ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้งห้า
ในสาขาจิตวิทยา ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง[1][2] (อังกฤษ: Big Five personality traits) หรือ แบบจำลองมีปัจจัย 5 อย่าง (อังกฤษ: five factor model ตัวย่อ FFM) เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับมิติหรือปัจจัยใหญ่ ๆ 5 อย่างที่ใช้อธิบายบุคลิกภาพและสภาพทางจิตใจของมนุษย์[3][4] โดยมีนิยามของปัจจัย 5 อย่างว่า
- ความเปิดรับประสบการณ์ (openness to experience)
- ความพิถีพิถัน (conscientiousness)
- ความสนใจต่อสิ่งภายนอก (extraversion)
- ความยินยอมเห็นใจ (agreeableness)
- ความไม่เสถียรทางอารมณ์ (neuroticism)
รหัสย่อเพื่อจำปัจจัย 5 อย่างนี้ คือ OCEAN (แปลว่า มหาสมุทร) และ CANOE (แปลว่า เรือแคนู) ภายใต้ปัจจัยใหญ่ที่เสนอเหล่านี้แต่ละอย่าง ๆ ก็ยังมีปัจจัยหลักจำเพาะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ยกตัวอย่างเช่น ความสนใจต่อสิ่งภายนอกรวมคุณลักษณะที่สัมพันธ์กันคือ ความชอบสังคม (gregariousness) ความมั่นใจในตน (assertiveness) การสรรหาเรื่องตื่นเต้น การให้ความสนิทสนม (warmth) การไม่ชอบอยู่เฉย ๆ และอารมณ์เชิงบวก[5]
ปัจจัย 5 อย่าง
[แก้]- ความเปิดรับประสบการณ์ (openness to experience) โดยเป็นพิสัยระหว่างการทำอะไรแปลกใหม่-ความอยากรู้อยากเห็น กับความสม่ำเสมอ-ความระมัดระวัง เป็นการหยั่งรู้คุณค่าของศิลปะ ความเปิดรับอารมณ์ต่าง ๆ การผจญภัย ความคิดที่แปลก ๆ ความอยากรู้อยากเห็น และความเปิดรับประสบการณ์ต่าง ๆ ความเปิดรับเป็นตัวสะท้อนปัญญาที่อยากรู้อยากเห็น ความคิดสร้างสรรค์ และความชอบใจต่อทั้งสิ่งใหม่ ๆ ต่อทั้งความหลายหลากที่บุคคลนั้นมี นอกจากนั้น ยังกล่าวได้ว่าเป็นระดับที่บุคคลนั้นมีจินตนาการและเป็นตัวของตัวเอง และที่แสดงความชอบใจต่อกิจกรรมที่หลากหลายมากกว่าการทำอะไรเป็นประจำอย่างเคร่งครัด แต่ว่า ถ้ามีระดับความเปิดรับสูง ก็อาจจะมองได้ว่าเป็นคนเอาแน่อะไรไม่ได้ หรือไร้เป้าหมาย และอาจจะพยายามเข้าถึงศักยภาพของตน (self-actualization) โดยหาประสบการณ์แบบสุด ๆ ที่ให้ความคลึ้มใจความตื่นเต้น เช่น กระโดดร่มชูชีพจากเครื่องบิน ไปอยู่ต่างประเทศ เล่นการพนัน และอื่น ๆ ในนัยตรงกันข้าม คนที่เปิดรับน้อยจะพยายามทำชีวิตให้สมบูรณ์โดยความบากบั่นอุตสาหะ มีนิสัยที่ชอบทำชอบปฏิบัติและทำตามข้อมูลที่มีโดยไม่คิดมาก บางครั้งอาจมองได้ว่าเป็นคนหัวรั้นและปิดใจ แต่ก็มีสิ่งที่ตกลงกันไม่ได้ว่า ควรจะตีความหมายและควรจะอธิบายปัจจัยนี้ให้เข้ากับบริบทต่าง ๆ ได้อย่างไร
- ความพิถีพิถัน (conscientiousness) โดยเป็นพิสัยระหว่างความมีประสิทธิภาพ-ความเป็นคนมีระเบียบ กับความเป็นคนสบาย ๆ-ความเป็นคนไร้กังวล เป็นความโน้มเอียงที่จะเป็นคนเจ้าระเบียบที่เชื่อถือได้ มีวินัยในตน ทำตามหน้าที่ ตั้งเป้าหมายเพื่อความสำเร็จ และชอบใจพฤติกรรมตามแผนมากกว่าจะทำอะไรแบบทันทีทันใด แต่คนที่มีลักษณะเช่นนี้สูงอาจจะมองได้ว่าเป็นคนดื้อและหมกมุ่น และคนที่มีลักษณะเช่นนี้ต่ำแม้จะยืดหยุ่นได้และทำอะไรได้โดยไม่ต้องคิด แต่ก็อาจมองได้ว่าเป็นคนไม่เอาใจใส่และเชื่อถือไม่ได้[6]
- ความสนใจต่อสิ่งภายนอก (extraversion) โดยเป็นพิสัยระหว่างคนเปิดรับสังคม-คนกระตือรือร้น กับคนชอบอยู่คนเดียว-คนสงวนท่าที เป็นพลัง อารมณ์เชิงบวก surgency ความมั่นใจในตน ความชอบเข้าสังคม และความโน้มเอียงที่จะสืบหาสิ่งเร้าร่วมกับผู้อื่น และชอบพูด คนที่มีลักษณะนี้สูงอาจมองได้ว่าเรียกร้องความสนใจและเผด็จการ ลักษณะนี้ต่ำทำให้มีบุคลิกภาพเป็นคนสงวนท่าที ช่างไตร่ตรอง ซึ่งอาจจะมองได้ว่าเป็นคนหยิ่ง หรือคิดถึงแต่ตน[7]
- ความยินยอมเห็นใจ (agreeableness) โดยเป็นพิสัยระหว่างความเป็นมิตร-เห็นอกเห็นใจผู้อื่น กับความเป็นคนช่างวิเคราะห์-ไม่ค่อยยุ่งกับผู้อื่น เป็นความโน้มเอียงที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและร่วมมือกับผู้อื่น แทนที่จะระแวงและตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้อื่น เป็นระดับที่สะท้อนให้เห็นความเชื่อใจผู้อื่นและความต้องการช่วยผู้อื่น และความอารมณ์ดีตามปกติ แต่ลักษณะเช่นนี้ในระดับสูงมองได้ว่า เป็นคนซื่อ ๆ หรือยอมคนอื่น และลักษณะเช่นนี้ในระดับต่ำมองได้ว่าชอบแข่งหรือท้าท้ายผู้อื่น และว่าชอบเถียงหรือเชื่อใจไม่ได้[6]
- ความไม่เสถียรทางอารมณ์ (neuroticism) โดยเป็นพิสัยระหว่างความอ่อนไหว-ความกังวลใจ กับความไร้กังวล-ความมั่นใจ เป็นความโน้มเอียงที่จะประสบกับอารมณ์เชิงลบได้ง่าย เช่นความโกรธ ความวิตกกังวล ความเศร้าซึม และความรู้สึกอ่อนแอ เป็นคำที่อาจหมายถึงระดับความเสถียรทางอารมณ์และการควบคุมอารมณ์ชั่ววูบได้ ซึ่งอาจจะเรียกโดยคำตรงกันข้ามคือ ความเสถียรทางอารมณ์ (emotional stability) คนที่อารมณ์เสถียรจะปรากฏเป็นคนนิ่ง ๆ และสม่ำเสมอ แต่ก็อาจมองได้ว่าเป็นคนที่ไม่สร้างกำลังใจหรือไม่ค่อยสนใจ ส่วนคนที่มีอารมณ์ไม่เสถียรอาจจะไวปฏิกิริยาและขี้ตื่น บ่อยครั้งมีพลังแบบอยู่นิ่งไม่ได้ แต่ก็อาจมองได้ว่าเป็นคนอารมณ์ไม่เสถียรและไม่มั่นใจในตน[6]
คนที่อยู่ในช่วงกลาง ๆ ของลักษณะทั้ง 5 อย่าง อาจเป็นคนที่ยืดหยุ่นปรับสภาพได้ เป็นคนกลาง ๆ และมีบุคลิกภาพที่พอดี ๆ แต่ก็อาจจะมองได้ว่า เป็นคนไม่มีหลักการ เข้าใจได้ยาก หรือคิดแต่ทางได้ทางเสีย[6]
มีนักวิจัยหลายพวกที่ตั้งแบบจำลองนี้ได้โดยต่างหาก ๆ[8] เริ่มจากการศึกษาลักษณะบุคลิกภาพที่รู้ แล้ววิเคราะห์ปัจจัย (factor analysis) ค่าวัดลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้เป็นร้อย ๆ (จากข้อมูลที่ได้จากคำถามที่ผู้ร่วมการทดลองแจ้งเอง จากการให้คะแนนของคนในสถานะเดียวกัน และจากการวัดที่เป็นกลาง ๆ ในการทดลอง) เพื่อที่จะหาปัจจัยมูลฐานของบุคลิกภาพ[9][10][11][12][13] งานปี 2009 ได้ใช้แบบจำลองนี้เพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและพฤติกรรมเกี่ยวกับการศึกษา[14]
นักวิชาการของกองทัพอากาศสหรัฐเสนอแบบจำลองเบื้องต้นในปี 1961[12] แต่ก็ไม่เป็นที่รู้จักต่อนักวิชาการในสถาบันวิจัยต่าง ๆ จนกระทั่งถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 ในปี 1990 ศ.ดิกแมนเสนอแบบจำลองบุคลิกภาพมีปัจจัย 5 อย่าง ซึ่งต่อมาในปี 1993 ศ.ลิวอิส โกลด์เบอร์กได้ใช้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สุดในแบบจำลอง[15] นักวิจัยพบว่า ปัจจัย 5 อย่างนี้ครอบคลุมบุคลิกภาพอื่น ๆ ที่รู้จักโดยมาก และเชื่อว่า เป็นโครงสร้างพื้นฐานของลักษณะบุคลิกภาพทั้งหมด[16] เป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์พอที่จะรวมข้อมูลที่ค้นพบและทฤษฎีเกี่ยวกับจิตวิทยาบุคลิกภาพทั้งหมด
มีกลุ่มนักวิจัยอย่างน้อย 4 กลุ่มที่ทำงานต่างหากจากกันเป็นทศวรรษ ๆ ในประเด็นปัญหานี้ แล้วโดยทั่ว ๆ ไป ก็สรุปลงที่ปัจจัย 5 อย่างเหล่านี้ โดยมีนักวิชาการกองทัพอากาศเป็นกลุ่มแรก ตามมาด้วย ศ.โกลด์เบอร์ก[17][18][19][20][21] ศ.แค็ตเทลล์ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์[11][22][23][24] และ ดร.คอสตาและแม็คเครที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ[25][26][27][28] แม้ว่ากลุ่มนักวิจัยทั้ง 4 นี้จะใช้วิธีต่างกันเพื่อค้นหาลักษณะทั้ง 5 อย่าง และดังนั้นจึงได้ให้ชื่อต่างกันและมีนิยามต่างกัน แต่ว่า ทั้งหมดสัมพันธ์กันเป็นอย่างดีและลงตัวกันทางการวิเคราะห์ปัจจัย[29][30][31][32][33] แต่ว่า มีงานศึกษาที่แสดงว่า ลักษณะใหญ่ 5 อย่างนี้ ไม่มีกำลังในการพยากรณ์และอธิบายพฤติกรรมในชีวิตจริงได้ เท่ากับลักษณะย่อย ๆ (facet) ของลักษณะใหญ่เหล่านี้[34][35]
ปัจจัยแต่ละอย่างมี aspect ทางบุคลิกภาพที่สัมพันธ์กัน 2 อย่างภายใน ที่อยู่เหนือ facet ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนของแบบจำลองนี้[36] โดยที่ aspect มีชื่อดังต่อไปนี้[36]
- Neuroticism - Volatility (ความเปลี่ยนแปลงง่าย) และ Withdrawal (การถอนตัวจากสังคม)
- ความสนใจต่อสิ่งภายนอก (extraversion) : Enthusiasm (ความกระตือรือร้น) และ Assertiveness (ความมั่นใจในตน)
- ความเปิดรับประสบการณ์ (openness to experience) : Intellect (ปัญญา) และ Openness (ความเปิดรับ)
- ความพิถีพิถัน (conscientiousness) : Industriousness (ความอุตสาหะ) และ Orderliness (ความมีระเบียบ)
- ความยินยอมเห็นใจ (agreeableness) : Compassion (ความเห็นใจผู้อื่น) และ Politeness (ความสุภาพ)
ความเปิดรับประสบการณ์
[แก้]ความเปิดรับประสบการณ์ (อังกฤษ: openness to experience) โดยทั่วไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหยั่งรู้คุณค่าและความยินดีชอบใจในศิลปะ การได้อารมณ์ต่าง ๆ การผจญภัย ไอเดียที่แปลกใหม่ จินตนาการ ความอยากรู้อยากเห็น และประสบการณ์ต่าง ๆ คนที่เปิดรับประสบการณ์จะเป็นคนอยากรู้อยากเห็นแบบมีสติปัญญา เปิดรับอารมณ์ ไวต่อสุนทรียภาพ และยินดีที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ และเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ปิด มักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า เข้าใจความรู้สึกตัวเองมากกว่า และมีโอกาสที่จะมีความเชื่อที่ไม่ทั่วไป
แต่ว่าบางคนแม้จะมีลักษณะนี้โดยทั่วไปในระดับสูง และอาจสนใจเรียนรู้และสำรวจวัฒนธรรมใหม่ ๆ แต่จะไม่สนใจศิลปะหรือกวีนิพนธ์มากนัก งานวิจัยพบว่า ความเปิดรับประสบการณ์สัมพันธ์อย่างมีกำลังกับจริยธรรมแบบเสรีนิยม (liberal ethics) เช่น การสนับสนุนนโยบายยอมรับความต่างทางผิวพรรณ[37]
ลักษณะอีกอย่างของไสตล์การคิดแบบเปิดก็คือ ความสามารถในการคิดเป็นสัญลักษณ์เป็นนามธรรมที่ห่างจากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมมาก ผู้ที่มีคะแนนต่ำในเรื่องนี้มักจะสนใจในสิ่งที่ธรรมดา ที่เป็นเรื่องตามประเพณี และชอบสิ่งที่ง่าย ๆ ตรงไปตรงมา เห็นได้ชัด มากกว่าสิ่งที่ซับซ้อน คลุมเครือ หรือละเอียดเห็นได้ยาก และอาจจะเห็นศิลปะและวิทยาศาสตร์ว่าเป็นเรื่องน่าสงสัย หรือเห็นว่าไม่น่าสนใจ คนที่ไม่เปิดจะชอบใจสิ่งที่คุ้นเคยมากกว่าสิ่งใหม่ ๆ และเป็นคนอนุรักษนิยม และไม่ชอบที่จะเปลี่ยน[27]
คำถามที่ใช้บ่งลักษณะ
[แก้]- ฉันรู้จักใช้คำศัพท์ต่าง ๆ มาก (I have a rich vocabulary)
- ฉันเป็นคนมีจินตนาการชัดแจ้ง (I have a vivid imagination)
- ฉันมีไอเดียต่าง ๆ ที่ดีมาก (I have excellent ideas)
- ฉันเข้าใจอะไรได้ง่าย (I am quick to understand things)
- ฉันใช้คำศัพท์ที่ยาก (I use difficult words)
- ฉันเต็มไปด้วยไอเดีย (I am full of ideas)
- ฉันไม่สนใจเรื่องที่เป็นนามธรรม (I am not interested in abstractions) - แบบตรงข้าม
- ฉันไม่มีจินตนาการที่ดี (I do not have a good imagination) - แบบตรงข้าม
- ฉันมีปัญหาเข้าใจเรื่องที่เป็นนามธรรม (I have difficulty understanding abstract ideas) - แบบตรงข้าม[29]
ความพิถีพิถัน
[แก้]ความพิถีพิถัน (conscientiousness) เป็นความโน้มเอียงที่จะมีวินัย ทำตามหน้าที่ และตั้งเป้าหมายความสำเร็จโดยมีเกณฑ์ หรือโดยเทียบกับที่คนอื่นคาดหวัง เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับวิธีที่บุคคลควบคุม ปรับระดับ และจัดการอารมณ์ชั่ววูบหรือความหุนหันพลันแล่น บุคคลที่มีคะแนนในเรื่องนี้สูงบ่งชี้ความชอบใจพฤติกรรมที่วางแผนไว้ไม่ใช่พฤติกรรมที่ทำแบบทันทีทันใด[38] และโดยเฉลี่ยแล้ว ระดับความพิถีพิถันจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงวัยต้นผู้ใหญ่ แล้วจะลดลงเมื่อสูงวัยขึ้น[39]
คำถามที่ใช้บ่งลักษณะ
[แก้]- ฉันเตรียมพร้อมอยู่เสมอ (I am always prepared)
- ฉันให้ความสนใจกับรายระเอียด (I pay attention to details)
- ฉันจะทำงานบ้านงานหยุมหยิมให้เสร็จก่อน (I get chores done right away)
- ฉันชอบความเป็นระเบียบ (I like order)
- ฉันทำอะไรตามตาราง (I follow a schedule)
- ฉันชอบทำอะไรเป๊ะ ๆ มาก (I am exacting in my work)
- ฉันทิ้งของ ๆ ฉันไว้เรี่ยราด (I leave my belongings around) - แบบตรงข้าม
- ฉันทำอะไรเละเทะ (I make a mess of things) - แบบตรงข้าม
- ฉันมักจะลืมเก็บของเข้าที่บ่อย ๆ (I often forget to put things back in their proper place) - แบบตรงข้าม
- ฉันหลบหน้าที่ (I shirk my duties) - แบบตรงข้าม[29]
ความสนใจต่อสิ่งภายนอก
[แก้]ความสนใจต่อสิ่งภายนอก (extraversion) มีลักษณะเป็นการชอบความหลายหลากของกิจกรรม (เทียบกับการทำอะไรให้ลึกซึ้ง) surgency (คือความโน้มเอียงเพื่อจะได้ความยินดีความพอใจ) ที่มาจากสถานการณ์หรือกิจกรรมภายนอก และการได้พลังและแรงจูงใจจากภายนอก[40] ลักษณะนี้ ชัดเจนตรงที่การทำกิจกรรมพัวพันกับโลกภายนอก คนเช่นนี้ชอบปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมักจะมองว่าเป็นคนมีพลังมาก มักจะเป็นคนกระตือรือร้น และชอบทำมากกว่าชอบคิด มักจะเป็นคนเด่นในกลุ่ม ชอบพูดคุย และแสดงตัวเอง[41]
