ข้ามไปเนื้อหา

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Erectile dysfunction
ชื่ออื่นImpotence
โฆษณาจากหนังสือพิมพ์ ค.ศ. 1897 อ้างว่าสามารถคืนความเป็นชายที่สมบูรณ์ได้
สาขาวิชาUrology

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (อังกฤษ: Impotence) เนื่องจาก ปัญหาการแข็งตัวขององคชาต (อังกฤษ: Erectile dysfunction (ED)) เป็นอาการที่อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว หรือแข็งตัวได้แต่ไม่เพียงพอที่จะร่วมกิจกรรมทางเพศกับคู่สัมพันธ์ได้อย่างพึงพอใจ[1] การแข็งตัวขององคชาตเป็นผลมาจากการสูบฉีดของเลือดเข้าไปเก็บไว้ในเนื้อเยื่อคล้ายฟองน้ำภายในอวัยวะเพศ กระบวนการนี​​้ส่วนใหญ่มักจะถูกกระตุ้นที่เป็นผลมาจากการเร้าอารมณ์ทางเพศเมื่อสัญญาณถูกส่งจากสมองไปยังเส้นประสาทในอวัยวะเพศชาย สาเหตุความผิดปรกติทางอินทรีย์ที่สำคัญที่สุดคือโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคเบาหวาน อีกทั้งปัญหาทางระบบประสาท (เช่นการบาดเจ็บจากการผ่าตัดต่อมลูกหมาก) การขาดฮอร์โมน (hypogonadism) แล​​ะผลข้างเคียงของยา[2]

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางด้านจิตใจ (อังกฤษ: Psychological impotence) เกิดขึ้นเมื่อการแข็งตัวหรือการสอดใส่มีการล้มเหลวเนื่องจากความคิดหรือความรู้สึก (ด้วยเหตุผลทางจิตวิทยา) มากกว่าเป็นเพราะภาวะหย่อนสมรรถภาพทางกาย สาเหตุนี้เกิดขึ้นค่อนข้างน้อยแต่บ่อยครั้งที่สามารถรักษาได้ ที่น่าสนใจในภาวะหย่อนสมรรถภาพทางด้านจิตใจ การรักษาด้วยยาหลอก (อังกฤษ: placebo effect) ได้ผลลัพธ์เป็นอย่างดี ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศอาจมีผลกระทบทางด้านจิตใจอย่างรุนแรงเนื่องจากมันสามารถเชื่อมโยงกับความยุ่งยากในชีวิตคู่และภาพลักษณ์ของผู้ชายโดยทั่วไป

นอกเหนือจากการรักษา สาเหตุเช่นการขาดโพแทสเซียมหรือการปนเปื้อนสารหนูในน้ำดื่ม การรักษาขั้นแรกของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศประกอบด้วยการทดสอบด้วยยายับยั้ง PDE5 (อังกฤษ: PDE5 inhibitor) (ตัวยาแรกเป็น sildenafil หรือไวอากร้า) ในหลายกรณีการรักษาสามารถเกี่ยวข้องกับแท็บเล็ตของ prostaglandin ในท่อปัสสาวะ การฉีดเข้าไปในอวัยวะเพศชาย การฝังอุปกรณ์ในอวัยวะเพศชาย การใช้ปั๊มอวัยวะเพศหรือการผ่าตัดเสริมสร้างหลอดเลือด[3]

การศึกษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศทางการแพทย์ครอบคลุมบุรุษวิทยา (อังกฤษ: andrology) ซึ่งเป็นสาขาย่อยภายในระบบทางเดินปัสสาวะ การวิจัยพบว่าภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นเรื่องธรรมดาและบอกว่าประมาณ 40% ของผู้ชายต้องทนทุกข์ทรมานจากภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นครั้งคราว[4]

สัญญาณและอาการ

[แก้]

มีการวิเคราะห์ในหลายวิธี ดังนี้

  • แข็งตัวเต็มที่ได้บางครั้ง เช่นอวัยวะเพศชายแข็งตัวในเวลากลางคืนเมื่อนอนหลับ (เมื่อจิตใจและปัญหาทางจิต(ถ้ามี)มีผลน้อย) มีแนวโน้มที่จะชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างทางกายภาพสามารถทำงานได้ตามหน้าที่[5][6]
  • ปัจจัยอื่น ๆ ที่นำไปสู่​​ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศคือโรคเบาหวาน (ก่อให้เกิดโรคของระบบประสาท)

