ภาษาคาไรม์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ภาษาคาไรม์
къарай тили
karaj tili
ประเทศที่มีการพูดไครเมีย, ลิทัวเนีย, โปแลนด์
ชาติพันธุ์ชาวคาไรต์ไครเมีย (2014)[1]
จำนวนผู้พูด80  (2014)[2]
ตระกูลภาษา
เตอร์กิก
ระบบการเขียนซีริลลิก, ละติน, ฮีบรู
สถานภาพทางการ
ภาษาชนกลุ่มน้อยที่รับรองในธงของประเทศโปแลนด์ โปแลนด์
ธงของประเทศยูเครน ยูเครน
ธงของประเทศรัสเซีย รัสเซีย[3][4]
รหัสภาษา
ISO 639-3kdr

ภาษาคาไรม์ (สำเนียงไครเมีย: къарай тили, สำเนียงตราไก: karaj tili, ชื่อภาษาฮีบรูดั้งเดิม lashon kedar, לשון קדר‎, แปลว่า "ภาษาของชนร่อนเร่")[5] เป็นภาษากลุ่มเตอร์กิกที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาฮีบรูในทำนองเดียวกับภาษายิดดิชหรือภาษาลาดิโน พูดโดยชาวคาไรต์ในไครเมียซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนายูดายในไครเมีย ลิทัวเนีย โปแลนด์และยูเครนตะวันตกเหลือผู้พูดอยู่เพียง 6 คน ภาษาคาไรม์สำเนียงลิทัวเนียเคยใช้พูดในกลุ่มชุมชนขนาดเล็กบริเวณเมืองตราไก ชาวคาไรต์เหล่านี้ถูกซื้อมาโดยแกรนด์ดยุกเวียเตาตัสแห่งลิทัวเนียเมื่อราว พ.ศ. 1944–1945 ซึ่งเป็นโอกาสให้ภาษานี้เหลือรอดอยู่ในตราไก ซึ่งเป็นผลมาจากการสนับสนุนของทางราชการ ในปัจจุบันมีพิพิธภัณฑ์ในตราไกแสดงเกี่ยวกับชุมชนคาไรต์และร้านอาหารคาไรต์

ประวัติ[แก้]

จุดกำเนิดของชาวคาไรต์ที่นับถือศาสนายูดาย[แก้]

ศาสนายูดายของชาวคาไรต์ต่างจากศาสนายูดายของชาวยิว เพราะไม่ได้ใช้คัมภีร์มิซนะห์และทัลมุด คำว่าคาไรม์มาจากศัพท์ภาษาฮีบรู קרא แปลว่าอ่าน ส่วนคำว่าคาไรต์มาจากภาษากลุ่มเตอร์กิก หมายถึงกลับ

ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะแพร่หลายเข้ามา ชุมชนชาวยิวอยู่แยกจากกันเนื่องจากการเมือง สภาพภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม แต่เมื่อศาสนาอิสลามแพร่เข้ามา ชาวยิวส่วนใหญ่รวมเป็นกลุ่มก้อนภายใต้การปกครองชองชาวมุสลิม ชุมชนชาวยิวเหล่านี้เป็นชุมชนที่แข็งแกร่ง พยายามตั้งกฎของตนเอง กฎของมุสลิมไม่ได้มีผลต่อกิจกรรมทางศาสนาแต่มีผลต่อสังคม ทำให้เปลี่ยนมาใช้ภาษาอาหรับและรับวัฒนธรรมอิสลามทางด้านอาหาร การแต่งกายและการติดต่อทางสังคม ภายในสังคมของชาวยิวเอง แรบไบต่าง ๆ พยายามโน้มน้าวให้ชาวยิวยอมรับทัลมุดเป็นกฎของสังคม ในขณะที่ชาวยิวบางส่วนไม่ยอมรับ จึงเกิดความหลากหลายภายในศาสนายูดายขึ้น ศาสนายูดายของชาวคาไรต์เริ่มต้นในเมโสโปเตเมียเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 13–14

ชาวคาไรต์ในไครเมียและลิทัวเนีย[แก้]