ในนัยตรงกันข้าม คนที่สนใจต่อสิ่งภายใน ชอบทำกิจกรรมทางสังคมและมีพลังน้อยกว่าคนที่สนใจต่อสิ่งภายนอก โดยดูจะเป็นคนเงียบ ๆ ไม่เด่น รอบคอบระมัดระวัง และเกี่ยวข้องกับสังคมน้อยกว่า แต่ความไม่เกี่ยวข้องทางสังคมไม่ควรตีความว่า เป็นเพราะความอายหรือเกิดจากความเศร้าซึม เพราะว่า เป็นคนที่สามารถอยู่เป็นอิสระจากสังคมได้ดีกว่าคนสนใจภายนอก คือ คนพวกนี้ต้องการสิ่งเร้าน้อยกว่า และต้องการเวลาเป็นของตัวเองมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่เป็นกันเองหรือต่อต้านสังคม อาจเพียงแต่เป็นคนที่สงวนท่าทีมากกว่าในวงสังคม[42]
คำถามที่ใช้บ่งลักษณะ
[แก้]- ฉันเป็นคนสนุกในงานปาร์ตี้ (I am the life of the party)
- ฉันไม่ขัดข้องในการเป็นศูนย์ความสนใจ (I don't mind being the center of attention)
- ฉันรู้สึกสบายอยู่กับคนอื่น ๆ (I feel comfortable around people)
- ฉันเป็นคนเริ่มคุย (I start conversations)
- ฉันคุยกับคนหลายหลากมากมายในงานปาร์ตี้ (I talk to a lot of different people at parties)
- ฉันไม่คุยมาก (I don't talk a lot) - แบบตรงข้าม
- ฉันคิดเยอะก่อนที่จะพูดหรือทำ (I think a lot before I speak or act) - แบบตรงข้าม
- ฉันไม่ชอบดึงความสนใจมาที่ตัวเอง (I don't like to draw attention to myself) - แบบตรงข้าม
- ฉันมักจะเงียบถ้ามีคนแปลกหน้า (I am quiet around strangers) - แบบตรงข้าม[29]
- ฉันไม่สนใจที่จะเป็นคนคุยในหมู่คน (I have no intention of talking in large crowds.) - แบบตรงข้าม
ความยินยอมเห็นใจ
[แก้]ความยินยอมเห็นใจ (agreeableness) สะท้อนถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในการให้ความสนใจต่อความกลมกลืนกันทางสังคม บุคคลเช่นนี้ให้คุณค่ากับการเข้ากับผู้อื่นได้ มักจะเป็นคนที่เกรงใจผู้อื่น ใจดี ใจกว้าง เชื่อใจผู้อื่น เชื่อใจได้ ขนขวายช่วยเหลือผู้อื่น และยอมที่จะประนีประนอมประโยชน์และเรื่องที่ตนสนใจเพื่อที่จะเข้ากับผู้อื่น[42] บุคคลเช่นนี้มองธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ดี
ส่วนบุคคลตรงกันข้ามให้ความสำคัญต่อประโยชน์หรือความสนใจของตนเหนือกว่าการเข้ากับผู้อื่นได้ มักจะไม่สนใจความเป็นสุขของผู้อื่น และมีโอกาสน้อยกว่าที่จะเสียสละเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น บางครั้ง ความไม่มั่นใจถึงเจตนาของผู้อื่นทำให้บุคคลนี้ขี้ระแวง ไม่เป็นมิตร และไม่ร่วมมือ[43]
เพราะว่าการยินยอมเห็นใจผู้อื่นเป็นลักษณะทางสังคม งานวิจัยแสดงว่ามันมีสหสัมพันธ์เชิงบวกกับคุณภาพความสัมพันธ์กับคนในทีมของตน และสามารถใช้พยากรณ์ทักษะความเป็นผู้นำบางอย่างได้ (เช่น transformational leadership ที่ผู้นำร่วมมือกับลูกน้องเพื่อกำหนดสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยน สร้างวิสัยทัศน์เป็นแนวทางการเปลี่ยนแปลงโดยเป็นแรงดลใจ แล้วผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับลูกน้องผู้ตกลงที่จะร่วมมือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น) ในงานศึกษากับผู้ร่วมการทดลอง 169 คนที่เป็นหัวหน้าในอาชีพต่าง ๆ ผู้ร่วมการทดลองทำข้อทดสอบบุคลิกภาพ แล้วให้ลูกน้องที่ตนคุมโดยตรงสองคนประเมินความเป็นผู้นำ ผู้นำที่ยินยอมเห็นใจผู้อื่นในระดับสูง มีโอกาสสูงกว่าที่ลูกน้องจะมองว่าเป็นผู้นำประเภท transformational มากกว่าประเภท transactional (ผู้เพ่งความสนใจไปที่การควบคุม การจัดองค์การ และผลงานของกลุ่ม เป็นสไตล์ผู้นำที่โปรโหมตให้ลูกน้องทำตามคำของตนโดยใช้ทั้งรางวัลและการลงโทษ) แม้ว่าค่าความสัมพันธ์จะไม่สูง (r=0.32, β=0.28, p<0.01) แต่ก็มีค่าสูงสุดในบรรดาลักษณะใหญ่ทั้ง 5 อย่าง แต่ว่า งานวิจัยเดียวกันแสดงว่าลักษณะไม่สามารถใช้พยากรณ์ประสิทธิภาพของความเป็นผู้นำที่ประเมินโดยหัวหน้างานโดยตรงของผู้นำ[44] นอกจากนั้นแล้ว การยินยอมเห็นใจผู้อื่น มีความสัมพันธ์เชิงลบกับผู้นำทหาร คืองานวิจัยกับหน่วยทหารในเอเชียพบว่า ผู้นำที่ยินยอมเห็นใจผู้อื่นมีโอกาสสูงกว่าที่จะได้คะแนนต่ำสำหรับทักษะความเป็นผู้นำแบบ transformational[45] และดังนั้น งานวิจัยต่อไปอนาคตอาจจะให้องค์กรต่าง ๆ สามารถกำหนดศักยภาพของบุคคล โดยอาศัยลักษณะบุคลิกภาพได้
คำถามที่ใช้บ่งลักษณะ
[แก้]- ฉันสนใจผู้อื่น (I am interested in people)
- ฉันเห็นใจความรู้สึกของผู้อื่น (I sympathize with others' feelings)
- ฉันเป็นคนใจอ่อน (I have a soft heart)
- ฉันให้เวลากับผู้อื่น (I take time out for others)
- ฉันรู้สึกถึงอารมณ์ของผู้อื่น (I feel others' emotions)
- ฉันทำให้คนรู้สึกสบายใจ (I make people feel at ease)
- ฉันไม่ค่อยสนใจผู้อื่น (I am not really interested in others) - แบบตรงข้าม
- ฉันพูดดูหมิ่นผู้อื่น (I insult people) - แบบตรงข้าม
- ฉันไม่สนใจปัญหาของผู้อื่น (I am not interested in other people's problems) - แบบตรงข้าม
- ฉันไม่ค่อยรู้สึกเป็นห่วงผู้อื่น (I feel little concern for others) - แบบตรงข้าม
ความไม่เสถียรทางอารมณ์
[แก้]Neuroticism เป็นความโน้มเอียงที่จะประสบอารมณ์เชิงลบ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล หรือความซึมเศร้า[46] ซึ่งบางครั้งเรียกว่าความไม่เสถียรทางอารมณ์ (emotional instability) หรืออาจจะเรียกกลับกันว่า ความเสถียรทางอารมณ์ ตามทฤษฎีปี 1967 ของ ศ.จิตวิทยาทรงอิทธิพล ดร. ไอเซ็งก์ neuroticism สัมพันธ์กับความอดทนต่อความเครียดและสิ่งเร้าที่ไม่น่าชอบใจต่ำ[47] คือคนที่ได้คะแนนสูงในลักษณะนี้ มีอารมณ์ไวและเสี่ยงต่อความเครียด มีโอกาสสูงกว่าที่จะเห็นเหตุการณ์ปกติธรรมดาว่าเป็นภัย และความขัดข้องใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าเป็นเรื่องยากถึงให้สิ้นหวัง และปฏิกิริยาเชิงลบของคนเหล่านี้มักจะคงอยู่เป็นเวลายาวนานกว่าปกติ ซึ่งก็หมายความว่ามักจะมีอารมณ์ไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น neuroticism สัมพันธ์กับการมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวกับการงาน ความมั่นใจว่างานเป็นตัวขัดขวางความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น และความวิตกกังวลเกี่ยวกับงาน[48] นอกจากนั้นแล้ว ผู้ที่มีคะแนนสูงในเรื่องนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของการนำไฟที่ผิวหนัง (skin conductance) ที่ไวกว่าคนที่มีคะแนนต่ำกว่า[47][49] (ซึ่งเป็นตัวชี้ความไวอารมณ์) ปัญหาในการควบคุมอารมณ์เหล่านี้อาจจะทำให้ไม่สามารถคิด ตัดสินใจ หรือจัดการกับความเครียดได้ดี[ต้องการอ้างอิง] ความไม่พอใจในความสำเร็จในชีวิตของตนเอง อาจจะสัมพันธ์กับคะแนนที่สูงในเรื่องนี้ และอาจเพิ่มโอกาสที่จะเกิดโรคซึมเศร้า นอกจากนั้นแล้ว คนที่มีลักษณะนี้สูงมักจะมีประสบเหตุการณ์เชิงลบในชีวิตมากกว่า เช่น ความไม่สำเร็จทางการงาน การหย่าร้าง และความตาย[46][50] แต่ว่าระดับของลักษณะนี้ก็สามารถเปลี่ยนได้โดยเป็นการตอบสนองต่อประสบการณ์เชิงบวกและลบในชีวิต[46][50]
ส่วนในทางตรงกันข้าม คนที่มีคะแนนต่ำในเรื่องนี้ไม่หัวเสียง่าย ๆ และอารมณ์ไม่ไว เป็นคนมักจะนิ่ง ๆ มีอารมณ์เสถียร และปราศจากความรู้สึกเชิงลบที่ทนอยู่นาน ๆ แต่ว่าการปราศจากอารมณ์เชิงลบไม่ได้หมายความว่าจะประสบกับอารมณ์เชิงบวกมากด้วย[51]
Neuroticism คล้ายกับแต่ไม่ใช่อย่างเดียวกันกับโรคประสาท (neurosis) และนักจิตวิทยาบางพวกชอบเรียก neuroticism ว่า "ความเสถียรทางอารมณ์" (emotional stability) เพื่อจะทำให้แตกต่างจากคำว่า "neurotic" ที่ใช้ในอาชีพ
คำถามที่ใช้บ่งลักษณะ
[แก้]- ฉันอารมณ์เสียง่าย (I am easily disturbed)
- อารมณ์ฉันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา (I change my mood a lot)
- ฉันหงุดหงิดง่าย (I get irritated easily)
- ฉันเครียดง่าย (I get stressed out easily)
- ฉันรำคาญง่าย (I get upset easily)
- อารมณ์ฉันกลับไปกลับมาบ่อย (I have frequent mood swings)
- ฉันกังวลกับเรื่องต่าง ๆ (I worry about things)
- ฉันวิตกกังวลมากกว่าคนอื่น ๆ (I am much more anxious than most people)[52]
- ฉันรู้สึกสบาย ๆ โดยมาก (I am relaxed most of the time) - แบบตรงข้าม
- ฉันไม่ค่อยซึมเศร้า (I seldom feel blue) - แบบตรงข้าม[29]
ประวัติ
[แก้]ในปี 1884 เซอร์ฟรานซิส กอลตัน เป็นบุคคลแรกที่รู้ที่ตรวจสอบสมมติฐานว่า มันเป็นไปได้ที่จะสร้างอนุกรมวิธานที่สามารถครอบคลุมลักษณะบุคลิกภาพมนุษย์โดยการตรวจสอบตัวอย่างคำที่ใช้ในภาษา เป็นสมมติฐานที่เรียกว่า lexical hypothesis (สมมติฐานคำศัพท์)[9] ในปี 1936 ดร.ออลพอร์ตและอ็อดเบิร์ตตรวจสอบสมมติฐานของเซอร์กอลตันโดยดึงคำวิเศษณ์ 4,504 คำจากพจนานุกรมที่มีอยู่ในสมัยนั้น เป็นคำที่พวกเขาเชื่อว่า ครอบคลุมบุคลิกที่สังเกตได้และค่อนข้างจะถาวร[53] ในปี 1940 ศ.แค็ตเทลล์ธำรงคำวิเศษณ์เหล่านั้น แต่ว่ากำจัดคำไวพจน์จนเหลือคำหลักเพียงแค่ 171 คำ[11] แล้วสร้างชุดคำถามเกี่ยวกับลักษณะบุคลิกภาพที่พบจากคำวิเศษณ์เหล่านั้น ซึ่งเขาเรียกว่า Sixteen Personality Factor Questionnaire (แบบสอบถามปัจจัยบุคลิกภาพ 16 ออย่าง) ต่อมาในปี 1961 โดยตั้งมูลฐานในเซตย่อยมี 20 มิติ จาก 36 มิติ ที่ ศ.แค็ตเทลล์ได้ค้นพบก่อน ดร.ทิวพ์สและคริสตัลอ้างว่า ได้พบปัจจัยกว้าง ๆ 5 อย่างที่พวกเขาตั้งชื่อว่า surgency, agreeableness (ความยินยอมเห็นใจ), dependability (ความเชื่อใจได้), emotional stability (ความเสถียรทางอารมณ์), และ culture (วัฒนธรรม)[12] ต่อมาในปี 1963 นอร์แมนจึงเปลี่ยนชื่อ dependability เป็น conscientiousness (ความพิถีพิถัน)[13]
ช่องเว้นว่างของงานวิจัย
[แก้]ในช่วง 2 ทศวรรษต่อมา กระแสความคิดหลักทางวิชาการ ทำให้การตีพิมพ์งานวิจัยเกี่ยวกับบุคลิกภาพยากมาก เช่นในปี 1968 ในหนังสือ บุคลิกภาพและการประเมิน (Personality and Assessment) ผู้เขียนยืนยันว่า ค่าวัดบุคลิกภาพสามารถพยากรณ์พฤติกรรมโดยมีสหสัมพันธ์ไม่เกิน 0.3 (ซึ่งค่อนข้างน้อย) คือนักจิตวิทยาสังคมรวมทั้งผู้เขียนหนังสืออ้างว่า ทัศนคติและพฤติกรรมของมนุษย์ไม่เสถียร แต่จะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ดังนั้น การพยากรณ์พฤติกรรมจากค่าวัดบุคลิกภาพจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ต่อมาพบโดยหลักฐานว่า ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างค่าที่วัดกับพฤติกรรมในชีวิตจริง สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างสำคัญภายใต้สถานการณ์ที่อารมณ์เกิดความตึงเครียด (เทียบกับสถานการณ์ที่เป็นกลาง ๆ เมื่อวัดบุคลิกภาพ)[54]
นอกจากนั้นแล้ว ระเบียบวิธีที่เกิดขึ้นใหม่เริ่มจะคัดค้านมุมมองเช่นนี้ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 คือแทนที่จะพยายามพยากรณ์พฤติกรรมหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ ซึ่งทำไม่ได้อย่างสม่ำเสมอ นักวิจัยพบว่า สามารถพยากรณ์รูปแบบพฤติกรรมโดยรวมเอาพฤติกรรมเป็นจำนวนมาก[55] และดังนั้น ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและพฤติกรรมจึงได้เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ และปรากฏชัดเจนแล้วว่า มนุษย์มี "บุคลิกภาพ" จริง ๆ[56] ทั้งนักจิตวิทยาบุคลิกภาพและจิตวิทยาสังคมปัจจุบัน โดยรวมมีมติร่วมกันว่า พฤติกรรมมนุษย์จะอธิบายได้ก็ต้องใช้ทั้งตัวแปรที่มีเป็นส่วนบุคคล และตัวแปรที่เป็นไปตามสถานการณ์[57] ดังนั้น ทฤษฎีเกี่ยวกับลักษณะบุคลิกภาพจึงปรากฏว่ามีเหตุผล และจึงเกิดความสนใจในการวิจัยเรื่องนี้เพิ่มขึ้น[58] ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ศ.ลิวอิส โกลด์เบอร์ก ได้เริ่มโปรเจ็กต์วิเคราะห์คำของเขาเอง โดยเน้นปัจจัยกว้าง ๆ 5 อย่าง[59] แล้วต่อมาจึงบัญญัติคำว่า "Big Five" โดยเป็นชื่อของปัจจัยเหล่านั้น
ความใส่ใจที่เพิ่มขึ้นใหม่
[แก้]ในงานประชุมเอกสารัตถ์ปี 1980 ในเมืองโฮโนลูลู นักวิจัยที่มีชื่อเสียง 4 คนรวมทั้ง ศ.โกลด์เบอร์ก และ ศ.ดิกแมน ได้ทบทวนการวัดบุคลิกภาพที่มีอยู่ในเวลานั้น[60] หลังจากเหตุการณ์นี้ นักวิจัยเรื่องบุคลิกภาพได้ยอมรับแบบจำลองมีปัจจัย 5 (FFM) อย่างกว้างขวาง[61] ศ. ดร. ซาวิล์ล และคณะใช้แบบจำลองนี้ในการสร้าง Occupational Personality Questionnaire (แบบสอบถามบุคลิกภาพเพื่ออาชีพ) ดั้งเดิมในปี 1984 แล้วต่อมา ดร.คอสตาและแม็คเคร จึงสร้าง Revised NEO Personality Inventory (แบบคำถามเก็บข้อมูลบุคลิกภาพ ตัวย่อ NEO-PI-R) ในปี 1985 แม้ว่าระเบียบวิธีที่ใช้สร้างแบบคำถามนี้จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์หลายอย่าง[62]: 431–33
ปัจจัยทางชีวภาพและพัฒนาการ
[แก้]กรรมพันธุ์
[แก้]งานวิจัยบุคลิกภาพในคู่แฝดแสดงนัยว่า ทั้งกรรมพันธุ์และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมมีผลต่อลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างเท่า ๆ กัน[63] งานวิจัยในคู่แฝดสี่งาน คำนวณเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยที่เกิดจากกรรมพันธุ์สำหรับลักษณะแต่ละอย่าง แล้วสรุปว่า กรรมพันธุ์มีอิทธิพลต่อปัจจัยทั้ง 5 อย่างกว้างขวาง การวัดที่ผู้ร่วมการทดลองแจ้งมีผลให้ประเมินได้ว่า ความเปิดรับประสบการณ์มีส่วนจากกรรมพันธุ์ 57%, ความสนใจต่อสิ่งภายนอก 54%, ความพิถีพิถัน 49%, neuroticism 48%, และความยินยอมเห็นใจ 42%[64]
พัฒนาการในวัยเด็กและวัยรุ่น
