ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ตรีเอกภาพ"
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) ย้อนการแก้ไขที่ 6944731 สร้างโดย 183.88.108.101 (พูดคุย) |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 3: | บรรทัด 3: | ||
{{ใช้ปีคศ}} |
{{ใช้ปีคศ}} |
||
[[ไฟล์:Luca Rossetti Trinità Chiesa San Gaudenzio Ivrea.jpg|thumb|300px|[[จิตรกรรมฝาผนัง]] “ตรึเอกภาพ” โดยลูคา โรสเซ็ทที (Luca Rossetti) แสดงให้เห็น[[พระเจ้าพระบิดา]] ([[พระยาห์เวห์]]) [[พระเจ้าพระบุตร]] ([[พระเยซู]]) และ[[พระวิญญาณบริสุทธิ์]] ในรูปของนกพิราบ (ค.ศ. 1738-ค.ศ. 1739) ที่โบสถ์เซนต์กอเซนซิโอ ที่เมื่องอิฟเรีย ใกล้[[ตูริน]]]] |
[[ไฟล์:Luca Rossetti Trinità Chiesa San Gaudenzio Ivrea.jpg|thumb|300px|[[จิตรกรรมฝาผนัง]] “ตรึเอกภาพ” โดยลูคา โรสเซ็ทที (Luca Rossetti) แสดงให้เห็น[[พระเจ้าพระบิดา]] ([[พระยาห์เวห์]]) [[พระเจ้าพระบุตร]] ([[พระเยซู]]) และ[[พระวิญญาณบริสุทธิ์]] ในรูปของนกพิราบ (ค.ศ. 1738-ค.ศ. 1739) ที่โบสถ์เซนต์กอเซนซิโอ ที่เมื่องอิฟเรีย ใกล้[[ตูริน]]]] |
||
'''ตรีเอกภาพ''' (ศัพท์[[โรมันคาทอลิก]]และ[[อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์]]) หรือ '''ตรีเอกานุภาพ''' (ศัพท์[[โปรเตสแตนต์]]) ({{lang-en|Trinity}}) คือภาวะที่[[พระเป็นเจ้า]][[เอกเทวนิยม| |
'''ตรีเอกภาพ''' (ศัพท์[[โรมันคาทอลิก]]และ[[อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์]]) หรือ '''ตรีเอกานุภาพ''' (ศัพท์[[โปรเตสแตนต์]]) ({{lang-en|Trinity}}) คือภาวะที่[[พระเป็นเจ้า]][[เอกเทวนิยม|เดียว]]เป็นเอกภาพ แต่ปรากฏเป็นสามพระลักษณะ คือ [[พระเจ้าพระบิดา|พระบิดา]] [[พระเจ้าพระบุตร|พระบุตร]] (เชื่อว่ามาเกิดเป็น[[พระเยซู]]) และ[[พระวิญญาณบริสุทธิ์]] ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 [[เทววิทยาศาสนาคริสต์]]ทั้งทางตะวันออกและตะวันตกยอมรับว่า “ในพระเจ้าเดียว มีสามพระลักษณะ<ref>Lawrence B. Porter, "On Keeping 'Persons' in the Trinity: A Linguistic Approach to Trinitarian Thought," ''Theological Studies'' 41 (1980) pages 530-548</ref>” สามสิ่งนี้ต่างลักษณะกันแต่มีธรรมชาติเดียวคือความเป็นพระเจ้า ทางปรัชญายังกล่าวต่อไปว่าพระบุตรหรือพระเยซูมีสองธรรมชาติรวมอยู่ในบุคคลหรือลักษณะเดียวกัน คือความเป็นพระเจ้าและขณะเดียวกันก็เป็น[[มนุษย์]] ([[:en:hypostatic union|hypostatic union]]) |
||