สาเหตุ

[แก้]
  • ยาต้านอาการซึมเศร้า (SSRIs[7]) และนิโคตินจะพบมากที่สุด
  • ความผิดปกติทางระบบประสาท[8]
  • ความผิดปกติของ Cavernosal (โรค Peyronie (ความผิดปรกติของเนื้อเยื่ออ่อนภายในอวัยวะเพศอันเนื่องจากการสะสมของตะกอนไฟเบอร์ เกิดขึ้นกับผู้ชายราว 5% โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแผลเป็นบนเปลือกนอกของอวัยวะเพศทำให้เกิดการเจ็บปวด อวัยวะเพศผิดรูป ไม่แข็งตัว ยุบตัว ขนาดเล็กและสั้นลง ยังไม่มีการแก้ปัญหาที่ได้ผล)[9])
  • สาเหตุทางจิต: ความวิตกกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงาน ความเครียดและความผิดปกติท​​างจิต[10]
  • ศัลยกรรม[11]
  • อายุมาก พบมากในผู้ชายที่มีอายุเกิน 60 มากกว่าผู้มีอายุ 40 ถึง 4 เท่า[12]
  • ไตล้มเหลว
  • โรคต่าง ๆ เช่นโรคเบาหวานและเส้นโลหิตตีบ (อังกฤษ: multiple sclerosis (MS)) แต่ทั้งสองสาเหตุนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่ามันเป็นผู้ต้องสงสัยที่จะทำให้เกิดปัญหากับการไหลเวียนเลือดและระบบประสาท
  • ไลฟ์สไตล์: การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ[13][14] เพราะมันส่งเสริมการตีบของหลอดเลือด[15]

การแทรกแซงด้วยการผ่าตัดสำหรับหลายเงื่อนไขอาจลบโครงสร้างทางกายวิภาคท​​ี่จำเป็นในการแข็งตัวของอวัยวะเพศ อาจสร้างความเสียหายต่อเส้นประสาทหรือกระทบต่อปริมาณการแจกจ่ายของเลือด ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยของการรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก รวมทั้งการศัลยกรรมต่อมลูกหมากและการทำลายต่อมลูกหมากโดยการฉายรังสีแบบแสงภายนอก แม้ว่าต่อมลูกหมากเองไม่จำเป็นสำหรับการแข็งตัว

นอกจากนี้ ED ยังสามารถเชื่อมโยงกับการปั่นจักรยานเนื่องจากการบีบอัดทำให้เกิดปัญหาทั้งทางระบบประสาทและหลอดเลือด[16] ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.7 เท่า[17]

พยาธิสรีรวิทยา

[แก้]

การแข็งตัวของอวัยวะเพศชายมีการจัดการโดยกลไกสองแบบได้แก่ 1. การแข็งตัวแบบสะท้อนซึ่งจะประสบความสำเร็จโดยการสัมผัสโดยตรงที่ลำอวัยวะเพศชาย และ 2. การแข็งตัวด้วยการสร้างมโนภาพซึ่งจะทำได้โดยการกระตุ้นแบบเร้าโลมหรือเร้าอารมณ์ แบบแรกใช้ประสาทส่วนปลายและส่วนล่างของเส้นประสาทไขสันหลังในขณะที่แบบหลังใช้ระบบ limbic ของสมอง ในทั้งสองแบบ ระบบประสาทที่ไม่ได้รับความเสียหายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความสำเร็จและมีความสมบูรณ์สำหรับการแข็งตัว การกระตุ้นของลำอวัยวะเพศชายโดยระบบประสาทจะนำไปสู่​​การหลั่งของไนตริกออกไซด์ (NO) ซึ่งจะทำให้เกิดการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อเรียบของ corpora cavernosa (เนื้อเยื่อการแข็งตัวหลักของอวัยวะเพศชาย) และเป็นผลให้อวัยวะเพศชายแข็งตัว นอกจากนี้ในระดับที่เพียงพอของฮอร์โมนเพศชาย (เทสโทสเตอโรนที่ผลิตโดยอัณฑะ) และต่อมใต้สมองที่ไม่เสียหายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาระบบสุขภาพที่ดีของการแข็งตัว อย่างที่สามารถเข้าใจได้จากกลไกของการแข็งตัวตามปกติ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศอาจพัฒนาขึ้นจากการขาดฮอร์โมนและการผิดปกติของระบบประสาท อีกทั้งการที่เลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศชายไม่พอเพียงหรือมีปัญหาทางด้านจิตใจ[18] การจำกัดของการไหลเวียนของเลือดอาจเกิดขึ้นจากความบกพร่องของการทำงานของหลอดเลือดเนื่องจากสาเหตุปกติท​​ี่เกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดหัวใจ และยังสามารถเกิดจากการสัมผัสเป็นเวลานานกับแสงไฟที่สว่างจ้า

