การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์
การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ (อังกฤษ: sexual abstinence) เป็น การปฏิบัติโดยการละเว้นกิจกรรมทางเพศ ด้วยเหตุผลทางการแพทย์, จิตวิทยา, กฎหมาย, สังคม, การเงิน, ปรัชญา, ศีลธรรม, หรือ ศาสนา ความไม่ฝักใจทางเพศ แตกต่างกับการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ และ การอยู่เป็นโสด (celibacy) นับเป็นการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ที่มักได้รับแรงบันดาลใจจากปัจจัยอย่างความเชื่อส่วนตัวหรือความเชื่อทางศาสนา[2] การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรสนับเป็นบรรทัดฐานทางสังคมในบางที่ หรือ เป็นกฎหมายในบางประเทศ โดยนับเป็นส่วนหนึ่งของพรหมจรรย์ (chastity)
การงดเว้นอาจเกิดขึ้นโดยสมัครใจ (เช่น เมื่อบุคคลเลือกที่จะละเว้นกิจกรรมทางเพศด้วยเหตุผลทางศีลธรรม, ศาสนา, ปรัชญา, หรือ อื่น ๆ) หรือ อาจเกิดขึ้นเหนือความสมัครใจ โดยถูกบังคับโดยสถานการณ์ทางสังคม (เช่น เมื่อบุคคลไม่สามารถหาผู้ที่จะยินยอมร่วมเพศด้วยได้) หรือ ถูกบังคับโดยกฎหมาย (เช่น ในประเทศที่การร่วมเพศนอกเหนือการสมรสนั้นผิดกฎหมาย)
ประวัติ
[แก้]ความสำส่อน (promiscuity) ถูกมองเป็นเรื่องไม่ดีตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยเหตุผลทั้งทางสุขภาพและทางสังคม[3] พีทาโกรัส กล่าวไว้ตั้งแต่ 600 ปีก่อนก่อนคริสตกาลว่า เพศสัมพันธ์ควรมีในฤดูหนาว และไม่ควรมีในฤดูร้อน เพราะมันให้ผลเสียต่อสุขภาพของผู้ชายในทุกฤดู ด้วยความที่การเสียน้ำอสุจิเป็นสิ่งอันตราย ยากที่จะควบคุม และก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทว่าไม่มีผลต่อผู้หญิง ความคิดนี้อาจถูกรวมกับความคิดของศาสนาโซโรอัสเตอร์ในเรื่องความดีและความเลวในหลักปรัชญาที่เรียกว่าไญยนิยม ซึ่งส่งผลต่อทัศนคติที่ศาสนาคริสต์และอิสลามมีต่อกิจกรรมทางเพศ ทว่าคนอีกกลุ่มอ้างว่าศาสนาคริสต์ยึดถือความคิดเกี่ยวกับการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ก่อนไญยนิยมและศาสนาโซโรอัสเตอร์ โดยมีรากฐานที่ถูกพบในพันธสัญญาเดิม
ในช่วงวันตกไข่
[แก้]การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์สามารถถูกใช้เมื่อผู้หญิงอยู่ในช่วงวันตกไข่และสามารถมีลูกได้[4]
ก่อนการแต่งงาน
[แก้]การถือพรหมจรรย์ก่อนการแต่งงาน
[แก้]ในบริบททางวัฒนธรรม ศีลธรรม และศาสนา ส่วนใหญ่ การร่วมเพศของคู่สมรส ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดการถือพรหมจรรย์ บางศาสนา กฎหมาย และบรรทัดฐานทางสังคมห้ามไม่ให้บุคคลมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นนอกเหนือจากคู่ครองตนเอง ในบริบทเหล่านี้ การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ถูกใช้กับคู่ที่ยังไม่ผ่านการสมรสเพื่อจุดประสงค์ทางการถือพรหมจรรย์ การถือพรหมจรรย์ มักถูกใช้ในความหมายเดียวกับการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งสองคำมีความหมายคล้ายกัน แต่ว่ามีพฤติกรรมและข้อห้ามที่ต่างกัน
ประเด็นทางกฎหมาย
[แก้]ในบางประเทศ กิจกรรมทางเพศนอกเหนือการสมรสถือว่าผิดกฎหมาย กฎหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกผูกกับศาสนา และมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ในประเทศอิสลามบางประเทศ เช่น ซาอุดีอาระเบีย, ปากีสถาน[5] อัฟกานิสถาน,[6][7][8] อิหร่าน คูเวต[9] มัลดีฟส์,[10] โมร็อกโก,[11] มอริเตเนีย,[12] สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์,[13][14] กาตาร์,[15] ซูดาน,[16] เยเมน,[17] กิจกรรมทางเพศทุกอย่างนอกเหนือการสมรสถือว่าผิดกฎหมาย
ความรุนแรง
[แก้]ในบางพื้นที่ ผู้ชาย ผู้หญิง เด็กชาย หรือ เด็กหญิง ที่ต้องสงสัยว่ามีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน หรือ มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน อาจตกเป็นเหยื่อของการฆ่าเพื่อรักษาเกียรติ (Honour killings) โดยครอบครัวของพวกเขาเอง[18][19] บางที่ใช้การปาหินเพื่อลงโทษการมีเพศสัมพันธ์นอกการสมรส[ต้องการอ้างอิง]
ความนิยมและประสิทธิผล
