรณบุปผชาติทั้งหลายมีสีดอกทรึกเป็นอาทิ ประดับนับเข้าในเรือนนพรัตน์เป็นที่สี่ อันว่าแก้วอันมีสีดำและสีแดงเจือแกมกันดูงามสดใส สมมติว่ามีคุณอันพิเศษนำมาผูกเรือนธำมรงค์เนาวรัตน์จัดเป็นที่ห้า อันว่าแก้วอันมีสีขาวกับสีเหลืองเจือกันนั้นประดับเนาวรัตน์เป็นที่หก อันว่าแก้วอันมีสีขาวกับสีเหลืองเจือกันนั้นประดับเนาวรัตน์เป็นที่หก มีสีดอกอัญชันและดอกสามหาว ประดับเรือนเนาวรัตน์เป็นที่เจ็ด อันว่าบุษราคัม มีสีเหลืองเลื่อมประภัสสรดังสีวงแววหางปลาสลาด นัยหนึ่งมีสีดังหลังปู ประดับเรือนนพรัตน์เป็นที่แปด อันว่ามุกดาหารมีสีดังมุกอันเลื่อมพราย ดูงามเป็นที่จำเริญจักขุบุคคลอันเล็งแลดู ประดับเรือนพระธำมรงค์นพรัตน์เป็นที่เก้า[42]
โดยมีกวีในครั้งนั้นร่วมแต่ง ตำรานพรัตน์ ปรากฏว่ามี สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) (ขณะยังเป็นพระยาสุริยวงศ์มนตรี) พระมหาวชิรธรรรม หลวงภักดีจินดาและนายชม รวมถึงบรรดากวีท่านอื่น ๆ ที่ได้ร่วมนิพนธ์กับหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ช่วงรัชกาลที่ 3 เช่น พระมหามนตรี (ทรัพย์) ขุนธนสิทธิ์ หมื่นพรหมสมพัตรสร หมื่นนิพนธ์อักษร ครูแจ้ง นายเกตุ นายช้าง นายนก นายพัต และกวีหญิงอีก 2 ท่านคือ คุณพุ่มและคุณสุวรรณ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาสุริยวงศ์มนตรี, พระมหาวชิรธรรรม, หลวงลิขิตปรีชา, หลวงภักดีจินดา, นายชม ปรึกษาพร้อมกับสอบตำราเพชรรัตน์ตำหรับพราหมณ์ ซึ่งหลวงภักดีจินดาได้เรียนไว้มาชำระเทียบต้องกันสามฉบับ พระมหาวิชาธรรนค้นพระบาลีพุทธศาสตร์ ประกอบกับตำราไสยศาสตร์ หลวงลิขิตปรีชาอาลักษณ์แต่งตำหรับพุทธศาสตร์ ประกอบกับตำราไสยศาสตร์ทูนเกล้าถวาย[43]
- พระพิไชยสงคราม (พ.ศ. 2368)
เมื่อ พ.ศ. 2368 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุริยวงศ์ กรมหลวงพิเศษศรีสวัสดิสุขวัฒนวิไชย ได้จัดข้าทูลอองธุลีพระบาทสนองพระบัณฑูรสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ให้ชำระคัมภีร์สาตรพยากรณ์ฤกษบนล่าง วิทธีวิชาไมยมนต์เลกยันต์แลอาถันข่มนาม และพระราชพิทธีข่มนามที่พยุหะ ซึ่งหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ได้ร่วมชำระตำรับ พระพิไชยสงคราม เมื่อวันพฤหัสบดี แรม 6 ค่ำ เดือน 8 ปีระกาสัพศก[44][45][46][47] เป็นตำราลับปกปิดที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงแต่งขึ้นเมื่อปีมะเมีย สัมฤทธิ์ศก ตรงกับ พ.ศ. 2041 โดยเชิญพระตำรับจำนวน 14 เล่ม ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ในพระราชวังบวรสถานมงคล ความว่า "...พระเจ้าน้องยาเธอรับพระราชปริหาญ จัดข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้มีสติปัญญา ได้ พระยาบำเรอบริรักษ์ จางวางมหาดเล็ก ๑ พระมหาวิชาธรรม ๑ จางวาง ราชบัณฑิต ๑ หลวงลิขิตรปรีชา เจ้ากรมอาลักษณ์ ๑ หลวงสุธรรมาจารย์ ๑ พระโหราธิบดี จางวางโหร ๑ หลวงญาณเวท ๑ หลวงไตรเพทวิไศรย ๑ ขุนโลกยพรหมา ปลัดกลม ๑ รวม ๙ นาย พระเจ้าน้องยาเธอเป็นแม่กอง ครั้น ณ วัน ๕ ๖ ๘ ค่ำ ปีระกาสัพศก พร้อมกัน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ หลวงลิขิตรปรีชา เจ้ากรมพระอาลักษณ์ เชิญพระตำรับพระพิไชยสงครามข้างที่ออกมาเป็นสมุดพระราชตำรับ ๑๔ เล่ม ให้ลงมือจับชำระสอบสวนกันที่ฟั่นเฟือนวิปลาดซ้ำกันก็วงกาตกเต็มให้ถูกถ้วนแล้วขึ้นกราบทูลพระกรุณา ทุกเวลาเสด็จออกวถายสังฑภัตทาน ทรงฟังเทศนาเช้าเย็น ภอพระทัยบ้าง ทรงชำระวงกาดัดแปลงบ้าน โปรดให้ออกมาเรียบเรียงชำระใหม่บ้าง แต่ได้ชำระพระตำรับพระพิไชยสงคราม ณ วัน ๕ ๖ ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๘๗ ปีระกาสัพศก จนถึง ณ วัน จึงสำเร็จ ให้คัดส่งเข้าไว้ข้างที่ฉบับหนึ่งไว้ ณ หอหลวงฉบับหนึ่ง..."[48]
- หนังสือ "องเลโบ” (พ.ศ. 2390)
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) รับสั่งจากเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ให้แปลหนังสืออักษรญวนออกเป็นไทย พร้อมนำสำเนาแปลหนังสือญวนคำให้การของพญาราชเดชกับพญาธนาธิบดีขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งให้เป็นผู้พาพญาราชเดชกับพญาธนาบดี องค์ญวนของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี (พระองค์ด้วง) ทั้ง 2 องค์เข้ามาแจ้งราชการที่กรุงเทพด้วย เมื่อแปลเสร็จแล้วหลวงลิขิตปรีชา (ปลอบ) นำหนังสือบอก และสำเนาแปลหนังสือญวนคำให้การของพญาราชเดชกับพญาธนาธิบดี ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทราบแล้ว ทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าฯ ว่า "ตั้งแต่แผ่นดินเทียวตรีมา ๗ ปี ได้ทรงฟังแต่หนังสือขุนนางญวนแม่ทัพซึ่งมีไปมาถึงเจ้าพญาบดินทรเดชา ก็เห็นเป็นปากร้ายตามทำนองแต่ก่อน พึ่งจะได้ทรงทราบสำนวนเจ้าเทียวตรีรู้ทำนองครั้งนี้ เห็นเป็นปากกล้าใจอ่อนผิดกับทำนองเจ้ามินมาง, เจ้าญาลอง, ทรงพระราชดำริราชการเมืองเขมรเข้าพระทัยว่า ทำนองญวนก็จะเหมือนกันกับทำนองแต่ก่อน ที่ไหนจะให้กลับมาให้สมคิดสมหมายง่าย ๆ พระราชดำริผิดไปแล้ว เจ้าพญาบดินทรเดชา ฯ คิดราชการถูกอุตส่าห์พวกเพียรจนสำเร็จได้ตามความปรารถนา ด้วยเดชะพระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวที่จะได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้ตั้งอยู่ในเมืองเขมรฐีติการ ควรที่จะยินดีรับขวัญเอา ได้มาเถิงเมืองพร้อมเมืองแล้วก็กระหมวดไว้ให้หมั่น แต่ญวนเอาเมืองเขมรของเราไปตั้งแต่ปีวอกจัตวาศนับได้ถึง ๓๖ ปีแล้ว พึ่งได้ คืนมาเป็นของเราเมื่อ ณ วัน ๕ ๗ ค่ำ ปีมะแมนพศก และเจ้าพญาบดินทรเดชาฯ ออกไปลำบากกรากกรำคิดราชการจะเอาเมืองเขมรคืนตั้งแต่ปีมะเส็งเบ็ญจศกช้านานถึง ๑๕ ปี อุปมาเหมือนหนึ่งว่ายน้ำอยู่กลางพระมหาสมุทรไม่เห็นเกาะเห็นฝั่ง พึ่งจะได้"[49]
- พระสมุดโคลงแผนม้า ตำราพุกาม ฉบับกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ (พ.ศ. 2395)[50]
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์รับสั่งให้ชำระตำราร่วมกับขุนจำนงสุนทร ปลัดกรม เมื่อวันพฤหัสบดีเดือนสิบ ขึ้นห้าค่ำ ปีชวดจัตวาศก ตรงกับวันที่ 19 สิงหาคม ในสมัยรัชกาลที่ 4
- พระราชปุจฉาในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑-รัชกาลที่ ๕ เล่ม 2