การวินิจฉัย

[แก้]

ยังไม่มีการทดสอบโดยตรงที่จะวินิจฉัยภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ การทดสอบเลือดโดยทั่วไปจะทำเพื่อคัดออกบางโรคเช่น โรคต่อมบ่งเพศบกพร่อง (อังกฤษ: hypogonadism) และโรคเนื้องอกในต่อมปิตุอิตารี(ต่อมใต้สมอง) (อังกฤษ: prolactinoma) นอกจากนี้ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกายโดยทั่วไปที่ไม่ดี พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ดี โรคอ้วนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งมากที่สุดคือโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดส่วนปลาย

วิธีที่มีประโยชน์และง่ายต่อการแยกแยะความแตกต่างระหว่างภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศทางสรีรวิทยาและทางจิตวิทยาคือการตรวจสอบว่าผู้ป่วย"เคย"มีการแข็งตัวหรือไม่ ถ้า"ไม่เคย" ปัญหาน่าจะเป็นทางสรีรวิทยา แต่ถ้า"บางครั้ง" (แต่ไม่ค่อยได้) มันอาจจะเป็นทางสรีรวิทยาหรือทางจิตใจ คู่มือการวินิจฉัยและสถิติปัจจุบันของโรคทางจิต (อังกฤษ: Diagnostic and Statistical Manual of mental diseases (DSM-IV)) ได้รวบรวมรายการสำหรับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศเอาไว้