[แก้]งานวิจัยเกี่ยวกับปัจจัย 5 อย่าง และเกี่ยวกับบุคลิกภาพโดยทั่วไป เพ่งความสนใจไปที่ความแตกต่างระหว่างผู้ใหญ่ ไม่ใช่ในเด็กหรือวัยรุ่น[65][66][67] แต่ก็เริ่มมีงานที่ตรวจสอบแหล่งกำเนิดและแนวทางพัฒนาการของปัจจัย 5 อย่างในเด็กและวัยรุ่น[65][66][67] โดยแตกต่างจากนักวิจัยบางพวกที่ตั้งความสงสัยว่า เด็กมีลักษณะบุคลิกภาพที่เสถียรหรือไม่ จะเป็นปัจจัย 5 หรืออย่างอื่นก็ดี[68] นักวิจัยโดยมากเห็นว่า ความแตกต่างทางจิตสภาพของเด็ก สัมพันธ์กับรูปแบบพฤติกรรมที่เสถียร ชัดเจน และเด่น[65][66][67] และความแตกต่างบางอย่างปรากฏตั้งแต่กำเนิด[66][67] ยกตัวอย่างเช่น ทั้งพ่อแม่เด็กและนักวิจัยรู้ว่า ทารกแรกเกิดบางพวกนิ่ง ๆ และปลอบได้ง่าย แต่บางพวกค่อนข้างงอแงและปลอบได้ยาก[67]
แม้ว่านักจิตวิทยาพัฒนาการโดยทั่วไปจะตีความแตกต่างระหว่างเด็กว่าเป็นหลักฐานของพื้นอารมณ์แต่กำเนิด (temperament) ไม่ใช่ของลักษณะบุคลิกภาพ (personality trait)[66] แต่นักวิจัยบางพวกก็อ้างว่า ทั้ง temperament และลักษณะบุคลิกภาพ เป็นการปรากฏเฉพาะวัยของสิ่งเดียวกัน[67][69] หรืออีกทฤษฎีหนึ่งก็คือ temperament ในต้นวัยเด็กอาจจะกลายเป็นลักษณะบุคลิกภาพในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ เมื่อลักษณะทางพันธุกรรมของบุคคลปฏิสัมพันธ์โดยเชิงรุก โดยเป็นปฏิกิริยา และโดยอยู่เฉย ๆ กับสิ่งแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนไป[65][66][67]
มีการศึกษาโครงสร้าง การปรากฏ และพัฒนาการของปัจจัย 5 ในเด็กและวัยรุ่น โดยใช้วิธีหลายอย่างรวมทั้งการให้คะแนนจากผู้ปกครองและครู[70][71][72] การให้คะแนนตนเองและกับเพื่อนสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่นและเด็กวัยรุ่น[73][74][75] และสังเกตการณ์ของปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับเด็ก[65] ผลงานวิจัยเหล่านี้สนับสนุนว่า ลักษณะบุคลิกภาพค่อนข้างจะเสถียรตลอดชีวิต อย่างน้อย ๆ ก็ตั้งแต่เด็กก่อนวัยเรียน (preschool) จนถึงวัยผู้ใหญ่[65][67][75][76] โดยเฉพาะก็คือ งานวิจัยแสดงนัยว่า ปัจจัย 4 อย่างในปัจจัยใหญ่ 5 คือ ความสนใจต่อสิ่งภายนอก Neuroticism ความพิถีพิถัน ความยินยอมเห็นใจ อธิบายความแตกต่างทางบุคลิกภาพของเด็ก ของวัยรุ่น และของผู้ใหญ่ได้อย่างสม่ำเสมอ[65][67][75][76]
แต่ว่า หลักฐานบางอย่างบอกนัยว่า ความเปิดรับประสบการณ์อาจจะไม่ใช่ส่วนของบุคลิกภาพที่เป็นพื้นฐานและเสถียรในวัยเด็ก แม้ว่าจะมีนักวิจัยที่พบว่า ความเปิดรับประสบการณ์ในเด็กและวัยรุ่นสัมพันธ์กับลักษณะต่าง ๆ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ความอยากรู้อยากเห็น จินตนาการ และความฉลาด[77] แต่ว่าก็มีนักวิจัยมากมายที่ไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเปิดรับประสบการณ์ทั้งในวัยเด็กและต้นวัยรุ่น[65][67] เป็นไปได้ว่า ความเปิดรับประสบการณ์อาจจะ (1) ปรากฏเป็นลักษณะพิเศษที่ยังไม่รู้จักในวัยเด็ก (2) อาจจะปรากฏต่อเมื่อเด็กได้พัฒนาทั้งทางสังคมและทางประชาน[65][67]
มีงานศึกษาอื่น ๆ อีกที่พบหลักฐานของปัจจัยทั้ง 5 ในวัยเด็กและวัยรุ่น และพบลักษณะที่เฉพาะเด็กอีก 2 อย่างคือ ความหงุดหงิด (Irritability) และ Activity (กัมมันตภาพหรือความไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ)[78] แม้ว่าจะมีความแตกต่างที่เฉพาะเจาะจงเช่นนี้ สิ่งที่พบโดยมากแสดงนัยว่า ลักษณะบุคลิกภาพ โดยเฉพาะความสนใจต่อสิ่งภายนอก Neuroticism ความพิถีพิถัน และความยินยอมเห็นใจ เป็นสิ่งที่ปรากฏในเด็กและวัยรุ่น และสัมพันธ์กับรูปแบบพฤติกรรมทางสังคมและทางอารมณ์ ที่โดยทั่วไปสม่ำเสมอและเข้ากับลักษณะที่ปรากฏในผู้ใหญ่ผู้มีลักษณะบุคลิกภาพแบบเดียวกัน[65][67][75][76]
ความสนใจต่อสิ่งภายนอก/อารมณ์เชิงบวก
[แก้]ในงานวิจัยในปัจจัยใหญ่ 5 อย่าง ความสนใจต่อสิ่งภายนอก (extraversion) สัมพันธ์กับ surgency ซึ่งเป็นความไวปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่บุคคลโน้มเอียงไปในอารมณ์เชิงบวกในระดับสูง[66] เด็กที่สนใจต่อสิ่งภายนอกสูง จะมีพลัง คุยเก่ง ชอบสังคม และมีอิทธิพลต่อเด็กอื่นและผู้ใหญ่ เทียบกับเด็กที่สนใจต่อสิ่งภายนอกต่ำ ซึ่งมักจะเงียบ นิ่ง สงวนท่าที และยอมทั้งเด็กอื่นและผู้ใหญ่[65][67] ความแตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่องนี้ ปรากฏเริ่มตั้งแต่วัยทารกโดยเป็นการแสดงอารมณ์เชิงบวกหลายอย่างหลายระดับ[79] และความแตกต่างเหล่านี้ สามารถพยากรณ์กิจกรรมทางสังคมและทางกายในวัยเด็กต่อ ๆ มา และอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง หรือสัมพันธ์กับ Behavioural Activation System (ตัวย่อ BAS เป็นระบบที่ตอบสนองต่อความทะยานอยากเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ) ใน "ทฤษฎีบุคลิกภาพจิตชีวภาพของเกรย์" (Gray's biopsychological theory of personality)[66][67] ในเด็ก ความสนใจต่อสิ่งภายนอก/อารมณ์เชิงบวกมีลักษณะย่อยรวมทั้งกัมมันตภาพ (activity) อิทธิพล (dominance) ความอาย (shyness) ความเข้าสังคมได้ (sociability) คือ
- กัมมันตภาพหรือความไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ (activity) - เด็กที่มีกัมมันตภาพมากมักจะมีพลังสูงกว่า และเคลื่อนไหวมากกว่าและบ่อยครั้งกว่าเทียบกับเด็กอื่น ๆ[67][70][80] ความแตกต่างที่เด่นเกี่ยวกับกัมมันตภาพปรากฏตั้งแต่เป็นทารก และคงทนผ่านวัยรุ่น และลดลงเมื่อการเคลื่อนไหวลดลงในวัยผู้ใหญ่[81] หรืออาจจะพัฒนาเปลี่ยนเป็นคุยเก่ง[67][82]
- อิทธิพล (Dominance) เด็กที่มีอิทธิพลสูงมักจะมีผลต่อพฤติกรรมของผู้อื่นโดยเฉพาะในเด็ก ๆ เพื่อที่จะได้สิ่งที่ต้องการหรือผลที่พึงประสงค์[67][83][84] เด็กเช่นนี้มักจะเก่งในการชวนเพื่อนทำกิจกรรมหรือเล่นเกม[85] และในการหลอกคนอื่นโดยควบคุมพฤติกรรมที่ไม่ใช่การพูดของตน (คือควบคุมภาษากาย)[86]
- ความอาย (shyness) เด็กขี้อายมักจะไม่ค่อยเข้าสังคม วิตกกังวล และสงวนท่าทีเมื่อมีคนแปลกหน้า[67] เมื่อเวลาผ่านไป เด็กอาจจะกลัวแม้จะอยู่ใกล้ ๆ กับเพื่อนหรือคนที่รู้จัก โดยเฉพาะถ้าไม่ได้การยอมรับจากเพื่อน[67][87]
- ความชอบสังคม (sociability) เด็กที่ชอบสังคมมักจะชอบอยู่กับผู้อื่นมากกว่าจะอยู่คนเดียว[67][88] และเมื่อถึงกลางวัยเด็ก ความแตกต่างระหว่างการชอบสังคมในระดับสูงกับระดับต่ำจะเห็นชัดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเด็กสามารถควบคุมการใช้เวลาของตนมากยิ่งขึ้น[67][89][90]
พัฒนาการในวัยผู้ใหญ่
[แก้]งานวิจัยตามยาว ที่ตรวจสอบค่าวัดบุคลิกภาพของบุคคลเป็นช่วงระยะเวลายาว และงานวิจัยตามขวาง ที่เปรียบเทียบคะแนนบุคลิกภาพข้ามกลุ่มอายุต่าง ๆ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง แสดงความเสถียรภาพในระดับสูงของลักษณะบุคลิกภาพในวัยผู้ใหญ่[91]
งานแสดงว่า บุคลิกภาพของบุคคลวัยทำงานจะเสถียรภายใน 4 ปีหลังจากที่เริ่มทำงาน มีหลักฐานน้อยมากว่า ประสบการณ์ร้ายในชีวิตจะมีผลสำคัญต่อบุคลิกภาพของบุคคล[92] แต่ว่า งานวิจัยและงานวิเคราะห์อภิมานเมื่อไม่นานแสดงว่า ลักษณะบุคลิกภาพทั้ง 5 เปลี่ยนไปเมื่อผ่านจุดต่าง ๆ ของชีวิต และแสดงหลักฐานว่า มีการปรับสภาพไปตามอายุ (เช่น ดังที่แสดงในทฤษฎี Erikson's stages of psychosocial development) คือ โดยเฉลี่ย ระดับความยินยอมเห็นใจและความพิถีพิถันมักจะเพิ่มขึ้นตามอายุ เทียบกับความสนใจต่อสิ่งภายนอก neuroticism และความเปิดรับประสบการณ์ ซึ่งมักจะลดลง[93]
งานวิจัยยังแสดงด้วยว่า ความเปลี่ยนแปลงต่อลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง ขึ้นอยู่กับระยะพัฒนาการปัจจุบันของบุคคล ยกตัวอย่างเช่น ความยินยอมเห็นใจและความพิถีพิถันมีแนวโน้มที่จะลดลงในระหว่างวัยเด็กและวัยรุ่น ก่อนที่จะกลับทิศทางตอนปลายวัยรุ่นและในวัยผู้ใหญ่[94] นอกจากจะมีผลเป็นกลุ่ม ๆ เช่นนี้ บุคคลต่าง ๆ ยังมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมือนกันในระยะต่าง ๆ ของชีวิตอีกด้วย[95]
นอกจากนั้นแล้ว งานวิจัยบางงานแสดงด้วยว่า ลักษณะใหญ่ 5 อย่างไม่ควรพิจารณาโดยแบ่งเป็น 2 ภาค (เช่น ความสนใจต่อสิ่งภายนอก กับความสนใจกับสิ่งภายใน) แต่ควรพิจารณาว่า เป็นระดับที่มีพิสัยสืบต่อกัน แต่ละคนสามารถเปลี่ยนระดับเมื่อสถานการณ์ทางสังคมหรือทางกาลเวลาเปลี่ยนไป และดังนั้น บุคคลจะไม่ใช่อยู่ที่ส่วนสุดของแต่ละลักษณะ (คือแบ่งเป็นเป็น-ไม่เป็น) แต่จะมีลักษณะของทั้งสองด้าน แม้ว่าอาจจะมีลักษณะบางด้านบ่อยครั้งมากกว่า[96]
งานวิจัยเกี่ยวกับบุคลิกภาพกับวัยที่เจริญขึ้นแสดงนัยว่า เมื่อบุคคลถึงวัยชรา (79-86 ปี) ผู้ที่มี IQ ต่ำกว่าจะสนใจต่อสิ่งภายนอกเพิ่มขึ้น แต่จะพิถีพิถันและมีสุขภาพทางกายที่ลดลง[97]
งานวิจัยปี 2012 แสดงว่า ลักษณะบุคลิกภาพโดยทั่วไปเสถียรในผู้ใหญ่วัยทำงาน โดยเหมือนกับผลที่เคยได้มาก่อน ๆ เกี่ยวกับ locus of control[98]
โครงสร้างทางสมอง
[แก้]มีงานวิจัยที่ตรวจสอบความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางสมองกับลักษณะบุคลิกภาพในแบบจำลองนี้ งานวิจัยในปี 2012[99] และ 2010[100] แสดงว่า
- Neuroticism มีสหสัมพันธ์เชิงลบกับอัตราปริมาตรสมอง:ปริมาตรในกะโหลกที่เหลือ มีสหสัมพันธ์กับปริมาตรที่ลดลงของคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้าส่วน dorsomedial และของส่วนสมอง medial temporal lobe ด้านซ้ายซึ่งรวมทั้งฮิปโปแคมปัสส่วนหลัง (posterior) และมีสหสัมพันธ์กับปริมาตรที่เพิ่มขึ้นของ mid-cingulate gyrus (ซึ่งเป็นเขตสมองที่สัมพันธ์กับความไวต่อภัย, punishment และอารมณ์เชิงลบ)
- ความสนใจต่อสิ่งภายนอกมีสหสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราเมแทบอลิซึมของ orbitofrontal cortex กับปริมาตรที่เพิ่มขึ้นของ medial orbitofrontal cortex (ซึ่งเป็นเขตที่ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับ reward ดังนั้นปริมาตรที่เพิ่มอาจจะเพิ่มความไว)
- ความยินยอมเห็นใจ มีสหสัมพันธ์เชิงลบกับปริมาตรของ left orbitofrontal lobe ในคนไข้ภาวะสมองเสื่อมที่เสื่อมในส่วน frontotemporal, กับปริมาตรที่ลดลงของ posterior left superior temporal sulcus, และกับปริมาตรที่เพิ่มขึ้นของ posterior cingulate cortex (ที่บางส่วนสัมพันธ์เกี่ยวกับการประมวลเรื่องความตั้งใจ และสภาพจิตใจของผู้อื่น ซึ่งอาจจะมีประสิทธิภาพดีกว่าสำหรับคนที่มีระดับลักษณะนี้สูง)
- ความพิถีพิถัน มีสหสัมพันธ์กับปริมาตรที่เพิ่มขึ้นของ middle frontal gyrus ใน left lateral PFC (ซึ่งเป็นเขตที่ทำงานเกี่ยวกับการวางแผนและการควบคุมพฤติกรรม)
- ความเปิดรับประสบการณ์ ไม่พบความแตกต่างที่สำคัญ แม้ว่าอาจจะมีความแตกต่างในสมองกลีบข้าง (parietal cortex)
ความแตกต่างระหว่างกลุ่ม
[แก้]ทางเพศ
[แก้]งานวิจัยข้ามวัฒนธรรมแสดงรูปแบบต่าง ๆ ของความแตกต่างระหว่างเพศในการวัดด้วย Revised NEO Personality Inventory (ตัวย่อ NEO-PI-R) และ Big Five Inventory[101] ยกตัวอย่างเช่น หญิงแจ้งการมี Neuroticism, ความยินยอมเห็นใจ, ความเป็นกันเอง (warmth) ซึ่งเป็น facet หนึ่งของความสนใจต่อสิ่งภายนอก, และความเปิดรับความรู้สึกที่สูงกว่า ในขณะที่ชายบ่อยครั้งแจ้งการมีความมั่นใจในตน ซึ่งเป็น facet หนึ่งของความสนใจต่อสิ่งภายนอก และความเปิดรับไอเดียที่สูงกว่า โดยใช้การวัด NEO-PI-R[102]
ส่วนงานศึกษาความแตกต่างระหว่างเพศในประเทศ 55 ประเทศโดยใช้ Big Five Inventory พบว่า หญิงมักจะมี neuroticism ความสนใจต่อสิ่งภายนอก ความยินยอมเห็นใจ และความพิถีพิถันสูงกว่าชายบ้าง โดยความแตกต่างของ neuroticism อยู่ในระดับสูงสุด โดยหญิงมีระดับสูงกว่าชายอย่างสำคัญใน 48 ประเทศ ความแตกต่างระหว่างเพศในลักษณะบุคลิกภาพต่าง ๆ มากที่สุดในวัฒนธรรมที่เจริญ มีสภาวะที่ดี และมีความเท่าเทียมกันทางเพศมากกว่า คำอธิบายที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ การกระทำของหญิงในประเทศที่ให้ความสำคัญต่อความเป็นตัวของตัวเองและที่มีความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ อาจเกิดจากบุคลิกภาพส่วนบุคคล มากกว่าจะเป็นลักษณะของหญิงแบบทั่วไปดังในประเทศที่ให้ความสำคัญต่อสังคมและธรรมเนียมประเพณีมากกว่า[102]
ส่วนระดับต่าง ๆ ของความแตกต่างระหว่างเพศโดยทั่วไปมาจากความแตกต่างระหว่างชายในเขตต่าง ๆ ไม่ใช่หญิง ซึ่งก็คือ ชายในประเทศที่พัฒนาแล้วมีระดับ Neuroticism ความสนใจต่อสิ่งภายนอก ความพิถีพิถัน และความยินยอมเห็นใจ ในระดับที่ต่ำกว่าเทียบกับชายในประเทศที่พัฒนาน้อยกว่า แต่หญิงมีลักษณะบุคลิกภาพที่ไม่ค่อยต่างกันในเขตต่าง ๆ[103]
ผู้เขียนงานนี้คาดว่า ประเทศที่มีระดับพัฒนาการที่ต่ำอาจจะขัดขวางการพัฒนาให้มีความแตกต่างระหว่างเพศ ในขณะที่ประเทศที่มีระดับพัฒนาการสูงอาจจะอำนวยให้มีความแตกต่างระหว่างเพศ (ยกเว้นในประเทศญี่ปุ่นและกรีซ) เพราะว่า ชายอาจจะต้องอาศัยทรัพยากรมากว่าหญิงเพื่อที่จะถึงระดับพัฒนาการที่เป็นไปได้สูงสุด ผู้เขียนอ้างว่า เพราะเหตุแห่งความกดดันทางวิวัฒนาการ ชายมีวิวัฒนาการให้ทำอะไรเสี่ยงมากกว่าและให้แข่งขันเพื่ออำนาจและความเด่นทางสังคม เปรียบเทียบกับหญิงที่มีวิวัฒนาการให้ระมัดระวังมากกว่า และให้ช่วยเหลือดูแลผู้อื่นมากกว่า สังคมนักล่า-เก็บพืชผลโบราณที่เป็นแบบสังคมโดยมากในประวัติศาสตร์มนุษย์ อาจจะมีความเท่าเทียมกันทางเพศในระดับที่สูงกว่าสังคมเกษตรที่ติดตามมา ดังนั้น การเกิดความไม่เท่าเทียมกันอาจจะขัดขวางพัฒนาการความแตกต่างของบุคลิกภาพระหว่างเพศ ที่ได้วิวัฒนาการเกิดขึ้นในสังคมนักล่า-เก็บพืชผลดั้งเดิม เมื่อสังคมปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเท่าเทียมกันมากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง อาจจะเป็นไปได้ว่า ความแตกต่างระหว่างเพศที่มีแต่กำเนิดจึงไม่ถูกขัดขวางอีกต่อไป และดังนั้นจึงปรากฏอย่างสมบูรณ์กว่า