ประชุม พระราชปุจฉาในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑-รัชกาลที่ ๕ เป็นหนังสือประชุมพระราชปุจฉาที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชดำรัสถามข้ออรรถธรรมที่ทรงสงสัยให้พระราชาคณะประชุมถวายวิสัชนา เมื่อ พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรรหารให้หาหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร เข้าเฝ้าทูลลองธุลีพระบาทเพื่อนำข้อความพระราชปุจฉา เช่น ข้ออรรถธรรมว่าด้วยเถรวาทผู้แต่งคัมภีร์อัตโนมัติเรื่องมารวิชัย และทศโพธิสัตว์แอบอ้างเอาพระพุทธฎีกาจะเป็นกล่าวพระพุทธวจนะหรือไม่ ถวายนิมนต์เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชให้วิสัชนา ณ วัน 6 แรม 6 ค่ำเดือน 12 วานรสังวัจฉรนักษัตรฉศก ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2367
จึงมีรับสั่งโปรดดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้พระมหาวิชาธรรม หลวงลิขิตปรีชา นำข้อความพระราชปุจฉานั้นออกไปเผดียงแก่สมเด็จพระสังฆราช ให้ประชุมพระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพร้อมกันวิสัชนา จึงจะหายความสงสัย[51]
- ศิริวิบุลยกิตต์
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ได้ร่วมแต่งเพลงยาวกลบทและกลอักษรกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หลวงนายชาญภูเบศร์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทัศน์ กรมหมื่นไกรสรวิชิต ขุนธนสิทธิ์และจ่าจิตร์นุกูล
พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน เป็นพระสมุดพระราชพงศาวดารสมุดไทย 42 เล่ม มีเนื้อเรื่องตั้งต้นแต่พระเจ้าเชียงราย (พระเจ้าชัยศิริ) มาสร้างเมืองไตรตรฤง (เมืองไตรตรึงส์) แล้วพระเจ้าศิริไชยเชียงแสนสร้างเมืองเทพนคร พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยาจนขุนพิเรนคิดการจะจับขุนวรวงศาธิราช จนถึงจนถึงนายบุญเรืองเผาตัวตายที่วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2333 ซึ่งพระอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) รัชกาลที่ 4-5 ได้แบ่งกันคัดลอก โดยมี หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ขุนสาราบรรจง ปลัดกรมจำลอง และขุนจำนงสุนทร ปลัดกรม ปรากฏในปกหน้าสมุดไทยพระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนฉบับตัวเขียนว่า[52]
๏ ข้าพระพุทธเจ้าขุนษาราบันจงปลัดกรมจำลอง หลวงลิขิตปรีชาเจ้ากรม ขุนจำนงสุนทรปลัดกรม ธารทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายขอเดชะ ๚ะ
การมีส่วนร่วมในสงครามเมืองพระตะบอง[แก้]
ช่วงรัชกาลที่ 3 ขณะนั้นมีสงครามระหว่างเขมร และญวน เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ได้จัดกองทัพเพื่อยกไปเมืองพระตะบอง[53] ใกล้กับจังหวัดจันทบุรี ณ วันเดือนยี่ ปีกุนเอกศก กรมอาลักษณ์ซึ่งหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมขณะนั้นเป็นนายทัพ พร้อมเสื้อพระราชทานนายทัพ ดอกถี่ 1 ชุด ได้จัดบัญชีแก่กองทัพเจ้าคุณจำนวน 2 คน เป็นนาย 1 คน และไพร่ 1 คน และขุนสาราบรรจง