ความเชื่อเรื่อง “ตรีเอกภาพ” เรียกว่า “'''ตรีเอกภาพนิยม'''” [[คริสตจักร]]เกือบทุกคริสตจักรในคริสต์ศาสนามีความเชื่อแบบ “ตรีเอกภาพนิยม” และถือว่าเป็นรากฐานของคำสอนของคริสต์ศาสนา<ref name="Harris">Harris, Stephen L. (1985) ''Understanding the Bible'' Palo Alto: Mayfield. </ref><ref name="Oxford">Cross, F. L., ed. (2005) ''The Oxford Dictionary of the Christian Church'' New York: Oxford University Press</ref> |
ความเชื่อเรื่อง “ตรีเอกภาพ” เรียกว่า “'''ตรีเอกภาพนิยม'''” [[คริสตจักร]]เกือบทุกคริสตจักรในคริสต์ศาสนามีความเชื่อแบบ “ตรีเอกภาพนิยม” และถือว่าเป็นรากฐานของคำสอนของคริสต์ศาสนา<ref name="Harris">Harris, Stephen L. (1985) ''Understanding the Bible'' Palo Alto: Mayfield. </ref><ref name="Oxford">Cross, F. L., ed. (2005) ''The Oxford Dictionary of the Christian Church'' New York: Oxford University Press</ref> |
||
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับลัทธิตรีเอกภาพนิยมก็มี เช่น “ลัทธิ[[ทวิเอกภาพนิยม]]” (Binitarianism) ซิ่งเชื่อในความเป็นสองพระบุคคลของพระเจ้าเดียว และลัทธิ[[เอกภาพนิยม]] (Unitarianism) ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเดียว โดยไม่แบ่งพระ |
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับลัทธิตรีเอกภาพนิยมก็มี เช่น “ลัทธิ[[ทวิเอกภาพนิยม]]” (Binitarianism) ซิ่งเชื่อในความเป็นสองพระบุคคลหรือลักษณะของพระเจ้าเดียว และลัทธิ[[เอกภาพนิยม]] (Unitarianism) ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเดียว โดยไม่แบ่งพระลักษณะ |
||
ลัทธิตรีเอกภาพนิยมหลัง[[พันธสัญญาใหม่]]<ref name="Harris">Harris, Stephen L., Understanding the Bible. Palo Alto: Mayfield. 1985.</ref> เป็นปรัชญาที่สำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกับ[[ลัทธิเอเรียส]] ซึ่งเชื่อว่าพระเยซูเป็นสิ่งที่สร้างโดยพระเจ้า และสิ่งทั้งสามมิได้คงอยู่ร่วมกันตลอดกาลอย่างที่ลัทธิตรีเอกภาพนิยมเชื่อ ความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งสำคัญครั้งแรกในประวัติคริสต์ศาสนาและมีผลกระทบกระเทือนต่อคริสตจักรใน[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]]ซึ่งเป็นผลให้ชาวเจอร์มานิกที่ถือลัทธิเอเรียส (Germanic Arians) แยกตัวจากคริสต์ศาสนิกชนที่ยึด[[หลักข้อเชื่อไนซีน]] (Nicene Christians) |
ลัทธิตรีเอกภาพนิยมหลัง[[พันธสัญญาใหม่]]<ref name="Harris">Harris, Stephen L., Understanding the Bible. Palo Alto: Mayfield. 1985.</ref> เป็นปรัชญาที่สำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกับ[[ลัทธิเอเรียส]] ซึ่งเชื่อว่าพระเยซูเป็นสิ่งที่สร้างโดยพระเจ้า และสิ่งทั้งสามมิได้คงอยู่ร่วมกันตลอดกาลอย่างที่ลัทธิตรีเอกภาพนิยมเชื่อ ความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งสำคัญครั้งแรกในประวัติคริสต์ศาสนาและมีผลกระทบกระเทือนต่อคริสตจักรใน[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]]ซึ่งเป็นผลให้ชาวเจอร์มานิกที่ถือลัทธิเอเรียส (Germanic Arians) แยกตัวจากคริสต์ศาสนิกชนที่ยึด[[หลักข้อเชื่อไนซีน]] (Nicene Christians) |
