ประเทศบราซิล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล

República Federativa do Brasil (โปรตุเกส)
คำขวัญOrdem e Progresso (โปรตุเกส)
"คำสั่งซื้อ และความคืบหน้า"
ที่ตั้งของบราซิล
เมืองหลวงบราซีเลีย
เมืองใหญ่สุดเซาเปาลู
ภาษาราชการภาษาโปรตุเกส
การปกครองสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตย
ฌาอีร์ โบลโซนารู
อามิลตง โมเรา
ได้รับเอกราช 
• ประกาศเอกราช
7 กันยายน พ.ศ. 2365
• ได้รับการยอมรับ
29 สิงหาคม พ.ศ. 2368
• สาธารณรัฐ
15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2432
พื้นที่
• รวม
8,511,965 ตารางกิโลเมตร (3,286,488 ตารางไมล์) (5)
0.65
ประชากร
• 2552 ประมาณ
191,241,714 (5)
• สำมะโนประชากร 2550
189,987,291
22 ต่อตารางกิโลเมตร (57.0 ต่อตารางไมล์) (182)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2560 (ประมาณ)
• รวม
$ 3.219 ล้านล้าน
$ 15,500
จีดีพี (ราคาตลาด) 2560 (ประมาณ)
• รวม
$ 2.080 ล้านล้าน
$ 10,019
จีนี (2558)51.3[1]
ข้อผิดพลาด: ค่าจีนีไม่ถูกต้อง
เอชดีไอ (2559)Steady 0.754
ข้อผิดพลาด: ค่า HDI ไม่ถูกต้อง · 79th
สกุลเงินเรอัล (R$) (BRL)
เขตเวลาUTC−2 ถึง −5 (BRT)
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)
UTC−2 ถึง −5 (BRST)
รหัสโทรศัพท์55
โดเมนบนสุด.br

บราซิล (อังกฤษ: Brazil; โปรตุเกส: Brasil) หรือชื่อทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล (อังกฤษ: Federal Republic of Brazil; โปรตุเกส: República Federativa do Brasil) เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก มีพื้นที่กว้างขวางระหว่างตอนกลางของทวีปอเมริกาใต้และ มหาสมุทรแอตแลนติก มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอุรุกวัย อาร์เจนตินา ปารากวัย โบลิเวีย เปรู โคลอมเบีย เวเนซุเอลา กายอานา ซูรินาม และแคว้นเฟรนช์เกียนาของฝรั่งเศส (ติดกับทุกประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ยกเว้นเอกวาดอร์และชิลี)

ชื่อ "บราซิล" มาจากต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า บราซิลวูด (Pau-Brasil ในภาษาโปรตุเกส) ซึ่งนำไปใช้ย้อมผ้าด้วยสีแดงจากเปลือกไม้ของมัน บราซิลเป็นดินแดนแห่งเกษตรกรรมและป่าเขตร้อน การที่บราซิลมีทรัพยากรธรรมชาติที่มากมายและมีแรงงานเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ (สูงเป็นอันดับที่ 10 ของโลก) และเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคในปัจจุบัน บราซิลใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาทางการ

ภูมิศาสตร์

กฎหมายยกเลิกการเป็นทาสในบราซิล 1888

ภาคเหนือ กินพื้นที่ร้อยละ 42 ของทั้งประเทศ หรือใหญ่กว่ายุโรปตะวันตกทั้งหมด เป็นเขตลุ่มแม่น้ำอเมซอน ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณน้ำจึด 1 ใน 5 ของโลก รวมทั้งเป็นเขตป่าฝน (rainforest) ที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วย

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภูมิภาคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของทั้ง 5 ภูมิภาคของบราซิล (คิดเป็นร้อยละ 18) ประกอบด้วย 7 รัฐ มีพื้นที่ติดชายฝั่งมหาสมุทรแอนแลนติก มีทั้งเขตลุ่มแม่น้ำที่สามารถทำการเพาะปลูกพืชเขตร้อน และเขตที่ราบสูงที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเล มีเมืองใหญ่หลายเมือง ได้แก่ เมือง Salvador และเมือง Recife

ภาคตะวันตกตอนกลาง เป็นที่ราบสูงเฉลี่ย 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล กินพื้นที่ร้อยละ 22 ของประเทศต่อจากเขต อเมซอนไปทางใต้ เป็นเขตป่าไม้ชุกชุม เป็นพี้นที่เพาะปลูกและทำปศุสัตว์ บางแห่งเป็นพื่นที่แห้งแล้งกันดาน

ภาคตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่เพียงร้อยละ 11 ของประเทศ แต่เป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ที่สุด 3 เมืองของบราซิล คือ รีโอเดจาเนโร เซาเปาลู และเบโลโอรีซอนตี และเป็นที่อยู่ของประชากรร้อยละ 45 ของทั้งประเทศ เป็นพื้นที่ชายฝั่ง หาดทราย และที่ราบสูง

ภาคใต้ มีพื้นที่น้อยที่สุด มีอากาศใกล้เคียงกับยุโรป มีหิมะตกบางพื้นที่ในฤดูหนาว เป็นที่ตั้งรกรากของชาวยุโรปที่ไปตั้ง ถิ่นฐานในบราซิลในศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะจาก อิตาลี เยอรมนี โปแลนด์ และรัสเซีย และอยู่อาศัยเรื่อยมาจนปัจจุบัน ถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ ผลิตผลสำคัญ ได้แก่ ข้าวสาลีข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าว รวมทั้งเป็นเขตปศุสัตว์ที่สำคัญของประเทศด้วย

ประวัติศาสตร์

สมัยก่อนอาณานิคม

เดิมทีทวีปอเมริกาใต้ ชนเผ่าพื้นเมืองคือพวกอินเดียแดงเผ่าต่าง ๆ ต่อมาชาวยุโรปได้เข้ามายึดครองบริเวณนี้ โดยชาวโปรตุเกสได้ยึดครองบริเวณประเทศบราซิล ส่วนบริเวณประเทศอื่น ๆ ในทวีปนี้ถูกยึดครองโดยชาวสเปน เหตุเพราะในต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ชาวยุโรปได้เข้ามาในทวีปนี้ด้วยเข้าใจว่าทวีปนี้มีแร่ต่าง ๆ เช่น น้ำมัน ทองคำ เงินและอื่น ๆ แล้วชาวยุโรปได้ใช้กำลังกองทัพเข้าควบคุมบังคับชาวพื้นเมืองให้ทำงานในไร่นาและในเหมืองของตน ต่อมาหญิงชาวพื้นเมืองจำนวนมากได้แต่งงานกับชาวยุโรปทำให้มีลูกเลือดผสมจำนวนมาก ซึ่งเรียกว่า เมสติโซ ปัจจุบันมีสายเลือดผสมนี้เป็นชนส่วนใหญ่ในทวีป และได้รับภาษา วัฒนธรรมจากทวีปยุโรป รวมทั้งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกด้วย

อาณานิคมโปรตุเกส

สหราชอาณาจักร

จักรวรรดิบราซิล

วันที่ได้รับเอกราช 7 กันยายน พ.ศ. 2365 (จากโปรตุเกส)

สาธารณรัฐ

ในพ.ศ. 2367 ได้ต่อต้านอำนาจสำเร็จ ปกครองแบบสาธารณรัฐ

ศตวรรษที่ 20

การเมืองการปกครอง

บริหาร

ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งทั้งประมุขของรัฐและหัวหน้าคณะรัฐบาล และเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ทั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งในคราวเดียว ด้วยวิธีการลงคะแนนเสียงระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม 2014 หากจำเป็นจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง (runoff election) ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2014

นิติบัญญัติ

ระบบ 2 สภา (Bicameral National Congress หรือ Congresso Nacional) ประกอบด้วย (1) Federal Senate หรือ Senado Federal จำนวน 81 ที่นั่ง สมาชิก 3 คนมาจากรัฐแต่ละรัฐ ระบบเสียงข้างมาก วาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี โดยจะมีการเลือกตั้งหนึ่งในสาม และสองในสามของสมาชิกทุก ๆ 4 ปี สลับกัน และ (2) Chamber of Deputies หรือ Camera dos Deputados จำนวน 513 ที่นั่ง สมาชิกมาจากการเลือกตั้งในระบบสัดส่วน (proportional representation) วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี

ตุลาการ

ฝ่ายตุลาการ มีศาลสูงสุดแห่งชาติ (Supreme Federal Tribunal) โดยที่ผู้พิพากษาทั้ง 11 คน มาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและรับรองโดยวุฒิสภา มีวาระดำรงตำแหน่งตลอดชีพ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว จะเกษียณอายุเหมือนลูกจ้างภาครัฐทั่วไปที่อายุ 70 ปี

การบังคับใช้กฎหมาย

ระบบกฎหมาย : ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (civil law)

สถานการณ์สำคัญ

สิทธิมนุษยชน

การแบ่งเขตการปกครอง

ประเทศบราซิลแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 26 รัฐ (states - estados) และ เฟเดอรัลดิสตริกต์ (federal district - distrito federal) (เป็นที่ตั้งของกรุงบราซีเลียเมืองหลวง) ได้แก่