จุดกำเนิดของชาวคาไรต์ที่มาอยู่ในไครเมียยังไม่แน่นอน เพราะขาดหลักฐานที่แน่ชัด เอกสารส่วนใหญ่ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาวคาไรต์กับชุมชนอื่นระหว่างพุทธศตวรรษที่ 22–24 เอกสารส่วนใหญ่ระบุถึงชุมชนชาวคาไรต์ที่ถูกเผาเมื่อพ.ศ. 2279 ระหว่างที่รัสเซียรุกรานรัฐข่านตาตาร์[6] นักวิชาการบางส่วนเสนอว่าชาวคาไรต์เป็นลูกหลานของพ่อค้าที่เข้ามาในไครเมียตั้งแต่สมัยจักรวรรดิไบแซนไทน์[7]และได้พัฒนาภาษาของตนที่เป็นภาษากลุ่มเตอร์กิกในช่วงที่อยู่ในไครเมียนี้เองมีเอกสารเกี่ยวกับการอพยพของชาวคาไรต์จากอิสตันบูลไปยังไครเมียซึ่งบันทึกโดยชาวยิวในอิสตันบูลเมื่อ พ.ศ. 1746[8] การก่อตั้งชุมชนพ่อค้าในไครเมียน่าจะเริ่มต้นขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ 18–19 โดยกลุ่มพ่อค้าที่ติดต่อระหว่างไครเมีย เอเชียกลางและจีน[9]

ในอีกทางหนึ่งมีทฤษฎีว่าชาวคาไรต์ในไครเมียเป็นลูกหลานของเผ่าคาซาร์ที่เปลี่ยนมาใช้ภาษาคาไรม์ สมมติฐานที่สามกล่าวว่า ชาวคาไรต์เป็นลูกหลานของเผ่าอิสราเอลจากยุคแรกของการอพยพหลบหนีกษัตริย์อัสซีเรีย โดยเป็นเผ่าที่อพยพไปสู่เทือกเขาคอเคซัสเหนือแล้วจึงเข้าสู่คาบสมุทรไครเมีย

จุดกำเนิดของชาวคาไรต์ในลิทัวเนียมีความชัดเจนกว่า โดยกลุ่มชนนี้มาจากไครเมีย ใน พ.ศ. 1935 แกรนด์ดยุกเวียตาตุสแห่งลิทัวเนียปราบชาวตาตาร์ไครเมียได้ และอพยพชาวคาไรต์ในไครเมีย 330 ครอบครัวไปสู่ลิทัวเนีย ชาวคาไรต์ในลิทัวเนียแยกกันอยู่อย่างเป็นอิสระ และรักษาลักษณะเฉพาะของตนไว้ได้ โดยยังคงใช้ภาษากลุ่มเตอร์กิก แทนที่จะใช้ภาษาท้องถิ่นอื่น ๆ ในบริเวณนั้น

การจัดจำแนก[แก้]

ภาษาคาไรม์เป็นสมาชิกของตระกูลภาษาอัลไตอิกซึ่งเป็นภาษาที่แพร่หลายในหมู่ชาวนอร์มานในยูเรเชีย ภายในตระกูลภาษานี้ ภาษาคาไรม์จัดอยู่ในภาษษกลุ่มเคียปชาก ซึ่งเป็นสาขาตะวันตกของภาษากลุ่มเตอร์กิก ภายในกลุ่มตะวันตก ภาษาคาไรม์เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มปอนโต-บัลการ์ในรัสเซียและภาษาคาลมึกซ์ในรัสเซีย ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างภาษาคาไรม์กับภาษาเคียปชากและภาษาตาตาร์ไครเมีย จึงมีทฤษฎีหนึ่งอธิบายว่าชาวคาซาร์เปลี่ยนไปเป็นชาวคาไรต์ที่นับถือศาสนายูดายในพุทธศตวรรษที่ 13–14

ลักษณะทั่วไปของภาษาในตระกูลอัลไตอิกคือเรียงประโยคแบบประธาน-กรรม-กริยา รูปคำติดต่อ และมีการเปลี่ยนเสียงสระ ภาษาคาไรต์มีลักษณะรูปคำติดต่อและมีการเปลี่ยนเสียงสระ จึงเป็นไปได้ที่จัดให้ภาษาคาไรม์อยู่ในกลุ่มนี้

