หน่วยรับรส
หน่วยรับรส (Taste receptor) | |
---|---|
![]() | |
ตัวระบุ | |
FMA | 84662 |
อภิธานศัพท์กายวิภาคศาสตร์ |
หน่วยรับรส (อังกฤษ: taste receptor) เป็นหน่วยรับความรู้สึกประเภทหนึ่ง อยู่ที่เยื่อหุ้มเซลล์รับรส และอำนวยให้รู้รส เมื่ออาหารหรือสารอื่น ๆ เข้ามาในปาก โมเลกุลของอาหารที่ละลายอยู่ในน้ำลายจะจับกับหน่วยรับรสในช่องปากและในที่อื่น ๆ ซึ่งก่อปฏิกิริยาภายในเซลล์ และในที่สุดทำให้เซลล์หลั่งสารสื่อประสาท อำนวยให้เกิดกระแสประสาทส่งไปยังสมอง แล้วทำให้รู้รส[1]
ระบบรับรสมีหน้าที่หลักเกี่ยวกับสารอาหาร มนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสามารถรับรู้รสหลัก ๆ ได้ 5 อย่างคือ รสเค็ม เปรี้ยว หวาน ขม และอุมะมิ[2] หน่วยรับรสสามารถแบ่งออกเป็นแบบทั่ว ๆ ไปสองหมู่คือ[3]
- การรับรู้รสเค็มและเปรี้ยว น่าจะเกี่ยวข้องกับช่องไอออนโดยเฉพาะ ๆ[3]
- การรับรู้รสหวาน ขม และอุมะมิ เกิดจากโปรตีนเยื่อหุ้มเซลล์ที่เรียกว่า G protein-coupled receptor [3]ซึ่งปัจจุบันได้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
อย่างไรก็ดี การเห็น การได้กลิ่น การลิ้มรส การถูกต้องสัมผัส คือ ร้อนเย็น แข็งอ่อนเป็นต้น ล้วนมีผลต่อรสชาติ ในบรรดาความรู้สึกเหล่านั้นหน่วยรับความรู้สึกแบบ vanilloid คือ TRPV1 เป็นตัวที่ทำให้รู้สึกร้อน/เผ็ดเนื่องจากโมเลกุลของแคปเซอิซิน (ในพริก) เป็นต้น และหน่วยรับความรู้สึก TRPM8 ทำให้รู้สึกเย็นเนื่องจากโมเลกุลของเมนทอล ยูคาลิปทอล และ icilin เป็นต้น[1]
โครงสร้างต่าง ๆ[แก้]
ระบบรู้รส (gustatory system) นอกระบบประสาทกลางประกอบด้วยเซลล์รับรสในตุ่มรับรส (taste bud) ซึ่งก็อยู่ในปุ่มลิ้น (lingual papillae) โดยปุ่มลิ้น 3 ประเภทใน 4 ประเภทจะมีบทบาทในการรู้รส รวมทั้ง ปุ่มรูปเห็ด (fungiform papilla) ปุ่มรูปใบไม้ (foliate papilla) และปุ่มเซอร์คัมแวลเลต (circumvallate papilla) ส่วนปุ่มแบบที่สี่ คือ ปุ่มรูปเส้นด้าย (filiform papillae) ไม่มีตุ่มรับรส นอกจากในปุ่มเหล่านี้ หน่วยรับรสยังมีอยู่ที่เพดานปากและส่วนต้น ๆ ของทางเดินอาหาร เช่น กล่องเสียงและหลอดอาหารส่วนบน มีเส้นประสาทสมอง 3 เส้นซึ่งส่งข้อมูลรสและวิ่งไปจากเซลล์รับรสในโครงสร้างต่าง ๆ คือ เส้นประสาทเวกัส (vagus nerve, X) เส้นประสาทลิ้นคอหอย (glossopharyngeal nerve, IX) และเส้นประสาทเฟเชียล (facial nerve, VII)
ในปี 2010 นักวิจัยได้พบหน่วยรับรสขมที่เนื้อเยื่อปอด ซึ่งคลายทางเดินอากาศเมื่อประสบกับสารรสขม นักวิจัยเชื่อว่า กลไกนี้เป็นการปรับตัวทางวิวัฒนาการเพราะช่วยกำจัดเชื้อจากปอด แต่ก็สามารถถือเอาประโยชน์เพื่อรักษาโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง[6]
หน้าที่[แก้]