||
บรรทัด 16: | บรรทัด 16: | ||
“ตรีเอกภาพ” เป็นหัวข้อที่มักจะพบใน[[ศิลปะศาสนาคริสต์]]โดยใช้นกพิราบเป็นของพระวิญญานบริสุทธิ์ ตามที่กล่าวใน[[พระวรสาร]]จากเหตุการณ์ “[[พระเยซูทรงรับบัพติศมา]]” (Baptism of Christ) รูปนกพิราบส่วนใหญ่จะกางปีก การแสดง “ตรีเอกภาพ” เป็นมนุษย์สามคนก็ใช้ในศิลปะทุกสมัย<ref>See below and G Schiller, ''Iconography of Christian Art, Vol. I'',1971, Vol II, 1972, (English trans from German), Lund Humphries, London, figs I;5-16 & passim, ISBN 853312702and ISBN 853313245</ref> |
“ตรีเอกภาพ” เป็นหัวข้อที่มักจะพบใน[[ศิลปะศาสนาคริสต์]]โดยใช้นกพิราบเป็นของพระวิญญานบริสุทธิ์ ตามที่กล่าวใน[[พระวรสาร]]จากเหตุการณ์ “[[พระเยซูทรงรับบัพติศมา]]” (Baptism of Christ) รูปนกพิราบส่วนใหญ่จะกางปีก การแสดง “ตรีเอกภาพ” เป็นมนุษย์สามคนก็ใช้ในศิลปะทุกสมัย<ref>See below and G Schiller, ''Iconography of Christian Art, Vol. I'',1971, Vol II, 1972, (English trans from German), Lund Humphries, London, figs I;5-16 & passim, ISBN 853312702and ISBN 853313245</ref> |
||
ภาพพระบิดาและพระบุตรจะเป็นปรากฏเป็นชายที่มีอายุต่างกัน และต่อมาก็จะแตกต่างกันจากการแต่งกายด้วยแต่ก็ไม่เสมอไป โดยทั่วไปพระบิดาจะเป็นชายสูงอายุมีหนวดขาวซึ่งอาจจะนำมาจากตำนานไบเบิล [[:en:Ancient of Days|Ancient of Days]] ซึ่งมักจะใช้อ้างเมื่อมีข้อขัดแย้งในการแสดงภาพเช่นนี้ แต่ในคริสตจักร[[ออร์ทอดอกซ์]] ตำนาน Ancient of Days เชื่อว่าชายคนเดียวกันนีคือพระบุตรมิใช่พระเจ้า |
ภาพพระบิดาและพระบุตรจะเป็นปรากฏเป็นชายที่มีอายุต่างกัน และต่อมาก็จะแตกต่างกันจากการแต่งกายด้วยแต่ก็ไม่เสมอไป โดยทั่วไปพระบิดาจะเป็นชายสูงอายุมีหนวดขาวซึ่งอาจจะนำมาจากตำนานไบเบิล [[:en:Ancient of Days|Ancient of Days]] ซึ่งมักจะใช้อ้างเมื่อมีข้อขัดแย้งในการแสดงภาพเช่นนี้ แต่ในคริสตจักร[[ออร์ทอดอกซ์]] ตำนาน Ancient of Days เชื่อว่าชายคนเดียวกันนีคือพระบุตรมิใช่พระเจ้าพระบิดา บางครั้งเมื่อแสดงภาพของพระบิดาในงานศิลปะศิลปินจะใช้รัศมีเหนือพระเศียรที่เป็นสามเหลื่ยมแทนที่จะกลมเช่นรัศมีทั่วไป พระบุตรมักจะอยู่ทางขวาของพระบิดา <ref>{{อิงไบเบิล|acts|กิจการ|7|56}}</ref> บางครั้งก็จะใช้สัญลักษณ์เป็นลูกแกะ หรือ กางเขน แทนพระบุตร หรือพระบุตรบนกางเขน ฉะนั้นพระบิดาจะแสดงเป็นมนุษย์ขนาดเต็มตัว