สาธารณรัฐฮังการีที่ 1
สาธารณรัฐประชาชนฮังการี (1918-1919) Magyar Népköztársaság สาธารณรัฐฮังการี (1919–1920) Magyar Köztársaság | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1918–1920 | |||||||||||||||
![]() ดินแดนของสาธารณรัฐในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 | |||||||||||||||
สถานะ | รัฐตกค้างที่ได้รับการยอมรับอย่างไม่สมบูรณ์ | ||||||||||||||
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | บูดาเปสต์ พิกัดภูมิศาสตร์: 47°29′N 19°02′E / 47.483°N 19.033°E | ||||||||||||||
ภาษาราชการ | ฮังการี | ||||||||||||||
ภาษาถิ่น | เยอรมัน, สโลวัก, โครเอเชีย, โรมาเนีย | ||||||||||||||
เดมะนิม | ฮังการี | ||||||||||||||
การปกครอง | รัฐเดี่ยว สาธารณรัฐประชาชน | ||||||||||||||
ประธานาธิบดี | |||||||||||||||
• 16 พฤศจิกายน 1918 | มิฮาย กาโรยี | ||||||||||||||
• 21 มีนาคม 1919 | ว่าง[a] | ||||||||||||||
• 1 สิงหาคม 1919 | จูลอ ไพเดิล[b] | ||||||||||||||
• 7 สิงหาคม 1919 | อาร์ชดยุกโจเซฟ เอากุสท์[c] | ||||||||||||||
• 23 สิงหาคม 1919 | อิชต์วาน ฟรีดริช[d] | ||||||||||||||
• 24 พฤศจิกายน 1919 | กาโรย ฮูสซาร์[e] | ||||||||||||||
นายกรัฐมนตรี | |||||||||||||||
• 31 ตุลาคม 1918 | มิฮาย กาโรยี | ||||||||||||||
• 11 มกราคม 1919 | เดแน็ช เบริงคีย์ | ||||||||||||||
• 21 มีนาคม 1919 | ว่าง | ||||||||||||||
• 1 สิงหาคม 1919 | จูลอ ไพเดิล | ||||||||||||||
• 7 สิงหาคม 1919 | อิชต์วาน ฟรีดริช | ||||||||||||||
• 24 พฤศจิกายน 1919 | กาโรย ฮูสซาร์ | ||||||||||||||
สภานิติบัญญัติ |
| ||||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | ระหว่างสงคราม | ||||||||||||||
31 ตุลาคม 1918 | |||||||||||||||
• ประกาศจัดตั้ง | 16 พฤศจิกายน 1918 | ||||||||||||||
21 มีนาคม 1919 | |||||||||||||||
• ฟื้นฟูสาธารณรัฐอีกครั้ง | 1 สิงหาคม 1919 | ||||||||||||||
• เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐฮังการี | 8 สิงหาคม 1919 | ||||||||||||||
• การยอมรับทางการทูต | 25 พฤศจิกายน 1919 | ||||||||||||||
25-26 มกราคม 1920 | |||||||||||||||
29 กุมภาพันธ์ 1920 | |||||||||||||||
พื้นที่ | |||||||||||||||
• รวม | 282,870 ตารางกิโลเมตร (109,220 ตารางไมล์)[f] | ||||||||||||||
ประชากร | |||||||||||||||
• 1920 | 7,980,143 | ||||||||||||||
สกุลเงิน |
| ||||||||||||||
|
สาธารณรัฐฮังการีที่ 1 (ฮังการี: Első Magyar Köztársaság)[1] หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐประชาชนฮังการี (ฮังการี: Magyar Népköztársaság)[g] เป็นสาธารณรัฐที่มีอยู่เป็นเวลาสั้น ๆ ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศฮังการี ประเทศโรมาเนีย[h] และประเทศสโลวาเกียในปัจจุบัน และดำรงอยู่ระหว่างวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920 สาธารณรัฐก่อตั้งขึ้นหลังความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อ ค.ศ. 1918 และคงสถานะเป็นสาธารณรัฐจนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920 เนื่องจากการฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยฮังการี จึงทำให้ประเทศฮังการีในเวลาต่อมาถูกเปลี่ยนผ่านเป็นราชอาณาจักร ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919 สาธารณรัฐประชาชนได้หยุดชะงักลงอันเป็นผลมาจากการสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์และการจัดตั้งสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีขึ้นโดยรัฐบาลผสมประชาธิปไตย–สังคมนิยม ซึ่งดำรงอยู่เพียง 133 วัน กระทั่งมีการฟื้นฟูระบอบสาธารณรัฐประชาชนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1919 อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 6 สิงหาคม รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนก็ถูกโค่นล้มโดยกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติฝ่ายขวา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโรมาเนีย
ในช่วงเริ่มแรก สาธารณรัฐประชาชนฮังการีอยู่ภายใต้ผู้นำคือ มิฮาย กาโรยี ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีชั่วคราวของฮังการี โดยในระยะเวลานี้เองที่ประเทศต้องสูญเสียดินแดนเป็นจำนวนมากให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ประมาณ 325,411 ตารางกิโลเมตร จากความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจของรัฐบาล นำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชนและการก่อตัวขึ้นของระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้ในเวลาต่อมารัฐบาลได้ถูกโค่นล้มโดยพรรคคอมมิวนิสต์ฮังการีและประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐโซเวียตขึ้น โดยดำเนินการปกครองตามแบบอย่างของคอมมิวนิสต์รัสเซีย แต่เนื่องจากความขัดแย้งทางการทหารกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างโรมาเนีย ทำให้สาธารณรัฐโซเวียตที่มีอายุสั้นล่มสลายลง หลังจากนั้นรัฐบาลประชาธิปไตยสังคมนิยมได้เข้ามามีอำนาจ จึงถือเป็นการฟื้นฟูระบอบสาธารณรัฐประชาชนขึ้นอีกครั้ง โดยในช่วงนี้รัฐบาลได้ทำการยกเลิกมาตรการทั้งหมดที่ผ่านโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตาม ในอีกไม่กี่วันต่อมารัฐบาลได้ถูกโค่นล้มโดยกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติฝ่ายขวาที่นำโดย อิชต์วาน ฟรีดริช ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง
ในช่วงของรัฐบาลฝ่ายขวา ชาวฮังการีต่างได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากฝ่ายสัมพันธมิตร เนื่องจากต้องการให้ประชากรชาวฮังการีอพยพถอยกลับไปตามแนวแบ่งเขตที่กำหนดไว้หลังสงคราม เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงจากการประชุมสันติภาพปารีส ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามของฝ่ายสัมพันธมิตรในการสถาปนารัฐชาติใหม่ท่ามกลางพลเมืองที่ไม่ใช่ชาวฮังการี ประเทศที่ได้รับผลประโยชน์หลักจากการสูญเสียดินแดนในครั้งนี้ ได้แก่ ราชอาณาจักรโรมาเนีย ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน สาธารณรัฐออสเตรีย และสาธารณรัฐเชโกสโลวัก ต่อมามีการทำสนธิสัญญาทรียานงโดยจะได้ลงนามในภายหลัง
ประวัติศาสตร์[แก้]
รัฐบาลกาโรยี (1918-1919)[แก้]

สาธารณรัฐประชาชนฮังการีก่อตั้งขึ้นภายหลังจากการปฏิวัติเบญจมาศ ที่เกิดขึ้นในกรุงบูดาเปสต์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1918 ในวันนั้น พระเจ้าคาร์ลที่ 4 ทรงแต่งตั้งผู้นำคณะปฏิวัติ มิฮาย กาโรยี เป็นนายกรัฐมนตรีฮังการี การกระทำแรกของเขาคือ การยุติสถานะรัฐร่วมประมุขระหว่างออสเตรียและฮังการีอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พระเจ้าคาร์ลได้ออกแถลงการยุติบทบาททางการเมืองของฮังการี ในเวลาต่อมาไม่กี่วัน รัฐบาลเฉพาะกาลได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนฮังการีอย่างเป็นทางการ[2] โดยมีกาโรยีเป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีชั่วคราว เหตุการณ์นี้ถือเป็นการสิ้นสุดการปกครอง 400 ปีโดยราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค
กองทัพพิทักษ์ปิตุภูมิฮังการียังมีทหารมากกว่า 1,400,000 นาย[12][13] เมื่อกาโรยีได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฮังการี จึงยอมรับข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา วูดโรว์ วิลสัน โดยสั่งให้กองทัพฮังการีปลดอาวุธเพียงฝ่ายเดียว ภายใต้การกำกับดูแลของ เบลอ ลินแดร์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงคราม) เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918[14][15] เนื่องจากการปลดอาวุธอย่างเต็มรูปแบบ ประเทศฮังการีในช่วงเวลานี้จึงมีความเปราะบางเป็นพิเศษ ทำให้การยึดครองฮังการีสำหรับกองทัพแห่งราชอาณาจักรโรมาเนีย กองทัพฝรั่งเศสกับราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย และกองทัพเชโกสโลวาเกียเป็นไปอย่างง่ายดาย
ความล้มเหลวจากมาตรการของรัฐบาลกาโรยีได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้คนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเหล่าไตรภาคีได้เริ่มแบ่งส่วนดินแดนส่วนใหญ่ของราชอาณาจักรฮังการีเดิม ให้กับราชอาณาจักรโรมาเนีย, ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน, และสาธารณรัฐเชโกสโลวักที่หนึ่ง รัฐบาลใหม่และฝ่ายผู้สนับสนุนรัฐบาลได้มุ่งความหวังที่จะรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนของฮังการีไว้ โดยการละทิ้งบางส่วนของซิสเลอธาเนียและเยอรมนี การรักษาสันติภาพที่แยกขาดจากกัน และการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของกาโรยีที่มีต่อสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 กาโรยีได้แต่งตั้ง โอซการ์ ยาซิ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงชนกลุ่มน้อยแห่งชาติฮังการี ยาซิได้เสนอให้การลงประชามติตามระบอบประชาธิปไตยเกี่ยวกับพรมแดนที่มีข้อพิพาทสำหรับชนกลุ่มน้อย อย่างไรก็ตาม ผู้นำทางการเมืองของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ได้ปฏิเสธแนวคิดเรื่องการลงประชามติตามระบอบประชาธิปไตยโดยทันทีในการประชุมสันติภาพปารีส[16] หลังจากฮังการีประกาศปลดอาวุธทั้งหมด ผู้นำทางการเมืองของเชโกสโลวาเกีย, เซอร์เบีย, และโรมาเนียได้เลือกที่จะโจมตีฮังการีแทนการลงประชามติตามระบอบประชาธิปไตยเกี่ยวกับพื้นที่พิพาท[17]
เหตุการณ์ทางการทหารและการเมืองแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและรุนแรงหลังจากการปลดอาวุธของฮังการี
- เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 กองทัพเซอร์เบียด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพฝรั่งเศสข้ามพรมแดนมาทางทิศใต้
- เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน กองทัพเชโกสโลวักข้ามพรมแดนมาทางทิศเหนือ
- เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน กองทัพโรมาเนียข้ามพรมแดนมาทางทิศตะวันออก
ฝ่ายไตรภาคีถือว่าฮังการีเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองแบบควบคู่ (Dual Monarchy) ในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีที่พ่ายแพ้ และความหวังของชาวฮังการีได้ถูกทำลาย เนื่องด้วยมีการมอบบันทึกทางการทูตที่ต่อเนื่องกัน โดยทั้งหมดต่างเรียกร้องการมอบดินแดนเพิ่มให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1919 เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงบูดาเปสต์ได้มีการมอบบันทึกทางการทูตให้แก่กาโรยี ซึ่งเป็นการระบุถึงพรมแดนครั้งสุดท้ายของฮังการีภายหลังสงคราม ซึ่งไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ของชาวฮังการี[18] กาโรยีและนายกรัฐมนตรี เดแน็ช เบริงคีย์ จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก พวกเขารู้ดีว่าหากยอมรับบันทึกทางการทูตของฝรั่งเศสฉบับนี้ จะเป็นอันตรายต่อบูรณภาพแห่งดินแดนฮังการี แต่พวกเขาก็ไม่สามารถตอบปฏิเสธได้ ในท้ายที่สุดเบริงคีย์จึงประกาศลาออก
กาโรยีชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรีว่า มีเพียงพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมฮังการีเท่านั้นที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า พรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมได้มีการร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ฮังการีแล้ว โดยทางฝ่ายนั้นได้ให้คำมั่นสัญญาว่าโซเวียตรัสเซียจะช่วยเหลือฮังการีในการทวงคืนดินแดนดังเดิมคืน ถึงแม้ว่ากลุ่มประชาธิปไตยสังคมนิยมจะครองคะแนนเสียงข้างมากในพรรคสังคมนิยมฮังการีที่เพิ่งรวมตัวกัน แต่กลุ่มคอมมิวนิสต์นำโดย เบลอ กุน ได้เข้าควบคุมประเทศ และสถาปนาสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีขึ้น เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1919
รัฐบาลชั่วคราว (1919-1920)[แก้]
ภายหลังการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียต เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1919 รัฐบาลประชาธิปไตยสังคมนิยมหรือที่เรียกว่า "รัฐบาลสหภาพแรงงาน" ได้เข้ามามีอำนาจ โดยอยู่ภายใต้การนำของ จูลอ ไพเดิล[19] ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ให้คืนรูปแบบการปกครองและชื่อทางการของรัฐกลับเป็น "สาธารณรัฐประชาชน"[5] ในช่วงระยะเวลาอันสั้น รัฐบาลของไพเดิลได้พยายามยกเลิกพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านโดยกลุ่มคอมมิวนิสต์[20]
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม อิชต์วาน ฟรีดริช ผู้นำแห่งสันนิบาตพันธมิตรทำเนียบขาวฝ่ายขวา (กลุ่มปรปักษ์ปฏิวัติฝ่ายขวา) ได้ทำการโค่นล้มอำนาจของรัฐบาลไพเดิล[21] และทำการรัฐประหารโดยปราศจากการนองเลือด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพหลวงโรมาเนีย[6] การรัฐประหารครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางภายในฮังการี[22] วันต่อมา อาร์ชดยุกโจเซฟ เอากุสท์ ได้ประกาศตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแห่งฮังการี (เขาดำรงตำแหน่งจนถึงวันที่ 23 สิงหาคม เมื่อเขาถูกบีบบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง)[23] และแต่งตั้งฟรีดริชเป็นนายกรัฐมนตรี และสืบทอดตำแหน่งต่อโดย กาโรยี ฮูสซาร์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีชั่วคราวจนกระทั่งการฟื้นฟูราชาธิปไตยในอีกไม่กี่เดือนต่อมา

รัฐบาลเผด็จการที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งประกอบไปด้วยนายทหารที่เข้าสู่กรุงบูดาเปสต์ในเดือนพฤศจิกายน และได้รับการสนับสนุนจากชาวโรมาเนีย[6] ได้ก่อให้เกิด "ความน่าสะพรึงกลัวขาว" ขึ้น ซึ่งนำไปสู่การถูกจองจำ, การทรมาน, และประหารชีวิตโดยปราศจากการพิจารณาคดีของผู้คนมากมายที่ถูกกว่าหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์, นักสังคมนิยม, ชาวยิว, ปัญญาชนฝ่ายซ้าย, ผู้สนับสนุนระบอบกาโรยีและกุน และคนอื่น ๆ ที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อระบอบการเมืองแบบดั้งเดิมของฮังการี[6] มีการคาดการณ์ว่าจำนวนในการประหารชีวิตอยู่ที่ 5,000 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีผู้ถูกจำคุกประมาณ 75,000 คน[6][21] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อชาวฮังการีฝ่ายขวาและกองทัพโรมาเนียมุ่งหมายกวาดล้างชาวยิว[6] ในท้ายที่สุด ความน่าสะพรึงกลัวขาวนี้ได้บีบให้ประชาชนประมาณ 100,000 คน ต้องออกนอกประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักสังคมนิยม, ปัญญาชน, และชาวยิวชนชั้นกลาง[6]
ในปี 1920 และ 1921 ได้เกิดความโกลาหลภายในประเทศฮังการี[6] ความน่าสะพรึงกลัวขาวยังคงกระทำต่อชาวยิวและฝ่ายซ้ายอย่างต่อเนื่อง การว่างงานและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น และผู้ลี้ภัยชาวฮังการีที่ขาดแคลนเงินจำนวนมากได้หลั่งไหลข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้านและสร้างภาระให้กับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ซึ่งรัฐบาลให้การช่วยเหลือแก่ประชากรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น[6] ในเดือนมกราคม 1920 ชาวฮังการีทั้งชายและหญิงได้รับสิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ และผู้ที่ได้เสียงข้างมากส่วนใหญ่ในรัฐสภาเป็นฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ[6] มีสองพรรคการเมืองหลักที่ได้ก่อตั้งขึ้นในช่วงเวลานี้ ได้แก่ พรรคสหภาพคริสเตียนแห่งชาติและพรรคเกษตรกรรายย่อยและกรรมกรเกษตรกรรมแห่งชาติ ซึ่งสนับสนุนการปฏิรูปที่ดิน[6] เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 1920[24] รัฐสภาได้ฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยฮังการี อันเป็นการสิ้นสุดระบอบสาธารณรัฐ และในเดือนมีนาคม ได้มีการประกาศยกเลิกสัญญาการประนีประนอม ค.ศ. 1867[6] รัฐสภาได้เลื่อนการเลือกตั้งพระมหากษัตริย์ออกไป จนกว่าปัญหาความวุ่นวายในประเทศจะสงบลง จึงทำให้อดีตพลเรือเอกของกองทัพออสเตรีย-ฮังการี มิกโลช โฮร์ตี ได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์[6] จนถึงปี 1944
ดูเพิ่ม[แก้]
หมายเหตุ[แก้]
- ↑ ซานโดร์ กอร์บอยี ได้รับการพิจารณาเป็นประมุขแห่งรัฐคนใหม่ ในฐานะประธานสภาบริหารกลางแห่งโซเวียตฮังการี
- ↑ รักษาการแทนในฐานะนายกรัฐมนตรี
- ↑ ในฐานะผู้สำเร็จราชการ
- ↑ ประมุขแห่งรัฐในฐานะนายกรัฐมนตรี
- ↑ ประมุขแห่งรัฐในฐานะนายกรัฐมนตรี
- ↑ ในปี 1918 Tarsoly 1995, pp. 595–597.
- ↑ "สาธารณรัฐประชาชนฮังการี" ได้รับการยอมรับว่าเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918[2][3][4] และใช้ชื่อนี้เรื่อยมาจนกระทั่งการโค่นล้มรัฐบาลของเดแน็ช เบริงคีย์ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1919 ภายหลังจากการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการี รัฐบาลของจูลอ ไพเดิลได้เปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อดังเดิม เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1919[5][6] ต่อมารัฐบาลของอิชต์วาน ฟรีดริชได้เปลี่ยนชื่อรัฐใหม่เป็น "สาธารณรัฐฮังการี" เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม[7][8][9] อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งยังมีการใช้ชื่อ "สาธารณรัฐประชาชนฮังการี" โดยปรากฏในพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยรัฐบาลบางฉบับในช่วงเวลานี้[10][11]
- ↑ ทรานซิลเวเนีย
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Lambert, S. (19 เมษายน 2014). "The First Hungarian Republic". The Orange Files. สืบค้นเมื่อ 11 มีนาคม 2019.
- ↑ 2.0 2.1 1918. évi néphatározat (ภาษาฮังการี) – โดยทาง Wikisource.
- ↑ Pölöskei, F.; และคณะ (1995). Magyarország története, 1918–1990 (ภาษาฮังการี). Budapest: Korona Kiadó. p. 17. ISBN 963-8153-55-5.
- ↑ Minisztertanácsi jegyzőkönyvek: 1918. november 16 (ภาษาฮังการี). DigitArchiv. p. 4.
- ↑ 5.0 5.1 A Magyar Népköztársaság Kormányának 1. számu rendelete Magyarország államformája tárgyában (ภาษาฮังการี) – โดยทาง Wikisource.
- ↑ 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 Pölöskei, F.; และคณะ (1995). Magyarország története, 1918–1990 (ภาษาฮังการี). Budapest: Korona Kiadó. pp. 32–33. ISBN 963-8153-55-5.
