ข้ามไปเนื้อหา

วันลอยกระทง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก ลอยกระทง)
วันลอยกระทง
เทศกาลลอยกระทงที่จังหวัดเชียงใหม่
จัดขึ้นโดยประเทศไทย[1], ประเทศลาว (ในฐานะบุญธาตุหลวง), ประเทศมาเลเซียตอนบน, รัฐชานในประเทศพม่า และสิบสองปันนาในประเทศจีน
ประเทศพม่า (ในฐานะ เทศกาลตาซองได), ประเทศศรีลังกา (ในฐานะ Il Poya), ประเทศจีน (ในฐานะ เทศกาลโคมไฟ)
ประเภทการสะเดาะเคราะห์, การขอขมา, การบูชา
ความสำคัญบูชารอยพระพุทธบาทและขอขมาพระแม่คงคา, บูชาเจดีย์พระเกศาพระพุทธเจ้าในสวรรค์[2]
วันที่ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย
ความถี่ทุกปี
ส่วนเกี่ยวข้องเทศกาลตาซองได (พม่า)
Il Poya (ศรีลังกา)
เทศกาลไหว้พระจันทร์ (จีน)

วันลอยกระทง เป็นเทศกาลของกลุ่มชาติพันธุ์ไทตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งประเทศไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคาซึ่งเป็นเทวดาในคติฮินดู แต่เทศกาลนี้มีร่องรอยหลักฐานย้อนไปถึงจีนและอินเดียโบราณ[3][4]

ในประเทศไทยมีชื่อเรียกว่าลอยกระทง ส่วนประเทศอื่น ๆ มีชื่อเรียกแตกต่างกัน โดยประเทศพม่ามีชื่อว่า "เทศกาลตาซองได", ประเทศศรีลังกามีชื่อว่า "Il Full Moon Poya" และประเทศจีนมีชื่อว่า "เทศกาลโคมไฟ"[5][6][7][8][9]

ศัพทมูลวิทยา

[แก้]

รายงานจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 คำว่า ลอย หมายถึง 'อยู่บนผิวน้ำ' ส่วน กระทง มีหลายความหมาย หนึ่งในนั้นคือ 'ภาชนะเย็บด้วยใบตองหรือใบไม้ที่สามารถลอยบนน้ำในช่วงเทศกาลลอยกระทง' มากไปกว่านั้น สำนักงานราชบัณฑิตยสภารายงานคำว่า กระทง มีที่มาจากคำในภาษาจีนเก่าว่า หรือ (/*k-tˤəŋ/) ซึ่งหมายถึงภาชนะพิธีกรรมหรือโคมไฟ[10][11][12][13][14][15]

วันลอยกระทงในปฏิทินสุริยคติ

[แก้]
ปี วันที่ วันที่ วันที่
ปีชวด 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563
ปีฉลู 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564
ปีขาล 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565
ปีเถาะ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566
ปีมะโรง 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
ปีมะเส็ง 31 ตุลาคม พ.ศ. 2544 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ปีมะเมีย 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2569
ปีมะแม 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2570
ปีวอก 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2571
ปีระกา 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2572
ปีจอ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2573
ปีกุน 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2574

ประวัติ

[แก้]
พลุเฉลิมฉลองในเทศกาลวันลอยกระทงริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีโบราณของอินเดียที่ประเทศไทยรับเข้ามาปฏิบัติ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าทำกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่ปรากฏกล่าวได้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิษฐานว่า เดิมทีเดียวเห็นจะเป็นพิธีของพราหมณ์กระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้ถือตามแนวทางพระพุทธศาสนามีการปล่อยโคมลอยเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา (แม่น้ำนัมมทา เป็นแม่น้ำที่คู่ขนานกับทิวเขาวินธัย ไหลลงภาคตะวันตกของอินเดียแบ่งเขตอินเดียออกเป็นภาคเหนือและภาคใต้)

ตามเรื่องนางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กล่าวไว้ว่าในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง มีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป[ต้องการอ้างอิง] หนังสือเรื่องนี้ได้อ้างพระดำรัสของพระร่วงว่า[16][17]

"จึ่งมีพระราชบริหารบำหยัดสาปสรรว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงการกำหนด นักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระราชพิธีจองเปรียงแล้ว ก็ให้กระทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุทอุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน อันว่าโคมลอยรูปดอกกระมุทก็ปรากฏมาจนเท่าทุกวันนี้ แต่คำโลกสมมุติเปลี่ยนชื่อเรียกว่าลอยกระทงทรงประทีป เหตุดังนี้ข้าน้อยผู้ชื่อว่านพมาศก็ถึงซึ่งมีชื่อเสียงปรากฏอยู่ใน แผ่นดินได้อย่างหนึ่ง..."