การรู้รสช่วยให้สามารถกำหนดสารพิษและทานอาหารให้ถูกโภชนาการได้ มีรสหลัก ๆ 5 อย่างที่นักวิชาการยอมรับ คือ เค็ม หวาน ขม เปรี้ยว และอุมะมิ รสเค็มและเปรี้ยวจะตรวจจับผ่านช่องไอออน รสหวาน ขม และอุมะมิ จะตรวจจับด้วยหน่วยรับรสสกุล G protein-coupled receptor[7] นอกจากนั้น ยั้งมีสารต่าง ๆ ที่สามารถเปลี่ยนปรุงแต่งรสชาติได้ เช่น miraculin และ curculin ที่ให้รสหวาน และ sterubin ที่สามารถกลบรสขมได้
กลไกการทำงาน[แก้]
G protein-coupled receptor[แก้]
หน่วยรับรสขม หวาน และอุมะมิเป็น G protein-coupled receptor (GPCR) ที่มีโดเมนข้ามเยื่อหุ้มเซลล์ 7 โดเมน เมื่อลิแกนด์จับกับหน่วยรับรส ก็จะเกิดลำดับการทำงานโดยอาศัยจีโปรตีนและโมเลกุลส่งสัญญาณที่สอง เพื่อทำให้เซลล์ลดขั้ว หน่วยรับรสขม TAS2R สัมพันธ์กับจีโปรตีน gustducin ซึ่งเป็น homologue ของ transducin ที่เป็นจีโปรตีนเกี่ยวกับการเห็น[8] อย่างไรก็ดี บทบาทของ gustducin เทียบกับจีโปรตีนของหน่วยรับรสหวานและหน่วยรับรสอุมะมิก็ยังไม่ชัดเจน[9]
อนึ่ง หน่วยรับรสแบบ GPCR เช่นนี้ จะมีลำดับการทำงานเหมือนกัน คือ จะเริ่มการทำงานของ isoform ของ phospholipase C คือ PLCβ2 ซึ่งทำให้ inositol triphosphate (IP3) เข้มข้นขึ้น ทำให้หน่วยเก็บในเซลล์ปล่อย Ca2+ แล้วเปิดช่อง TRPM5 (calcium-activated non-selective cation channel) ซึ่งทำให้เซลล์ลดขั้วอาศัยไอออน Na+ ที่ไหลเข้าช่อง แล้วนำไปสู่การหลั่งสารสื่อประสาทที่ฐานของเซลล์ในที่สุด[10][9]
TRPM5[แก้]
TRPM5 เป็นช่องแคตไอออนแบบไม่เลือกที่เปิดปิดโดยแคลเซียม (calcium-activated non-selective cation channel) ที่ทำให้เซลล์ลดขั้วเมื่อระดับแคลเซียมในเซลล์สูงขึ้น มันเป็นตัวอำนวยการส่งสัญญาณในเซลล์รับความรู้สึกจากสารเคมี ช่องจะเริ่มทำงานอาศัยการเพิ่มระดับแคลเซียมภายในเซลล์ โดยช่องจะปล่อยให้แคตไอออนเวเลนซ์เดี่ยว เช่น K+ และ Na+ ให้ไหลผ่าน TRPM5 เป็นองค์ประกอบสำคัญในการถ่ายโอนรสเป็นกระแสประสาทในรสขม หวาน และอุมะมิ เนื่องจากการมีระดับแคลเซียมในเซลล์ที่สูงขึ้น มันยังคาดว่า มีบทบาทในการส่งข้อมูลรสไขมัน[11][12] การเปิดช่องอาศัยแคลเซียมของ TRPM5 จะทำให้เกิดศักย์การลดขั้วซึ่งนำไปสู่การสร้างศักยะงาน[13]
รสอุมะมิ (TAS1R1/TAS1R3)[แก้]
หน่วยรับรสแบบโปรตีนคู่ (heterodimer) คือ TAS1R1/TAS1R3 จะทำงานเป็นหน่วยรับรสอุมะมิ โดยตอบสนองต่อ L-amino acid โดยเฉพาะ L-glutamate[4] รสอุมะมิบ่อยครั้งสัมพันธ์กับสารเติมแต่งอาหารโมโนโซเดียมกลูตาเมต (ผงชูรส) และสามารถเพิ่มรสด้วยการจับกับโมเลกุล inosine monophosphate (IMP) และ guanosine monophosphate (GMP)[14][15] เซลล์ที่แสดงออกยีน TAS1R1/TAS1R3 โดยมากพบในปุ่มรูปเห็ดตรงปลายและขอบของลิ้น และที่เซลล์รับรสบนเพดานปาก[4] เป็นเซลล์ที่มีไซแนปส์กับเส้นประสาทคือ chorda tympani เพื่อส่งสัญญาณไปยังสมอง แม้ก็พบการส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาทลิ้นคอหอยด้วย[14][16]
รสหวาน (TAS1R2/TAS1R3)[แก้]