แต่ให้สังเกตว่า ในปัจจุบัน สมมติฐานนี้ยังไม่ได้การพิสูจน์ และความแตกต่างระหว่างเพศในสังคมปัจจุบันก็ยังไม่ได้เปรียบเทียบกับสังคมนักล่า-เก็บพืชผล[103]
ความแตกต่างในลำดับการเกิด
[แก้]มีนักจิตวิทยาที่อ้างว่า ลูกคนโตพิถีพิถันมากกว่า มีอิทธิพลทางสังคมมากกว่า ยินยอมเห็นใจผู้อื่นน้อยกว่า และเปิดรับไอเดียใหม่ ๆ น้อยกว่าลูกที่เกิดทีหลัง แต่ว่างานศึกษาขนาดใหญ่ที่ใช้ตัวอย่างสุ่มและการวัดบุคลิกภาพที่แจ้งเองพบว่า ปรากฏการณ์ที่ว่าอ่อนมาก หรือว่าไม่ได้อยู่ในระดับสำคัญ[104][105]
ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม
[แก้]ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างได้ทดสอบในภาษาและวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น เยอรมัน[106] จีน[107] อินเดีย[108] เป็นต้น[109]
ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยปี 2008 แสดงโครงสร้างของลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างข้ามวัฒนธรรมต่าง ๆ โดยใช้แบบการทดสอบที่เป็นภาษาอังกฤษสากล[110] แต่ว่างานวิจัยปี 2001 แสดงนัยว่า ความเปิดรับประสบการณ์เป็นลักษณะที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนในประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย และบางครั้งจะมีการระบุปัจจัยที่ 5 เป็นต่างหาก[111]
งานวิจัยปี 2005 พบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางวัฒนธรรม (ดังที่พบในทฤษฎี Hofstede's cultural dimensions theory) รวมทั้งความเป็นตัวของตัวเอง (Individualism) ความแตกต่างทางอำนาจในสังคม (Power Distance) Masculinity (การทำงานเพื่อตน) และการหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน (Uncertainty Avoidance) กับลักษณะใหญ่ 5 อย่างในแต่ละประเทศ[112] ยกตัวอย่างเช่น ระดับที่ประเทศนั้นให้คุณค่ากับความเป็นตัวของตัวเองมีสหสัมพันธ์กับความสนใจต่อสิ่งภายนอก เปรียบเทียบกับคนในวัฒนธรรมที่ยอมรับความมีอำนาจไม่เท่าเทียมกันเป็นช่องว่างใหญ่ที่มักจะพิถีพิถันมากกว่า แม้ว่านี่ยังเป็นประเด็นงานวิจัยที่ยังทำกันอยู่ เหตุผลของความแตกต่างเช่นนี้ก็ยังไม่ชัดเจน[ต้องการอ้างอิง]
การพยายามทำซ้ำผลงานเกี่ยวกับปัจจัยใหญ่ 5 อย่างในประเทศอื่น ๆ โดยใช้คำจากพจนานุกรมของแต่ละที่ ประสบผลสำเร็จในบางประเทศ แต่ไม่ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น คนฮังการีปรากฏว่า ไม่มีปัจจัยอะไร ๆ เกี่ยวกับความยินยอมเห็นใจสักอย่างหนึ่ง[113] แต่ก็มีนักวิจัยกลุ่มอื่นที่พบหลักฐานเกี่ยวกับความยินยอมเห็นใจ แต่ไม่พบหลักฐานสำหรับปัจจัยอื่น ๆ[114]
ความสัมพันธ์ในประเด็นต่าง ๆ
[แก้]ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ
[แก้]โดยปี 2002 มีงานศึกษาเกินกว่า 50 งานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทฤษฎีนี้กับความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (personality disorder ตัวย่อ PD)[115] และตั้งแต่นั้นมา ก็มีงานวิจัยต่อ ๆ มาที่ขยายประเด็นนี้ แล้วให้หลักฐานเชิงประสบการณ์เพื่อจะเข้าใจความผิดปกติทางบุคคลลิกภาพโดยใช้แบบจำลองนี้[116]
ในงานปริทัศน์ปี 2007 ที่ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพ นักจิตวิทยาผู้หนึ่งอ้างว่า "แบบจำลองบุคลิกภาพมีปัจจัย 5 อย่างยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า แสดงโครงสร้างระดับสูงของลักษณะบุคลิกภาพทั้งที่ปกติและผิดปกติ"[117] ส่วนงานปี 2008 พบว่าแบบจำลองนี้ สามารถพยากรณ์ความผิดปกติทางบุคลิกภาพทั้ง 10 อย่างได้อย่างสำคัญ และพยากรณ์ได้ดีกว่า Minnesota Multiphasic Personality Inventory (MMPI) ในเรื่องความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (borderline), แบบหลีกเลี่ยง (avoidant), และแบบพึ่งพา (dependent)[118]
ผลงานวิจัยที่ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่าง FFM กับความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่จัดหมวดหมู่ใน DSM มีทั่วไปอย่างกว้างขวาง ยกตัวอย่างเช่น ในงานวิจัยปี 2003 ชื่อว่า "แบบจำลองมีปัจจัย 5 และวรรณกรรมเชิงประสบการณ์เกี่ยวกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพ: งานวิเคราะห์อภิมาน (The five-factor model and personality disorder empirical literature: A meta-analytic review)"[119] ผู้เขียนได้วิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยอื่น 15 งานเพื่อกำหนดว่า ความผิดปกติทางบุคลิกภาพต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร โดยสัมพันธ์กับลักษณะบุคลิกภาพที่เป็นมูล เกี่ยวกับความต่าง ผลงานแสดงว่า ความผิดปกติแต่ละอย่างมีโพลไฟล์ FFM โดยเฉพาะ ที่สามารถใช้อธิบายและใช้พยากรณ์ความผิดปกติได้ เพราะว่ามีรูปแบบเป็นกฎเกณฑ์ที่เฉพาะเจาะจง เกี่ยวกับความเหมือนกัน ความสัมพันธ์ที่เด่นที่สุดและสม่ำเสมอของความผิดปกติทางบุคลิกภาพหลายอย่างกับลักษณะบุคลิกภาพ ก็คือ ความสัมพันธ์เชิงบวกกับ neuroticism และความสัมพันธ์เชิงลบกับความยินยอมเห็นใจ (agreeableness)
ความผิดปกติทางจิตสามัญ
[แก้]หลักฐานที่เข้ามาบรรจบกันจากงานศึกษาประเทศต่าง ๆ ได้แบ่งความผิดปกติทางจิตออกเป็น 3 หมวดหมู่ ซึ่งสามัญเป็นพิเศษในประชากรทั่วไป คือ โรคซึมเศร้า (รวมทั้ง Major Depressive Disorder [MDD] และ Dysthymic Disorder)[120] โรควิตกกังวล (รวมทั้ง Generalized Anxiety Disorder [GAD], ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ [PTSD], โรคตื่นตระหนก, โรคกลัวที่ชุมชน, โรคกลัวสิ่งจำเพาะเจาะจง [Specific Phobia], โรคกลัวการเข้าสังคม [Social Phobia])[120] และการใช้สารเสพติด (substance use disorder ตัวย่อ SUD)[121][122]
ความผิดปกติทางจิตสามัญ (common mental disorder, ตัวย่อ CMDs) มีหลักฐานว่าสัมพันธ์กับลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง โดยเฉพาะกับ neuroticism มีงานวิจัยมากมายที่พบว่า การมี neuroticism ในระดับสูงเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาเป็น CMD[123][124]
งานวิเคราะห์อภิมานขนาดใหญ่ (n > 75,000) ที่ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทั้ง 5 กับ CMD พบว่า ความพิถีพิถันระดับต่ำสัมพันธ์กับ CMD ที่ตรวจสอบแต่ละอย่างอย่างมีกำลัง รวมทั้ง MDD, Dysthymic Disorder, GAD, PTSD, โรคตื่นตระหนก, โรคกลัวที่ชุมชน, โรคกลัวการเข้าสังคม, โรคกลัวสิ่งจำเพาะเจาะจง, และ SUD)[125] ซึ่งเข้ากับงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพทางกายที่พบว่า ความพิถีพิถันระดับต่ำเป็นลักษณะบุคลิกภาพที่มีกำลังที่สุดในการพยากรณ์การตาย และมีสหสัมพันธ์ที่มีกำลังกับพฤติกรรมทางสุขภาพที่ไม่ดี[126][127] ส่วนในเรื่องอื่น งานพบว่า CMD ที่ตรวจสอบทั้งหมดสัมพันธ์กับระดับ neuroticism และโดยมากสัมพันธ์กับความสนใจต่อสิ่งภายนอกในระดับต่ำ ส่วน SUD สัมพันธ์ในเชิงผกผันกับความยินยอมเห็นใจ แต่ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ที่สัมพันธ์กับความเปิดรับประสบการณ์[125]
แบบจำลองบุคลิกภาพ-จิตพยาธิ
[แก้]มีการเสนอแบบจำลอง 5 อย่างเพื่ออธิบายธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพกับโรคจิต แต่ว่าก็ยังไม่มีแบบจำลองไหนที่ดีที่สุด และแต่ละแบบก็ล้วนแต่มีหลักฐานเชิงประสบการณ์รองรับ ให้สังเกตว่า แบบจำลองเหล่านี้ไม่ใช่อยู่แยกจากเกินโดยสิ้นเชิง อาจจะมีแบบจำลองเกินกว่าหนึ่งที่ใช้อธิบายบุคคลหนึ่ง ๆ และความผิดปกติทางจิตแต่ละชนิดอาจจะอธิบายได้โดยแบบจำลองที่ไม่เหมือนกัน[128]
- แบบจำลองโดยเป็นจุดอ่อน/ความเสี่ยง (Vulnerability/Risk Model) ในแบบจำลองนี้ บุคลิกภาพมีอิทธิพลต่อสมุฏฐานเริ่มต้นของ CMD หลายอย่าง กล่าวอีกอย่างก็คือ ลักษณะบุคลิกภาพที่มีอยู่แล้วเป็นเหตุโดยตรงของพัฒนาการของ CMD หรือเพิ่มผลกระทบของปัจจัยเสี่ยงที่เป็นเหตุ[125][129][130][131]
- แบบจำลองโดยเปลี่ยนโรค (Pathoplasty Model) เสนอว่า ลักษณะบุคลิกภาพก่อนป่วยมีผลต่อการแสดงออก การดำเนิน ความรุนแรง และ/หรือการตอบสนองต่อการรักษา ของความผิดปกติทางจิต[125][130][132] ตัวอย่างของความสัมพันธ์เช่นนี้ก็เช่น โอกาสเสี่ยงสูงขึ้นที่จะฆ่าตัวตายสำหรับบุคคลเศร้าซึมที่ยับยั้งชั่งใจได้ต่ำ[130]
- แบบจำลองโดยมีเหตุสามัญ (Common Cause Model) ในแบบจำลองนี้ ลักษณะบุคลิกภาพสามารถพยากรณ์ CMD ได้เพราะว่า บุคลิกภาพและจิตพยาธิแชร์เหตุทางพันธุกรรมและทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เหตุผลระหว่างสิ่งสองสิ่งนี้[125][129]
- Spectrum Model เสนอว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและจิตพยาธิมี ก็เพราะว่า สิ่งสองอย่างนี้เป็นเรื่องเดียวกันหรืออยู่ในสเปกตรัมเดียวกัน และดังนั้น จิตพยาธิจึงเป็นเพียงแค่การแสดงออกของบุคลิกภาพที่สุด ๆ[125][129][130][131] หลักฐานสนับสนุนแบบจำลองนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ที่ซ้อนเหลื่อมกัน ยกตัวอย่างเช่น facet หลักของ neuroticism ในการวัดแบบ NEO-PI-R ก็คือ ความเศร้าซึม (depression) และความวิตกกังวล (anxiety) และดังนั้น การที่กฎเกณฑ์วินิจฉัยของความเศร้าซึม ความวิตกกังวล และ neuroticism ประเมินสิ่งเดียวกัน ก็จะเพิ่มค่าสหสัมพันธ์ของเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้[131]
- แบบจำลองโดยเป็นแผลเป็น (Scar Model) เสนอว่า คราวแสดงออก (episode) ของความผิดปกติทางจิตจะสร้าง "แผลเป็น" ต่อบุคลิกภาพของบุคคล เปลี่ยนการทำงานของมันอย่างสำคัญจากสภาพก่อนป่วย[125][129][130][131] ตัวอย่างหนึ่งของปรากฏการณ์แผลเป็นก็คือการลดระดับความเปิดรับประสบการณ์ หลังจากคราวแสดงออกของ PTSD[130]
การศึกษา
[แก้]ความสำเร็จทางการเรียน
[แก้]บุคลิกภาพมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จทางการศึกษา งานศึกษาปี 2011 ในนักศึกษาปริญญาตรี 308 คนที่ได้ทำข้อทดสอบ Five Factor Inventory กับ Inventory of Learning Processes และแจ้ง GPA ของตน แสดงนัยว่า ความพิถีพิถันและความยินยอมเห็นใจ สัมพันธ์กับสไตล์การเรียน 4 อย่างทุกอย่างที่จะกล่าวถึงต่อไป และ neuroticism สัมพันธ์ในเชิงผกผันกับสไตล์การเรียนทุกอย่าง ส่วนความสนใจต่อสิ่งภายนอกบวกความเปิดรับประสบการณ์ สัมพันธ์กับสไตล์การเรียนบางอย่าง (คือ elaborative processing) ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง สามารถอธิบายความแปรปรวน (variance) 14% ของ GPA ซึ่งแสดงนัยว่า ลักษณะบุคลิกภาพมีผลต่อความสำเร็จทางการศึกษา นอกจากนั้นแล้ว สไตล์การเรียนแบบไตร่ตรอง (คือ synthesis analysis และ elaborative processing ที่จะกล่าวต่อไป) สามารถสื่อความสัมพันธ์ระหว่างความเปิดรับประสบการณ์กับ GPA ซึ่งแสดงว่า ความอยากรู้อยากเห็นเชิงปัญญาจะเพิ่มความสำเร็จในการศึกษา ถ้านักเรียนนักศึกษาสามารถประยุกต์ใช้การประมวลข้อมูลที่ดีในประเด็นการศึกษา[133]
งานวิจัยปี 2012 กับนักศึกษามหาวิทยาลัยสรุปว่า ความหวังซึ่งเชื่อมกับความยินยอมเห็นใจ มีผลบวกต่อสุขภาพจิต บุคคลที่มีสภาพ neuroticism สูงมักจะแสดงความหวังที่น้อยกว่า ซึ่งมีผลลบทางสุขภาพจิต[134] บุคลิกภาพอาจจะยืดหยุ่นได้ในบางคราว และการวัดลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างเมื่อเข้าสู่ระยะบางอย่างในชีวิต อาจจะสามารถพยากรณ์เอกลักษณ์ของบุคคลนั้นเกี่ยวกับการศึกษา (educational identity) ได้ งานวิจัยปี 2012 อีกงานหนึ่งแสดงโอกาสว่า บุคลิกภาพมีผลต่อเอกลักษณ์ทางการศึกษา[135]
สไตล์การศึกษา
[แก้]สไตล์การเรียนรู้ได้คำพรรณนาว่าเป็น "วิธีการที่อยู่ได้นานเกี่ยวกับการคิดและการประมวลข้อมูล"[133] แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าบุคลิกภาพเป็นตัวกำหนดสไตล์การคิด แต่ว่าสไตล์การคิดก็อาจจะสัมพันธ์กับลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง[136] แม้ว่าจะไม่มีมติส่วนใหญ่เกี่ยวกับสไตล์การเรียนรู้ แต่ก็มีข้อเสนอหลายอย่าง งานวิจัยปี 1997 (Smeck, Ribicj, and Ramanaih) กำหนดสไตล์การเรียนรู้เป็น 4 อย่าง คือ
- synthesis analysis (การวิเคราะห์โดยสังเคราะห์)
- methodical study (การเรียนเป็นระบบ)
- fact retention (การจำ)
- elaborative processing (การประมวลแบบขยายเพิ่ม)