ภาษาคาไรม์ในลิทัวเนียยังคงรักษาลักษณะที่มาจากกลุ่มภาษาเตอร์กิกไว้ได้ แม้จะมาอยู่ในบริเวณที่แวดล้อมด้วยภาษาลิทัวเนีย ภาษารัสเซียและภาษาโปแลนด์มากกว่า 600 ปี คำศัพท์ทางศาสนาในภาษาคาไรม์เป็นภาษาอาหรับ แสดงว่าจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมอยู่ในตะวันออกกลาง[10] คำศัพท์ทางศาสนาอีกส่วนหนึ่งเป็นภาษาฮีบรู ภาษาที่มีอิทธิพลต่อรากศัพท์ภาษาคาไรม์ได้แก่ภาษาอาหรับ ภาษาฮีบรู และภาษาเปอร์เซียในระยะแรก และระยะต่อมาได้แก่ ภาษารัสเซีย ภาษายูเครน ภาษาโปแลนด์ สำหรับชาวยิวคาไรม์ที่อยู่ในรัสเซีย ยูเครน โปแลนด์และลิทัวเนีย

การแพร่กระจาย[แก้]

ในปัจจุบันมีผูพูดภาษาคาไรม์อยู่ในไครเมีย ลิทัวเนีย โปแลนด์ อิสราเอล และสหรัฐ แม้ว่าจะมีชาวคาไรม์ 200 คนในลิทัวเนียแต่มีเพียง 1 ใน 4 ที่พูดภาษาคาไรม์

ภาษาคาไรม์แบ่งย่อยได้เป็น 3 สำเนียงคือ

  • สำเนียงตะวันออกหรือภาษาคาไรม์ไครเมียซึ่งเคยใช้พูดในไครเมียจนถึงราว พ.ศ. 2443 ปัจจุบันเป็นภาษาตาย
  • สำเนียงตะวันตกเฉียงเหนือหรือตราไก ปัจจุบันใช้พูดในเมืองตราไกและวิลเนียส
  • สำเนียงตะวันตกเฉียงใต้หรือฮาลิช ใช้พูดในยูเครนเป็นสำเนียงที่ใกล้ตายเหลือผู้พูดเพียง 6 คนใน พ.ศ. 2544[11]

ความสัมพันธ์กับภาษาอื่น[แก้]

ภาษาคาไรม์มีความเกี่ยวข้องกับภาษาอื่น ๆ มากมาย รากฐานที่มีต้นกำเนิดในเมโสโปเตเมียทำให้มีความเกี่ยวข้องกับภาษาอาหรับ ภาษาคาไรม์ใช้พูดในไครเมียในช่วงจักรวรรดิออตโตมันจึงมีความเกี่ยวข้องกับภาษาตุรกี และการที่ผู้พูดภาษาคาไรม์มักอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ กระจัดกระจายไปจึงมีความเกี่ยวข้องกับภาษาที่อยู่รอบ ๆ เช่น ภาษาลิทัวเนีย ภาษาโปแลนด์ ภาษายูเครนและภาษารัสเซีย จึงมีการลอกเลียนรากศัพท์และไวยากรณ์ของภาษาข้างเคียงมาใช้ในภาษาของตน ผู้พูดภาษาคาไรม์มักพูดได้หลายภาษาโดยจะพูดภาษาหลักในบริเวณนั้น ๆ ได้ด้วย บางส่วนที่มีความรู้ทางศาสนาจะรู้ภาษาฮ๊บรู

สถานะของภาษา[แก้]

สำเนียงส่วนใหญ่ของภาษาคาไรม์เป็นภาษาที่ตายแล้ว การเหลืออยู่ของภาษาคาไรม์ในลิทัวเนีย ปัจจุบันอยู่ในภาวะเสี่ยงเพราะการแพร่กระจายของชาวคาไรม์ในยุคโซเวียตหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีคนสูงอายุที่ยังพูดภาษาคาไรม์อยู่ คนรุ่นใหม่ หันไปพูดภาษาลิทัวเนีย ภาษารัสเซีย หรือภาษาโปแลนด์แทน

ไวยากรณ์[แก้]