หน่วยรับรสแบบโปรตีนคู่ (heterodimer) คือ TAS1R2/TAS1R3 จะทำงานเป็นหน่วยรับรสหวานโดยจับกับน้ำตาลและน้ำตาลเทียมหลายรูปแบบ[4][17] เซลล์รับรสที่แสดงออกยีน TAS1R2/TAS1R3 จะพบที่ปุ่มเซอร์คัมแวลเลตและปุ่มรูปใบไม้ของลิ้นด้านหลัง และที่เซลล์รับรสบนเพดานปาก[4] เซลล์เหล่านี้มีไซแนปส์ที่เส้นประสาท chorda tympani และเส้นประสาทลิ้นคอหอย เพื่อส่งสัญญาณไปยังสมอง[7][16] หน่วยรับรสแบบ homodimer คือ TAS1R3 ยังทำงานเป็นหน่วยรับรสหวานได้คล้ายกับ TAS1R2/TAS1R3 แต่จะไวน้อยกว่า และรับรู้น้ำตาลธรรมชาติได้ดีกว่าน้ำตาลเทียม ซึ่งอาจอธิบายว่า ทำไมน้ำตาลธรรมชาติและน้ำตาลเทียมจึงมีรสต่างกัน[18]
รสขม (TAS2R)[แก้]
โปรตีน TAS2R ทำหน้าที่เป็นหน่วยรับรสขม[19] มนุษย์มียีนกลุ่ม TAS2R 43 ชนิด แต่ละชนิด (โดยยกเว้นยีนเทียม 5 ชนิด) ไม่มี intron และเข้ารหัสโปรตีน GPCR[7] โปรตีนเหล่านี้ ซึ่งต่างจากโปรตีนกลุ่ม TAS1R จะมีโดเมนนอกเซลล์สั้น ๆ และอยู่ที่ปุ่มเซอร์คัมแวลเลต ที่ปุ่มรูปใบไม้ ที่เพดานปาก และที่ฝากล่องเสียง แต่มีการแสดงออกที่ปุ่มรูปเห็ดน้อย[5][7] แม้จะแน่นอนว่า มีการแสดงออกของยีน TAS2R หลายชนิดในเซลล์รับรสหนึ่ง ๆ แต่ก็ยังเป็นเรื่องไม่ยุติว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสามารถแยกแยะระหว่างรสขมของลิแกนด์ต่าง ๆ ได้หรือไม่[5]
อนึ่ง หน่วยรับรสขมหนึ่ง ๆ จะต้องรับลิแกนด์หลายชนิด เพราะมีสารประกอบรสขมมากกว่าจำนวนยีน TAS2R[7] มีสารประกอบรสขม 670 อย่างที่ได้ระบุแล้วในฐานข้อมูล BitterDB โดยมีกว่า 200 ชนิดที่ได้เจาะจงหน่วยรับกลิ่นหนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้นที่รับรู้ได้[20] ลิแกนด์รสขมที่สามัญรวมทั้ง cycloheximide, denatonium, PROP (6-n-propyl-2-thiouracil), PTC (phenylthiocarbamide), และ β-glucopyranosides[7]
การถ่ายโอนสัญญาณของสิ่งเร้ารสขม จะเกิดผ่านหน่วยย่อย α ของจีโปรตีนคือ gustducin โดยเฉพาะก็คือหน่วยย่อยของโปรตีน จะเริ่มการทำงานของเอนไซม์ phosphodiesterase ซึ่งลดระดับ cyclic nucleotide (cNMP) และหน่วยย่อย βγ ของ gustducin จะเริ่มการทำงานของ IP3 (inositol triphosphate) และ DAG (diglyceride) โดย IP3 จะทำให้หน่วยเก็บภายในเซลล์ปล่อยไอออนแคลเซียม เช่นที่พบในการถ่ายโอนสัญญาณของรสหวานและรสอุมะมิ[21]
แม้หน่วยรับรส TAS2R ทั้งหมดจะอยู่แต่ในเซลล์ที่มี gustducin แต่การกำจัด gustducin (ผ่านการ knockout) ก็ไม่ได้กำจัดความไวต่อสารประกอบรสขมทั้งหมด ซึ่งแสดงว่า ยังมีกลไกรับรู้รสขมอื่น ๆ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะรสขมโดยทั่วไปเป็นตัวแสดงว่ามีสารพิษ[10] กลไกของการรับรสขมนอกเหนือจาก gustducin ที่เสนออย่างหนึ่งก็คือโดยผ่านปฏิสัมพันธ์ของช่องไอออนกับลิแกนด์รสขมโดยเฉพาะ ๆ เหมือนกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างช่องไอออนกับรสเปรี้ยวและรสเค็ม[7]