  1. รอไรมา
  2. อามาปา
  3. อามาโซนัส
  4. ปารา
  5. โตกันตินส์
  6. อาเกร
  7. รอนโดเนีย
  8. มารันเยา
  9. ปีเอาอี
  10. เซอารา
  11. รีโอกรันดีโดนอร์เต
  12. ปาราอีบา
  13. เปร์นัมบูกู
  14. อาลาโกอัส
  1. เซร์ชิเป
  2. บาเยีย
  3. มาตูโกรสซู
  4. โกยาส
  5. เฟเดอรัลดิสตริกต์ (บราซีเลีย)
  6. มาตูโกรสซูโดซูล
  7. มีนัสเชไรส์
  8. เอสปีรีตูซันตู
  9. รีโอเดจาเนโร
  10. เซาเปาลู
  11. ปารานา
  12. ซันตากาตารีนา
  13. รีโอกรันดีโดซูล

รัฐต่าง ๆ และเฟเดอรัลดิสตริกต์ของบราซิลนั้น ถูกแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาค โดยสถาบันภูมิศาสตร์และสถิติบราซิล (IBGE) คือ

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา

กองทัพ

กองกำลังกึ่งทหาร

เศรษฐกิจ

ธนาคารกลางของบราซิลในบราซีเลีย

บราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกทั้งในแง่จำนวนประชากรและอาณาเขต เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปละตินอเมริกาและมีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นดินส่วนใหญ่ของทวีป บราซิลใช้ระบบปกครองแบบสหพันธรัฐ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 26 รัฐและเขตนครหลวง 1 เขต โดยแต่ละรัฐจะมีรัฐบาลท้องถิ่นที่บริหารปกครองแบบอิสระ สามารถแบ่งรัฐเหล่านี้ออกได้เป็น 5 ภูมิภาค (ที่มีความสำคัญเชิงวัฒนธรรมและสถิติ) กล่าวโดยรวมได้ว่าบราซิลเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหลายด้าน ทั้งในแง่ทรัพยากรธรรมชาติและพันธุ์ไม้ที่มีมากมายมหาศาล ชาติพันธุ์หลากวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ การใช้อำนาจอย่างนุ่มนวลทางการเมือง และชนชั้นกลางที่กำลังรุ่งเรือง

เศรษฐกิจของบราซิลประกอบไปด้วยภาคส่วนเกษตรกรรม เหมืองแร่ การผลิต และการบริการขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนาอย่างสูง ตลอดจนชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ถือได้ว่าบราซิลเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในทวีปอเมริกาใต้ทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมือง โดยมีการขยายอำนาจกว้างขวางขึ้นในตลาดโลกผ่านผู้เล่นสำคัญระดับโลก (บริษัทข้ามชาติ) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 เศรษฐกิจระดับมหภาคได้ค่อย ๆ ทวีความมั่นคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศและลดระดับหนี้โดยแปลงหนี้ให้เป็นตราสารหนี้สกุลเงินจริงและตราสารหนี้ในประเทศ

จนกระทั่งปี ค.ศ. 2008 บราซิลได้ผงาดขึ้นเป็นประเทศเจ้าหนี้สุทธิและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเหมาะสมแก่การลงทุนจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 2 แห่ง ทว่าหลังจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในปี ค.ศ. 2007-2008 วิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกได้โถมกระหน่ำบราซิลในช่วงปี ค.ศ. 2008 อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจจะทรุดตัวเล็กน้อยจากผลกระทบนี้ แต่บราซิลสามารถหลบเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้จากมาตรการจูงใจภาครัฐและเงินลงทุนมหาศาล หลังจากที่อุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์ส่งออกของบราซิลลดลงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ระหว่างประเทศตกต่ำ สินเชื่อจากภายนอกเริ่มหายากขึ้น ทั้งนี้ในช่วงปี ค.ศ. 2010 ความมั่นใจของผู้บริโภคและนักลงทุนเริ่มฟื้นตัวและการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมไต่ระดับสูงถึง 7.5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากสำหรับบราซิล ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั่วโลกหันมาจับตามองและนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักชี้ว่าบราซิลจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจใหม่ แม้การคาดการณ์นี้จะมีข้อยืนยันว่าเป็นจริงในอีกหลายปีต่อมา แต่อำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศได้ชะลอตัวและมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมแตะอยู่ที่ราว 1% ในปัจจุบัน