ภาษาคาไรม์เป็นภาษาที่ใช้ปัจจัยและมีลักษณะรูปคำติดต่อมาก ไม่มีคำอุปสรรคและใช้ปรบท คำนามผันได้ 7 การก แต่เดิมภาษาคาไรม์เรียงประโยคแบบกลุ่มภาษาเตอร์กิกคือประธาน-กรรม-กริยา แต่ได้ปรับเปลี่ยนเพราะต้องสื่อสารกับผู้พูดภาษาอื่น ๆ ปัจจุบันเป็นแบบ ประธาน-กริยา-กรรม[12]

ในไครเมียและยูเครน ภาษาคาไรม์เขียนด้วยอักษรซีริลลิก ในลิทัวเนียและโปแลนด์ เขียนด้วยอักษรละติน ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22–24 เขียนด้วยอักษรฮีบรู

อ้างอิง[แก้]

  1. ภาษาคาไรม์ ที่ Ethnologue (18th ed., 2015) (ต้องสมัครสมาชิก)
  2. ภาษาคาไรม์ ที่ Ethnologue (18th ed., 2015) (ต้องสมัครสมาชิก)
  3. "Law of Ukraine "On Principles of State Language Policy")". Document 5029-17, Article 7: Regional or minority languages Ukraine, Paragraph 2. Verkhovna Rada. 1 February 2014. สืบค้นเมื่อ 30 April 2014.
  4. "To which languages does the Charter apply?". European Charter for Regional or Minority Languages. Council of Europe. p. 3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-27. สืบค้นเมื่อ 2014-04-03.
  5. Tatiana Schegoleva. Karaites of Crimea: History and Present-Day Situation in Community.
  6. Akhiezer 2003
  7. Schur 1995
  8. Tsoffar 2006
  9. Schur 1995
  10. Zajaczkowski 1961
  11. Csató 2001
  12. Csató 2001

บรรณานุกรม[แก้]

  • Akhiezer, Golda. 2003. “The history of the Crimean Karaites during the sixteenth to eighteenth centuries.” pp. 729–757 in Polliack, Meira (ed.). Karaite Judaism: A Guide to its History and Literary Sources. Boston: Brill.
  • Astren, Fred. 2004. Karaite Judaism and Historical Understanding. Columbia, SC: University of South Carolina Press.
  • Csató, Éva Ágnes, Nathan, D., & Firkavičiūtė, K. (2003). Spoken Karaim. [London: School of Oriental and African Studies].
  • —— 2001. “Syntactic code-copying in Karaim.”
  • Dahl, Östen and Maria Koptjevskaja-Tamm. 2001. Circum-Baltic Languages.
  • Gil, Moshe. 2003. “The origins of the Karaites.” pp. 73–118 in Polliack, Meira (ed.). Karaite Judaism: A Guide to its History and Literary Sources. Boston: Brill.
  • Hansson, Gunnar Ólafur. 2007. “On the evolution of consonant harmony: the case of secondary articulation agreement.” Phonology. 24: 77-120.
  • Khan, Geoffrey. 2000. The Early Karaite Tradition of Hebrew Grammatical Thought. Boston: Brill.
  • Kocaoğlu, T., & Firkovičius, M. (2006). Karay: the Trakai dialect. Languages of the world, 458. Muenchen: Lincom Europa. ISBN 3-89586-490-0
  • Paul Wexler, 1980. The Byelorussian Impact on Karaite and Yiddish
  • Németh, Michał. 2003. “Grammatical features.” Karaimi. <https://web.archive.org/web/20110716080739/http://www.karaimi.org/index_en.php?p=301>.
  • Nemoy, Leon. 1987. “Karaites.” In Mircea Eliade, ed., The Encyclopedia of Religion. New York: MacMillan.
  • Oesterley, W. O. E. and G. H. Box. 1920. A Short Survey of the Literature of Rabbinical and Mediaeval Judaism. Burt Franklin: New York.
  • Schur, Nathan. 1995. “Karaites in Lithuania.” in The Karaite Encyclopedia. <https://web.archive.org/web/20071228105622/http://www.turkiye.net/sota/karalit.html>.
  • Tsoffar, Ruth. 2006. Stains of Culture: an Ethno-Reading of Karaite Jewish Women. Detroit: Wayne State University Press.
  • Tütüncü, Mehmet and Inci Bowman. 1998. “Karaim Homepage.” <https://web.archive.org/web/20071126131635/http://www.turkiye.net/sota/karaim.html>.
  • Zajaczkowski, Ananiasz. 1961. Karaims in Poland.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]