โปรตีนจากกลุ่ม TAS2R ที่วิจัยดีที่สุดก็คือ TAS2R38 ซึ่งมีบทบาทในการรับรสขมของทั้ง PROP และ PTC และยังเป็นหน่วยรับรสเดียวที่ภาวะพหุสัณฐานของมันได้แสดงแล้วว่า มีผลต่อการรับรู้รสต่าง ๆ กัน งานศึกษาปัจจุบันมุ่งระบุภาวะพหุสัณฐานที่กำหนดฟีโนไทป์ของการรู้รสต่าง ๆ[7]
รสเปรี้ยว[แก้]
รสเปรี้ยวจะตรวจจับโดยเซลล์รับรสส่วนน้อยที่กระจายไปทั่วตุ่มรับรสที่ลิ้นซึ่งกำหนดโดยการแสดงออกของยีน PKD และเหมือนกับเกลือ การรู้รสอาจเกิดขึ้นโดยอาศัยช่องไอออน[22] คือแคตไอออน H+ จากกรด เช่น กรดน้ำส้ม จะไหลผ่านช่องไอออนซึ่งน่าจะเป็นแบบ H+-permeant, non-selective cation channel (ช่องแคตไอออนแบบไม่เลือกที่ให้ H+ ซึมเข้าได้) ในตระกูล TRP ซึ่งบางครั้งเรียกว่า PKD (เพราะสัมพันธ์กับช่องไอออนที่กลายพันธุ์ในโรค polycystic kidney disease)[9] รวมทั้งช่อง PKD2L1[23] โดยโปรตอน (H+) ที่เข้ามาจะทำให้เซลล์ลดขั้วโดยตรง และเปิดช่อง Na+ ซึ่งเปิดปิดด้วยศักย์ไฟฟ้าและอยู่ที่ข้างเซลล์ส่วนฐาน โดยมีผลลดขั้วเซลล์เพิ่มขึ้น และเปิดช่อง Ca2+ ซึ่งเปิดปิดด้วยศักย์ไฟฟ้า แล้วในที่สุดทำให้เซลล์หลั่งสารสื่อประสาท[9]
ถึงกระนั้น โปรตีน PKD2L1 โดยตนเองอาจไม่จำเป็นสำหรับการรู้รสเปรี้ยว เพราะมีหลักฐานว่า โปรตอนที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในสารเปรี้ยว สามารถเข้าไปในเซลล์รับรสเปรี้ยวที่แสดงออกยีน PKD2L1 โดยตรงผ่านช่องไอออนที่ส่วนยอดซึ่งไม่เกี่ยวกับคอมเพล็กซ์โปรตีนคือ PKD2L1/PKD1L3 คือการย้ายประจุบวกผ่านช่องไอออนอื่น (ที่ยังกำหนดไม่ได้) เข้าไปในเซลล์รับรสเปรี้ยวก็เพียงพอจุดชนวนการตอบสนองทางไฟฟ้าได้แล้ว[24]
มีการเสนอด้วยว่า กรดอ่อน ๆ เช่น กรดน้ำส้ม ซึ่งไม่ได้แตกตัวที่ค่าพีเอชในร่างกายและละลายในไขมันได้ ก็ยังสามารถเข้าไปในเซลล์รับรสผ่านการแพร่แบบแพสซิฟแล้วก่อให้ตอบสนองทางไฟฟ้า ตามกลไกนี้ เมื่อกรดอ่อน ๆ เข้ามาในเซลล์แล้ว ก็จะแตกตัวเพิ่มความเป็นกรดในเซลล์[25] ยับยั้งช่องโพแทสเซียม (ซึ่งปกติมีหน้าที่เพิ่มขั้วเซลล์และทำให้เซลล์ลดขั้วได้ยากขึ้น) แล้วทำให้เซลล์ลดขั้ว[26] สำหรับกรดแบบแรง การรับไฮโดรเจนเข้าโดยตรง และการยับยั้งการทำงานของช่องไอออนที่เพิ่มขั้วเซลล์ จะมีผลให้เซลล์รับรสลดขั้ว ปล่อยสารสื่อประสาท และทำให้รู้รสเปรี้ยว[26]
อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่มีการระบุโปรตีนที่เป็นตัวถ่ายโอนรสเปรี้ยวให้เป็นกระแสไฟฟ้า และกลไกการถ่ายโอนสัญญาณก็ยังไม่ชัดเจน[27] แต่ก็ปรากฏแล้วว่า มีวิถีการถ่ายโอนสัญญาณหลายวิถี[25]
รสเค็ม[แก้]
ความเค็มเป็นรสที่เกิดโดยหลักเนื่องจากมีไอออนโซเดียม แม้ไอออนของโลหะแอลคาไลอื่น ๆ ก็มีรสเค็มเช่นกัน ไอออนที่ทำให้รู้รสเค็มรวมทั้ง Na+, K+, และ Li+[22] ที่อาจตรวจจับได้เมื่อแคตไอออนไหลเข้าเซลล์รับรส เช่นโดยผ่านช่องไอออนแคลเซียมที่ไวต่ออะมิโลไรด์ แล้วทำให้เซลล์ลดขั้วโดยตรง และเปิดช่อง Na+ ซึ่งเปิดปิดด้วยศักย์ไฟฟ้าและอยู่ที่ข้างเซลล์ส่วนฐาน โดยมีผลลดขั้วเซลล์เพิ่มขึ้น และเปิดช่อง Ca2+ ซึ่งเปิดปิดด้วยศักย์ไฟฟ้า แล้วในที่สุดทำให้เซลล์หลั่งสารสื่อประสาท[9]