อัลตราซาวนด์แบบดูเพล็กซ์
อัลตราซาวนด์แบบดูเพล็กซ์จะถูกนำมาใช้ในการประเมินการไหลเวียนของเลือด การรั่วของเส้นเลือดดำ สัญญาณของโรคท่อเลือดแดงและโรคหลอดเลือดแดงแข็ง และแผลเป็นหรือการกลายเป็นหินปูนของเนื้อเยื่ออวัยวะเพศ การฉีด prostaglandin (ตัวกระตุ้นคล้ายฮอร์โมนที่ผลิตในร่างกาย) เพื่อให้อวัยวะเพศแข็งตัวจากนั้นก็ทำอัลตราซาวนด์เพื่อดูการขยายตัวของหลอดเลือดและวัดความดันโลหิตของอวัยวะเพศชาย
การทำงานเส้นประสาทอวัยวะเพศชาย
การทดสอบแบบ bulbocavernosus reflex จะใช้ในการตรวจสอบว่ามีความรู้สึกของประสาทในอวัยวะเพศชายเพียงพอหรือไม่ แพทย์จะบีบหัว อวัยวะเพศชายซึ่งจะทำให้ทวารหนั​​กหดตัวโดยทันทีถ้าเส้นประสาททำงานเป็นปกติ แพทย์จะวัดระยะเวลาระหว่างการบีบและการหดตัวโดยการสังเกตกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนั​​กหรือจากการรู้สึกมันด้วยนิ้วที่สวมถุงมือที่สอดใส่เข้าไปทางทวารหนั​​ก
การแข็งตัวของอวัยวะเพศชายในเวลากลางคืน (อังกฤษ
Nocturnal penile tumescence (NPT)): เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ชายที่จะมีการแข็งตัว 5-6 ครั้งระหว่างการนอนหลับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างช่วงการนอนหลับที่เรียกว่าการเคลื่อนไหวตาอย่างรวดเร็ว (อังกฤษ: rapid eye movement (REM)) กรณีที่ไม่มีการแข็งตัวเลยอาจบ่งบอกถึงปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของเส้นประสาทหรือปัญหาของปริมาณเลือดที่ส่งไปในอวัยวะเพศชาย มีสองวิธีในการวัดการเปลี่ยนแปลงของความแข็งและเส้นรอบวงของอวัยวะเพศชายระหว่างการแข็งตัวในเวลากลางคืน ได้แก่การวัดแบบ snap gauge และ strain gauge อย่างไรก็ตาม มีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีความผิดปกติท​​างเพศ แต่ก็ไม่มีการแข็งตัวในเวลากลางคืนอย่างเป็นประจำ
การทำ biothesiometry กับอวัยวะเพศชาย
การทดสอบนี้จะใช้การสั่นสะเทือนแม่เหล็กไฟฟ้าในการประเมินความไวและการทำงานของเส้นประสาทในห้วและลำตัวของอวัยวะเพศชาย
Dynamic infusion cavernosometry (DICC)
เป็นเทคนิคที่ใช้ของเหลวสูบเข้าไปในอวัยวะเพศชายในอัตราและความดันหนึ่งแล้วทำการวัดความดันใน corpus cavernosum ระหว่างการแข็งตัว
Corpus cavernosometry
การวัดความดันหลอดเลือดแบบ Cavernosography ใน corpus cavernosum น้ำเกลือจะถูกฉีดเข้าไปใน corpus cavernosum ด้วยเข็มผีเสื้อและวัดอัตราการไหลที่จำเป็นสำหรับการรักษาความแข็งตัวของอวัยวะเพศ โดยดูระดับของการรั่วไหลของหลอดเลือดดำ การรั่วไหลของเส้นเลือดสามารถมองเห็นได้โดยการผสมน้ำเกลือกับสารทึบแสง x ray เพื่อให้ได้ภาพ cavernosogram[19] ในการสร้างภาพแบบดิจิตอลที่เรียกว่า Digital Subtraction Angiography (DSA) ภาพที่ได้จากวิธีการข้างต้นต้องอยู่ในรูปดิจิตอล
Magnetic resonance angiography (MRA)
วิธีการนี้จะคล้ายกับการสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก MRA จะใช้สนามแม่เหล็กและคลื่นวิทยุเพื่อสร้างภาพรายละเอียดของหลอดเลือด แพทย์อาจฉีด "สารเพิ่มความชัด" เข้าสู่กระแสเลือดของผู้ป่วยเพื่อให้เนื้อเยื่อหลอดเลือดโดดเด่นออกมาจากเนื้อเยื่ออื่น ๆ สารเพิ่มความชัดจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปริมาณเลือดและความผิดปกติของหลอดเลือด

การรักษา

[แก้]

การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ

การออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิกในช่วงวัยกลางคนมีประสิทธิภาพในการป้องกัน ED การออกกำลังกายเพื่อการรักษากำลังอยู่ภายใต้การตรวจสอบ[20]: 6, 18–19  สำหรับผู้สูบบุหรี่ การละเว้นการสูบบุหรี่มีผลในการปรับปรุงที่สำคัญ[21]

การใช้ยาทางปากและอุปกรณ์ช่วยการแข็งตัวแบบสูญญากาศเป็นการรักษาสิ่งแรก[20]: 20, 24  ตามด้วยการฉีดยาเข้าไปในอวัยวะเพศและการปลูกถ่ายอวัยวะเพศชาย[20]: 25–26 

การใช้ยาทางปาก

[แก้]
สารยับยั้ง phosphodiesterase ประเภท 5
วงจร nucleotide phosphodiesterases เป็นกลุ่มของเอนไซม์ที่ทำลาย cyclic adenosine monophosphate (cAMP) และ cyclic guanosine monophosphate (cGMP). Phosphodiesterases จะอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกันในระดับโมเลกุลและมีการกระจัดกระจายไปทั่วร่างกาย หนึ่งในรูปแบบของ phosphodiesterase เรียกว่า PDE5 และสารยับยั้ง PDE5 ไปเพิ่มปริมาณของ cGMP ที่มีอยู่ในเลือดที่ส่งไปยังอวัยวะเพศซึ่งจะเป็นการเพิ่มการไหลเวียนเลือด สารยับยั้ง PDE5 เช่น sildenafil (Viagra), Vardenafil (Levitra) และ tadalafil (Cialis) เป็นยาตามใบสั่งแพทย์ที่มีการนำมารับประทาน[20]: 20–21 