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเติบโตลดลงคือภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลจึงต้องหันมาใช้มาตรการผ่อนการตึงตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการดังกล่าวและภาวะเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ทรุดตัวทำให้การเติบโตของประเทศช้าลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการว่างงานอยู่ในระดับต่ำลงเป็นประวัติการณ์และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ซึ่งโดยมากอยู่ในระดับสูงกลับลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี บราซิลสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้โดยใช้อัตราดอกเบี้ยสูง ทว่ากลับส่งผลเสียต่อธุรกิจในประเทศ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ค่าเงินลอยตัวซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตเมื่อเทียบกับตลาดทั่วโลก รัฐบาลได้เข้ามาแทรกแซงตลาดเงินตราระหว่างประเทศและขึ้นภาษีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศบางส่วน

เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการปกครองของประเทศในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาได้ผลักดันให้บราซิลเติบโตและเป็นที่จับตามองของประชาคมทั่วโลก มีเสียงชื่นชมนวัตกรรมที่ช่วยเหลือและสนับสนุนประชากรผู้ยากไร้ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งได้นำไปใช้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมเกษตรและเชื้อเพลิงชีวภาพยังกลายมาเป็นโมเดลระหว่างประเทศ ฐานผู้บริโภคที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ดึงดูดบริษัทและนักลงทุนมากมายมายังบราซิล ดังจะเห็นได้จากจำนวนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าราว 64-66 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.92-1.98 ล้านล้านบาท ) ต่อปีตั้งแต่ ค.ศ. 2011

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจบราซิลเริ่มชะลอตัวในปี ค.ศ. 2014 และคาดว่าจะยังคงชะลอตัวต่อไปในปี ค.ศ. 2015 จากการปรับตัวทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังจะนำมาใช้ (เช่น มาตรการขึ้นราคาน้ำมัน) แม้สถานการณ์นี้จะทำให้บริษัทลงทุนต่างประเทศเริ่มหมดความสนใจ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังคงอัดฉีดเงินทุนและขยายโรงงานหรือจัดทำโครงการใหม่ ๆ เพื่อป้อนให้กับฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ต่อไป การชะลอตัวทางเศรษฐกิจนี้ไม่ควรนำมาซึ่งมาตรการคุ้มครองการค้า เนื่องจากมีระบบการคุ้มครองการค้าระดับสูงมากพออยู่แล้ว โดยเฉพาะในภาคการส่งออกอุตสาหกรรม นอกจากนี้ แรงกดดันจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและธุรกิจในการลดอุปสรรคด้านภาษีอากรจากวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตัวกลาง รวมทั้งการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีใหม่ ยังสื่อให้เห็นว่ารัฐบาลมีแนวโน้มที่จะวางนโยบายการค้าไปในทิศทางดังกล่าว


อุตสาหกรรมหลัก

อุตสาหกรรมหลักของประเทศบราซิลประกอบไปด้วยการผลิตอลูมิเนียม ซีเมนต์ เชื้อเพลิง เครื่องจักร กระดาษ พลาสติกและเหล็ก อุตสาหกรรมอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคประกอบด้วยการผลิตอุปกรณ์ทำความสะอาด การผลิตและสุขอนามัยอาหาร การผลิตยาและสิ่งทอ อุตสาหกรรมสินค้าคงทนประกอบด้วยการผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือนและยานพาหนะ บริการด้านการเงินประกอบด้วยอุตสาหกรรมบริการเงินทุน นอกจากนี้ บราซิลยังเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่หลากหลายรายใหญ่ของโลก อาทิ กล้วย กาแฟ ข้าวโพด หัวน้ำส้มเข้มข้น ข้าว ถั่วเหลือง แอลกอฮอล์และอ้อย

ในแง่อื่นนอกเหนือจากเศรษฐกิจ บราซิลเป็นประเทศที่เติบโตในเชิงการเมืองและมีความโดดเด่นท่ามกลางประชาคมนานาชาติในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมายได้ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่างชาติและอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้ทรัพยากรสูง โดยเฉพาะในประเทศอินเดียและจีนที่มีฐานประชากรขนาดใหญ่ที่กำลังเติบโต นอกจากนี้ บราซิลยังมีบทบาทสำคัญในการเวทีโต้วาทีและการเจรจาระหว่างประเทศ โดยมากจะรับหน้าที่เป็นผู้นำหรือตัวแทนของประเทศกำลังพัฒนา อาทิ การอภิปรายด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ การยื่นมือเข้าช่วยเหลือฟื้นฟูประเทศเฮติหลังประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 2010 การเข้าร่วมหารือกลุ่มประเทศ BRIC และเป็นผู้นำประเทศกลุ่มจี 20 ในการเจรจาการค้าพหุภาคีรอบโดฮา (Doha Round) โดยองค์การการค้าโลก การดำเนินการนี้ได้สร้างความสนใจจากประชาคมโลกในเชิงความสามารถทางเศรษฐกิจและการเมืองที่กำลังรุ่งเรืองของบราซิล ไม่เพียงเท่านั้น การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2014 และงานแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่จะมีขึ้นในปี ค.ศ. 2016 ยังกระตุ้นความสนใจจากชาวต่างชาติ ทั้งในวงการสื่อและนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป

บราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยหลายภูมิภาคที่มีแง่มุมและความแตกต่างเชิงวัฒนธรรมที่เด่นชัดจนในบางครั้งทำให้ยากต่อการสรุปลักษณะทั่วไป ส่วนในแง่ธุรกิจ บริษัทส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่มีสำนักงานในเมืองเซาเปาลู หากกล่าวในแง่วัฒนธรรมแล้ว ถือว่าบราซิลมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อนข้างสูง มีการผสมผสานรากเหง้าในแบบยุโรปและเอเชียเข้าด้วยกันเนื่องจากมีผู้อพยพไหลบ่าเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ความหลากหลายด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม และลักษณะนิสัยส่งผลให้ชาวบราซิลเป็นชาติพันธุ์ที่มีความซับซ้อนและมีวิถีชีวิตในแบบของตนเอง ชาวต่างชาติควรทำความเข้าใจว่าแม้ว่าชาวบราซิลจะมีนิสัยที่เป็นกันเองและให้การต้อนรับอย่างมาก แต่การอาศัยอยู่ในบราซิลอาจทำให้ตนตกใจเมื่อพบเห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม จึงขอแนะนำให้พนักงานต่างชาติโดยเฉพาะในระดับผู้จัดการหรือผู้อำนวยการเข้าเรียนรู้วัฒนธรรมบราซิลและวิธีบรรเทาความสับสนที่อาจเกิดขึ้น ในแง่การปฏิบัติงาน ผู้บริหารระดับสูงควรทำความเข้าใจและทำความคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบบราซิลเพื่อรับการสนับสนุนและแรงบันดาลใจจากพนักงานของตน


โครงสร้าง

นโยบายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ

  • ก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยยึดหลักสำคัญคือ พลังงานสะอาด ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มผลผลิต
  • รักษาเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมนโยบายการค้าเสรี ต่อต้านระบบ Protectionism
  • สนับสนุนการปฏิรูประบบการเงินโลก เพื่อป้องกันปัญหาเงินทุนไหลเวียนและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ต่อต้านการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม/การไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศเพื่อเก็งกำไร
  • ปฏิรูประบบภาษีให้ชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน และเป็นธรรม รวมทั้งแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2554 จะอยู่ที่ร้อยละ 5
  • ส่งเสริมโครงการลงทุนและระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2557 และกีฬาโอลิมปิกในปี 2559 และเพื่อประโยชน์ต่อชุมชนในท้องถิ่นในระยะยาว
  • พัฒนาโครงการขุดเจาะน้ำมันซึ่งถือเป็นอนาคตของชาติด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อความก้าวหน้าทางสังคมโดยคำนึงถึงดุลยภาพด้านสิ่งแวดล้อม
  • ลดรายจ่ายภาครัฐ โดยการลดงบประมาณของทุกกระทรวงลงตามสัดส่วน ยกเว้นนโยบายด้านสังคม เช่น Bolsa Familia

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ

ในช่วง 3 ทศวรรษก่อนทศวรรษที่ 1980 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิลสูงถึงร้อยละ 7.3 แต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ได้เกิดวิกฤตการณ์เสถียรภาพทางการเงิน โดยมีปัญหาเงินเฟ้อและขาดดุลการชำระเงิน รัฐบาลจึงดำเนินมาตรการต่าง ๆ ในชื่อ “Real Plan” เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยสร้างวินัยการเงิน ปล่อยค่าเงินลอยตัว และลดภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงทบทวนนโยบายการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าซึ่งดำเนินมาตรการมากว่า 35 ปีและทำให้เศรษฐกิจมีลักษณะปิดและปกป้องตัวเอง

โดยในช่วงทศวรรษที่ 1990 บราซิลหันมาใช้นโยบายเปิดเศรษฐกิจ และได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 และในเวลาต่อมา รัฐบาลของประธานาธิบดี Lula ได้แสดงเจตจำนงในการใช้หนี้ต่างประเทศทำให้ลดลงจากร้อยละ 58.7 ของ GDP ในปี 2546 เหลือร้อยละ 51.6 ในปี 2548 และในปี 2552 หนี้ต่างประเทศของบราซิลลดเหลือร้อยละ 11.6 ของ GDP นอกจากนี้ การตัดสินใจให้กู้เงินจำนวน 14 พันล้านเหรียญสหรัฐแก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศในปลายปี 2552 แสดงถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของบราซิลเป็นอย่างมาก และในปี 2554 บราซิลคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขยายตัวของ GDP ประมาณร้อยละ 8

ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุม G20 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่สาธารณรัฐเกาหลี ประธานาธิบดีบราซิลได้วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างรุนแรง ว่าเป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามเงินตรา (Currency War) ทั่วโลก และจะทำให้เศรษฐกิจของโลกล้มละลายหากทุกประเทศลดค่าเงินของตนเพื่อความได้เปรียบในการส่งออก

ภาพรวมเศรษฐกิจ

  • ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เมื่อเดือนมกราคม 2555 ธนาคารกลางบราซิลเปิดเผยว่า GDP ของบราซิลจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.5 จากปีที่ผ่านมา
  • การค้าระหว่างประเทศ ในปี 2554 บราซิลส่งออกเป็นมูลค่ารวม 256.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าเป็นมูลค่ารวม 226.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บราซิลได้เปรียบดุลการค้า 29.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการค้ารวมปรับตัวสูงขึ้น จาก 383.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2553 เป็น 482.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2555
  • การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment – FDI) ธนาคารกลางบราซิล รายงานว่ามูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศปี 2554 มีมูลค่าถึง 66.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึงร้อยละ 37.5 อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางบราซิลคาดว่าในปี 2555 มูลค่าการลงทุนจะลดเหลือ 50 พันล้านดอลลร์สหรัฐ ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของเม็ดเงินที่ไหลเข้าบราซิลมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็งกำไรจากอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหา
  • อัตราเงินเฟ้อ เมื่อปี 2554 ธนาคารกลางบราซิลได้ประเมินอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ ร้อยละ 6.5 และได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 12.50 เพื่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ในปี 2555 และ 2556 บราซิลตั้งเป้าจะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ที่ร้อยละ 4.5 เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และเพื่อควบคุมราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มสูงขึ้น

ภาพรวมพลังงานทดแทนของบราซิล

บราซิลมีเป้าหมายจะลงทุนด้านพลังงานมูลค่าประมาณ 644 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างปี ค.ศ. 2011 – 2020 โดยจะลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (434 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภาคการผลิตไฟฟ้า (149 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งหากการลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายภายในปี ค.ศ. 2020 พลังงานทดแทนจะมีสัดส่วนเป็น ร้อยละ 46.3 (ปัจจุบันพลังงานทดแทนมีสัดส่วน ร้อยละ 44.8) และปิโตเลียมจะมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 31.8 (ปัจจุบันปิโตรเลียมมีสัดส่วนร้อยละ 38.5) ของโครงสร้างพลังงานของประเทศ

ปัจจุบัน บราซิลมีบทบาทสำคัญในการสร้างอุปสงค์ของพลังงานทดแทนในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเพื่อการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและเอทานอลในหลายโอกาส

การพัฒนาเอทานอลเป็นพลังงานทดแทน

วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ประกอบกับราคาน้ำตาลตกต่ำ ทำให้รัฐบาลบราซิลประกาศโครงการ “Pro-Alcool” หรือ “Program Nacional do Alcool” (National Alcohol Program) ขึ้นในปี 2518 ส่งเสริมการใช้เอทานอลที่ผลิตจากอ้อยเป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ โดยรัฐบาลบราซิล และธนาคารโลกได้ให้เงินสนับสนุนทั้งในการขยายพื้นที่การ ปลูกอ้อย และการสร้างโรงกลั่นเอทานอล

ในระยะแรก บราซิลใช้เอทานอลผสมในน้ำมัน (anhydrous ethanol) ในอัตราส่วนร้อยละ 13 - 20 (E13 – E20) ต่อมาในปี 2523 บราซิลเริ่มทดลองใช้เอทานอล ร้อยละ 100 (E100 - hydrous ethanol) แต่โดยที่รถยนต์ยังเป็นแบบที่ผลิตเพื่อใช้กับน้ำมัน จึงทำให้การทำงานของเครื่องยนต์ไม่ได้ ประสิทธิภาพเต็มที่ รัฐบาลบราซิลจึงเริ่มส่งเสริมการผลิตรถยนต์ที่ออกแบบพิเศษ สามารถใช้ได้กับทั้งเอทานอล และกับน้ำมันเชื้อเพลิง (Flexible-fuel vehicle หรือ Flex-Fuel) และตั้งแต่ปี 2546 ก็เริ่มมีการผลิตรถยนต์ Flex-Fuel เพื่อการค้า ซึ่งใช้ได้กับ E100 และ E18 – E25 ทั้งนี้ รถยนต์ Flex-Fuel ได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับ โดยในปี 2547 ปริมาณการผลิตรถยนต์ Flex-Fuel มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 17 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด และในปี 2554 มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 83 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในบราซิล

ในการเยือนบราซิลของอดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ระหว่าง 15 – 16 มิถุนายน 2547 ไทยและบราซิลได้หารือความร่วมมือด้านเอทานอล นับจากนั้นไทยและบราซิลได้ แลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทดแทนของบราซิลและชาติอื่น ๆ เข้าร่วมการประชุม FEALAC Inter-regional Workshop on Clean Fuels and Vehicle Technologies: the Role of Science and Innovation เมื่อ 28 – 29 มิถุนายน 2549 ที่กรุงเทพฯ ช่วยให้เกิดเครื่อข่ายระหว่างผู้เชี่ยวชาญ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยี

เมื่อปี 2553 บราซิลผลิตเอทานอลเป็นปริมาณ 27 พันล้านลิตร คิดเป็นร้อยละ 26 ของปริมาณที่ผลิตได้ในโลก เป็นรองเพียงสหรัฐฯ ซึ่งผลิตเป็นปริมาณ 50 พันล้านลิตรในปีเดียวกัน บราซิลและสหรัฐฯ สามารถผลิตเอทานอลได้กว่าร้อยละ 70 ของเอทานอลที่จำหน่ายทั่วโลก โดยสหรัฐฯ ผลิตเอทานอลจากข้าวโพด ในขณะที่บราซิลผลิตจากอ้อย ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพจึงทำให้สามารถผลิตเอทานอลได้ในราคาที่ถูกกว่าการใช้วัตถุดิบประเภทอื่น อย่างไรก็ดี การผลิตเอทานอลจากอ้อยยังไม่เสถียรเพราะเมื่อราคาน้ำตาลในตลาดโลกสูงขึ้น เกษตรกรก็จะหันไปให้ความสำคัญกับการผลิตน้ำตาลเป็นหลัก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP)

3.073 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557)

GDP รายบุคคล

15,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557)

อัตราการเจริญเติบโต GDP

0.3% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557)

GDP แยกตามภาคการผลิต

ภาคการเกษตร 5.8% ภาคอุตสาหกรรม 23.8% ภาคการบริการ 70.4% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) อัตราการว่างงาน

5.5% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557)

อัตราเงินเฟ้อ (Consumer Prices)

6.3% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557)

ผลผลิตทางการเกษตร

กาแฟ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าว ข้าวโพด อ้อย ส้ม/มะนาว เนื้อวัว

อุตสาหกรรม

สิ่งทอ รองเท้า เคมีภัณฑ์ ซีเมนต์ ไม้แปรรูป แร่เหล็ก ดีบุก เหล็ก เครื่องบิน มอเตอร์และชิ้นส่วนยานพาหนะ เครื่องจักรและอุปกรณ์อื่น ๆ

อัตราการเติบโตภาคอุตสาหกรรม

-1.5% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557)

ดุลบัญชีเดินสะพัด

ขาดดุล 80.92 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557)

หนี้สาธารณะ

59.3% ของ GDP (ค่าประมาณพ.ศ. 2557)

มูลค่าการส่งออก

242.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557)

สินค้าส่งออก

อุปกรณ์การขนส่ง แร่เหล็ก ถั่วเหลือง รองเท้า/ถุงเท้า กาแฟ รถยนต์

ประเทศคู่ค้า (ส่งออก)ที่สำคัญ

China 19%, US 10.3%, Argentina 8.1%, Netherlands 7.2% (พ.ศ.2556)

มูลค่าการนำเข้า

241.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557)

สินค้านำเข้า

เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์การขนส่ง เคมีภัณฑ์ น้ำมัน ชิ้นส่วนรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก

ประเทศคู่ค้า (นำเข้า) ที่สำคัญ

China 15.6%, US 15.1%, Argentina 6.9%, Germany 6.3%, Nigeria 4% (พ.ศ.2556)

สกุลเงิน

รีล

สัญลักษณ์เงิน

BRL

สกุลเงิน : รีล สัญลักษณ์เงิน :BRL

พลังงาน

การท่องเที่ยว

โครงสร้างพื้นฐาน

คมนาคม และ โทรคมนาคม

วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี

สาธารณสุข

การศึกษา

อัตราการรู้หนังสือ

ประชากรศาสตร์

เชื้อชาติ

Race and ethnicity in Brazil[2][3][4]
Ethnicity Percentage
White
  
47.7%
Pardo (Multiracial)
  