ช่องโซเดียมที่ว่านี้เรียกว่าช่องโซเดียมที่เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial sodium channel, ENaC) ซึ่งมีหน่วยย่อย ๆ 3 หน่วย ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายอย่างโดยเฉพาะหนู ENaC สามารถระงับการทำงานได้ด้วยยาอะมิโลไรด์ แต่ความไวของการรู้รสเค็มเนื่องกับยาอะมิโลไรด์ในมนุษย์จะชัดเจนน้อยกว่า จึงทำให้คาดว่า อาจมีโปรตีนหน่วยรับรสอื่น ๆ อีกนอกเหนือจาก ENaC ที่ยังค้นไม่พบ เช่น Na+ อาจสามารถแพร่เข้าช่อง Na+ อาศัยความต่างทางเคมีไฟฟ้าของภายในและภายนอกเซลล์[28]
น้ำอัดลม[แก้]
นักวิจัยได้พบว่า มีการรู้รสน้ำอัดลม/น้ำโซดาที่เริ่มจากเอนไซม์ที่สัมพันธ์กับหน่วยรับรสเปรี้ยว คือเอนไซม์ carbonic anhydrase 4 ซึ่งมีปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำ แล้วเริ่มการทำงานของเซลล์รับรสเปรี้ยวในตุ่มรับรส มีผลให้เซลล์ส่งกระแสประสาทไปยังสมอง[29]
ไขมัน[แก้]
มีการระบุหน่วยรับรสไขมันที่เป็นไปได้อย่างหนึ่ง คือ CD36[30] ซึ่งอยู่ในตุ่มรับรสที่ปุ่มเซอร์คัมแวลเลตและปุ่มรูปใบไม้[31] และงานวิจัยได้แสดงว่า CD36 จะจับกับกรดไขมันแบบลูกโซ่ยาว[32] ความแตกต่างของการแสดงออก CD36 ในผู้ร่วมการทดลองที่เป็นมนุษย์ สัมพันธ์กับสมรรถภาพในการรู้รสไขมัน[33] ซึ่งให้หลักฐานสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยรับรสกับการรู้รสไขมัน งานวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน่วยรับรส CD36 อีก จะช่วยแสดงว่ามีหน่วยรับรสไขมันจริง ๆ หรือไม่
โปรตีน GPR120 และ GPR40 ได้แสดงว่า ตอบสนองต่อไขมันในปาก[34] และการไม่มีพวกมัน ทำให้ชอบใจไขมันลดลง และมีการตอบสนองทางประสาทลดลงต่อกรดไขมันในปาก[35]
มีการแสดงว่า หน่วยรับ TRPM5 มีบทบาทในการตอบสนองต่อไขมันในปาก และได้ระบุว่าอาจเป็นหน่วยรับไขมัน แต่หลักฐานต่อ ๆ มาได้แสดงว่า มันมีบทบาทต่อการรับรู้ไขมันในลำดับการทำงานหลัง ๆ (downstream)[36][37]
ประเภทของ GPCR[แก้]
หน่วยรับรสขม หวาน และอุมะมิเป็น G protein-coupled receptor (GPCR) หน่วยรับรสขมของมนุษย์ตั้งชื่อเริ่มตั้งแต่ TAS2R1 จนถึง TAS2R64 โดยมีช่องในระหว่าง ๆ มากมายเพราะไม่มียีน เป็นยีนเทียม (pseudogene) หรือเป็นยีนที่เสนอแต่ยังไม่ผ่านกระบวนการ DNA annotation ซึ่งเป็นการกำหนดตำแหน่งยีน กำหนดเขตเข้ารหัสภายในจีโนม และกำหนดว่ายีนมีหน้าที่อะไรในมนุษย์ ยีนหน่วยรับรสขมจำนวนมากยังมีชื่อพ้องที่ทำให้สับสน เพราะมีหลายชื่อแต่หมายเอายีนเดียวกัน
Class | ยีน | Synonyms | Aliases | โลคัส | รายละเอียด |
---|---|---|---|---|---|
type 1 (หวาน/อุมะมิ) |
TAS1R1 | GPR70 | 1p36.23 | ||
TAS1R2 | GPR71 | 1p36.23 | |||
TAS1R3 | 1p36 | ||||
type 2 (ขม) |
TAS2R1 | 5p15 | |||
TAS2R2 | 7p21.3 | ยีนเทียม | |||
TAS2R3 | 7q31.3-q32 | ||||
TAS2R4 | 7q31.3-q32 | ||||
TAS2R5 | 7q31.3-q32 | ||||
TAS2R6 | 7 | ยังไม่ผ่าน DNA annotation | |||
TAS2R7 | 12p13 | ||||
TAS2R8 | 12p13 | ||||
TAS2R9 | 12p13 | ||||
TAS2R10 | 12p13 | ||||
TAS2R11 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R12 | TAS2R26 | 12p13.2 | ยีนเทียม | ||
TAS2R13 | 12p13 | ||||
TAS2R14 | 12p13 | ||||
TAS2R15 | 12p13.2 | ยีนเทียม | |||
TAS2R16 | 7q31.1-q31.3 | ||||
TAS2R17 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R18 | 12p13.2 | ยีนเทียม | |||
TAS2R19 | TAS2R23, TAS2R48 | 12p13.2 | |||
TAS2R20 | TAS2R49 | 12p13.2 | |||
TAS2R21 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R22 | 12 | ยังไม่ผ่าน DNA annotation | |||
TAS2R24 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R25 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R27 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R28 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R29 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R30 | TAS2R47 | 12p13.2 | |||
TAS2R31 | TAS2R44 | 12p13.2 | |||
TAS2R32 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R33 | 12 | ยังไม่ผ่าน DNA annotation | |||
TAS2R34 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R35 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R36 | 12 | ยังไม่ผ่าน DNA annotation | |||
TAS2R37 | 12 | ยังไม่ผ่าน DNA annotation | |||
TAS2R38 | 7q34 | ||||
TAS2R39 | 7q34 | ||||
TAS2R40 | GPR60 | 7q34 | |||
TAS2R41 | 7q34 | ||||
TAS2R42 | 12p13 | ||||
TAS2R43 | 12p13.2 | ||||
TAS2R45 | GPR59 | 12 | |||
TAS2R46 | 12p13.2 | ||||
TAS2R50 | TAS2R51 | 12p13.2 | |||
TAS2R52 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R53 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R54 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R55 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R56 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R57 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R58 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R59 | ไม่มีในมนุษย์ | ||||
TAS2R60 | 7 | ||||
TAS2R62P | 7q34 | ยีนเทียม | |||
TAS2R63P | 12p13.2 | ยีนเทียม | |||
TAS2R64P | 12p13.2 | ยีนเทียม |
เชิงอรรถและอ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 This, Hervé (2012). "The Science of the Oven - Excerpt from Chapter 1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-02. สืบค้นเมื่อ 2014-04-30.