ยาเฉพาะที่

[แก้]

ครีมทาเฉพาะที่ที่ผสม alprostadil กับตัวเพิ่มการซึมผ่านที่ชื่อ DDAIP ได้รับการอนุมัติในแคนาดาภายใต้ชื่อแบรนด์ Vitaros เป็นการรักษาสิ่งแรกสำหรับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ[22]

ยาฉีด

[แก้]

การรักษาอีกวิธีหนึ่งก็คือการรักษาด้วยการฉีด ยาดังต่อไปนี้จะถูกฉีดเข้าไปในอวัยวะเพศชาย papaverine, phentolamine และ prostaglandin E1[20]: 25 

เครื่องปั๊มสูญญากาศ

[แก้]

บทความหลัก: เครื่องปั๊มอวัยวะเพศชาย

อุปกรณ์ช่วยการแข็งตัวแบบสูญญากาศสามารถช่วยดึงเลือดเข้าสู่อวัยวะเพศโดยการใช้แรงดัน ประเภทของอุปกรณ์นี้บางครั้งถูกเรียกว่าเครื่องปั๊มอวัยวะเพศชายและอาจจะถูกใช้ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์เล็กน้อย องค์การอาหารและยาได้อนุมัติการรักษาด้วยอุปกรณ์สูญญากาศหลายประเภทและจะสามารถใช้ได้ตามใบสั่งของแพทย์ เมื่อวิธีการทางเภสัชวิทยาล้มเหลวปั๊มสูญญากาศแบบใช้ภายนอกที่ออกแบบมาตามวัตถ​​ุประสงค์นี้อาจสามารถนำมาใช้เพื่อให้บรรลุการแข็งตัว โดยที่มีแหวนบีบอัดแบบแยกที่มีขนาดพอดีกับอวัยวะเพศชายเพื่อรักษาความแข็งเอาไว้ ปั๊มเหล่านี้ควรจะแตกต่างจากปั๊มอวัยวะเพศอื่น ๆ (ที่ไม่มีแหวนบีบอัด) ซึ่งแทนที่จะถูกใช้สำหรับการรักษาชั่วคราวของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ แต่มีการแอบอ้างว่าจะสามารถเพิ่มความยาวของอวัยวะเพศได้ถ้าใช้บ่อยหรือมีการสั่นสะเทือนเป็นตัวช่วยในการทำช่วยตัวเอง อย่างอื่นๆที่เห็นได้ชัดกว่านี้ก็คือการปลูกถ่ายอวัยวะเพศชายแบบเป่าให้พองแข็งได้หรือแบบแข็งตลอดอาจทำได้ผ่านทางศัลยกรรม

ศัลยกรรม

[แก้]

บทความหลัก: อวัยวะเพศชายเทียม

โดยทั่วไปมักจะเป็นทางเลือกสุดท้ายถ้าการรักษาอื่น ๆ ล้มเหลว ขั้นตอนที่พบมากที่สุดคือการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมที่เกี่ยวข้องกับการสอดใส่ของแท่งเ​​ทียมเข้าไปในอวัยวะเพศ[20]: 26 

การแพทย์ทางเลือก

[แก้]

องค์การอาหารและยาไม่แนะนำการรักษาทางเลือก (เช่นพวกที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA) ในการรักษาความเสื่อมสมรรถภาพท​​างเพศ[23] หลายผลิตภัณฑ์มีการโฆษณาเป็นผลิตภัณฑ์เพิ่มประสิทธิภาพทางเพศแบบ "สมุนไพรไวอากร้า" หรือ "ธรรมชาติ" แต่ไม่มีการทดลองทางคลินิกหรือการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในการรักษาหย่อนสมรรถภาพทางเพศและสารเคมีสังเคราะห์ที่คล้ายกับ sildenafil ถูกพบว่าเจือปนในหลายของผลิตภัณฑ์เหล่านี้[24][25][26][27][28] องค์การอาหารและยาของ​​สหรัฐอเมริกาได้เตือนผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์เสริมประสิทธิภาพทางเพศใด ๆ ที่อ้างว่าสามารถทำงานได้เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ตามใบสั่งแพทย์มีแนวโน้มที่จะมีสารปนเปื้อนดังกล่าว[29]