ปลัดกรมขวา เป็นนายกอง พร้อมเสื้อพระราชทานนายกอง ดอกลาย 1 ชุด จัดกำลังขุนหมื่นในกรมจัดกำลังจำนวน 25 คน ประกอบด้วยขุนหมื่นในกรม 7 คน ช่างสมุด 6 คน ช่างสมุดเลว 9 คน นาย 2 คน และ ไพร่ 1 คน ตามลำดับ ดังปรากฏใน ประชุมพงศาวดาร เล่ม 42 ภาคที่ 66 (ต่อ) – 67 เรื่อง จดหมายเหตุรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรี เล่าเรื่องไปชะวา ครั้งที่ 3 ฉบับที่ 2 บัญชีกองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เมื่อยกไปเมืองพระตะบอง หน้า 180 วรรคที่ 2 ความว่า "กรมอาลักษณ์ หลวงลิขิตปรีชา นาย ๑ ไพร่ ๑ เป็น ๒ ขุนสาราบรรจง ๑ ขุนหมื่นในกรม ๗ ช่างสมุด ๖ เป็น ๑๓ ช่างสมุดเลว ๙ นาย ๒ ขุนหมื่น ๒๒ เป็น ๒๔ ไพร่ ๑ เป็น ๒๕"[54]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]
- พ.ศ. 2446 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 2 ทุติยจุลจอมเกล้า (ท.จ.) (ฝ่ายหน้า)
- พ.ศ. 2446 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)
- พ.ศ. 2446 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
- พ.ศ. 2446 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
- พ.ศ. 2446 –
เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา (ร.ด.ม.(ศ))
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ –
เหรียญจักรพรรดิมาลา (ร.จ.พ.)
- พ.ศ. 2435 –
เหรียญรัชฎาภิเศกมาลา (ร.ศ.)
หมายเหตุ:พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ กรมพระสมมตอมรพันธ์ กรมราชเลขานุการในขณะนั้นรับพระบรมราชโองการใส่เกล้า ฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการกรมพระอาลักษณ์ในรัชกาลก่อนมาจนถึงปีวอกวัตวาศกศักราช 123 ในงานพระราชพิธีสมภาคาภิเษก โดยหมายให้ข้าราชการมาบอกบัญชีที่กรมพระอาลักษณ์ หมายวันที่วันที่ 18 สิงหาคม 2444 โดยให้มาแจ้งความที่หม่อมนิวัทธอิศรวงษ์ (หม่อมราชวงศ์พยอม อิศรศักดิ์) ณ กรมพระอาลักษณ์ ให้จดบัญชีชื่อตั้งชื่อเดิม และรับตำแหน่งยศเป็นที่อะไร ปีใด ศักราชใด ให้เสร็จภายในวันที่ 10 กันยายน รัตนโกสินทร์ศก 122 (พ.ศ. 2446)[55][56] สำหรับตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์โปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (ต.ช.) (ป.ม.) ประจำตำแหน่ง เหรียญราชอิสริยาภรณ์ (ร.ด.ม.) และ (ร.บ.ม.) สำหรับนักกวี ส่วน (ร.จ.พ.) กรณีที่รับราชการมามากกว่า 25 ปี สำหรับเครื่องราชอิสรยาภรณ์จุลจอมเกล้าโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้สำหรับตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ (ชั้น ท.จ.) และร่วมทำหน้าที่ราชการทหาร การสงคราม (ต่อมารัชกาลภายหลังโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีแทน)
อ้างอิง[แก้]
- หมายเหตุ
- เชิงอรรถ
- ↑ ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม, สามเจ้าพระยา: เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร), เจ้าพระยาบดินทร์เดชา สิงห์ (สิงหเสนี), เจ้าพระยาทิพากรณ์วงศ์ (ขำ บุนนาค). พระนคร : โรงพิมพ์อาศรมอักษร, 2505.