ใน[[สมัยกลาง]]ตอนต้นพระเจ้าจะเป็นเพียงมือที่ยื่นออกมาจากก้อนเมฆคล้ายประทานพรเช่นในการให้พรเมื่อ “[[พระเยซูทรงรับบัพติศมา]]” ต่อมาก็มีการสร้างศิลปะที่เรียกว่า “บัลลังก์แห่งความกรุณา” (Throne of Mercy หรือ Throne of Grace) ซึ่งเป็นที่นิยมกัน ในศิลปะแบบนี้พระบิดาบางครั้งจะนั่งบนบัลลังก์ถือไม่ก็กางเขน<ref>Schiller op cit II:p.122-124 and figs 409-414</ref> ก็ประคองร่างพระบุตร ซึ่งโครงการจัดภาพหรือรูปปั้นจะคล้ายคลึงกับทรง[[ปีเอตะ]] ซึ่งที่เยอรมนีเรียกว่า “Not Gottes”<ref>Schiller op cit II: pp. 219-224 and figs 768-804</ref> ในขณะที่นกพิราบจะกางปีกอยู่เหนือพระเศียรหรืออยู่ระหว่างพระบิดาและพระบุตร ทรงนี้เป็นที่นิยมทำกันจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 |
||
ปลายสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 การแสดง “ตรีเอกภาพ” ก็เริ่มใหญ่ขึ้น และมีโครงลักษณะแบบอื่นๆ นอกเหนือไปจากทรง “บัลลังก์แห่งความกรุณา” การแสดงตรีเอกภาพก็เริ่มใช้กันเป็นมาตรฐานโดยแสดงพระบิดาเป็นชายใส่เสื้อคลุมเรียบ ๆ ร่างท่อนบนของพระบุตรจะเปลือยแสดงให้เห็นแบบ[[พระสันตะปาปา]] |
ปลายสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 การแสดง “ตรีเอกภาพ” ก็เริ่มใหญ่ขึ้น และมีโครงลักษณะแบบอื่นๆ นอกเหนือไปจากทรง “บัลลังก์แห่งความกรุณา” การแสดงตรีเอกภาพก็เริ่มใช้กันเป็นมาตรฐานโดยแสดงพระบิดาเป็นชายใส่เสื้อคลุมเรียบ ๆ ร่างท่อนบนของพระบุตรจะเปลือยแสดงให้เห็นแบบ[[พระสันตะปาปา]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:45, 4 กันยายน 2560
ส่วนหนึ่งของ |
ศาสนาคริสต์ |
---|
สถานีย่อย |
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ตรีเอกภาพ (ศัพท์โรมันคาทอลิกและอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์) หรือ ตรีเอกานุภาพ (ศัพท์โปรเตสแตนต์) (อังกฤษ: Trinity) คือภาวะที่พระเป็นเจ้าเดียวเป็นเอกภาพ แต่ปรากฏเป็นสามพระลักษณะ คือ พระบิดา พระบุตร (เชื่อว่ามาเกิดเป็นพระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 เทววิทยาศาสนาคริสต์ทั้งทางตะวันออกและตะวันตกยอมรับว่า “ในพระเจ้าเดียว มีสามพระลักษณะ[1]” สามสิ่งนี้ต่างลักษณะกันแต่มีธรรมชาติเดียวคือความเป็นพระเจ้า ทางปรัชญายังกล่าวต่อไปว่าพระบุตรหรือพระเยซูมีสองธรรมชาติรวมอยู่ในบุคคลหรือลักษณะเดียวกัน คือความเป็นพระเจ้าและขณะเดียวกันก็เป็นมนุษย์ (hypostatic union)
ความเชื่อเรื่อง “ตรีเอกภาพ” เรียกว่า “ตรีเอกภาพนิยม” คริสตจักรเกือบทุกคริสตจักรในคริสต์ศาสนามีความเชื่อแบบ “ตรีเอกภาพนิยม” และถือว่าเป็นรากฐานของคำสอนของคริสต์ศาสนา[2][3]