เมื่อใช้ทั้ง 4 สไตล์ในการเรียน แต่ละอย่างก็น่าจะทำให้เรียนได้เก่งขึ้น[133] แบบจำลองนี้ยืนยันว่า นักเรียนนักศึกษาจะพัฒนาสไตล์การเรียนเป็นแบบประมวลข้อมูลอย่างตื้น ๆ (agentic/shallow processing) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สอบได้ดี หรือเป็นแบบประมวลข้อมูลอย่างลึกซึ้ง (reflective/deep processing) ผู้ที่ประมวลข้อมูลอย่างลึก บ่อยครั้งพิถีพิถัน เปิดรับความคิด และสนใจสิ่งภายนอกมากกว่า เปรียบเทียบกับผู้ประมวลข้อมูลอย่างตื้น ๆ การประมวลข้อมูลอย่างลึก สัมพันธ์กับวิธีการเรียนที่เหมาะสม (คือเป็นการเรียนอย่างเป็นระบบ) และความสามารถที่ดีกว่าในการวิเคราะห์ข้อมูล (การวิเคราะห์โดยสังเคราะห์และแบบขยายเพิ่ม) เทียบกับผู้ประมวลข้อมูลอย่างตื้น[133] หน้าที่หลักของสไตล์การเรียน 4 อย่างนี้ เป็นดังต่อไปนี้
ชื่อ | หน้าที่ |
---|---|
Synthesis analysis: | ประมวล สร้างหมวดหมู่ และจัดระเบียบข้อมูลเป็นลำดับชั้น นี่เป็นสไตล์การเรียนรู้อย่างเดียวที่แสดงผลที่สำคัญต่อความสำเร็จทางการศึกษา[133] |
Methodical study: | พฤติกรรมที่เป็นระบบเมื่อทำงานที่ได้รับ เช่นดูหนังสืออย่างสม่ำเสมอ ไม่ผัดผ่อนการเริ่มทำงาน |
Fact retention: | เพ่งความสนใจไปที่ผลลัพธ์ มากกว่าจะพยายามเข้าใจเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น |
Elaborative processing: | เชื่อมและประยุกต์ใช้ไอเดียใหม่ ๆ กับความรู้ที่มีอยู่แล้ว |
ตามงานวิจัยในปี 2011 ความเปิดรับประสบการณ์สัมพันธ์กับสไตล์การเรียนรู้ เช่น การวิเคราะห์โดยสังเคราะห์และการเรียนเป็นระบบ ที่บ่อยครั้งนำไปสู่ความสำเร็จทางการเรียนและการได้เกรดที่สูงกว่า และเพราะว่า ความพิถีพิถันและความเปิดรับประสบการณ์ เป็นตัวพยากรณ์สไตล์การเรียนทั้ง 4 นี่แสดงนัยว่า บุคคลที่มีลักษณะต่าง ๆ เช่น วินัย ความมุ่งมั่น และความอยากรู้อยากเห็น มีโอกาสสูงกว่าที่จะใช้วิธีการเรียนทั้ง 4 อย่าง[133] ความพิถีพิถันและความยินยอมเห็นใจ สัมพันธ์กับสไตล์การเรียนทั้ง 4 อย่าง เทียบกับ neuroticism ที่สัมพันธ์ในเชิงผกผันกับสไตล์ทั้ง 4 นอกจากนั้นแล้ว ความสนใจต่อสิ่งภายนอกและความเปิดรับประสบการณ์ สัมพันธ์กับการประมวลแบบขยายเพิ่มเท่านั้น และ ความเปิดรับประสบการณ์โดยลำพังมีสหสัมพันธ์กับความสำเร็จการศึกษาที่ดี[133]
นอกจากความเปิดรับประสบการณ์ ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้ง 5 อย่าง ล้วนแต่ช่วยพยากรณ์เอกลักษณ์ทางการศึกษาของนักเรียนนักศึกษาได้ ผลงานต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มจะเห็นว่า ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้ง 5 อย่างอาจมีผลต่อแรงจูงใจในการศึกษา ซึ่งก็จะทำให้สามารถพยากรณ์ความสำเร็จทางการศึกษาของนักเรียนนักศึกษาได้[137]
งานวิจัยปี 2012 แสดงนัยว่า ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างประกอบกับสไตล์การเรียน สามารถช่วยให้พยากรณ์ความต่าง ๆ กันของความสำเร็จทางการศึกษา และแรงจูงใจทางการศึกษาของบุคคล ซึ่งก็จะมีผลต่อความสำเร็จทางการศึกษา[138] นี่อาจจะเป็นเพราะว่าความแตกต่างทางบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล แสดงวิธีการประมวลข้อมูลที่เสถียร ยกตัวอย่างเช่น ความพิถีพิถันปรากฏอย่างสม่ำเสมอโดยเป็นตัวพยากรณ์ของคะแนนที่ได้ในการสอบ โดยมากเพราะว่านักเรียนนักศึกษาที่พิถีพิถัน จะผัดผ่อนการดูหนังสือน้อยกว่า[137] เหตุผลที่ความพิถีพิถันสัมพันธ์กับสไตล์การศึกษาทั้ง 4 ก็เพราะว่า นักศึกษาที่พิถีพิถันจะพัฒนากลยุทธ์การเรียนที่มุ่งมั่น และดูเหมือนจะมีวินัยและความตั้งมั่นเพื่อความสำเร็จมากกว่า
แต่ว่า ในปี 2008 สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Society) ได้ว่าจ้างให้ทำรายงานที่แสดงผลว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสรุปว่า การประเมินสไตล์การศึกษาควรจะใช้ในระบบการศึกษา สมาคมยังเสนออีกด้วยว่า ยังไม่ได้ค้นพบสไตล์การศึกษาทั้งหมด และอาจจะมีสไตล์อื่นที่มีคุณค่าเพื่อใช้ในระบบการศึกษา[139] ดังนั้น อาจจะเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า หลักฐานที่เชื่อมลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างกับ "สไตล์การเรียนรู้" ว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลจริง ๆ
ความสำเร็จในการงาน
[แก้]เชื่อกันว่า ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างเป็นตัวยพยากรณ์การประสบความสำเร็จที่จะมีในอนาคต ความสำเร็จทางการงานรวมความชำนาญในการงาน (job proficiency) ประสิทธิภาพในการฝึกงาน (training proficiency) และข้อมูลบุคลากรอื่น ๆ[140] แต่ว่า งานวิจัยที่แสดงความสามารถในการพยากรณ์เช่นนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนหนึ่งก็เพราะค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (correlation coefficient) ที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและความสำเร็จในการงาน อยู่ในระดับต่ำ บทความปี 2007[141] ซึ่งมีผู้ร่วมเขียนเป็นบรรณาธิการของวารสารจิตวิทยาทั้งในอดีตหรือในปัจจุบัน 6 ท่าน กล่าวว่า
- ปัญหาเกี่ยวกับการทดสอบบุคลิกภาพก็คือ ความสมเหตุสมผลของค่าวัดบุคลิกภาพต่าง ๆ โดยเป็นตัวพยากรณ์ความสำเร็จในงาน บ่อยครั้งต่ำอย่างน่าผิดหวัง ผมรู้สึกว่า การใช้การทดสอบบุคลิกภาพเพื่อจะพยากรณ์ความสำเร็จ ไม่น่าเชื่อถือตั้งแต่ต้น
นักจิตวิทยาทรงอิทธิพลคนหนึ่งได้วิพากษ์วิจารณ์ในทำนองนี้ในปี 1968[142] ซึ่งบทความนั้น ได้ทำให้เกิดวิกฤตกาลเป็นระยะเวลา 2 ทศวรรษในการวัดบุคลิกภาพทางจิตวิทยา แต่ว่า งานต่อ ๆ มาแสดงว่า (1) ค่าสหสมพันธ์ที่นักวิจัยบุคลิกภาพได้ ความจริงอยู่ในระดับที่ดีใช้ได้เมื่อเทียบกับมาตรฐานอื่น ๆ[143] และ (2) ความแม่นยำในการพยากรณ์ที่เพิ่มขึ้นแม้เล็กน้อย ก็ยังมีคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เพราะความสำเร็จที่แตกต่างกันมากของบุคคลที่อยู่ในหน้าที่การงานระดับสูง[144]
มีงานศึกษาที่เชื่อมความช่างคิดช่างประดิษฐ์ของประเทศต่าง ๆ กับความเปิดรับประสบการณ์และความพิถีพิถัน คือบุคคลที่มีลักษณะบุคลิกภาพเหล่านี้ได้แสดงความเป็นผู้นำและเสนอความคิดใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศที่ตนอยู่[145]
ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีธุรกิจ องค์การ และผู้สัมภาษณ์ที่ประเมินบุคคลโดยอาศัยลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง งานวิจัยแสดงนัยว่า บุคคลที่คนอื่นเห็นว่าเป็นผู้นำ จะแสดงระดับ neuroticism ที่ต่ำกว่า ธำรงระดับความเปิดรับประสบการณ์ (คือสามารถมองเห็นโอกาสความสำเร็จ) ที่สูงกว่า มีระดับความพิถีพิถันในระดับที่สมดุล (คือเป็นคนจัดระเบียบได้ดี) และมีระดับความสนใจต่อสิ่งภายนอกในระดับที่สมดุล (คือเป็นคนสังคมแต่ไม่มากเกินไป)[146] งานวิจัยต่อ ๆ มาแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความหมดไฟในการทำงานกับระดับ neuroticism และระดับความสนใจต่อสิ่งภายนอกกับความรู้สึกบวกเกี่ยวกับงานที่ยั่งยืน[147] ในเรื่องเกี่ยวกับการหาเงิน งานวิจัยแสดงนัยว่า บุคคลที่ยินยอมเห็นใจผู้อื่นมาก (โดยเฉพาะผู้ชาย) ไม่ประสบความสำเร็จในการหาเงินเท่ากับผู้อื่น[148]
ในสัตว์
[แก้]มีการประเมินลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างในสัตว์พันธุ์อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ ในชุดงานศึกษาหนึ่ง มนุษย์เป็นผู้ให้คะแนนลิงชิมแปนซีโดยใช้แบบคำถามบุคลิกภาพชิมแปนซี (Chimpanzee Personality Questionnaire ตัวย่อ CPQ) ที่วัดปัจจัยคือความสนใจต่อสิ่งภายนอก ความพิถีพิถัน และความยินยอมเห็นใจ โดยมีปัจจัยที่เพิ่มเกี่ยวกับความเป็นใหญ่ (dominance) โดยทำกับลิงเป็นร้อย ๆ ในสวนสัตว์ ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าธรรมชาติ และในแล็บการทดลอง แล้วพบ neuroticism และความเปิดรับประสบการณ์ ในตัวอย่างจากสวนสัตว์เบื้องต้น แต่ไม่พบในตัวอย่างสวนสัตว์ต่อ ๆ มา หรือในที่อื่น ๆ (ซึ่งอาจเป็นเพราะการออกแบบ CPQ)[149] งานทบทวนงานหนึ่งพบว่า ลักษณะ 3 อย่างคือ ความสนใจต่อสิ่งภายนอก neuroticism และความยินยอมเห็นใจ พบอย่างสม่ำเสมอมากที่สุดในสปีชีส์สัตว์ที่ตรวจสอบ ตามด้วยความเปิดรับประสบการณ์ แต่ว่าในบรรดาสัตว์ มีลิงชิมแปนซีเท่านั้นที่แสดงพฤติกรรมพิถีพิถัน[150]
การวัด
[แก้]มีวิธีการวัดลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างหลายแบบ คือ
- International Personality Item Pool (IPIP)[151]
- Revised NEO Personality Inventory (NEO-PI-R)
- Ten-Item Personality Inventory (TIPI) และ Five Item Personality Inventory (FIPI) เป็นแบบการให้คะแนนที่ย่อมากเพื่อวัดลักษณะทั้ง 5[152]
- Self-descriptive sentence questionnaires[114]
- Lexical questionnaires[153]
- Self-report questionnaires[154]
- Relative-scored Big 5 measure[155]
การวัดแบบที่ใช้บ่อยที่สุดเป็นรายการประโยคที่สามารถเข้าใจได้โดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลเพิ่ม[114] หรือถ้าเป็นแบบการวัดโดยใช้คำ ก็จะเป็นรายการคำวิเศษณ์[153] เพราะว่าการวัดทั้งสองแบบบางครั้งอาจยาวมาก จึงมีการพัฒนาแบบที่สั้นลงที่ได้ทดสอบความสมเหตุสมผลแล้ว เพื่อใช้ในงานวิจัยประยุกต์ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่มีพื้นที่และเวลาในการเก็บข้อมูลน้อย เช่นการวัดโดยใช้รายการ 40 อย่างคือ International English Big-Five Mini-Markers[110] หรือแม้แต่ที่สั้นยิ่งกว่านั้น เช่นการวัดโดยรายการ 10 อย่าง[156] แต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงนัยว่า ระเบียบวิธีบางอย่างที่ใช้ในการทดสอบบุคลิกภาพสั้นเกินไปและมีรายละเอียดน้อยเกินไปที่จะประเมินบุคลิกภาพได้จริง ๆ คือโดยปกติแล้ว คำถามที่มากกว่าและละเอียดกว่าจะแสดงบุคลิกภาพได้แม่นยำกว่า[157]
นักวิจัยกลุ่มต่าง ๆ ได้ตรวจสอบทฤษฎี FFM นี้แล้ว[158] แต่ว่า สิ่งที่ค้นพบหลัก ๆ หลายอย่างมาจากหลักฐานที่วัดลักษณะบุคลิกภาพโดยใช้แบบคำถามที่ผู้ร่วมการทดลองแจ้งเอง (self-report) ดังนั้น จึงอาจมีอคติได้ เช่น self-report bias หรือแม้แต่การโกหกซึ่งยากที่จะกำหนดหรือแก้ได้[154] และมีการอ้างว่า แบบทดสอบไม่สามารถสร้างโพลไฟล์บุคลิกภาพที่แม่นยำได้จริง ๆ เพราะว่า คำตอบที่ได้ไม่จริงในทุกกรณี ยกตัวอย่างเช่น ผู้สมัครงานอาจจะเลือกตอบคำถามทำให้ตนดูดีที่สุด[159] ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเป็นพิเศษเมื่อพิจารณาว่า ทำไมคะแนนจึงต่างกันระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคล คือความต่างของคะแนนอาจจะแสดงความต่างของบุคลิกภาพจริง ๆ หรืออาจจะเป็นสิ่งที่ทำขึ้น (artifact) เนื่องจากวิธีการตอบคำถาม
งานวิจัยแสดงนัยว่า การวัดโดยเปรียบเทียบที่ผู้ตอบต้องเลือกระหว่างรายการแสดงบุคลิกภาพที่น่าชอบใจพอ ๆ กัน โดยเลือกแบบซ้ำ ๆ อาจจะเป็นวิธีการวัดทางเลือกเพื่อที่จะประเมินลักษณะบุคลิกภาพได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อาจมีการโกหกหรือมีอคติ[155] เมื่อเปรียบเทียบกับการวัดบุคลิกภาพธรรมดาในการพยากรณ์ GPA และความคิดสร้างสรรค์ ภายใต้สถานการณ์ปกติและภายใต้สถานการณ์ที่มีอคติ การวัดโดยเปรียบเทียบสามารถพยากรณ์ผลที่สืบหาได้อย่างสำคัญและสม่ำเสมอภายใต้สถานการณ์ทั้งสอง แต่ว่า แบบคำถามธรรมดาที่ใช้เพื่อเปรียบเทียบ (Likert questionnaire) สูญเสียความสามารถการพยากรณ์ภายใต้สถานการณ์ที่มีอคติ ดังนั้น การวัดโดยเปรียบเทียบได้รับอิทธิพลจากคำตอบที่มีอคติ น้อยกว่าการวัดบุคลิกภาพแบบธรรมดา
งานศึกษาปี 2013 วิเคราะห์คำ วลี และหัวข้อ 700 รายการที่รวบรวมมาจากข้อความในเฟซบุ๊กของอาสาสมัคร 75,000 คน ผู้ที่ทำแบบทดสอบบุคลิกภาพด้วย แล้วพบการใช้ภาษาที่ต่างกันอย่างน่าสนใจโดยเปรียบเทียบกับบุคลิกภาพ เพศ และอายุ[160] งานวิจัยนี้ ต่างจากนักวิจัยพวกอื่น ๆ ตรงที่ว่า ได้ใช้ข้อมูลที่ไม่ได้เก็บโดยเฉพาะเพื่อกำหนดบุคลิกภาพ[ต้องการอ้างอิง]
ข้อวิพากษ์วิจารณ์
[แก้]ทฤษฎีนี้ได้มีการตรวจสอบที่แสดงผลไม่ลงรอยกับทฤษฎี[161][162][163][164][165][166][167] และที่สนับสนุน[168]
มีนักวิชาการที่อ้างว่า มีข้อจำกัดในการใช้แบบจำลองเพื่อเป็นคำอธิบายหรือเพื่อการพยากรณ์[169] และว่า สิ่งที่วัดในทฤษฎีนี้ อธิบายเพียงแค่ 56% ของบุคลิกภาพปกติเพียงเท่านั้น โดยยังไม่ได้นับบุคลิกภาพที่ผิดปกติ[62] นอกจากนั้น รายการลักษณะทั้ง 5 แบบสถิต[170] เป็นสิ่งที่ไม่ได้มาจากทฤษฎี แต่ได้มาจากการตรวจสอบข้อมูลของอะไรบางอย่างที่มักจะเกิดขึ้นร่วมกัน และบ่อยครั้งได้จากการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีวิธีการไม่ค่อยสมบูรณ์[62]
ค่าลักษณะทั้ง 5 ดูจะสม่ำเสมอเมื่อวัดโดยการสัมภาษณ์ การแจ้งเอง และการสังเกต และลักษณะทั้ง 5 ก็ดูเหมือนจะมีในผู้ร่วมการทดลองต่าง ๆ กันเป็นจำนวนมากแม้ข้ามอายุและวัฒนธรรม[171] แต่ว่า ถึงแม้ว่ามนุษย์อาจจะมีลักษณะพื้นอารมณ์แต่กำเนิดตามจีโนไทป์ที่เหมือนกันข้ามวัฒนธรรมต่าง ๆ แต่ว่าการแสดงออกแบบฟีโนไทป์ของลักษณะบุคลิกภาพก็แตกต่างกันอย่างลึกซึ้งข้ามวัฒนธรรมต่าง ๆ โดยเป็นฟังก์ชันของการปรับสภาวะทางสังคม-วัฒนธรรม (socio-cultural conditioning) และของการเรียนรู้โดยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวัฒนธรรมต่าง ๆ[172]
พิสัยที่จำกัด