- ↑ ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต. ประวัติวรณคดีวิจารณ์ไทย พ.ศ. 2325-2525 ทอไหมในสายน้ำ 200 ปี วรรณคดีวิจารณ์ไทย. กรุงเทพฯ : ประพันธ์สานส์, 2541. 291 หน้า. ISBN : 974-230-708-0
- ↑ นันธนัย ประสานนาม. พิพิธพรรณวรรณา : ความทรงจำและสยาม - ไทยศึกษาในบริบทสากล. กรุงเทพฯ : ศักดิโสภาการพิมพ์, 2556. 352 หน้า. หน้า 303. ISBN 978-616-278-111-7
- ↑ สมบัติ ปลาน้อย. เจ้าฟ้าจุฑามณี, พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์รวมสาส์น (1977), 2536. 315 หน้า.
- ↑ ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 เล่ม 2. พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2504.
- ↑ ชำนาญอักษร (ปลอบ โรจนกุล), พระยา. คำสอนจากขุนพิสณฑ์สู่ลูกหลาน. หน้า 5.
- ↑ ชำนาญอักษร (ปลอบ โรจนกุล), พระยา. คำสอนจากขุนพิสณฑ์สู่ลูกหลาน. หน้า 18.
- ↑ ชำนาญอักษร (ปลอบ โรจนกุล), พระยา. คำสอนจากขุนพิสณฑ์สู่ลูกหลาน. หน้า 19.
- ↑ ข่าวตาย. (๒๔๓๙). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๑๓. หน้า ๒๘๙ – ๒๙๐.
- ↑ บุญชัย ใจเย็น. "เรื่องการเมืองในวังหลวง," ใน ชายในหม่อมห้าม. กรุงเทพฯ : ปราชญ์, 2556. 160 หน้า. หน้า 65. ISBN 978-616-3442-09-3
- ↑ ปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษณ์), พระยา. "สุนทรภู่จากพระอมรสินธพ (นก)," ใน ประวัติสุนทรภู่ จากบันทึกของ พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์). (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยมหิดล, 2554. 375 หน้า. หน้า 14. ISBN 978-974-1109-58-6
- ↑ จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์ ร.๔ จ.ศ. ๑๒๒๓ (พ.ศ. 2404) เลขที่ ๒๘๕.
- ↑ ประวัติขุนนางวังหน้า ร. 2. กรุงเทพ หน้าที่ 12
- ↑ เทพ สุนทรศารทูล. ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์). กรุงเทพฯ : พระนารายณ์, 2533. 225 หน้า. ISBN : 974-575-133-2.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. ตำแหน่งข้าราชการกรมรัฐมนตรีแลกรมพระอาลักษณ์ รัตนโกสินทรศก ๑๑๗. เล่ม 15 หน้า 92. ร.ศ. 117 (พ.ศ. 2441).
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. ตำแหน่งข้าราชการกรมรัฐมนตรีแลกรมพระอาลักษณ์ รัตนโกสินทรศก ๑๑๘. เล่ม 16 หน้า 183. 2 กรกฎาคม ร.ศ. 118 (พ.ศ.2442).
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. ตำแหน่งข้าราชการราชเลขานุการแลกรมพระอาลักษณ์ ศก ๑๒๙. เล่ม 27 หน้า 665. 10 กรกฎาคม ร.ศ. 129 (พ.ศ. 2453).