การค้นคว้า

[แก้]
ยีนบำบัด
ยีนบำบัดกำลังได้รับการพัฒนาที่จะช่วยให้มีผลและสนับสนุนให้มีการแข็งตัวเป็นระยะเวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ยีนบำบัดนี้เกี่ยวข้องกับการฉีดโพแทสเซียมแชนแนลที่ไวต่อแคลเซียมแบบยีนโอน (อังกฤษ: transfer gene, calcium-sensitive potassium channel (hMaxi-K)) เข้าไปในอวัยวะเพศชาย[30][31][32]
Tx2-6
การศึกษาที่ทำกันที่วิทยาลัยการแพทย์แห่งจอร์เจียพบว่าพิษจากแมงมุม Brazilian wandering spider มีสารพิษที่เรียกว่า Tx2-6 ทำให้เกิดการแข็งตัว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการผสมสารพิษนี้กับยาที่มีอยู่เช่นไวอากร้าอาจนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ[33]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Erectile dysfunction glossary - MUSC Health
  2. http://www.baanjomyut.com/library/health/009.html
  3. Montague DK, Jarow JP, Broderick GA, Dmochowski RR, Heaton JP, Lue TF, Milbank AJ, Nehra A, Sharlip ID (July 2005). "Chapter 1: The management of erectile dysfunction: an AUA update". J. Urol. 174 (1): 230–9. doi:10.1097/01.ju.0000164463.19239.19. PMID 15947645.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  4. Schouten BW, Bohnen AM, Groeneveld FP, Dohle GR, Thomas S, Bosch JL (July 2010). "Erectile dysfunction in the community: trends over time in incidence, prevalence, GP consultation and medication use—the Krimpen study: trends in ED". J Sex Med. 7 (7): 2547–53. doi:10.1111/j.1743-6109.2010.01849.x. PMID 20497307.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  5. Levine LA, Lenting EL (1995). "Use of nocturnal penile tumescence and rigidity in the evaluation of male erectile dysfunction". Urol. Clin. North Am. 22 (4): 775–88. PMID 7483128.
  6. "Tests for Erection Problems". WebMD, Inc. สืบค้นเมื่อ 2007-03-03.
  7. Delgado PL, Brannan SK, Mallinckrodt CH, Tran PV, McNamara RK, Wang F, Watkin JG, Detke MJ (2005). "Sexual functioning assessed in 4 double-blind placebo- and paroxetine-controlled trials of duloxetine for major depressive disorder". The Journal of clinical psychiatry. 66 (6): 686–692. doi:10.4088/JCP.v66n0603. PMID 15960560.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  8. "Neurogenic Sexual Dysfunction in Men and Women" (PDF). Neurologic Bladder, Bowel and Sexual Dysfunction. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-03-03. สืบค้นเมื่อ 2014-03-03.
  9. "Male Sexual Dysfunction Epidemiology". Erectile dysfunction. Armenian Health Network, Health.am. 2006. สืบค้นเมื่อ 2007-10-07.
  10. Tom F. Lue, MD (2006). "Causes of Erectile Dysfunction". Erectile dysfunction. Armenian Health Network, Health.am. สืบค้นเมื่อ 2007-10-07.
  11. "Erectile Dysfunction Causes". Erectile Dysfunction. Healthcommunities.com. 1998. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-09. สืบค้นเมื่อ 2007-10-07.
  12. "Erectile Dysfunction". สืบค้นเมื่อ 2010-07-01.
  13. Peate I (2005). "The effects of smoking on the reproductive health of men". Br J Nurs. 14 (7): 362–6. doi:10.12968/bjon.2005.14.7.17939. PMID 15924009.
  14. Korenman SG (2004). "Epidemiology of erectile dysfunction". Endocrine. 23 (2–3): 87–91. doi:10.1385/ENDO:23:2-3:087. PMID 15146084.
  15. Kendirci M, Nowfar S, Hellstrom WJ (2005). "The impact of vascular risk factors on erectile function". Drugs Today (Barc). 41 (1): 65–74. doi:10.1358/dot.2005.41.1.875779. PMID 15753970.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  16. Sommer F, Goldstein I, Korda JB (July 2010). "Bicycle riding and erectile dysfunction: a review". The journal of sexual medicine. 7 (7): 2346–58. doi:10.1111/j.1743-6109.2009.01664.x. PMID 20102446.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  17. Huang V, Munarriz R, Goldstein I (September 2005). "Bicycle riding and erectile dysfunction: an increase in interest (and concern)". The journal of sexual medicine. 2 (5): 596–604. doi:10.1111/j.1743-6109.2005.00099.x. PMID 16422816.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  18. Rany Shamloul; Anthony J Bella (2014-03-01). Erectile Dysfunction. Biota Publishing. pp. 6–. ISBN 978-1-61504-653-9.