[แก้]ข้อวิพากษ์วิจารณ์สามัญอย่างหนึ่งก็คือว่าแบบจำลองนี้ไม่ได้อธิบายบุคลิกภาพมนุษย์ทั้งหมด นักจิตวิทยาบางพวกไม่เห็นด้วยกับแบบจำลองเพราะรู้สึกว่าแบบจำลองละเลยด้านอื่น ๆ ของบุคลิกภาพ เช่นความเคร่งศาสนา (religiosity) ความเจ้าเล่ห์ (machiavellianism) ความซื่อสัตย์ ความเซ็กซี่/ความมีเสน่ห์ ความประหยัด ความอนุรักษนิยม ความเป็นชาย/ความเป็นหญิง อติมานะ (egotism) ความมีอารมณ์ขัน และความชอบเสี่ยงชอบตื่นเต้น[173][174] นักจิตวิทยาท่านหนึ่งเรียกลักษณะใหญ่ 5 นี้ว่า "จิตสภาพของคนแปลกหน้า" เพราะว่า หมายถึงลักษณะที่ค่อนข้างจะสังเกตได้ง่ายในคนแปลกหน้า ส่วนด้านอื่น ๆ ของบุคลิกภาพที่ไม่ค่อยแสดง หรือว่าขึ้นอยู่กับบริบทมากกว่า ไม่ได้รวมอยู่ในแบบจำลองนี้[175]
งานศึกษาหลายงานพบว่า ปัจจัยทั้ง 5 ไม่ได้เป็นอิสระ (orthogonal) จากกันและกัน[176][177] และนักวิจัยบางคนมองว่า ความเป็นอิสระ (orthogonality) เป็นเรื่องที่พึงปรารถนาเพราะว่ามันลดความซ้ำซ้อนกันระหว่างมิติต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับต่ำสุด ซึ่งสำคัญโดยเฉพาะเมื่อจุดหมายการศึกษาก็เพื่อที่จะอธิบายบุคลิกภาพด้วยตัวแปรที่น้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้
ปัญหาทางระเบียบวิธี
[แก้]การวิเคราะห์ปัจจัย (factor analysis) ซึ่งเป็นวิธีทางสถิติที่ใช้เพื่อกำหนดโครงสร้างของตัวแปรที่สังเกตเห็น ไม่มีวิธีที่ยอมรับกันโดยทั่วไปเพื่อเลือกผลลัพธ์ที่ได้ผลใดผลหนึ่งโดยเฉพาะในบรรดาผลเฉลยที่มีปัจจัยจำนวนต่าง ๆ กัน[178] การเลือกผลเฉลยที่มีปัจจัย 5 ขึ้นอยู่กับการตีความของผู้วิเคราะห์ในระดับหนึ่ง และความจริงอาจจะมีปัจจัยเป็นจำนวนมากที่เป็นมูลฐานของปัจจัย 5 เหล่านี้ ซึ่งทำให้เกิดการถกเถียงกันว่ามีปัจจัย "จริง" เท่าไรกันแน่ ส่วนผู้สนับสนุทฤษฎีตอบว่า แม้ว่าผลเฉลยอื่น ๆ อาจจะเป็นไปได้ในชุดข้อมูลหนึ่ง ๆ แต่ว่า ผลเฉลยมีปัจจัย 5 เป็นโครงสร้างที่เข้ากับข้อมูลในงานศึกษาต่าง ๆ ที่มี[179]
สถานะของทฤษฎี
[แก้]ข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ของแบบจำลองนี้ก็คือ มันไม่ได้มีมูลฐานจากทฤษฎีพื้นฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นเพียงการค้นพบเชิงประสบการณ์ที่ปัจจัยอะไรบางอย่างเกิดรวมกันเป็นกลุ่มเมื่อวิเคราะห์โดยปัจจัย[178] แม้ว่านี่จะไม่ได้หมายความว่า ปัจจัย 5 อย่างเหล่านี้ไม่มี แต่ว่า เหตุที่เป็นมูลของปัจจัยยังไม่ชัดเจน
ศ. นักจิตวิทยาบุคลิกภาพที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งได้พิมพ์หนังสือในปี 2010 ก่อนจะเสียชีวิตที่แสดงทัศนวิสัยชั่วชีวิตของเขาเกี่ยวกับแบบจำลองนี้[180] เขาย่อสาระคำวิพากษ์วิจารณ์ของเขาต่อแบบจำลองเป็นประเด็นเหล่านี้ คือ
- ปัจจัยทั้ง 5 ไม่มีพื้นฐานทางทฤษฎี (atheoretical nature)
- มีการวัดที่ไม่ชัดเจน (cloudy measurement)
- ไม่เหมาะสมเพื่อใช้ศึกษาวัยเด็กระยะต้น
- ใช้การวิเคราะห์ปัจจัย (factor analysis) เป็นวิธีเดียวเพื่อกำหนดบุคลิกภาพ
- เป็นความเข้าใจที่ยังไม่มีมติร่วมกัน
- มีงานศึกษาอื่นที่ไม่ได้การยอมรับแต่เป็นจริง ที่กำหนดลักษณะบุคลิกภาพอื่น ๆ ที่ไม่รวมอยู่ในปัจจัยทั้ง 5
เขาเสนอว่า ปัจจัยจำนวนมากกว่าในลำดับชั้นเหนือกว่าลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ได้พบซ้ำ ๆ ในงานวิจัย มีโอกาสที่จะให้ความเข้าใจทางชีวภาพที่ลึกซึ้งกว่า ในเรื่องแหล่งกำเนิดและอิทธิพลของปัจจัยเหนือชั้นเหล่านั้น
ดูเพิ่ม
[แก้]เชิงอรรถและอ้างอิง
[แก้]- ↑
"personality", ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑ ฉบับ ๒๕๔๕,
บุคลิกภาพ (ปรัชญา)
- ↑
สอ เสถบุตร, "trait", ThaiSoftware Dictionary v 6.0 (New Model English-Thai Dictionary),
สันดาน,ลักษณะ
- ↑ Goldberg, L. R. (1993). "The structure of phenotypic personality traits". American Psychologist. 48: 26–34. doi:10.1037/0003-066x.48.1.26.
- ↑
Costa, PT Jr.; McCrae, RR (1992). Revised NEO Personality Inventory (NEO-PI-R) and NEO Five-Factor Inventory (NEO-FFI) manual. Odessa, FL: Psychological Assessment Resources.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Matthews, Gerald; Deary, Ian J.; Whiteman, Martha C. (2003). Personality Traits (PDF) (2nd ed.). Cambridge University Press. ISBN 9780521831079. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-12-05. สืบค้นเมื่อ 2016-03-28.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 Toegel G; Barsoux JL (2012). "How to become a better leader". MIT Sloan Management Review. 53 (3): 51–60.
- ↑ Toegel, G; Barsoux, JL (2012). "How to become a better leader". MIT Sloan Management Review. 53 (3): 51–60.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Digman JM (1990). "Personality structure: Emergence of the five-factor model". Annual Review of Psychology. 41: 417–40. doi:10.1146/annurev.ps.41.020190.002221.
- ↑ 9.0 9.1 Shrout PE, Fiske ST (1995). Personality research, methods, and theory. Psychology Press.
- ↑ Allport GW; Odbert HS (1936). "Trait names: A psycholexical study". Psychological Monographs. 47: 211. doi:10.1037/h0093360.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 Bagby RM, Marshall MB, Georgiades S (February 2005). "Dimensional personality traits and the prediction of DSM-IV personality disorder symptom counts in a nonclinical sample". Journal of Personality Disorders. 19 (1): 53–67. doi:10.1521/pedi.19.1.53.62180. PMID 15899720.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 Tupes EC, Christal RE (1961). "Recurrent personality factors based on trait ratings". USAF ASD Tech. Rep. 60 (61–97): 225–51. doi:10.1111/j.1467-6494.1992.tb00973.x. PMID 1635043.
- ↑ 13.0 13.1 Norman WT (June 1963). "Toward an adequate taxonomy of personality attributes: replicated factors structure in peer nomination personality ratings". Journal of Abnormal and Social Psychology. 66 (6): 574–83. doi:10.1037/h0040291. PMID 13938947.
- ↑ Poropat AE (March 2009). "A meta-analysis of the five-factor model of personality and academic performance". Psychological Bulletin. 135 (2): 322–38. doi:10.1037/a0014996. hdl:10072/30324. PMID 19254083.
- ↑ Goldberg LR (January 1993). "The structure of phenotypic personality traits". The American Psychologist. 48 (1): 26–34. doi:10.1037/0003-066X.48.1.26. PMID 8427480.
- ↑ O'Connor BP (June 2002). "A quantitative review of the comprehensiveness of the five-factor model in relation to popular personality inventories". Assessment. 9 (2): 188–203. doi:10.1177/1073191102092010. PMID 12066834. S2CID 145580837.
- ↑ Goldberg LR (1982). "From Ace to Zombie: Some explorations in the language of personality". ใน Spielberger CD, Butcher JN (บ.ก.). Advances in personality assessment. Vol. 1. Hillsdale, NJ: Erlbaum. pp. 201–34.
- ↑ Norman WT; Goldberg LR (1966). "Raters, ratees, and randomness in personality structure". Journal of Personality and Social Psychology. 4 (6): 681–91. doi:10.1037/h0024002.
- ↑ Peabody D; Goldberg LR (September 1989). "Some determinants of factor structures from personality-trait descriptors". Journal of Personality and Social Psychology. 57 (3): 552–67. doi:10.1037/0022-3514.57.3.552. PMID 2778639.
- ↑ Saucier G, Goldberg LR (1996). "The language of personality: Lexical perspectives on the five-factor model". ใน Wiggins JS (บ.ก.). The five-factor model of personality: Theoretical perspectives. New York: Guilford.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ Digman JM (June 1989). "Five robust trait dimensions: development, stability, and utility". Journal of Personality. 57 (2): 195–214. doi:10.1111/j.1467-6494.1989.tb00480.x. PMID 2671337.
- ↑ Karson S; O'Dell JW (1976). A guide to the clinical use of the 16PF (Report). Champaign, IL: Institute for Personality & Ability Testing.
- ↑ Krug SE, Johns EF (1986). "A large scale cross-validation of second-order personality structure defined by the 16PF". Psychological Reports. 59 (2): 683–93. doi:10.2466/pr0.1986.59.2.683. S2CID 145610003.
- ↑ Cattell HE, Mead AD (2007). "The 16 Personality Factor Questionnaire (16PF)". ใน Boyle GJ, Matthews G, Saklofske DH (บ.ก.). Handbook of personality theory and testing, Volume 2: Personality measurement and assessment. London: Sage.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ Costa PT, McCrae RR (September 1976). "Age differences in personality structure: a cluster analytic approach". Journal of Gerontology. 31 (5): 564–70. doi:10.1093/geronj/31.5.564. PMID 950450.
- ↑ Costa PT, McCrae RR (1985). The NEO Personality Inventory manual. Odessa, FL: Psychological Assessment Resources.
- ↑ 27.0 27.1 McCrae RR, Costa PT (January 1987). "Validation of the five-factor model of personality across instruments and observers". Journal of Personality and Social Psychology. 52 (1): 81–90. doi:10.1037/0022-3514.52.1.81. PMID 3820081.
- ↑ McCrae RR, John OP (June 1992). "An introduction to the five-factor model and its applications". Journal of Personality. 60 (2): 175–215. CiteSeerX 10.1.1.470.4858. doi:10.1111/j.1467-6494.1992.tb00970.x. PMID 1635039. S2CID 10596836.
- ↑ 29.0 29.1 29.2 29.3 29.4 "A scientific collaboration for the development of advanced measures of personality traits and other individual differences". International Personality Item Pool. 2001.
- ↑
Carnivez, GL; Allen, TJ. "onvergent and factorial validity of the 16PF and the NEO-PI-R". Paper presented at the annual convention of the American Psychological Association, Washington, D.C.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑
Conn, S; Rieke, M (1994). The 16PF Fifth Edition technical manual. Champaign, IL: Institute for Personality & Ability Testing.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Cattell, H.E. (1996). "The original big five: A historical perspective". European Review of Applied Psychology. 46: 5–14.
- ↑ Grucza, R.A.; Goldberg, L.R. (2007). "The comparative validity of 11 modern personality inventories: Predictions of behavioral acts, informant reports, and clinical indicators". Journal of Personality Assessment. 89 (2): 167–187. doi:10.1080/00223890701468568. PMID 17764394.
- ↑ Mershon B, Gorsuch RL (1988). "Number of factors in the personality sphere: does increase in factors increase predictability of real-life criteria?". Journal of Personality and Social Psychology. 55 (4): 675–80. doi:10.1037/0022-3514.55.4.675.
- ↑ Paunonen SV, Ashton MS (2001). "Big Five factors and facets and the prediction of behavior". Journal of Personality & Social Psychology. 81 (3): 524–39. doi:10.1037/0022-3514.81.3.524. PMID 11554651.
- ↑ 36.0 36.1 DeYoung CG, Quilty LC, Peterson JB (November 2007). "Between facets and domains: 10 aspects of the Big Five". Journal of Personality and Social Psychology. 93 (5): 880–96. doi:10.1037/0022-3514.93.5.880. PMID 17983306. S2CID 8261816.
- ↑ Boileau, S.N. (2008). Openness to Experience, Agreeableness, and Gay Male Intimate Partner Preference Across Racial Lines. Ann Arbor, MI: ProQuest LLC.
- ↑ Costa, PT; McCrae, RR (1992). Neo PI-R professional manual. Odessa, FL: Psychological.
- ↑ "Research Reports on Science from Michigan State University Provide New Insights". Science Letter. Gale Student Resource in Context. สืบค้นเมื่อ 4 April 2012.
- ↑ Laney MO (2002). The Introvert Advantage. Canada: Thomas Allen & Son Limited. pp. 28, 35. ISBN 978-0761123699.
- ↑ "An Examination of the Impact of Selected Personality Traits on the Innovative Behaviour of Entrepreneurs in Nigeria". cscanada. Canadian Research & Development Center of Sciences and Cultures. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-11-11. สืบค้นเมื่อ 2012-11-14.
