ข้ามไปเนื้อหา

ศิลปะคริสเตียน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
"พระแม่มารีและพระบุตร" โดยทิเชียน (ราว ค.ศ. 1512)
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ, เวียนนา, ประเทศออสเตรีย

ศิลปะคริสเตียน (อังกฤษ: Christian art) เป็นคำที่หมายถึงจักษุศิลป์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อแสดงความหมาย, ขยายความ และแสดงเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลักของศาสนาคริสต์ นิกายของศาสนาคริสต์เกือบทุกนิกายใช้ศิลปะคริสเตียนแต่จะมากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่กฎบัตรของแต่ละนิกาย แต่โดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นสื่อชนิดใดหัวเรื่องการสร้างก็จะคล้ายคลึงกันคือจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของพระเยซูจากพันธสัญญาใหม่ หรือบางครั้งก็รวมเรื่องราวจากพันธสัญญาเดิม นอกนั้นการเขียนเรื่องนักบุญหรือผู้มีความสำคัญต่อศาสนาก็เป็นที่นิยมกันโดยเฉพาะในนิกายโรมันคาทอลิก, นิกายแองกลิคัน และนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์

ประวัติ

[แก้]
ตัวอย่างของ "ไอคอน" ของนิกายรัสเซียออร์ทอดอกซ์ของพระแม่มารีและพระบุตรของนักบุญทีโอดอร์
"พระกระยาหารมื้อสุดท้าย" โดยเลโอนาร์โด ดา วินชี (ค.ศ. 1498)
จิตรกรรมฝาผนังพระแม่มารีและพระบุตรจากที่เก็บศพรังผึ้งที่โรมจากคริสต์ศตวรรษที่ 4
หน้าบัน "การตัดสินครั้งสุดท้าย" ที่มหาวิหารบูร์ฌ ประเทศฝรั่งเศส
หน้าต่างประดับกระจกสีที่มหาวิหารล็อง ประเทศฝรั่งเศส
การตกแต่งภายในโรโกโก ที่โบสถ์วีส ประเทศเยอรมนี
แท่นอ่านพระธรรมที่มหาวิหารกลอสเตอร์
อ่างศีลจุ่มโรมาเนสก์ที่มหาวิหารเฮริฟอร์ด

เบื้องต้น

[แก้]

ศิลปะคริสเตียนมีอายุนานพอ ๆ กับศาสนาคริสต์ สื่อที่พบที่เก่าที่สุดมาจาก ค.ศ. 70 ที่นักโบราณคดีพบที่ว้ดที่เมกิดโด (Megiddo) และประติมากรรมเก่าที่สุดที่พบมาจากคริสต์ศตวรรษที่ 2 เป็นงานสลักบนโลงหิน

หลังจักรวรรดิโรมัน

[แก้]

ศิลปะที่พบหลักจากจักรวรรดิโรมันล่มเป็นศิลปะคริสเตียนแทบทั้งสิ้น หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสถาบันศาสนาคริสต์ก็เข้ามามีบทบาทและอำนาจแทนที่ซึ่งปัจจุบันคือสถาบันโรมันคาทอลิกผู้เป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างศิลปะคริสเตียน ทางออร์ทอดอกซ์ตะวันออกที่คอนสแตนติโนเปิลที่ยังมีความสงบกว่าภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันตะวันออกก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างศิลปะคริสเตียนทางตะวันออก เมื่อสถานะการทางการเมืองของทางตะวันตกเริ่มมั่นคงขึ้นบางระหว่างยุคกลางสถาบันโรมันคาทอลิกก็เพิ่มบทบาทในการสนับสนุนการสร้างศิลปะโดยการจ้างจิตรกร ประติมากร และสถาปนิกในสร้างงานให้สถาบันโดยตรง สถาปัตยกรรมศาสนาคริสต์ออกมาในรูปของวัดแบบต่าง ๆ, มหาวิหาร, สำนักสงฆ์ และ ที่เก็บศพ หรือ อนุสาวรีย์ผู้ตาย (tombs)