43.1%
Black
  
7.6%
Asian
  
1.1%
Amerindian
  
0.4%

ชนพื้นเมือง

ภาษา

มีเยอะมาก

ศาสนา

ศาสนาในบราซิล (2014 Census)
ศาสนา เปอร์เซนต์ (%)
โรมันคาทอลิก
  
79.6%
โปรเตสแตนต์
  
9.2%
ไม่นับถือศาสนา
  
8.0%
ลัทธิผี
  
2.0%
อื่นๆ
  
3.2%

ประเทศบราซิลส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก (79.6%) รองลงมาคือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ (9.2%) และอศาสนา (8.0) ลัทธิผี (2.0%) อื่น ๆ (3.2%)

เมืองใหญ่

วัฒนธรรม

สถาปัตยกรรม

อาหาร

อาหารส่วนมากของชาวบราซิลคือเนื้อสัตว์ นิยมเนื้อวัวเป็นหลัก

ดนตรี

ศิลปะทางดนตรี วัฒนธรรมของประชากรบราซิลจะต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ความรักดนตรีจะฝังอยู่ในสายเลือดของชาวบราซิลเลียนมานาน เพราะพวกเขาจะรักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ดนตรีจึงมีวิวัฒนาการเรื่อย ๆ บราซิล จะรับเอาวัฒนธรรมของแอฟริกาเอาไว้มาก ลักษณะการร้องรำทำเพลงและจังหวะกลองเป็นเครื่องดนตรีหลัก การเต้นรำและเสียงดนตรีจึงเป็นศิลปะที่โดดเด่นที่สุดของบราซิล ชาวบราซิลเป็นคนเปิดเผย เป็นมิตรกับคนง่าย รักสนุก ลักษณะเด่นที่เป็นธรรมชาติคือเวลาพูดจะเคลื่อนไหวร่างกายไปด้วย ภาษาท่าทาง บางครั้งใช้แทนคำพูดได้ เช่น เมื่อยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น หมายถึงตกลงหรือขอบคุณ และอาจเป็นคำพูดที่ทักทายเมื่อพบกับ

แซมบา (Samba) เป็นดนตรีที่มีลักษณะผสมผสาน กันจากชน 3 ทวีป ที่มาอยู่ในบราซิล คือการร้องเพลงแบบโบเลโร ของสเปน จังหวะกลองของแอฟริกาและการเต้นรำจะเป็นแบบชาวลาตินอเมริกัน ซึ่งรวม 3 อย่างเข้าด้วยกันแล้วจะสนุกสนานทั้งคนเต้นและคนฟัง ซึ่งดนตรีแซมบา เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมสูงสุด

บอสซาโนวา (Bossanova) เป็นจังหวะดนตรีที่มีวิวัฒนาการมาจากแซมบา นอกจากแซมบาและบอสซาโนวา ยังมีดนตรีที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน คือ แรมบาดา (Lambada) จังหวะดนตรีจะสนุกสนามด้วยจังหวะกลองของชาวแคริเบียน บราซิลมีเทศกาลที่ น่าสนใจและยิ่งใหญ่ 2 งานด้วยกัน งานแรกคือ งานคานิวัล ที่ ลิโอ เดอ จาเนโร จะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ งานที่สอง งานคานิวัล ที่ เบเฮีย จะจัดขึ้นหลังเทศกาล คริสมาสต์ ช่วงเดือนธันวาคม - มีนาคม

สื่อสารมวลชน

กีฬา

ฟุตบอล

วอลเลย์บอล

มวยสากล

วันหยุด

อ้างอิง

  1. "Brazil". World Bank.
  2. "Tendências Demográficas: Uma análise da população com base nos resultados dos Censos Demográficos 1940 e 2000". Ibge.gov.br. สืบค้นเมื่อ 2012-04-07.
  3. Antonio Carlos Lacerda (5 April 2011). "Demographical census reveals Brazil as older and less white". Port.pravda.ru. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-07. สืบค้นเมื่อ 2012-04-07.
  4. "Self-declared White Brazilians decrease in number, says IBGE". Fatimanews.com.br. สืบค้นเมื่อ 2012-04-07.
  5. "2010 Brazilian Institute of Geography and Statistics estimate". Brazilian Institute of Geography and Statistics. 29 November 2011. สืบค้นเมื่อ 22 January 2011.

แหล่งข้อมูลอื่น

2 = บราซิล

รัฐบาล
ข้อมูลทั่วไป
ยุทธศาสตร์
สื่อสารมวลชน
การท่องเที่ยว