— ท้าวศรีจุฬาลักษณ์, ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์

แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่าง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 1 จากนั้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้เปลี่ยนแปลงจากการทำจากดอกบัวเป็นต้นกล้วยเพราะดอกบัวดังกล่าวหายากและมีน้อย จึงใช้ต้นกล้วยทำแทนแล้วดูไม่สวยจึงใช้ใบตองมาพับแต่งจนสวยสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน[ต้องการอ้างอิง]

อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งเชื่อว่า ประเพณีลอยกระทง อาจมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่คนในภูมิภาคนี้นับถือศาสนาผี ที่คนไทจะนับถือผีฟ้า(แถน) ผีดิน ผีน้ำ ผีนา ผีป่า ผีบ้าน ผีเมือง ซึ่งดินแดนในแถบนี้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอินเดีย จึงน่าจะเปลี่ยนจากผีมาเป็นเทพ ผีฟ้าเป็นเทวดาชั้นฟ้า ผีดินเป็นพระแม่ธรณี ผีน้ำเป็นพระแม่คงคา ผีนาเป็นพระแม่โพสพ ผีป่าเป็นรุกขเทวดา ผีบ้านเป็นพระภูมิเจ้าที่ ผีเมืองเป็นพระสยามเทวาธิราช ซึ่งจะสังเกตได้ว่าทางอินเดียจะไม่มีการบูชาพระแม่คงคาแบบไท นั่นเพราะคนไทปกติก็บูชาผีน้ำกันอยู่แล้ว จึงเกิดการบูชาพระแม่คงคาขึ้น ซึ่งในวัฒนธรรมศาสนาผีแต่เดิม คนไทจะขอขมาผีดินและขอขมาผีน้ำ ที่ตนเองใช้สอยและขับถ่ายใส่ ซึ่งกระทงที่ใช้สมัยก่อนจะเป็นแค่กระทงสี่เหลี่ยมที่ใช้ใส่เครื่องเซ่นไหว้ผี และจึงเปลี่ยนมาเป็นกระทงแบบคล้ายดอกบัวแบบที่เห็นในปัจจุบันเพราะอิทธิพลพุทธศาสนาที่มีดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ เมื่ออิทธิพลจากศาสนาพุทธเข้ามา คนไทจึงเริ่มเปลี่ยนจากบูชาพระแม่คงคามาบูชารอยพระพุทธบาทตามศาสนาใหม่ที่ตนนับถือ[ต้องการอ้างอิง]

ส่วนประเพณียี่เป็งของทางล้านนา โคมไฟเป็นภูมิปัญญาของคนล้านนาในสมัยโบราณ ที่ประดิษฐ์ขึ้นในการป้องกันไฟไม่ให้ดับเมื่อโดนลมพัด ได้สร้างสรรค์จนเกิดเอกลักษณ์เฉพาะตนและรูปแบบต่างๆมากมาย ต่อมาได้กลายเป็นเครื่องบูชา ประดับประดาศาสนสถาน เช่น วัดวาอาราม เพื่อใช้บูชาพระพุทธเจ้า ซึ่งสมัยก่อนจะมีอยู่แค่ 5 สี ตามสีฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า ที่นอกจากประดับประดาเพื่อความสวยงาม และบูชาพระรัตนตรัยหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยังเชื่อกันว่า เมื่อภูติผีปีศาจเห็น จะคิดว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่ จะพากันรีบหนีไป ไม่กล้ามาทำอันตรายผู้คนอีก[ต้องการอ้างอิง]

ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น

[แก้]
โคมลอย
  • ภาคเหนือ นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวลม" หรือ "ว่าวไฟ" ทำจากผ้าบาง ๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบัลลูนประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า ยี่เป็ง หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่ (ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย) หรือโคมลอยบนน้ำรูปทรงต่าง ๆ
    • จังหวัดเชียงใหม่ มีประเพณี"ยี่เป็ง"เชียงใหม่ ในทุก ๆ ปีจะมีการจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา และมีการปล่อยโคมลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า
    • จังหวัดลำปาง มีประเพณี"ล่องสะเปา"(สะเปาหมายถึงกระทง) ซึ่งจะมีการประกวดอยู่สองวันด้วยกัน ได้แก่วันแรก"สะเปาน้ำ"จัดขึ้นในแม่น้ำวังและวันที่สองจะมี"สะเปาบก" ซึ่งการประกวดในที่นี้ จะมีตั้งแต่ระดับกลุ่มหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ โรงเรียน มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาต่าง ๆ รวมไปถึงหน่วยการของภาครัฐ แต่ละขบวนจะมีการแสดงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟ้อนรำ ดนตรีพื้นเมือง ความสวยงามของขบวน รวมไปถึงประกวดนางนพมาส ทั้งนี้ ชาวบ้านคนเมืองลำปาง ค่อนข้างให้ความสำคัญแก่ประเพณีล่องสะเปา เนื่องจากเป็นวันที่ทุกคนจะร่วมสนุกสนานครื้นเคร้ง พบปะเพื่อนฝูงที่กลับมาจากการทำงานในต่างจังหวัด และที่สำคัญเป็นเทศกาลกลางแจ้งที่จัดขึ้นท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายในทุก ๆ ปี
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในอดีตมีการเรียกประเพณีลอยกระทงในภาคอีสานว่า สิบสองเพ็ง หมายถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองซึ่งจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป เช่น
    • จังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็นตัวแทนจัดงานลอยกระทงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีชื่องานประเพณีว่า " สมมาน้ำคืนเพ็ง เส็งประทีป " ตามภาษาถิ่นมีความหมายถึงการขอขมาพระแม่คงคาในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ความพิเศษของงานมีการแสดง แสงสีเสียง ตำนานเมืองร้อยเอ็ด จัดให้มีการตกแต่งบริเวณเกาะบึงพลาญชัย (สถานที่จัดงาน) ให้เป็นเกาะสวรรค์ ตกแต่งสวยงาม ยิ่งใหญ่ มีขบวนกระทงอาเซียน มีการประกวดกระทงประทีปใหญ่ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การประกวดกระทงอนุรักษ์ธรรมชาติ การประกวดขบวนแห่กระทงประทีป 12 หัวเมือง ตามตำนานเมืองร้อยเอ็ด การประกวดรำวงสมมาน้ำคืนเพ็งเส็งประทีป การประกวดธิดาสาเกตนคร และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย
    • จังหวัดสกลนคร ในอดีตจะมีการลอยกระทงจากกาบกล้วย ลักษณะคล้ายกับการทำปราสาทผึ้งโบราณ เรียกงานนี้ว่าเทศกาลลอยพระประทีปพระราชทาน สิบสองเพ็งไทสกล
  • ภาคกลาง มีการจัดประเพณีลอยกระทงขึ้นทั่วทุกจังหวัด
    • กรุงเทพมหานคร จะมีงานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว 7-10 วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง
    • จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการจัดงานประเพณีลอยกระทงกรุงเก่าขึ้นอย่างยิ่งใหญ่บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ภายในงานมีการจัดแสดงแสง สี เสียง อย่างงดงามตระการตา
    • จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
    • จังหวัดสุโขทัย มีประเพณี "เผาเทียน เล่นไฟ" โดยใช้พื้นที่บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ซึ่งตรงกับแหล่งโบราณที่เคยจัดกิจกรรมนี้เมื่อ 700 ปีที่แล้ว ภายในงานจะมีการแห่ขบวนแห่กระทง การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง การแสดงแสงสีเสียง รวมถึงการเผาเทียน เล่นไฟ
  • ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่น ๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

อ้างอิง

[แก้]
  1. "ประเพณี ลอยกระทง" [Loi Krathong tradition]. กระทรวงวัฒนธรรม. 2015-01-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-28. สืบค้นเมื่อ 2019-11-10.
  2. ธนากิต. ประเพณี พิธีมงคล และวันสำคัญของไทย. กรุงเทพฯ : ชมรมเด็ก, ๒๕๓๙.
  3. Constance Jones 2011, pp. 252–253.
  4. Melton, J. Gordon (2011). "Lantern Festival (China)". ใน Melton, J. Gordon (บ.ก.). Religious Celebrations: An Encyclopedia of Holidays, Festivals, Solemn Observances, and Spiritual Commemorations. ABC-CLIO. pp. 514–515. ISBN 978-1-5988-4206-7. สืบค้นเมื่อ February 15, 2014.
  5. The Penguin Handbook of the World's Living Religions. Penguin UK. 25 March 2010. ISBN 9780141955049 – โดยทาง Google Books.
  6. "Buddhist Calendar - Southeast Asian Calendars - Thai Calendar".
  7. "Pictures of the day: 23 October 2016". The Telegraph. 23 October 2016.
  8. "Il Poya". 12 September 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 November 2017. สืบค้นเมื่อ 26 December 2016.
  9. "Discover the full moon festival of Cambodia, Thailand and Myanmar". 1 February 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 February 2017.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  10. "Baxter-Sagart Old Chinese reconstruction" (PDF).
  11. Wei, L. (2010). Chinese festivals: traditions customs and rituals [L. Yue & L. Tao, trans]. Beijing: China International Press, p. 51. (Call no.: R 394.26951 WEI-[CUS]) ; Latsch, M-L. (1985).
  12. "放水燈". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-26. สืบค้นเมื่อ 2013-12-25.
  13. "施餓鬼舟". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-26. สืบค้นเมื่อ 2013-12-25.
  14. "施餓鬼(せがき)舟". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-26. สืบค้นเมื่อ 2013-12-25.
  15. Pittayaporn, Pittayawat [พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์] (2014) , “Layers of Chinese Loanwords in Proto-Southwestern Tai as Evidence for the Dating of the Spread of Southwestern Tai”, in MANUSYA: Journal of Humanities, volume 20 (special issue), Bangkok: Chulalongkorn University, ISSN 0859-9920, pages 47–68
  16. กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. วรรณกรรมสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2528. 320 หน้า. หน้า 298. ISBN 978-974-7925-27-2
  17. ศรีจุฬาลักษณ์ (นพมาศ), ท้าว. นางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์. (พิมพ์ครั้งที่ 14). กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร, 2513. 159 หน้า. หน้า 99.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]