- ↑ 42.0 42.1 Rothmann S, Coetzer EP (24 October 2003). "The big five personality dimensions and job performance". SA Journal of Industrial Psychology. 29. doi:10.4102/sajip.v29i1.88.
- ↑ Bartneck C, Van der Hoek M, Mubin O, Al Mahmud A (March 2007). ""Daisy, daisy, give me your answer do!" switching off a robot". Eindhoven, Netherlands: Dept. of Ind. Design, Eindhoven Univ. of Technol. pp. 217–22. สืบค้นเมื่อ 6 February 2013.
- ↑ Judge TA, Bono JE (October 2000). "Five-factor model of personality and transformational leadership". The Journal of Applied Psychology. 85 (5): 751–65. doi:10.1037/0021-9010.85.5.751. PMID 11055147.
- ↑ Lim BC, Ployhart RE (August 2004). "Transformational leadership: relations to the five-factor model and team performance in typical and maximum contexts". The Journal of Applied Psychology. 89 (4): 610–21. doi:10.1037/0021-9010.89.4.610. PMID 15327348.
- ↑ 46.0 46.1 46.2 Jeronimus BF, Riese H, Sanderman R, Ormel J (October 2014). "Mutual reinforcement between neuroticism and life experiences: a five-wave, 16-year study to test reciprocal causation". Journal of Personality and Social Psychology. 107 (4): 751–64. doi:10.1037/a0037009. PMID 25111305.
- ↑ 47.0 47.1 Norris CJ, Larsen JT, Cacioppo JT (September 2007). "Neuroticism is associated with larger and more prolonged electrodermal responses to emotionally evocative pictures" (PDF). Psychophysiology. 44 (5): 823–26. doi:10.1111/j.1469-8986.2007.00551.x. PMID 17596178.
- ↑ Fiske, ST; Gilbert, DT; Lindzey, G (2009). Handbook of Social Psychology. Hoboken, NJ: Wiley.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ "Neuroticism Modifies Psychophysiological Responses to Fearful Films". PLOS ONE. 7 (3): e32413. 2012. doi:10.1371/journal.pone.0032413.
- ↑ 50.0 50.1 Jeronimus BF, Ormel J, Aleman A, Penninx BW, Riese H (November 2013). "Negative and positive life events are associated with small but lasting change in neuroticism". Psychological Medicine. 43 (11): 2403–15. doi:10.1017/s0033291713000159. PMID 23410535. S2CID 43717734.
- ↑ Dolan, SL. Stress, Self-Esteem, Health and Work. p. 76.
- ↑ Strack, S. (2006). Differentiating Normal and Abnormal Personality: Second Edition. New York, NY: Springer Publishing Company.
- ↑ Allport GW, Odbert HS (1936). "Trait names: A psycholexical study". Psychological Monographs. 47: 211. doi:10.1037/h0093360.
- ↑ Boyle, G. J. (1983). "Effects on academic learning of manipulating emotional states and motivational dynamics". British Journal of Educational Psychology. 53: 347–357. doi:10.1111/j.2044-8279.1983.tb02567.x.
- ↑ Epstein S, O'Brien EJ (November 1985). "The person-situation debate in historical and current perspective". Psychological Bulletin. 98 (3): 513–37. doi:10.1037/0033-2909.98.3.513. PMID 4080897.
- ↑ Kenrick DT, Funder DC (January 1988). "Profiting from controversy. Lessons from the person-situation debate". The American Psychologist. 43 (1): 23–34. doi:10.1037/0003-066x.43.1.23. PMID 3279875.
- ↑ Lucas RE, Donnellan MB (2009). "If the person-situation debate is really over, why does it still generate so much negative affect?". Journal of Research in Personality. 43 (3): 146–49. doi:10.1016/j.jrp.2009.02.009.
- ↑ Eysenck MW, Eysenck JS (1980). "Mischel and the concept of personality". British Journal of Psychology. 71 (2): 191–204. doi:10.1111/j.2044-8295.1980.tb01737.x.
- ↑ Goldberg LR (1981). "Language and individual differences: The search for universals in personality lexicons". ใน Wheeler (บ.ก.). Review of Personality and social psychology. Vol. 1. Beverly Hills, CA: Sage. pp. 141–65.แม่แบบ:ISBN?
- ↑ Goldberg, L. R. (1980, May). Some ruminations about the structure of individual differences: Developing a common lexicon for the major characteristics of human personality. Symposium presentation at the meeting of the Western Psychological Association, Honolulu, HI.
- ↑ SHL, SHL (1984). "OPQ Manual".
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help) - ↑ 62.0 62.1 62.2 Boyle GJ, Stankov L, Cattell RB (1995). "Measurement and statistical models in the study of personality and intelligence". ใน Saklofske DH, Zeidner M (บ.ก.). International Handbook of Personality and Intelligence. pp. 417–46.แม่แบบ:ISBN?
- ↑ Jang KL, Livesley WJ, Vernon PA (September 1996). "Heritability of the big five personality dimensions and their facets: a twin study". Journal of Personality. 64 (3): 577–91. doi:10.1111/j.1467-6494.1996.tb00522.x. PMID 8776880.
- ↑ Bouchard TJ, McGue M (January 2003). "Genetic and environmental influences on human psychological differences". Journal of Neurobiology. 54 (1): 4–45. doi:10.1002/neu.10160. PMID 12486697.
- ↑ 65.00 65.01 65.02 65.03 65.04 65.05 65.06 65.07 65.08 65.09 65.10 Markey PM, Markey CN, Tinsley BJ (April 2004). "Children's behavioral manifestations of the five-factor model of personality". Personality & Social Psychology Bulletin. 30 (4): 423–32. doi:10.1177/0146167203261886. PMID 15070472. S2CID 33684001.
- ↑ 66.0 66.1 66.2 66.3 66.4 66.5 66.6 66.7 Rothbart, M. K.; Ahadi, S. A.; Evans, D. E. (2000). "Children's behavioral manifestations of the five-factor model of personality". Journal of Personality and Social Psychology. 78 (1): 122–135. doi:10.1037/0022-3514.78.1.122.
- ↑ 67.00 67.01 67.02 67.03 67.04 67.05 67.06 67.07 67.08 67.09 67.10 67.11 67.12 67.13 67.14 67.15 67.16 67.17 67.18 67.19 67.20 Shiner, R.; Caspi, A. (2003). "Personality differences in childhood and adolescence: Measurement, development, and consequences". Journal of Child Psychology and Psychiatry. 44 (1): 2–32. doi:10.1111/1469-7610.00101. PMID 12553411.
- ↑ Lewis, M (2001). "Issues in the study of personality development". Psychological Inquiry. 12: 67–83. doi:10.1207/s15327965pli1202_02.
- ↑ McCrae, R.R.; Costa, P.T.; Ostendorf, F.; Angleitner, A.; Hrebickova, M.; Avia, M.D.; Sanz, J.; Sanchez- Bernardos, M.L. (2000). "Nature over nurture: Tem- perament, personality, and life span development". Journal of Personality and Social Psychology. 78: 173–186. doi:10.1037/0022-3514.78.1.173. PMID 10653513.
- ↑ 70.0 70.1 Goldberg LR (2001). "Analyses of Digman's child- personality data: Derivation of Big Five Factor Scores from each of six samples". Journal of Personality. 69 (5): 709–43. doi:10.1111/1467-6494.695161. PMID 11575511.
- ↑ Mervielde I, De Fruyt F (1999). "Construction of the Hierarchical Personality Inventory for Children (Hi- PIC).". ใน Mervielde ID, De Fruyt F, Ostendorf F (บ.ก.). Personality psychology in Europe: Proceedings of the Eighth European Conference on Personality. Tilburg University Press. pp. 107–27.
- ↑ Resing WC, Bleichrodt N, Dekker PH (1999). "Measuring personality traits in the classroom" (PDF). European Journal of Personality. 13 (6): 493–509. doi:10.1002/(sici)1099-0984(199911/12)13:6<493::aid-per355>3.0.co;2-v. hdl:1871/18675. S2CID 56322465.
- ↑ Markey, P. M.; Markey, C. N.; Ericksen, A. J.; Tinsley, B. J. (2002). "A preliminary validation of preadolescents' self-reports using the Five-Factor Model of personality". Journal of Research in Personality. 36 (2): 173–181. doi:10.1006/jrpe.2001.2341.
- ↑ Scholte, R.H.J.; van Aken, M.A.G.; van Lieshout, C.F.M. (1997). "Adolescent personality factors in self- ratings and peer nominations and their prediction of peer acceptance and peer rejection". Journal of Personality Assessment. 69: 534–554. doi:10.1207/s15327752jpa6903_8.
- ↑ 75.0 75.1 75.2 75.3 van Lieshout CF, Haselager GJ (1994). "The Big Five personality factors in Q-sort descriptions of children and adolescents.". ใน Halverson CF, Kohnstamm GA, Martin RP (บ.ก.). The developing structure of temperament and personality from infancy to adulthood. Hillsdale NJ: Erlbaum. pp. 293–318.
- ↑ 76.0 76.1 76.2 Kohnstamm GA, Halverson Jr CF, Mervielde I, Havill VL, บ.ก. (1998). Parental descriptions of child personality: Developmental antecedents of the Big Five?. Psychology Press.แม่แบบ:ISBN?[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ Mervielde I, De Fruyt F, Jarmuz S (May 1998). "Linking openness and intellect in childhood and adulthood.". ใน Kohnstamm GA, Halverson CF, Mervielde I, Havill VL (บ.ก.). Parental descriptions of child personality: Developmental antecedents of the Big Five. Mahway, NJ: Erlbaum. pp. 105–26. ISBN 9780805823011.
- ↑ John OP, Srivastava S (1999). "The Big-Five trait taxonomy: history, measurement, and theoretical perspectives" (PDF). ใน Pervin LA, John OP (บ.ก.). Handbook of personality: Theory and research. Vol. 2. New York: Guilford Press. pp. 102–38.
- ↑ Lemery, K.S.; Goldsmith, H.H.; Klinnert, M.D.; Mrazek, D.A. (1999). "Developmental models of infant and childhood temperament". Developmental Psychology. 35: 189–204. doi:10.1037/0012-1649.35.1.189.
- ↑ Rothbart, M.K.; Ahadi, S.A.; Hershey, K.L.; Fisher, P. (2001). "Investigations of temperament at three to seven years: The Children's Behavior Questionnaire". Child Development. 72: 1394–1408. doi:10.1111/1467-8624.00355.
- ↑ John, O.P.; Caspi, A.; Robins, R.W.; Moffitt, T.E.; Stouthamer-Loeber, M. (1994). "The 'Little Five': Exploring the five-factor model of personality in adolescent boys". Child Development. 65: 160–178. doi:10.2307/1131373.
- ↑ Eaton WO (1994). "Temperament, development, and the Five-Factor Model: Lessons from activity level". ใน Halverson CF, Kohnstamm GA, Martin RP (บ.ก.). The developing structure of temperament and personality from infancy to adulthood. Hillsdale, NJ: Erlbaum. pp. 173–87.
- ↑ Hawley, P.H. (1999). "The ontogenesis of social domin- ance: A strategy-based evolutionary perspective". Developmental Review. 19: 97–132. doi:10.1006/drev.1998.0470.
- ↑ Hawley, P.H.; Little, T.D. (1999). "On winning some and losing some: A social relations approach to social dominance in toddlers". Merrill Palmer Quarterly. 45: 185–214.
- ↑
Sherif, M; Harvey, O; White, BJ; Hood, WR; Sherif, C (1961). Intergroup conflict and cooperation: The robbers’ cave experiment. Norman, OK: University of Oklahoma Press.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Keating, C.F.; Heltman, K.R. (1994). "Dominance and deception in children and adults: Are leaders the best misleaders?". Personality and Social Psychology Bulletin. 20: 312–321. doi:10.1177/0146167294203009.
- ↑ Asendorpf, J.B. (1990). "Development of inhibition during childhood: Evidence for situational specificity and a two-factor model". Developmental Psychology. 26: 721–730. doi:10.1037/0012-1649.26.5.721.
- ↑ Asendorpf, J.B.; Meier, G.H. (1993). "Personality effects on children's speech in everyday life: Sociability-mediated exposure and shyness-mediated re- activity to social situations". Journal of Personality and Social Psychology. 64: 1072–1083. doi:10.1037/0022-3514.64.6.1072.
- ↑ Harrist, A.W.; Zaia, A.F.; Bates, J.E.; Dodge, K.A.; Pettit, G.S. (1997). "Subtypes of social withdrawal in early childhood: Sociometric status and social-cognitive differences across four years". Child Development. 68: 278–294. doi:10.2307/1131850.
- ↑ Mathiesen, K.S.; Tambe, K. (1999). "The EAS Temperament Questionnaire - Factor structure, age trends, reliability, and stability in a Norwegian sample". Journal of Child Psychology and Psychiatry. 40: 431–439. doi:10.1111/1469-7610.00460.
- ↑ McCrae, RR; Costa, PT (1990). Personality in adulthood. New York: The Guildford Press.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Cobb-Clark, D. A.; Schurer, S. (2012). "The stability of big-five personality traits". Economics Letters. 115 (2): 11–15. doi:10.1016/2011.11.015.
- ↑ Srivastava, S.; John, O. P.; Gosling, S. D.; Potter, J. (2003). "Development of personality in early and middle adulthood: Set like plaster or persistent change?". Journal of Personality and Social Psychology. 84 (5): 1041–1053. doi:10.1037/0022-3514.84.5.1041. PMID 12757147.
- ↑ Soto CJ, John OP, Gosling SD, Potter J (February 2011). "Age differences in personality traits from 10 to 65: Big Five domains and facets in a large cross-sectional sample". Journal of Personality and Social Psychology. 100 (2): 330–48. doi:10.1037/a0021717. PMID 21171787.
- ↑ Roberts BW, Mroczek D (February 2008). "Personality Trait Change in Adulthood". Current Directions in Psychological Science. 17 (1): 31–35. doi:10.1111/j.1467-8721.2008.00543.x. PMC 2743415. PMID 19756219.
- ↑ Fleeson W (2001). "Towards a structure- and process-integrated view of personality: Traits as density distributions of states". Journal of Personality and Social Psychology. 80 (6): 1011–27. doi:10.1037/0022-3514.80.6.1011. PMID 11414368.
- ↑ Mõttus R, Johnson W, Starr JM, Dearya IJ (June 2012). "Correlates of personality trait levels and their changes in very old age: The Lothian Birth Cohort 1921" (PDF). Journal of Research in Personality. 46 (3): 271–78. doi:10.1016/j.jrp.2012.02.004. hdl:20.500.11820/b6b6961d-902f-48e0-bf25-f505a659a056.
- ↑ Cobb-Clark DA, Schurer S (2012). "The stability of big-five personality traits" (PDF). Economics Letters. 115 (2): 11–15. doi:10.1016/j.econlet.2011.11.015. S2CID 12086995.
- ↑ "A longitudinal study of the relationship between personality traits and the annual rate of volume changes in regional gray matter in healthy adults". Hum Brain Mapp. 34 (12): 3347–53. Dec 2013. doi:10.1002/hbm.22145. PMID 22807062.
- ↑ DeYoung, Colin G.; Hirsh, Jacob B.; Shane, Matthew S.; Papademetris, Xenophon; Rajeevan, Nallakkandi; Gray, Jeremy R. (2010). "Testing Predictions From Personality Neuroscience: Brain Structure and the Big Five". Psychological Science. 21 (6): 820–828. doi:10.1177/0956797610370159. ISSN 0956-7976. JSTOR 41062296. PMC 3049165. PMID 20435951.
- ↑ Cavallera, G.; Passerini, A.; Pepe, A. (2013). "Personality and gender in swimmers in indoor practice at leisure level". Social Behaviour and Personality. 41 (4): 693–704. doi:10.2224/2013414693.
- ↑ 102.0 102.1 Costa, P.T. Jr.; Terracciano, A.; McCrae, R.R. (2001). "Gender Differences in Personality Traits Across Cultures: Robust and Surprising Findings". Journal of Personality and Social Psychology. 81 (2): 322–331. doi:10.1037/0022-3514.81.2.322. PMID 11519935.
- ↑ 103.0 103.1 Schmitt, D. P.; Realo, A.; Voracek, M.; Allik, J. (2008). "Why can't a man be more like a woman? Sex differences in Big Five personality traits across 55 cultures". Journal of Personality and Social Psychology. 94 (1): 168–182. doi:10.1037/0022-3514.94.1.168. PMID 18179326.
- ↑
Harris, JR (2006). No two alike: Human nature and human individuality. WW Norton & Company.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Jefferson, T.; Herbst, J. H.; McCrae, R. R. (1998). "Associations between birth order and personality traits: Evidence from self-reports and observer ratings". Journal of Research in Personality. 32 (4): 498–509. doi:10.1006/jrpe.1998.2233.
- ↑ Ostendorf, F (1990). Sprache und Persoenlichkeitsstruktur: Zur Validitaet des Funf-Factoren-Modells der Persoenlichkeit. Regensburg, Germany: S. Roderer Verlag.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ Trull TJ; Geary DC (October 1997). "Comparison of the big-five factor structure across samples of Chinese and American adults". Journal of Personality Assessment. 69 (2): 324–41. doi:10.1207/s15327752jpa6902_6. PMID 9392894.
- ↑ Lodhi PH, Deo S, Belhekar VM (2002). "The Five-Factor model of personality in Indian context: measurement and correlates.". ใน McCrae RR, Allik J (บ.ก.). The Five-Factor model of personality across cultures. New York: Kluwer Academic Publisher. pp. 227–48.
- ↑ McCrae RR (2002). "NEO-PI-R data from 36 cultures: Further Intercultural comparisons.". ใน McCrae RR, Allik J (บ.ก.). The Five-Factor model of personality across cultures. New York: Kluwer Academic Publisher. pp. 105–25.
- ↑ 110.0 110.1 Thompson, E.R. (2008). "Development and validation of an international English big-five mini-markers". Personality and Individual Differences. 45 (6): 542–548. doi:10.1016/j.paid.2008.06.013.