ระหว่างการวิวัฒนาการทางศิลปะคริสเตียนในจักรวรรดิไบแซนไทน์จากแบบนามธรรมของกรีกก็กลายมาเป็นศิลปะที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากขึ้นบ้าง แต่ลักษณะใหม่นี้ก็ยังเป็นแบบจินตนิยม (hieratic) จุดประสงค์ของศิลปะทำเพื่อสื่อสารข้อมูลทางศาสนามีใช่เพื่อให้เหมือนสิ่งที่วาดหรือแม่แบบอย่างเที่ยงตรง การเขียนภาพจะไม่คำนึงถึงการเขียนแบบทัศนียภาพ ให้ได้สัดส่วนแสงเงาที่ถูกต้องแต่จะใช้รูปทรงที่ง่าย และการวางองค์ประกอบที่เป็นมาตรฐาน เพราะความขัดแย้งในการใช้ "รูปต้องห้าม" (idol หรือ graven images) จากที่ตีความหมายจากบัญญัติข้อที่สองของบัญญัติ 10 ประการและสถานะการณ์เกี่ยวกับลัทธิทำลายรูปสัญลักษณ์ทำให้มีผลสองประการ: การออกมาตรฐานของการแสดงรูปสัญลักษณ์ทางศาสนาคริสต์ภายในนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ซึ่งเป็นผลให้การแสดงออกทางศิลปะเป็นแบบจุลนิยมในศิลปะของนิกายโปรเตสแตนต์ต่อมาภายหลัง

สมัยใหม่

[แก้]

เมื่อปรัชญาทางโลกและการแยกระหว่างศาสนากับทางโลกเริ่มมีความสำคัญมาขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในยุโรปตะวันตก ก็เริ่มมีการสะสมศิลปะคริสเตียนจากยุคกลางมิใช่เพื่อเป็นการสักการะแต่เพราะเป็นสิ่งสะสมที่มีคุณค่าทางศิลปะในขณะเดียวกันศิลปะคริสเตียนร่วมสมัยก็ลดความสำคัญลง ศิลปินก็สร้างงานทางศาสนาน้อยลงเป็นลำดับหรือถ้าทำก็เป็นโอกาสพิเศษ แต่ก็มีศิลปินบางคนที่ยังสร้างงานศาสนาเช่น มาร์ก ชากาล (Marc Chagall), อ็องรี มาติส, เจคอป เอพสไตน์ (Jacob Epstein) และอลิสซาเบ็ธ ฟริงค์ (Elizabeth Frink)[1]

 ---คริสต์ศิลป์สมัยนิยม---

วิวัฒนาการการพิมพ์ทำให้เกิดความแพร่หลายของลัทธินิยมในการเป็นเจ้าของภาพพิมพ์ทางศิลปะ เช่นงานจิตรกรรมของ Mihály Munkácsy ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรืองานสมัยใหม่ของทอมัส คินเคด (Thomas Kinkade) และทอมัส แบล็กเชียร์ (Thomas Blackshear) เป็นต้น[2]

สัญลักษณ์นิยม

[แก้]

ศิลปะคริสเตียนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดมักจะแสดงบุคคลหรือเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจง แต่ละชิ้นก็จะเป็นสัญลักษณ์นิยม(Symbolism) ของแต่ละนิกาย การใช้สัญลักษณ์ไม่มีกฎตายตัวเช่นการใช้กางเขนก็จะไม่เหมือนกันไปทุกนิกายหรือลัทธิ หรือแม้แต่คัมภีร์ไบเบิลก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามหัวข้อใหญ่ ๆ ที่ทำกันไม่ว่าจะเป็นลัทธิใดก็ได้แก่

หัวเรื่องศิลปะคริสเตียน

[แก้]

หัวเรื่องศิลปะคริสเตียนที่นิยมเขียนหรือสร้างกันมากก็ได้แก่

อ้างอิง

[แก้]
  1. Beth Williamson, Christian Art: A Very Short Introduction, Oxford University Press (2004), page 110.
  2. Cynthia A. Freeland, But Is It Art?: An Introduction to Art Theory, Oxford University Press (2001), page 95

ดูเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ศิลปะคริสเตียน วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ จิตรกรรมฝาผนังของศาสนาคริสต์ วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ พระเยซู วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ พระแม่มารีและพระบุตร วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ภาพเขียนนักบุญ วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ รูปปั้นในศาสนาคริสต์ วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ สถาปัตยกรรมวัดศาสนาคริสต์

ตัวอย่างศิลปะแบบต่าง ๆ และสมัยต่าง ๆ

[แก้]