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับลัทธิตรีเอกภาพนิยมก็มี เช่น “ลัทธิทวิเอกภาพนิยม” (Binitarianism) ซิ่งเชื่อในความเป็นสองพระบุคคลหรือลักษณะของพระเจ้าเดียว และลัทธิเอกภาพนิยม (Unitarianism) ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเดียว โดยไม่แบ่งพระลักษณะ
ลัทธิตรีเอกภาพนิยมหลังพันธสัญญาใหม่[2] เป็นปรัชญาที่สำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกับลัทธิเอเรียส ซึ่งเชื่อว่าพระเยซูเป็นสิ่งที่สร้างโดยพระเจ้า และสิ่งทั้งสามมิได้คงอยู่ร่วมกันตลอดกาลอย่างที่ลัทธิตรีเอกภาพนิยมเชื่อ ความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งสำคัญครั้งแรกในประวัติคริสต์ศาสนาและมีผลกระทบกระเทือนต่อคริสตจักรในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นผลให้ชาวเจอร์มานิกที่ถือลัทธิเอเรียส (Germanic Arians) แยกตัวจากคริสต์ศาสนิกชนที่ยึดหลักข้อเชื่อไนซีน (Nicene Christians)
ตรีเอกภาพในศิลปะ
“ตรีเอกภาพ” เป็นหัวข้อที่มักจะพบในศิลปะศาสนาคริสต์โดยใช้นกพิราบเป็นของพระวิญญานบริสุทธิ์ ตามที่กล่าวในพระวรสารจากเหตุการณ์ “พระเยซูทรงรับบัพติศมา” (Baptism of Christ) รูปนกพิราบส่วนใหญ่จะกางปีก การแสดง “ตรีเอกภาพ” เป็นมนุษย์สามคนก็ใช้ในศิลปะทุกสมัย[4]
ภาพพระบิดาและพระบุตรจะเป็นปรากฏเป็นชายที่มีอายุต่างกัน และต่อมาก็จะแตกต่างกันจากการแต่งกายด้วยแต่ก็ไม่เสมอไป โดยทั่วไปพระบิดาจะเป็นชายสูงอายุมีหนวดขาวซึ่งอาจจะนำมาจากตำนานไบเบิล Ancient of Days ซึ่งมักจะใช้อ้างเมื่อมีข้อขัดแย้งในการแสดงภาพเช่นนี้ แต่ในคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ตำนาน Ancient of Days เชื่อว่าชายคนเดียวกันนีคือพระบุตรมิใช่พระเจ้าพระบิดา บางครั้งเมื่อแสดงภาพของพระบิดาในงานศิลปะศิลปินจะใช้รัศมีเหนือพระเศียรที่เป็นสามเหลื่ยมแทนที่จะกลมเช่นรัศมีทั่วไป พระบุตรมักจะอยู่ทางขวาของพระบิดา [5] บางครั้งก็จะใช้สัญลักษณ์เป็นลูกแกะ หรือ กางเขน แทนพระบุตร หรือพระบุตรบนกางเขน ฉะนั้นพระบิดาจะแสดงเป็นมนุษย์ขนาดเต็มตัว ในสมัยกลางตอนต้นพระเจ้าจะเป็นเพียงมือที่ยื่นออกมาจากก้อนเมฆคล้ายประทานพรเช่นในการให้พรเมื่อ “พระเยซูทรงรับบัพติศมา” ต่อมาก็มีการสร้างศิลปะที่เรียกว่า “บัลลังก์แห่งความกรุณา” (Throne of Mercy หรือ Throne of Grace) ซึ่งเป็นที่นิยมกัน ในศิลปะแบบนี้พระบิดาบางครั้งจะนั่งบนบัลลังก์ถือไม่ก็กางเขน[6] ก็ประคองร่างพระบุตร ซึ่งโครงการจัดภาพหรือรูปปั้นจะคล้ายคลึงกับทรงปีเอตะ ซึ่งที่เยอรมนีเรียกว่า “Not Gottes”[7] ในขณะที่นกพิราบจะกางปีกอยู่เหนือพระเศียรหรืออยู่ระหว่างพระบิดาและพระบุตร ทรงนี้เป็นที่นิยมทำกันจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18
ปลายสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 การแสดง “ตรีเอกภาพ” ก็เริ่มใหญ่ขึ้น และมีโครงลักษณะแบบอื่นๆ นอกเหนือไปจากทรง “บัลลังก์แห่งความกรุณา” การแสดงตรีเอกภาพก็เริ่มใช้กันเป็นมาตรฐานโดยแสดงพระบิดาเป็นชายใส่เสื้อคลุมเรียบ ๆ ร่างท่อนบนของพระบุตรจะเปลือยแสดงให้เห็นแบบพระสันตะปาปา
การแสดง “ตรีเอกภาพ” จะหายากในศิลปะในคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ไม่ว่าจะเป็นสมัยใด การไม่นิยมแสดงรูปเคารพของพระบิดาจนกระทั่งสมัยกลางตอนปลาย หลังจากสังคายนาไนเซียครั้งที่สอง (Second Council of Nicea) เมื่อปี ค.ศ. 787 อนุญาตให้มีการแสดงรูปสัญลักษณ์ของพระเยซูได้เพราะพระเยซูเป็นมนุษย์ แต่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงรูปพระเจ้าไม่มีหลักฐานแน่นอน การแสดง “เทวรูปพระตรีเอกภาพ” จะใช้ “ตรีเอกภาพ” จากพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็นทูตสวรรค์สามองค์ที่มาปรากฏตัวต่ออับราฮัม และกล่าวว่าเป็น “พระผู้เป็นเจ้า” (ปฐมกาล:18.1-15) การประชุมซีนอดแห่งมอสโก (Great Synod of Moscow) ในปี ค.ศ. 1667 ประกาศห้ามการแสดงรูปเคารพของพระบิดาในรูปเหมือนมนุษย์
การแสดง “ตรีเอกภาพ” ในศิลปะคริสเตียนจะมีไม่กี่ฉากนอกจากภาพพระเยซูทรงรับบัพติศมาซึ่งจะแสดงทั้งสามองค์ประกอบในบทบาทที่ต่างกัน หรือภาพ “การสวมมงกุฏพระนางพรหมจารี” (Coronation of the Virgin) ซึ่งเป็นที่นิยมกันทางตะวันตกก็เป็นอีกภาพหนึ่งที่มักจะแสดง “ตรีเอกภาพ” แต่ภาพเช่น “พระคริสต์ทรงพระสิริ” (Christ in Majesty) หรือ “การพิพากษาครั้งสุดท้าย” (Last Judgement) ซึ่งตามเหตุผลน่าจะแสดง “ตรีเอกภาพ” แต่กลับแสดงเพียงพระเยซู[8]
การแสดง “ตรีเอกภาพ” ที่เป็นคนสามคนเหมือนกันจะหายากเพราะแต่ละภาคของตรีเอกภาพมีบทบาทต่างกัน แต่ที่หายากกว่าคือการแสดงเหมือนมนุษย์คนเดียวที่มีสามหน้า เพราะคำบรรยายของ “ตรีเอกภาพ” เป็นคนสามคนที่มีหัวพระเจ้าหนึ่งหัวไม่ใช่คนคนเดียวที่มีสามบทบาท ซึ่งกลายเป็นการสนับสนุนปรัชญา Modalism ซึ่งเป็นลัทธิที่ถูกฝ่ายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์และออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์ประณามว่าเป็นพวกนอกรีต
การแสดง “ตรีเอกภาพ” อาจจะเป็นแบบนามธรรมโดยใช้สัญลักษณ์เช่นสามเหลื่ยม หรือสามเหลี่ยมสองอันซ้อนกัน, ดอกจิก, หรือผสมสิ่งที่กล่าวมา บางครั้งก็จะมีรัศมีในรูปด้วย สัญลักษณ์เหล่านี้ไม่แต่จะพบในงานจิตรกรรมหรือประติมากรรมแต่ยังพบในงานปัก, พรมทอแขวนผนัง, เครื่องแต่งตัวของพระ, ผ้าคลุมแท่นบูชา, หรือรายละเอียดในสถาปัตยกรรม
อ้างอิง
- ↑ Lawrence B. Porter, "On Keeping 'Persons' in the Trinity: A Linguistic Approach to Trinitarian Thought," Theological Studies 41 (1980) pages 530-548