  19. Dawson C, Whitfield H (April 1996). "ABC of urology. Subfertility and male sexual dysfunction". BMJ. 312 (7035): 902–5. doi:10.1136/bmj.312.7035.902. PMC 2350600. PMID 8611887.
  20. 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 20.5 Wespes E (chair), et al. Guidelines on Male Sexual Dysfunction: Erectile dysfunction and premature ejaculation. European Association of Urology 2013
  21. ข้อผิดพลาดสคริปต์: ไม่มีมอดูล "ParseVauthors"
  22. Bujdos, Brian. "New Topical Erectile Dysfunction Drug Vitaros Approved in Canada; Approved Topical Drug Testim Proves Helpful for Erectile Dysfunction". สืบค้นเมื่อ 15 April 2011.
  23. "Dangers of Sexual Enhancement Supplements".
  24. Gryniewicz CM, Reepmeyer JC, Kauffman JF, Buhse LF (2009). "Detection of undeclared erectile dysfunction drugs and analogues in dietary supplements by ion mobility spectrometry". Journal of pharmaceutical and biomedical analysis. 49 (3): 601–6. doi:10.1016/j.jpba.2008.12.002. PMID 19150190.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  25. Choi DM, Park S, Yoon TH, Jeong HK, Pyo JS, Park J, Kim D, Kwon SW (2008). "Determination of analogs of sildenafil and vardenafil in foods by column liquid chromatography with a photodiode array detector, mass spectrometry, and nuclear magnetic resonance spectrometry". Journal of AOAC International. 91 (3): 580–588. PMID 18567304.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  26. Reepmeyer JC, Woodruff JT (2007). "Use of liquid chromatography-mass spectrometry and a chemical cleavage reaction for the structure elucidation of a new sildenafil analogue detected as an adulterant in an herbal dietary supplement". Journal of Pharmaceutical and Biomedical Analysis. 44 (4): 887–893. doi:10.1016/j.jpba.2007.04.011. PMID 17532168.
  27. Reepmeyer JC, Woodruff JT, d'Avignon DA (2007). "Structure elucidation of a novel analogue of sildenafil detected as an adulterant in an herbal dietary supplement". Journal of Pharmaceutical and Biomedical Analysis. 43 (5): 1615–1621. doi:10.1016/j.jpba.2006.11.037. PMID 17207601.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  28. Enforcement Report for June 30, 2010, United States Food and Drug Administration
  29. Hidden Risks of Erectile Dysfunction "Treatments" Sold Online, United States Food and Drug Administration, February 21, 2009
  30. Emma Hitt (May 29, 2009). "Gene Therapy May Offer Long-Term Impotence Remedy". Reuters Health. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-30. สืบค้นเมื่อ 2015-05-09.
  31. "Erectile Dysfunction :: Gene therapy for erectile dysfunction shows promise in clinical trial". SpiritIndia. December 1, 2006.
  32. George J. Christ, Karl-Erik Andersson, Koudy Williams, Weixin Zhao, Ralph D'Agostino Jr., Jay Kaplan, Tamer Aboushwareb, James Yoo, Giulia Calenda, Kelvin P. Davies, Rani S. Sellers, Arnold Melman (December 2009). "Smooth-Muscle–Specific Gene Transfer with the Human Maxi-K Channel Improves Erectile Function and Enhances Sexual Behavior in Atherosclerotic Cynomolgus Monkeys". European Urology. 56 (6): 891–1104.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  33. Hernandez, Vladimir (4 May 2007). "Spider venom could boost sex life". BBC News.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก