เฉียว ฉือ
เฉียว ฉือ | |
---|---|
乔石 | |
ไฟล์:Qiaoshi in 1994.jpg เฉียวใน ค.ศ. 1994 | |
ประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ คนที่ 6 | |
ดำรงตำแหน่ง 27 มีนาคม ค.ศ. 1993 – 16 มีนาคม ค.ศ. 1998 | |
ก่อนหน้า | ว่าน หลี่ |
ถัดไป | หลี่ เผิง |
เลขาธิการคณะกรรมการสอบวินัยส่วนกลาง | |
ดำรงตำแหน่ง 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1987 – 18 ตุลาคม ค.ศ. 1992 | |
ก่อนหน้า | เฉิน ยฺหวิน (เลขาธิการคนที่ 1) |
ถัดไป | เว่ย์ เจี้ยนสิง |
ผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไปพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |
ดำรงตำแหน่ง มิถุนายน ค.ศ. 1983 – เมษายน ค.ศ. 1984 | |
เลขาธิการใหญ่ | หู เย่าปัง |
ก่อนหน้า | หู ฉี่ลี่ |
ถัดไป | หวัง จ้าวกั๋ว |
เลขาธิการคณะกรรมการการเมืองและกฎหมายส่วนกลาง | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 1985 – ค.ศ. 1992 | |
ก่อนหน้า | เฉิน พีเสี่ยน |
ถัดไป | เหริน เจี้ยนซิน |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 24 ธันวาคม ค.ศ. 1924 เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐจีน |
เสียชีวิต | 14 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน | (90 ปี)
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (1940–1998) |
คู่สมรส | ยฺวี่ เหวิน (สมรส 1952; เสียชีวิต 2013) |
บุตร | ชาย 2 คน และหญิง 2 คน |
เฉียว ฉือ | |||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 喬石 | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อักษรจีนตัวย่อ | 乔石 | ||||||||||||||||||
|
เฉียว ฉือ (จีน: 乔石; พินอิน: Qiáo Shí; 24 ธันวาคม ค.ศ. 1924 – 14 มิถุนายน ค.ศ. 2015) เป็นนักการเมืองชาวจีนและหนึ่งในผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง องค์กรตัดสินใจสูงสุดของพรรคตั้งแต่ ค.ศ. 1987 ถึง 1997 เขาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของจีน แต่พ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งทางการเมืองของเขา เจียง เจ๋อหมิน ผู้ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ใน ค.ศ. 1989 เฉียวดำรงตำแหน่งประธานสภาประชาชนแห่งชาติ ตำแหน่งทางการเมืองที่มีอำนาจเป็นอันดับสาม ตั้งแต่ ค.ศ. 1993 กระทั่งเกษียณอายุใน ค.ศ. 1998[1] เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นของเขา รวมถึงเจียง เจ๋อหมิน เฉียวมีจุดยืนที่เสรีนิยมมากกว่าในนโยบายการเมืองและเศรษฐกิจ โดยส่งเสริมหลักนิติธรรมและการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจที่เน้นตลาดเป็นหลัก[2]
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]เฉียว ฉือ เกิดเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1924 มีชื่อเดิมว่า เจี่ยง จื้อถง (蔣志彤; Jiǎng Zhìtóng) ในเซี่ยงไฮ้ พ่อของเขามาจากติ้งไห่ มณฑลเจ้อเจียง และทำงานเป็นนักบัญชีในเซี่ยงไฮ้ แม่ของเขาเป็นคนงานที่โรงงานทอผ้าหมายเลข 1 ของเซี่ยงไฮ้[3] เขาเรียนวรรณคดีที่มหาวิทยาลัยสหพันธ์จีนตะวันออก แต่ไม่ได้สำเร็จการศึกษา เขาใช้นามแฝงว่าเจียง เฉียวฉือ หลังเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมปฏิวัติใต้ดินเมื่ออายุ 16 ปี ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปในสมัยนั้นสำหรับเยาวชนที่ใฝ่ฝันจะเป็นคอมมิวนิสต์ ท้ายที่สุดเขาละทิ้งนามสกุลเจียงและใช้เพียงชื่อ "เฉียว ฉือ" เท่านั้น เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1940 และเริ่มมีส่วนร่วมในขบวนการนักศึกษาต่อต้านก๊กมินตั๋งตั้งแต่ยังหนุ่ม ความเชี่ยวชาญของเขาคือการข่าวกรองและความมั่นคง[4][5]
สมัยเหมา
[แก้]หลังสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1949 เฉียวดำรงตำแหน่งผู้นำสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ในหางโจว มณฑลเจ้อเจียง จนถึง ค.ศ. 1954 ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 ถึง 1962 เขาทำงานที่บริษัทเหล็กและเหล็กกล้าอันชานในมณฑลเหลียวหนิง และต่อมาที่บริษัทเหล็กและเหล็กกล้าจิ่วเฉฺวียนในมณฑลกานซู่[6] ใน ค.ศ. 1963 เฉียวถูกย้ายไปที่กรมประสานงานระหว่างประเทศของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ และเดินทางไปยังประเทศคอมมิวนิสต์อื่น ๆ อย่างกว้างขวาง[4] อย่างไรก็ตาม เขาถูกข่มเหงอย่างรุนแรงเมื่อการปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มต้นใน ค.ศ. 1966 เนื่องจากยฺวี่ เหวิน ภรรยาของเขา เป็นหลานสาวของเฉิน ปู้เล่ย์ ที่ปรึกษาคนสำคัญของเจียง ไคเชก ผู้นำก๊กมินตั๋ง เขาผ่านการประชุมดูความดิ้นรนมานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เขาต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นและเสียเลือด ใน ค.ศ. 1969 เฉียวและภรรยาของเขาถูกส่งไปทำงานที่ค่ายแรงงานในชนบท โดยเริ่มจากที่เฮย์หลงเจียง และต่อมาที่มณฑลเหอหนาน เขาสามารถกลับมาที่กรมประสานงานระหว่างประเทศได้ใน ค.ศ. 1971 เมื่อเกิ่ง เปียวดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกรม[3]
ขึ้นสู่อำนาจ
[แก้]หลังสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรม เฉียวได้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการกรมประสานงานระหว่างประเทศใน ค.ศ. 1978 และผู้อำนวยการใน ค.ศ. 1982 โดยรับผิดชอบการจัดการความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ต่างประเทศ เขายังกลายเป็นสมาชิกสำรองของสำนักเลขาธิการกลาง ฝ่ายบริหารงานประจำวันขององค์กรพรรค ต่อมา เขายังดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานทั่วไปของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งรับผิดชอบการบริหารงานประจำวันของพรรค และหัวหน้ากรมองค์การ ซึ่งรับผิดชอบด้านทรัพยากรบุคคล[4] ภายใต้การกำกับดูแลของเขา สำนักงานทั่วไปเปลี่ยนจุดเน้นจากการต่อสู้ระหว่างชนชั้นมาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งของนโยบายปฏิรูปและเปิดออก ใน ค.ศ. 1985 ยฺหวี เฉียงเชิง หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับจีน ได้แปรพักตร์ไปยังสหรัฐ เป็นเหตุให้เฉิน พีเสี่ยน สมาชิกกรมการเมืองและเลขาธิการคณะกรรมการกิจการการเมืองและกฎหมาย ถูกลดตำแหน่ง ต่อมาเฉียวได้รับเลือกให้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความใกล้ชิดกับหู เย่าปัง เลขาธิการพรรค และได้รับการอนุมัติจากเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุด[7] ในปีนั้น เฉียวได้รับเลือกเข้าสู่กรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ ขั้นอำนาจสูงสุดลำดับสอง ใน ค.ศ. 1986 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีของคณะมนตรีรัฐกิจ[2][5] ระหว่าง ค.ศ. 1987 ถึง 1997 เฉียวเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง องค์กรตัดสินใจสูงสุดของจีน โดยดูแลงานในขอบข่ายกว้างขวางด้านความมั่นคงภายใน ข่าวกรอง กระบวนการยุติธรรม และวินัยของพรรค[7] ตั้งแต่ ค.ศ. 1987 ถึงปี 1992 เขายังทำหน้าที่เป็นเลขาธิการคณะกรรมการสอบวินัยส่วนกลาง หน่วยงานของพรรคที่รับผิดชอบความพยายามในการต่อต้านการทุจริต[5]
จัตุรัสเทียนอันเหมินและผลพวง
[แก้]เชื่อกันว่าเฉียวมีบทบาทสำคัญในช่วงการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเขาให้การสนับสนุนหรือคัดค้านการปราบปรามผู้ประท้วงนักศึกษา[1] แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ รวมถึงอัตชีวประวัติของจ้าว จื่อหยาง เลขาธิการพรรค กล่าวว่าเฉียวมีท่าทีคลุมเครือต่อวิธีจัดการกับการประท้วง เขาถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้ที่อดทนต่อขบวนการนักศึกษา และงดออกเสียงในการลงคะแนนของกรมการเมืองในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1989 เกี่ยวกับว่าจะส่งกองทัพไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมินหรือไม่[2]
เฉียวสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำของเขาไว้ได้เมื่อจ้าว จื่อหยาง และหู ฉี่ลี่ เพื่อนร่วมงานในกรมการเมืองของเขาซึ่งคัดค้านการปราบปรามถูกกวาดล้าง ในผลพวงทางการเมืองหลังเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน เฉียวและหลี่ เผิง นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกมองว่าเป็นสองคนที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะได้เป็นผู้นำพรรค อย่างไรก็ตาม เติ้งและผู้อาวุโสพรรคหลายคนรู้สึกว่าหลี่มีแนวคิดเอียงซ้ายมากเกินไปและไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศจีนออกจากระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนเพื่อรับตำแหน่งสูงสุด ดังนั้นเฉียวจึงดูเหมือนเป็นตัวเลือก 'โดยปริยาย' โดยพิจารณาจากประสบการณ์และอาวุโสของเขาในเวลานั้น[4] เติ้งจัดการประชุมกับเฉียวด้วยตนเองเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นผู้นำ[7] อย่างไรก็ตาม เฉียวได้พ่ายแพ้ให้กับเจียง เจ๋อหมิน คู่แข่งของเขา เลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคประจำนครเซี่ยงไฮ้ ผู้ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคใน ค.ศ. 1989 และประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1993[4]
ไม่เคยมีการอธิบายอย่างชัดเจนว่าเหตุใดเฉียวถึงไม่ได้รับการเลือกให้เป็นผู้นำพรรค นักสังเกตการณ์คาดการณ์ว่าเฉียวมีประสบการณ์บังคับใช้กฎหมายมากเกินไป และด้วยเหตุนี้จึงมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการเข้มงวดและแข็วกร้าวในการจัดการกับปัญหา หรือว่าเฉียวสูญเสียความโปรดปรานจาก "ผู้อาวุโสพรรค" กลุ่มผู้นำที่เกษียณอายุแล้วแต่ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในกระบวนการสืบทอดตำแหน่งผู้นำ อย่างไรก็ตาม เฉียวได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ ตำแหน่งทางการเมืองอันดับสามในสาธารณรัฐประชาชนจีน รองจากเลขาธิการใหญ่และนายกรัฐมนตรี ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1993 ในฐานะหัวหน้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เขาพยายามที่จะเสริมสร้างระบบกฎหมายของจีนให้แข็งแกร่งขึ้นและเปลี่ยนสภาแห่งชาติจากองค์กรที่เป็นเพียงตรายางให้กลายเป็นสถาบันที่มีอำนาจแท้จริงในการสถาปนาหลักนิติธรรม[1] คำกล่าวของหวัง ตาน ผู้นำฝ่ายค้านและผู้นำนักศึกษาเทียนอันเหมินที่ว่า "แม้ว่าเฉียว ฉือจะเป็นจ้าวแห่งภาพลวงตา แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะนำพาจีนไปสู่การปกครองที่เปิดกว้างมากขึ้น"[4]
ความสัมพันธ์กับเจียง เจ๋อหมิน
[แก้]ภายหลังเหตุการณ์ ค.ศ. 1989 เป็นที่รู้กันว่าเฉียวอมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับเจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการใหญ่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง เจียง ผู้ซึ่งก้าวขึ้นจากผู้นำระดับเทศบาลสู่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในชั่วข้ามคืน เป็นเพียงสมาชิกกรมการเมืองเท่านั้นในตอนที่เขาถูกเรียกตัวไปปักกิ่งเพื่อเข้ามารับตำแหน่ง (เฉียวเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญ สูงกว่าเจียงหนึ่งระดับ) เฉียวเป็นผู้คร่ำหวอดในพรรคที่ทำงานให้กับองค์กรส่วนกลางมานานกว่าทศวรรษ ขณะที่เจียงไม่เคยมีประสบการณ์ในศูนย์กลางเลย เฉียวก็มีประวัติการทำงานที่โดดเด่นพร้อมกับคุณสมบัติปฏิวัติในช่วงที่เขาเป็นนักเคลื่อนไหวในเซี่ยงไฮ้ ขณะที่ประสบการณ์ปฏิวัติของเจียงดูเหมือนจะไม่มีน้ำหนักเมื่อเทียบกัน[7] ด้วยเหตุนี้ เหล่านักสังเกตการณ์ทางการเมืองและผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดของอำนาจจึงตระหนักดีว่า เจียงได้ 'ก้าวกระโดด' ข้ามเฉียว ผู้ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่า มีประวัติน่าเชื่อถือกว่า และมีเครือข่ายทางการเมืองกว้างขวางกว่าเจียงทุกประการ[7] ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลาที่เฉียวดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบังคับใช้กฎหมายของจีน หมายความว่าเขามีคนสนิทอยู่ในตำแหน่งสำคัญทั่วประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นภัยเงียบ หรืออาจถึงขั้นเป็นการท้าทายอำนาจของเจียง[7] หลังจากเติ้ง เสี่ยวผิงเดินทางเยือนทางใต้ใน ค.ศ. 1992 หลายคนเชื่อว่าเติ้งจะปลดเจียงออกจากตำแหน่งเลขาธิการใหญ่และแต่งตั้งเฉียวแทน รวมถึงเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิงเป็นจู หรงจี รองนายกรัฐมนตรีสายปฏิรูป เนื่องจากแนวทางที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมของเจียงและหลี่ต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจซึ่งส่งผลให้นโยบายปฏิรูปและเปิดออกหยุดชะงัก และการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวระหว่าง ค.ศ. 1989 ถึง 1991 สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนข้างอย่างรวดเร็วของเจียงและหลี่ จากฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่นำโดยเฉิน ยฺหวิน ไปยังฝ่ายปฏิรูปที่นำโดยเติ้งในเดือนเมษายน ค.ศ. 1992
เกษียณอายุ
[แก้]หลังเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุดของจีนเสียชีวิตใน ค.ศ. 1997 เจียงก็ประสบความสำเร็จในการกำจัดเฉียวออกจากคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกรมการเมืองในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 15 โดยการลดอายุเกษียณของเจ้าหน้าที่พรรคลงเหลือ 70 ปี ซึ่งเป็นการกระชับอำนาจของเขา[8] ใน ค.ศ. 1998 เฉียวซึ่งขณะนั้นอายุ 73 ปี ได้เกษียณจากวงการเมือง และหลังจากนั้นก็แทบไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะอีกเลย[1]
แม้เฉียวจะเกษียณจากการเมืองใน ค.ศ. 1998 แต่ช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งในระดับสูงสุดของพรรคและรัฐบาลทำให้เขาได้รับเกียรติในการดำรงตำแหน่งสำคัญมากที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นของเขาหรือผู้นำในรุ่นต่อ ๆ มา ในบรรดาสิ่งอื่น ๆ เฉียวเคยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดที่ดูแลการบริหารพรรค องค์กรและทรัพยากรบุคคล การปลูกฝังอุดมการณ์ วินัยภายใน ข่าวกรอง ความมั่นคงภายใน การออกกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย และระบบยุติธรรม[a] ด้วยตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองของเขา เฉียวยังคงเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดที่ดูแลการบังคับใช้กฎหมาย แม้ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานสภาประชาชนแห่งชาติ[7]
ต่างจากเพื่อนร่วมรุ่นของเขา โดยเฉพาะเจียง เจ๋อหมินและหลี่ เผิง เฉียวไม่ได้เข้าร่วมแม้แต่กิจกรรมสำคัญที่สุดในปฏิทินการเมืองจีนหลังเกษียณอายุ ซึ่งรวมถึงการประชุมพรรค การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ พิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่ง หรือวันครบรอบเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ[9] ในปี ค.ศ. 2012 เขาตีพิมพ์หนังสือชื่อ Qiao Shi On Democracy and Rule of Law ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อทั้งในและต่างประเทศ[4] การที่เฉียว ซึ่งปกติเป็นบุคคลที่เก็บตัวและพอใจกับการเกษียณอายุ จะตีพิมพ์ผลงานเช่นนี้ในวัยชราทำให้เกิดการคาดเดากันว่าหนังสือเล่มนี้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างแฝงเร้นต่อความเสื่อมถอยที่รับรู้ได้ของงานด้านกฎหมายและความมั่นคงภายใต้โจว หย่งคัง หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ใน ค.ศ. 2014 เฉียวบริจาคเงิน 11 ล้านหยวนให้กับมูลนิธิแลกเปลี่ยนกฎหมายจีน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความยุติธรรมและหลักนิติธรรม[10]
เสียชีวิต
[แก้]เฉียวเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ที่กรุงปักกิ่ง ขณะมีอายุได้ 90 ปี ในคำไว้อาลัยอย่างเป็นทางการของเฉียว เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "สมาชิกพรรคที่ยอดเยี่ยม นักต่อสู้ที่ผ่านการทดสอบมาอย่างยาวนานเพื่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์ และนักปฏิวัติชนกรรมาชีพ รัฐบุรุษ และผู้นำที่โดดเด่นของพรรคและรัฐ"[ต้องการอ้างอิง] เฉียวเป็นผู้นำคนสำคัญคนแรกจากผู้นำรุ่นที่สามที่เสียชีวิต คำไว้อาลัยของเขามีจำนวนอักษรจีนกว่า 2,000 ตัว ครึ่งหนึ่งของความยาวคำไว้อาลัยของผู้นำรุ่นที่สองอย่างเติ้ง เสี่ยวผิงและเฉิน ยฺหวิน แต่มากกว่าคำไว้อาลัยของฮฺว่า กั๋วเฟิง หลิว หฺวาชิง และหวง จฺวี๋อย่างมาก ซึ่งแต่ละคนได้รับคำไว้อาลัยเพียงไม่กี่ร้อยคำ[11] การประกาศการเสียชีวิตของเขาเป็นรายการที่สามในรายการข่าวภาคค่ำซินเหวินเหลียนปัว การประกาศนั้นทำในรูปแบบของ "แถลงการณ์ร่วม" โดยหน่วยงานระดับสูงของพรรคและรัฐ ซึ่งโดยทั่วไปจะสงวนไว้สำหรับผู้นำระดับสูงสุดเท่านั้น[12]
ประชาชนจำนวนมากต่างลดธงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัยการเสียชีวิตของเฉียว[13] พิธีศพของเฉียวจัดขึ้นที่สุสานปฏิวัติปาเป่าชานเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2015 โดยมีสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง และสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองคนอื่น ๆ เข้าร่วม ยกเว้นจาง เกาลี่ ซึ่งขณะนั้นเดินทางไปยุโรป หู จิ่นเทา อดีตเลขาธิการพรรคก็เข้าร่วมด้วย เจียง เจ๋อหมิน ไม่ได้เข้าร่วมพิธี แต่สำนักข่าวของรัฐได้กล่าวถึงเป็นพิเศษว่าเจียงได้แสดงความเสียใจ เจียงและครอบครัวของเขาได้ส่งพวงหรีดเข้าร่วมในพิธี เฉียวเสียชีวิตเพียงหนึ่งเดือนก่อนประธานว่าน หลี่ ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนเขา (เสียชีวิตในวันที่ 15 กรกฎาคม)[11]
ครอบครัว
[แก้]![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เกียรติยศ
[แก้]![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 Gan, Nectar (14 June 2015). "Former China Communist Party senior official Qiao Shi dies at 91". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 8 January 2023.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Mackerras, Colin; McMillen, Donald H.; Watson, Andrew (2003). Dictionary of the Politics of the People's Republic of China. Routledge. p. 185. ISBN 978-1-134-53175-2.
- ↑ 3.0 3.1 Lu Mengjun (14 June 2015). 乔石往事: 妻子是陈布雷外甥女, "文革"期间被贴了大字报 [Qiao Shi's past: wife was a niece of Chen Bulei]. Eastday (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 June 2015. สืบค้นเมื่อ 15 June 2015.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 Song, Yuwu (2013). Biographical Dictionary of the People's Republic of China. McFarland. p. 258. ISBN 978-0-7864-3582-1.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 "Qiao Shi". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 23 January 2010.
- ↑ 乔石同志简历. Eastday (ภาษาChinese (China)). 14 June 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-07. สืบค้นเมื่อ 2020-02-03.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 Niu Lei (June 14, 2015). 牛泪:乔石与江泽民交往秘史. Duowei (History Channel).
- ↑ Seth Faison (10 September 1997). "China's President Ousts Rival From High Party Positions". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 15 June 2015.
- ↑ 关于乔石需要了解的五个事实. Duowei News. June 14, 2015.
- ↑ Jess Macy Yu (23 February 2015). "Former Chinese Premier Draws Praise for His Philanthropy". The New York Times.
- ↑ 11.0 11.1 Mu, Yao (June 19, 2015). 第三代无一人露面 中共澄清江泽民不送乔石. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-20. สืบค้นเมื่อ 2025-02-24.
- ↑ 新闻联播 June 24, 2015. CCTV. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-07.
- ↑ 揭秘中共曾为哪些元老降半旗. June 17, 2015.
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/>
ที่สอดคล้องกัน
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่October 2020
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2467
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2558
- รองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน
- นักการเมืองสาธารณรัฐประชาชนจีนจากเซี่ยงไฮ้
- ประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ
- สมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 14
- สมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 13
- สมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 12
- สมาชิกสำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน
- เลขาธิการคณะกรรมาธิการสอบวินัยส่วนกลาง
- เหยื่อของการปฏิวัติวัฒนธรรม
- ผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไปของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
- ฝังศพที่สุสานปฏิวัติปาเป่าชาน