[แก้]การปรากฏตัวของโรคเอดส์ เพิ่มความนิยมของการงดเว้น อย่างไรก็ตาม รายงานการวิจัยโดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดเกี่ยวกับแผนการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ในสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวน 13 แผนการ โดยมีผู้ร่วมโครงการกว่า 13,000 คน พบว่า แผนการงดเว้นไม่ได้หยุดพฤติกรรมทางเพศที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงและไม่แม้แต่ช่วยลดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์[20] งานวิจัยอื่นพบว่าระบบการศึกษาแบบการงดเว้นอย่างเดียวส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อ "อายุเริ่มร่วมเพศ; จำนวนคู่ร่วมเพศ; และอัตราการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์, การใช้ถุงยางอนามัย, การร่วมเพศ, การตั้งครรภ์, และการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI)" [21] ไม่นานมานี้รัฐสภาสหรัฐพบผลคล้ายกันจากงานวิจัยเกี่ยวกับการงดเว้นที่จัดทำโดย Mathematica Policy Research[22] ปัจจุบันยังมีประเด็นเกี่ยวกับความหมายของการงดเว้น ว่า หมายถึงการงดเว้นจากการร่วมเพศ หรือ จากพฤติกรรมทางเพศทั้งหมด ขบวนการอย่าง True Love Waits ในอเมริกา บอกให้วัยรุ่นละเว้นการร่วมเพศก่อนการสมรส มีผู้เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ทว่าแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของความนิยมการร่วมเพศทางปาก[23]
ผลกระทบของการงดเว้นต่อสังคม
[แก้]อัลเฟรด คินเซย์ (Alfred Kinsey) ถูกยกย่องให้เป็นบุคคลทางเพศวิทยาชาวอเมริกันคนแรกและถือเป็นหนึ่งในคนที่มีอิทธิพลด้านนี้ที่สุด งานวิจัยของเขาถูกกล่าวถึงว่าเป็นสิ่งที่ปูทางการสำรวจเรื่องเพศวิทยาระหว่างนักเพศวิทยาและสาธารณชน และยังถือเป็นงานที่ปลดปล่อยสภาพทางเพศของผู้หญิง[24][25] คินเซย์กล่าวว่าการเมินเฉยทางเพศนำสู่ความทุกข์ทรมานในสังคมและการปลดปล่อยทางเพศที่ตรงข้ามกับการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์เป็นกุญแจสู่ทั้งการสมรสที่แข็งแรงและชีวิตที่มีความสุข คินเซย์กล่าวว่า "ความผิดปกติทางเพศไม่กี่อย่างที่มีอยู่ได้แก่ การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ การครองโสดถาวร และการชะลอการแต่งงาน"[26]
เจ.ดี. อันวิน (J.D. Unwin) เคยเป็นนักชาติพันธุ์วิทยาและนักมานุษยวิทยาสังคม ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เขาเขียนหนังสือหลายเล่มรวมไปทั้ง เซ็กส์และวัฒนธรรม (ค.ศ. 1934) ใน เซ็กส์และวัฒนธรรม อันวินศึกษา 80 ชนเผ่าดั้งเดิมและ 6 ซิวิไลเซชัน ผ่านประวัติศาสตร์กว่า 5,000 ปี และพบสหสัมพันธ์ทางบวกระหว่างความสำเร็จทางวัฒนธรรมกับข้อจำกัดทางเพศที่พบ ผู้เขียนพบว่ากลุ่มที่ประสบความสำเร็จทางวัฒนธรรมมากที่สุดมักแสดงความสัมพันธ์แบบมีคู่ครองคนเดียว และการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์นอกการสมรส[27] อันวินอ้างว่าเมื่อชาติมีความรุ่งเรือง มักตามมาด้วยความเสรีที่เพิ่มขึ้น รวมไปทั้งความเสรีทางเพศ เป็นผลให้สูญเสียความเชื่อมแน่นทางสังคม แรงกระตุ้น และ จุดประสงค์ และส่งผลทางลบต่อสังคม เขากล่าวว่า "ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติไม่เคยมีเหตุการณ์ที่กลุ่มมีอารยธรรม นอกจากกลุ่มเหล่านั้นจะเคยถือความสัมพันธ์แบบมีคู่ครองคนเดียว และยังไม่มีตัวอย่างของกลุ่มไหนที่สามารถคงวัฒนธรรมหลังจากนำจารีตประเพณีที่เข้มงวดน้อยลงมาใช้"[28]
ดูเพิ่ม
[แก้]- Abstinence, be faithful, use a condom
- Antisexualism
- Harmful to Minors, a book by Judith Levine which deals with sexual morality in the United States
- The Fighting Temptations, a film which features a storyline that involves sexual morality
- Gold star lesbian
- Making sense of abstinence
- Purity Ball
- Refusal skills
- Spiritual marriage
- สภาพพรหมจารี
- Virginity pledge
อ้างอิง
[แก้]- ↑ O'Brien, Jodi (2009). Encyclopedia of Gender and Society. SAGE Publications. p. 155. ISBN 9781412909167.