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. ราชพระนามและนามสมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับตระกูลจุลจอมเกล้า. เล่ม 33 หน้า 2,172. 19 พฤศจิกายน 2459.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. ประกาศปลดอธิบดีกรมพระอาลักษณ์. เล่ม 49 หน้า 497. 17 ฤศจิกายน 2475.
- ↑ กลิ่น คงเหมือนเพชร. วรรณกรรมทักษิณ: วรรณกรรมปริทัศน์. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์, 2004. 728 หน้า
- ↑ ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย
- ↑ เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. กายบริหารแบบไทย: ท่าฤๅษีดัดตน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า, 2540. 373 หน้า.
- ↑ ยูเนสโกขึ้นทะเบียน ‘จารึกวัดโพธิ์’ ‘มรดกความทรงจำของโลก’. (2551, 1 เมษายน). ASTV ผู้จัดการออนไลน์.
- ↑ เก้า มกรา, (2551). ธรรมลีลา, (89).
- ↑ ปัฐมาภรณ์ เหมือนทอง. (2554). การศึกษาฤๅษีดัดตนเพื่อเป็นแนวคิดในการออกแบบตกแต่งภายในสถานบริการแพทย์แผนไทย. (วิทยานิพนธ์ศิลปมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศิลปากร.
- ↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ. ศิลปวัฒนธรรม เล่มที่ 24 ฉบับที่ 4-6. [ม.ป.ป.] : 2546.
- ↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ. คนแปลกหน้านานาชาติของกรุงสยาม. มติชน 2546.
- ↑ ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3. กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2538.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ. เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) กับบทบาทสร้างเมืองใหม่ในกัมพูชา. นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับวันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562, สิบค้น เมษายน, 2563
- ↑ รวมสารบัญหนังสือชุด "วชิรญาณ". กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, 2561. 404 หน้า. ISBN 978-616-412-012-9
- ↑ กรมศิลปากร. (2495). วารสารศิลปากร, 6(5): 32.
- ↑ หอพระสมุดวชิรญาณ. โคลงพิพิธพากย์. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2457. พระยาราชพินิจจัย พิมพ์แจกในงานศพ ว่าที่นายพันโท หลวงไกรกรีธา (ยรรยง บุรณศิริ) พ.ศ. ๒๔๕๗.
- ↑ หนังสือเก่าชาวสยาม, วชิรญาณวิเศษ เล่ม ๘ แผ่น ๑๖ - ๒๐. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) สำนักหอสมุดแห่งชาติ.
- ↑ กรมศิลปากร, สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์. นิทานวชิรญาณ เล่ม 1 - 2. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2555. 849 หน้า. ISBN 978-616-283-002-0
- ↑ เอมอร จิตตะโสภณ. วรรณคดีนิราศ. ภาควิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2521
- ↑ จันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี, หม่อมเจ้า. นิราศนรินทร์คำโคลงและนิราศปลีกย่อย ฉบับพิมพ์. กรุงเทพ ฯ : แพร่พิทยา, 2513. 347 หน้า
- ↑ พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร. สำเภาสยาม ตำนานเจ๊กบางกอก. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, 2544.
- ↑ ห้องสมุดส่วนตัวรัตนชาติ
- ↑ บรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค), สมเด็จเจ้าพระยา, และคณะ. ตำรานพรัตน์. พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี ทรงแจกในงานทรงบำเพ็ญพระราชกุศล “ฉลองพระชนมายุครบหกสิบพรรษา” วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2464. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2464.
- ↑ เอนก นาวิกมูล. เที่ยวชมหนังสือเก่า. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า, 2541. 385 หน้า
- ↑ อรุณวรรณ คงมีผล. "อัญมณีวิทยาในวรรณคดีไทย," ใน วารสารมนุษยศาสตร์ 20, พิเศษ (2556): 16. ISSN 0859-3485
- ↑ พลูหลวง. คติสยาม. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2540. 203 หน้า. ISBN 978-974-7367-81-2
- ↑ สุริยวงศ์มนตรี, พระยา และคณะ. ตำรานพรัตน์. พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2464. 23 หน้า. หน้า 1.