- ↑ Cheung, F. M.; Vijver, F. J. R. van de; Leong, F. T. L. (2011). "Toward a new approach to the study of personality in culture". American Psychologist. 66: 593–603. doi:10.1037/a0022389. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-18. สืบค้นเมื่อ 2016-03-28.
- ↑ McCrae RR, Terracciano A (September 2005). "Personality profiles of cultures: aggregate personality traits" (PDF). Journal of Personality and Social Psychology. 89 (3): 407–25. doi:10.1037/0022-3514.89.3.407. PMID 16248722.
- ↑ Szirmak, Z.; De Raad, B. (1994). "Taxonomy and structure of Hungarian personality traits". European Journal of Personality. 8 (2): 95–117. doi:10.1002/per.2410080203.
- ↑ 114.0 114.1 114.2 De Fruyt, F.; McCrae, R. R.; Szirmák, Z.; Nagy, J. (2004). "The Five-Factor personality inventory as a measure of the Five-Factor Model: Belgian, American, and Hungarian comparisons with the NEO-PI-R". Assessment. 11 (3): 207–215. doi:10.1177/1073191104265800. PMID 15358876.
- ↑ Widiger, TA; Costa, PT Jr (2002). Costa, Paul T Jr; Widiger, Thomas A (บ.ก.). Five-Factor model personality disorder research. Personality disorders and the five-factor model of personality (2nd ed.). Washington, DC, US: American Psychological Association. pp. 59–87.
- ↑ Mullins-Sweatt SN, Widiger TA (2006). "The five-factor model of personality disorder: A translation across science and practice.". ใน Krueger R, Tackett J (บ.ก.). Personality and psychopathology: Building bridges. New York: Guilford. pp. 39–70.แม่แบบ:ISBN?
- ↑ Clark, LA (2007). "Assessment and diagnosis of personality disorder: Perennial issues and an emerging reconceptualization". Annual Review of Psychology. 58: 227-257 (246).
the five-factor model of personality is widely accepted as representing the higher-order structure of both normal and abnormal personality traits
- ↑ Bagby RM, Sellbom M, Costa PT, Widiger TA (April 2008). "PredictingDiagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders-IV personality disorders with the five-factor model of personality and the personality psychopathology five". Personality and Mental Health. 2 (2): 55–69. doi:10.1002/pmh.33.
- ↑ Saulsman, LM; Page, AC (2004). "The five-factor model and personality disorder empirical literature: A meta-analytic review". Clinical Psychology Review. Elsevier Science.
- ↑ 120.0 120.1 Kessler, R; Chiu, W; Demler, O; Merikangas, K; Walters, E (2005). "Prevalence, severity, and comorbidity of 12-month DSM-IV disorders in the National Comorbidity Survey Replication". Archives of General Psychiatry. 62: 617–627. doi:10.1001/archpsyc.62.6.617.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑
Compton, W; Conway, K; Stinson, F; Colliver, J; Grant, B (2005). "Prevalence, correlates, and comorbidity of DSM-IV antisocial personality syndromes and alcohol and specific drug use disorders in the United States: Results from the national epidemiologic survey on alcohol and related conditions". Journal of Clinical Psychiatry, 66, 677-685.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑
Hasin, D; Goodwin, R; Stinson, F; Grant, B (2005). "Epidemiology of major depressive disorder: results from the National Epidemiologic Survey on Alcoholism and Related Conditions". Archives of General Psychiatry. 62: 1097–1106. doi:10.1001/archpsyc.62.10.1097.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑
Khan, A; Jacobson, K; Gardner, C; Prescott, C; Kendler, K (2005). "Personality and comorbidity of common psychiatric disorders". British Journal of Psychiatry, 186, 190-196.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑
Cuijpers, P; Smit, F; Pennix, B; de Graaf, R; Have, M; Beekman, A (2010). "Economic costs of neuroticism". Archives of General Psychiatry. 67: 1086–1093. doi:10.1001/archgenpsychiatry.2010.130.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 125.0 125.1 125.2 125.3 125.4 125.5 125.6 Kotov, R; Gamez, W; Schmidt, F; Watson, D (2010). "Linking "big" personality traits to anxiety, depressive, and substance use disorders: a meta-analysis". Psychological Bulletin. 136: 768–821.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑
Bogg, T; Roberts, B (2004). "Conscientiousness and health-related behaviors: a meta-analysis of the leading behavioral contributors to mortality". Psychological Bulletin. 130: 887-919.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑
Roberts, B; Kuncel, N; Shiner, R; Caspi, A; Goldberg, L (2007). "The power of personality: The comparative validity of per- sonality traits, socioeconomic status, and cognitive ability for pre- dicting important life outcomes". Perspectives on Psychological Science. 2: 313–345.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Livesley, W. (2001). Handbook of Personality Disorders. pp. 84–104.
- ↑ 129.0 129.1 129.2 129.3 Ormel, J; Jeronimus, B; Kotov, R; Riese, H; Bos, E; Hankin, B; Rosmalen, J; Oldehinkel, A (2013). "Neuroticism and common mental disorders: Meaning and utility of a complex relationship". Clinical Psychological Review, 33, 686-697.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 130.0 130.1 130.2 130.3 130.4 130.5 Millon, T; Krueger, R; Simonsen, E (2011). Contemporary Directions in Psychopathology: Scientific Foundations of the DSM-IV and ICD-11. Guilford Press.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 131.0 131.1 131.2 131.3 Krueger, R; Tackett, L (2006). Personality and Psychopathology. Guilford Press.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ De Bolle, M; Beyers, W; De Clercq, B; De Fruyt, F (2012). "General personality and psychopathology in referred and nonreferred children and adolescents: An investigation of continuity, pathoplasty, and complication models". Journal of Abnormal Psychology, 121, 958-970.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 133.0 133.1 133.2 133.3 133.4 133.5 133.6 Komarraju, M.; Karau, S. J.; Schmeck, R. R.; Avdic, A. (2011). "The big five personality traits, learning styles, and academic achievement". Personality and Individual Differences. 51 (4): 472–477. doi:10.1016/j.paid.2011.04.019.Full Article PDF (221 KB)
- ↑ Singh, A. K. (2012). "Does trait predict psychological well-being among students of professional courses?". Journal of the Indian Academy of Applied Psychology. 38 (2): 234–241.
- ↑ Klimstra, T. (2012). "Personality traits and educational identity formation in late adolescents: Longitudinal associations and academic progress". Journal of Youth and Adolescence. 41: 341–356.
- ↑ Zhang, Li-fang (2001-09-06). "Measuring thinking styles in addition to measuring personality traits?". Personality and Individual Differences. 33: 445–458. doi:10.1016/s0191-8869(01)00166-0.
- ↑ 137.0 137.1 Klimstra TA, Luyckx K, Germeijs V, Meeus WH, Goossens L (March 2012). "Personality traits and educational identity formation in late adolescents: longitudinal associations and academic progress" (PDF). Journal of Youth and Adolescence. 41 (3): 346–61. doi:10.1007/s10964-011-9734-7. PMID 22147120. S2CID 33747401.
- ↑ De Feyter, Tim; Caers, Ralf; Vigna, Claudia; Berings, Dries (2012-03-22). "Unraveling the impact of the Big Five personality traits on academic performance: The moderating and mediating effects of self-efficacy and academic motivation". Learning and Individual Differences. 22: 439–448. doi:10.1016/j.lindif.2012.03.013.
- ↑ Pashler H, McDaniel M, Rohrer D, Bjork R (December 2008). "Learning Styles: Concepts and Evidence". Psychological Science in the Public Interest. 9 (3): 105–19. doi:10.1111/j.1539-6053.2009.01038.x. PMID 26162104.
- ↑ Mount, M. K.; Barrick, M. R. (1998). "Five reasons why the "big five" article has been frequently cited". Personnel Psychology. 51 (4): 849–857. doi:10.1111/j.1744-6570.1998.tb00743.x.
- ↑ Morgeson, F. P.; Campion, M. A.; Dipboye, R. L.; Hollenbeck, J. R.; Murphy, K.; Schmitt, N. (2007). "Reconsidering the use of personality tests in personnel selection contexts". Personnel Psychology. 60: 683–729. doi:10.1111/j.1744-6570.2007.00089.x.
- ↑ Mischel, Walter (1968). Personality and Assessment. London.
- ↑ Rosenthal, R. (1990). "How are we doing in soft psychology?". American Psychologist. 45: 775–777. doi:10.1037/0003-066x.45.6.775.
- ↑ Hunter, J. E.; Schmidt, F. L.; Judiesch, M. K. (1990). "Individual differences in output variability as a function of job complexity". Journal of Applied Psychology. 75: 28–42. doi:10.1037/0021-9010.75.1.28.
- ↑ Fairweather, J. (2012). "Personality, nations, and innovation: Relationships between personality traits and national innovation scores". Cross-Cultural Research: The Journal of Comparative Social Science. 46: 3–30.
- ↑ "Executive Coaching and Leadership Consulting" (PDF). Working Resources. สืบค้นเมื่อ 2011-04-07.
- ↑ Mehta, Penkak (2012). "Personality as a predictor of burnout among managers of manufacturing industries.". Journal of the Indian Academy of Applied Psychology. 32: 321–328.
- ↑ Judge, T.; Livingston, BA; Hurst, C (2012). "Do nice guys—and gals—really finish last? The joint effects of sex and agreeableness on income". Journal of Personality and Social Psychology. 102 (2): 390–407. doi:10.1037/a0026021. PMID 22121889.
- ↑ Weiss, A; King, JE; Hopkins, WD (2007). "A Cross-Setting Study of Chimpanzee (Pan troglodytes) Personality Structure and Development: Zoological Parks and Yerkes National Primate Research Center". American Journal of Primatology. 69 (11): 1264–77. doi:10.1002/ajp.20428. PMC 2654334. PMID 17397036.
- ↑ Gosling, S. D., & John, O. P. (1999). "Personality Dimensions in Nonhuman Animals: A Cross-Species Review" (PDF). Current Directions in Psychological Science. 8 (3): 69–75. doi:10.1111/1467-8721.00017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-08-15. สืบค้นเมื่อ 2016-03-28.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ "International Personality Item Pool". IPIP. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-02-28.
- ↑ Gosling, Samuel D; Rentfrow, Peter J; Swann, William B (2003). "A very brief measure of the Big-Five personality domains". Journal of Research in Personality. 37 (6): 504–528. doi:10.1016/S0092-6566(03)00046-1. ISSN 0092-6566.
- ↑ 153.0 153.1 Goldberg, L. R. (1992). "The development of markers for the Big-five factor structure". Psychological Assessment. 4 (1): 26–42. doi:10.1037/1040-3590.4.1.26.Full Article PDF (2.47 MB)
- ↑ 154.0 154.1 Donaldson, Stewart I.; Grant-Vallone, Elisa J. (2002). "Understanding self-report bias in organizational behavior research". Journal of Business and Psychology. 17 (2): 245–260. doi:10.1023/A:1019637632584. JSTOR 25092818.
- ↑ 155.0 155.1 Hirsh JB, Peterson JB (October 2008). "Predicting creativity and academic success with a 'Fake-Proof' measure of the Big Five". Journal of Research in Personality. 42 (5): 1323–33. doi:10.1016/j.jrp.2008.04.006. S2CID 18849547.
- ↑ Gosling, Samuel D; Rentfrow, Peter J; Swann, William B (2003). "A very brief measure of the Big-Five personality domains". Journal of Research in Personality. 37 (6): 504–28. doi:10.1016/S0092-6566(03)00046-1.
- ↑ Harms, P. (2012). "An evaluation of the consequences of using short measures of the Big Five personality traits". Journal of Personality and Social Psychology. 102: 874–888. doi:10.1037/a0027403.
- ↑ Goldberg, L. R. (1990). "An alternative "description of personality": The big-five factor structure". Journal of Personality and Social Psychology. 59 (6): 1216–1229. doi:10.1037/0022-3514.59.6.1216. PMID 2283588.Full Article PDF (1.71 MB)
- ↑ "Big Five Tests with Weaknesses". สืบค้นเมื่อ 2016-03-28.
- ↑ Schwartz, H. Andrew; Eichstaedt, Johannes C.; Kern, Margaret L.; Dziurzynski, Lukasz; Ramones, Stephanie M.; Agrawal, Megha; Shah, Achal; Kosinski, Michal; Stillwell, David; Seligman, Martin E. P.; Ungar, Lyle H. (2013). "Personality, gender, and age in the language of social media: the open-vocabulary approach". PLOS ONE. 8 (9): e73791. doi:10.1371/journal.pone.0073791. PMC 3783449. PMID 24086296.
- ↑ Block J (March 1995). "A contrarian view of the five-factor approach to personality description". Psychological Bulletin. 117 (2): 187–215. doi:10.1037/0033-2909.117.2.187. PMID 7724687.
- ↑ Eysenck HJ (1991). "Dimensions of personality: 16, 5, 3?". Personality and Individual Differences. 12 (8): 773–90. doi:10.1016/0191-8869(91)90144-z.
- ↑ Eysenck HJ (1992). "Four ways five factors are not basic". Personality and Individual Differences. 13 (6): 667–73. doi:10.1016/0191-8869(92)90237-j.
- ↑ Cattell RB (May 1995). "The fallacy of five factors in the personality sphere". The Psychologist: 207–08.
- ↑ Block, J (1995b). "Going beyond the five factors given: Rejoinder to Costa and McCrae and Goldberg and Saucier". Psychological Bulletin. 117: 226–229. doi:10.1037/0033-2909.117.2.226.
- ↑ Block, J (2001). "Millennial contrarianism". Journal of Research in Personality. 35: 98–107. doi:10.1006/jrpe.2000.2293.
- ↑ Block, J (2010). "The Five-Factor framing of personality and beyond: Some ruminations". Psychological Inquiry. 21: 2–25. doi:10.1080/10478401003596626.
- ↑ Costa, P. T.; McCrae, R. R. (1995). "Solid ground in the wetlands of personality: A reply to Block". Psychological Bulletin. 117 (2): 216–220. doi:10.1037/0033-2909.117.2.216.
- ↑ Boyle GJ (2008). "Critique of Five-Factor Model (FFM).". ใน Boyle GJ, Matthews G, Saklofske DH (บ.ก.). The Sage handbook of personality theory and assessment, Vol. 1 – Personality theories and models. Los Angeles, CA: Sage. ISBN 978-1-4129-4651-3.
- ↑ Cattell RB, Boyle GJ, Chant D (2002). "The enriched behavioral prediction equation and its impact on structured learning and the dynamic calculus". Psychological Review (Submitted manuscript). 109 (1): 202–05. doi:10.1037/0033-295x.109.1.202. PMID 11863038. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-23. สืบค้นเมื่อ 2018-10-25.
- ↑ Schacter, Gilbert, Wegner (2011). Psychology (2nd ed.). Worth. pp. 474–475.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Piekkola, B (2011). "Traits across cultures: A neo-Allportian perspective". Journal of Theoretical and Philosophical Psychology. 31: 2–24. doi:10.1037/a0022478.
- ↑ Paunonen, Sampo V; Jackson, Douglas N (2000). "What Is Beyond the Big Five? Plenty!" (PDF). Journal of Personality. 68 (2000–10): 821–835. doi:10.1111/1467-6494.00117. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-02-14. สืบค้นเมื่อ 2016-03-28.
- ↑ Paunonen, S.V.; Haddock, G.; Forsterling, F.; Keinonen, M. (2003). "Broad versus Narrow Personality Measures and the Prediction of Behaviour Across Cultures". European Journal of Personality. 17: 413–433. doi:10.1002/per.496.
- ↑ McAdams, D. P. (1995). "What do we know when we know a person?". Journal of Personality. 63 (3): 365–396. doi:10.1111/j.1467-6494.1995.tb00500.x.
- ↑ Musek, Janet (2007). "A general factor of personality: Evidence for the Big One in the five-factor model". Journal of Research in Personality. 41: 1213–1233. doi:10.1016/j.jrp.2007.02.003.
- ↑ van der Linden, Dimitri; te Nijenhuis, J.; Bakker, A.B. (2010). "The General Factor of Personality: A meta-analysis of Big Five intercorrelations and a criterion-related validity study" (PDF). Journal of Research in Personality. 44: 315–327. doi:10.1016/j.jrp.2010.03.003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-07-11. สืบค้นเมื่อ 2016-03-28.
- ↑ 178.0 178.1 Eysenck, Hans J (1992). "Four ways five factors are not basic" (PDF). Personality and Individual Differences. 13 (8): 667–673. doi:10.1016/0191-8869(92)90237-j. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-11-07. สืบค้นเมื่อ 2016-03-28.
- ↑ Costa, Paul T; McRae, Robert R (1992). "Reply to Eysenck". Personality and Individual Differences. 13 (8): 861–865. doi:10.1016/0191-8869(92)90002-7.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Block, Jack (2010). "The five-factor framing of personality and beyond: Some ruminations". Psychological Inquiry. 21 (1): 2–25. doi:10.1080/10478401003596626.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- International Personality Item Pool, public domain list of items keyed to the big five personality traits.
- Selection from the "Handbook of personality: Theory and research" for researchers
- Video YouTube video showing the distribution of the Big Five personality traits on a world map.
- Video YouTube video showing the history and statistics of the Big Five personality test.
- Regional Personality Differences in Great Britain
- CS1 maint: uses authors parameter
- บทความวิกิพีเดียที่ต้องการอ้างอิงหมายเลขหน้าตั้งแต่November 2014
- บทความวิกิพีเดียที่ต้องการอ้างอิงหมายเลขหน้าตั้งแต่June 2021
- บทความวิกิพีเดียที่ต้องการอ้างอิงหมายเลขหน้าตั้งแต่2014-11
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่2011-10
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่2014-11
- ลักษณะบุคลิกภาพ