- ↑ A Magyar Köztársaság miniszterelnökének 1. számu rendelete a sajtótermékekről (ภาษาฮังการี) – โดยทาง Wikisource.
- ↑ 4072/1919. M. E. számú rendelet (ภาษาฮังการี) – โดยทาง Wikisource.
- ↑ Raffay, E. (1990). Trianon titkai, avagy hogyan bántak el országunkkal (ภาษาฮังการี). Budapest: Tornado Damenia. p. 125. ISBN 963-02-7639-9.
- ↑ 3923/1919. M. E. számú rendelet (ภาษาฮังการี) – โดยทาง Wikisource.
- ↑ 70762/1919. K. M. számú rendelet (ภาษาฮังการี) – โดยทาง Wikisource.
- ↑ Martin Kitchen (2014). Europe Between the Wars. Routledge. p. 190. ISBN 9781317867531.
- ↑ Ignác Romsics (2002). Dismantling of Historic Hungary: The Peace Treaty of Trianon, 1920 Issue 3 of CHSP Hungarian authors series East European monographs. Social Science Monographs. p. 62. ISBN 9780880335058.
- ↑ Dixon J. C. Defeat and Disarmament, Allied Diplomacy and Politics of Military Affairs in Austria, 1918–1922. Associated University Presses 1986. p. 34.
- ↑ Sharp A. The Versailles Settlement: Peacemaking after the First World War, 1919–1923[ลิงก์เสีย]. Palgrave Macmillan 2008. p. 156. ISBN 9781137069689.
- ↑ Adrian Severin; Sabin Gherman; Ildiko Lipcsey (2006). Romania and Transylvania in the 20th Century. Corvinus Publications. p. 24. ISBN 9781882785155.
- ↑ Bardo Fassbender; Anne Peters; Simone Peter; Daniel Högger (2012). The Oxford Handbook of the History of International Law. Oxford University Press. p. 41. ISBN 9780199599752.
- ↑ Romsics, Ignác (2004). Magyarország története a XX. században (ภาษาฮังการี). Budapest: Osiris Kiadó. p. 123. ISBN 963-389-590-1.
- ↑ Romsics, I. (2004). Magyarország története a XX. században (ภาษาฮังการี). Budapest: Osiris Kiadó. p. 132. ISBN 963-389-590-1.
- ↑ Minisztertanácsi jegyzőkönyvek: 1919. augusztus 3 (ภาษาฮังการี). DigitArchiv. p. 6.
- ↑ 21.0 21.1 "Hungary Between The Wars". A History of Modern Hungary: 1867-1994.
- ↑ S. Balogh, Eva (Spring 1977). "Power Struggle in Hungary: Analysis in Post-war Domestic Politics August-November 1919" (PDF). Canadian-American Review of Hungarian Studies. 4 (1): 6.
- ↑ "Die amtliche Meldung über den Rücktritt" (ภาษาเยอรมัน). Neue Freie Presse, Morgenblatt. 1919-08-24. p. 2.
- ↑ Dr. Térfy, Gyula, บ.ก. (1921). "1920. évi I. törvénycikk az alkotmányosság helyreállításáról és az állami főhatalom gyakorlásának ideiglenes rendezéséről.". Magyar törvénytár (Corpus Juris Hungarici): 1920. évi törvénycikkek (ภาษาฮังการี). Budapest: Révai Testvérek Irodalmi Intézet Részvénytársaság. p. 3.
บรรณานุกรม[แก้]
- Overy, R., บ.ก. (1996). The Times History of the 20th Century. London: Times Books. ISBN 9780723007661.
- Rokai, P.; Đere, Z.; Pal, T.; Kasaš, A. (2002). Istorija Mađara (ภาษาเซอร์เบีย). Belgrade: CLIO. ISBN 9788671020350.
- Siklós, A. (1988). Revolution in Hungary and the Dissolution of the Multinational State, 1918. Budapest: Akadémiai Kiadó. ISBN 9789630544665.
- Tarsoly, I. K., บ.ก. (1995). "Magyarország". Révai nagy lexikona (ภาษาฮังการี). Budapest: Babits Kiadó. vol. XX. pp. 595–597. ISBN 9789638318701.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ History of Hungary between the World Wars