- ↑ ปูมราชธรรม เอกสารสมัยอยุธยาจากหอสมุดแห่งชาติกรุงปารีส. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2545. 224 หน้า
- ↑ นิยะดา เหล่าสุนทร. พินิจวรรณคดี รวมบทความวิชาการด้านวรรณคดี. กรุงเทพฯ : แม่คำผาง, 2544.
- ↑ ตำราพิไชยสงครามคำกลอน. พระนคร : สำนักพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2469. พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพลตรี พระยารามจตุรงค์ (เพ็ชร บุณยรัตพันธุ์)
- ↑ ภมรี สุรเกียรติ. เสนางตพยุหะ และพยุหจักรี: ตำราพิชัยสงครามพม่าสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18. สงขลานครินทร์ ฉบับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. ปีที่ 20;1:235.
- ↑ "ตำราพิไชยสังคราม" สมุดไทยดำ อักษรไทย เส้นสีเหลือง, 179, หน้าต้น อ้างถึงใน วสันต์ มหากาญจนบะ, 2539, 13-14
- ↑ ศานติ ภักดีคำ. ยุทธมรรคา เส้นทางเดินทัพไทยเขมร. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557. 288 หน้า. หน้า 44. ISBN 978-974-0213-42-0 อ้างใน ตราให้หากองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชากลับจากกัมพูชา.
- ↑ ศิลปากร เล่มที่ 46, ฉบับที่ 1-3. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, พ.ศ. 2546.
- ↑ พระราชปุจฉาในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑-รัชกาลที่ ๕ เล่ม 2. กรุงเทพฯ : คุรุสภา, 2513. หน้า 68–76.
- ↑ ศานติ ภักดีคำ (ชำระ, บรรณาธิการ). "บานแพนก," ใน พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558. 558 หน้า. หน้า 2. ISBN 978-616-91351-0-1 มูลนิธิ "ทุนพระพุทธยอดฟ้า" ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในการพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร ป.ธ.๔) ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘.
- ↑ หอสมุดแห่งชาติ. จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3, เลขที่ 13, หนังสือออกญาสุภาวดี เรื่อง ส่งหลวงลิขิตปรีชาออกสืบราชการ
- ↑ ประชุมพงศาวดาร เล่มที่ ๔๒ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๗ (ต่อ) ๖๘) จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ ๓ ตอนที่ ๑ (ต่อ) และตอนที่ ๒. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2512. 296 หน้า. หน้า 180.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. หมายให้ข้าราชการมาบอกบัญชีที่กรมพระอาลักษณ์. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ กรมพระสมมตอมรพันธ์ ราชเลขานุการ รับพระบรมราชโองการใส่เกล้า ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเหรียญจักรพรรดิมาลาในรัชกาลก่อนมาจนถึงปีวอกวัตวาศกศักราช ๑๒๓๔ ในงานพระราชพิธีสมภาคาภิเษก. กรุงเทพ ฯ. เล่มที่ 18 หน้า 296 วันที่ 18 สิงหาคม 2444.
- ↑ ตำแหน่งข้าราชการกรมรัฐมนตรีและกรมอาลักษณ์ รัตนโกสินทร์ศก 118 ตำแหน่งเจ้ากรมอาลักษณ์
- บรรณาณุกรม
- ชำนาญอักษร (ปลอบ โรจนกุล), พระยา. คำสอนจากขุนพิสณฑ์สู่ลูกหลาน. พิมพ์แจกในงานศพ พ.ท. หลวงพิสณฑ์ยุทธการ (ปึก) 12 พฤษภาคม ร.ศ. 133. [ม.ป.ป.]
- สมมตอมรพันธุ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระ, และคณะ. สุริยพันธุ์คำกลอน. กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, (2556). ISBN 978-616-543-226-9
- โครงการประชุมวิชาการมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ระดับชาติและนานาชาติ ครั้งที่ 2 วันที่ 22-23 สิงหาคม 2562 ณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์. : 106 - 107.