In this subset of abstinence-only education programs, young people vow chastity until marriage and wear a "purity ring" to demonstrate a commitment to sexual abstinence.
- ↑ The American Heritage Dictionary of the English Language (3d ed. 1992), entries for celibacy and thence abstinence
- ↑ Uta Ranke.Heinman (1988). Eunuchs for the Kingdom of Heaven - the Catholic Church and Sexuality. Penguin Books USA. ISBN 0 385 26527 1.
- ↑ Abstinence during infertile period to prevent conception
- ↑ Jordan, Mary (21 August 2008). "Searching for Freedom, Chained by the Law". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ 3 August 2013.
- ↑ Ernesto Londoño (9 September 2012). "Afghanistan sees rise in 'dancing boys' exploitation". The Washington Post. DEHRAZI, Afghanistan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 May 2013.
- ↑ "Home". AIDSPortal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 October 2008. สืบค้นเมื่อ 2 August 2013.
- ↑ "Iran". Travel.state.gov. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 August 2013. สืบค้นเมื่อ 3 August 2013.
- ↑ "United Nations Human Rights Website - Treaty Bodies Database - Document - Summary Record - Kuwait". Unhchr.ch. สืบค้นเมื่อ 2 August 2013.
- ↑ "Culture of Maldives". Every Culture. สืบค้นเมื่อ 3 August 2013.
- ↑ "Morocco: Should pre-marital sex be legal?". BBC News. 9 August 2012.
- ↑ "2010 Human Rights Report: Mauritania". State.gov. 8 April 2011. สืบค้นเมื่อ 2 August 2013.
- ↑ "Education in Dubai". Dubaifaqs.com. สืบค้นเมื่อ 2 August 2013.
- ↑ Judd, Terri; Sajn, Nikolina (10 July 2008). "Briton faces jail for sex on Dubai beach". The Independent. London. สืบค้นเมื่อ 3 August 2013.
- ↑ ""Sex outside of marriage is a criminal offense here," PH ambassador to Qatar warns Pinoys". SPOT.ph. 12 September 2011. สืบค้นเมื่อ 3 August 2013.
- ↑ "Sudan must rewrite rape laws to protect victims". Reuters. 28 June 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-15. สืบค้นเมื่อ 2 August 2013.
- ↑ "Women's Rights in the Middle East and North Africa - Yemen". Unhcr.org. สืบค้นเมื่อ 2 August 2013.
- ↑ "Shocking gay honor killing inspires movie - CNN.com". CNN. 13 January 2012.
- ↑ "Iraqi immigrant convicted in Arizona 'honor killing' awaits sentence". CNN. 23 February 2011.
- ↑ "No-sex programmes 'not working'". BBC News. 2 August 2007. สืบค้นเมื่อ 17 March 2009.
- ↑ Abby Wilkerson (March 2013). "I Want to Hold Your Hand: Abstinence Curricula, Bioethics, and the Silencing of Desire". Journal of Medical Humanities. 34 (2): 101–108.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2007-06-13. สืบค้นเมื่อ 2017-12-27.
- ↑ Lisa Remez (Nov–Dec 2000). "Oral Sex among Adolescents: Is It Sex or Is It Abstinence?". Family Planning Perspectives. Family Planning Perspectives, Vol. 32, No. 6. 32 (6): 298–304. doi:10.2307/2648199. JSTOR 2648199. PMID 11138867. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 April 2005.
- ↑ Janice M. Irvine (2005). Disorders of Desire: Sexuality and Gender in Modern American Sexology. Temple University Press. pp. 37–43. ISBN 978-1592131518. สืบค้นเมื่อ 3 January 2012.
- ↑ Charles Zastrow (2007). Introduction to Social Work and Social Welfare: Empowering People. Cengage Learning. pp. 227–228. ISBN 0495095109. สืบค้นเมื่อ 15 March 2014.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-01-13. สืบค้นเมื่อ 2017-12-27.
- ↑ "Any human society is free to choose either to display great energy or to enjoy sexual freedom; the evidence is that it cannot do both for more than one generation." Unwin, J. D. (1934) Sex and Culture, p. 412.
- ↑ Unwin, J. D. (1927). "Monogamy as a Condition of Social Energy,” The Hibbert Journal, Vol. XXV, p. 662.
ดูเพิ่ม
[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Chastityproject.com
- Chastity.com
- National Abstinence Clearinghouse
- Science discovers the physiological value of continence by Dr. R. W. Bernard, A.B., M.A., Ph.D.