- ↑ 2.0 2.1 Harris, Stephen L. (1985) Understanding the Bible Palo Alto: Mayfield. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Harris" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ Cross, F. L., ed. (2005) The Oxford Dictionary of the Christian Church New York: Oxford University Press
- ↑ See below and G Schiller, Iconography of Christian Art, Vol. I,1971, Vol II, 1972, (English trans from German), Lund Humphries, London, figs I;5-16 & passim, ISBN 853312702and ISBN 853313245
- ↑ กิจการ 7:56
- ↑ Schiller op cit II:p.122-124 and figs 409-414
- ↑ Schiller op cit II: pp. 219-224 and figs 768-804
- ↑ for both, Schiller op cit I:pp. 6-12 and figs 10-16
ข้อมูลเพิ่มเติม
สมุดภาพ
-
ไอคอน “ตรีเอกภาพที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด” (Most Holy Trinity) ราวปี ค.ศ. 1400 โดยนักบุญอันเดรย์ รูเบลฟ (Andrey Rublev)
มอสโคว์, ประเทศรัสเซีย -
“ตรีเอกภาพ” ที่โมนาสเตอรีวาโตเปดิ (Vatopedi Monastery) แสดงพระเจ้ามีรัศมีสามเหลี่ยม
เมานท์เอธอส (Mount Athos), ประเทศกรีซ -
“ตรีเอกภาพ” จากคริสต์ศตวรรษ 14 เป็นภาพเหมือนมนุษย์สามคน
ประเทศฝรั่งเศส -
“บัลลังก์แห่งความกรุณา” แสดงให้เห็นพระบิดาบนบัลลังก์ถือกางเขนและมืนกพิลาบเหนือพระบุตร ที่โบสถ์แซ็งปีแยร์
มูซีเซอร์เซน (Mussy sur Seine), ประเทศฝรั่งเศส -
“Not Gottes” แสดงพระบิดาสวมมงกุฏสันตะปาปาประคองร่างพระบุตร ราวปี ค.ศ. 1483 โดยเบิร์นท โนทเค (Bernt Notke)
ลือเบค (Lübeck), ประเทศเยอรมนี -
“บัลลังก์แห่งความกรุณา” ปี ค.ศ. 1511 โดยอัลเบรชท์ ดือเรอร์ (Albrecht Dürer)
ประเทศเยอรมนี -
บานภาพ “Gottes Not” ปี ค.ศ. 1491 โดยยาน พอลลัค (Jan Polack) จิตรกรโปแลนด์ทำงานในเยอรมนี
-
ภาพเขียน “Gottes Not” ราวปี ค.ศ. 1635 โดยจูเซปเป เด ริเบรา (Jusepe de Ribera)
-
“การสวมมงกุฏพระแม่มารีย์” ภาพจากเอกสารตัวเขียนสีวิจิตร ซึ่งพระเยซูแสดงรอยแผล - ลักษณะภาพที่พบไม่บ่อยนัก
-
“การสวมมงกุฏพระแม่มารีย์”
โดยอองเกอรองด์ ควอตอง (Enguerrand Quarton) ที่พระบุตรและพระบิดาเหมือนกัน บ่งโดยนักบวชผู้จ้างให้วาดภาพ -
“การสวมมงกุฏแก่พระนางพรหมจารี” โดยฌ็อง ฟูแก (Jean Fouquet) จากเอกสารตัวเขียนสีวิจิตร แสดงตรีเอกภาพเป็นภาพเหมือนมนุษย์สามคน
-
“ตรีเอกภาพ” คริสต์ศตวรรษที่ 19 โดย ฟริโดลิน เลเบอร์ (Fridolin Leiber) เป็นภาพเหมือนมนุษย์สามคนแต่ละคนมีสัญลักษณ์ที่บ่งว่าเป็นใครที่หน้าอกเสี้อ
-
“Not Gottes” ราวคริสต์ศตวรรษ 16
-
“ตรีเอกภาพ” ราวคริสต์ศตวรรษ 15
-
“บัลลังก์แห่งความกรุณา” จากคริสต์ศตวรรษ 16