- ↑ Buck & Bargmann 2013a, Taste Has Five Submodalities or Qualities, pp. 726-727
- ↑ 3.0 3.1 3.2 Buck & Bargmann 2013a, Each Taste Is Detected by a Distinct Sensory Transduction Mechanism and Distinct Population of Taste Cells, pp. 728-732
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 Nelson, G; Hoon, MA; Chandrashekar, J; Zhang, Y; Ryba, NJ; Zuker, CS (2001-08). "Mammalian sweet taste receptors". Cell. 106 (3): 381–90. doi:10.1016/S0092-8674(01)00451-2. PMID 11509186.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ 5.0 5.1 5.2 Adler, E; Hoon, MA; Mueller, KL; Chandrashekar, J; Ryba, NJ; Zuker, CS (2000-03). "A novel family of mammalian taste receptors". Cell. 100 (6): 693–702. doi:10.1016/S0092-8674(00)80705-9. PMID 10761934.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Deshpande, DA; Wang, WC; McIlmoyle, EL; Robinett, KS; Schillinger, RM; An, SS; Sham, JS; Liggett, SB (2010-11). "Bitter taste receptors on airway smooth muscle bronchodilate by localized calcium signaling and reverse obstruction". Nature Medicine. 16 (11): 1299–304. doi:10.1038/nm.2237. PMC 3066567. PMID 20972434.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 7.7 Bachmanov, AA; Beauchamp, GK (2007). "Taste receptor genes". Annual Review of Nutrition. 27: 389–414. doi:10.1146/annurev.nutr.26.061505.111329. PMC 2721271. PMID 17444812.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Sainz, E; Cavenagh, MM; LopezJimenez, ND; Gutierrez, JC; Battey, JF; Northup, JK; Sullivan, SL (2007-06). "The G-protein coupling properties of the human sweet and amino acid taste receptors". Developmental Neurobiology. 67 (7): 948–59. doi:10.1002/dneu.20403. PMID 17506496.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 Purves et al 2008a, Taste Buds Taste Cells, Receptor Proteins, and Transduction, pp. 387-389
- ↑ 10.0 10.1 Zhang, Y; Hoon, MA; Chandrashekar, J; Mueller, KL; Cook, B; Wu, D; Zuker, CS; Ryba, NJ (2003-02). "Coding of sweet, bitter, and umami tastes: different receptor cells sharing similar signaling pathways". Cell. 112 (3): 293–301. doi:10.1016/S0092-8674(03)00071-0. PMID 12581520.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ PMID 21557960 (PMID 21557960)
Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand - ↑ PMID 21653867 (PMID 21653867)
Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand - ↑ Chaudhari, N; Roper, SD (2010). "The cell biology of taste". J. Cell Biol. 190 (3): 285-96. doi:10.1083/jcb.201003144. PMC 2922655.
- ↑ 14.0 14.1
Nelson, G; Chandrashekar, J; Hoon, MA; Feng, L; Zhao, G; Ryba, NJ; Zuker, CS (2002-03). "An amino-acid taste receptor". Nature. 416 (6877): 199–202. doi:10.1038/nature726. PMID 11894099.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑
Delay, ER; Beaver, AJ; Wagner, KA; Stapleton, JR; Harbaugh, JO; Catron, KD; Roper, SD (2000-10). "Taste preference synergy between glutamate receptor agonists and inosine monophosphate in rats". Chemical Senses. 25 (5): 507–15. doi:10.1093/chemse/25.5.507. PMID 11015322.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ 16.0 16.1
Danilova, V; Hellekant, G (2003-03). "Comparison of the responses of the chorda tympani and glossopharyngeal nerves to taste stimuli in C57BL/6J mice". BMC Neuroscience. 4: 5. doi:10.1186/1471-2202-4-5. PMC 153500. PMID 12617752.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑
Li, X; Staszewski, L; Xu, H; Durick, K; Zoller, M; Adler, E (2002-04). "Human receptors for sweet and umami taste". Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America. 99 (7): 4692–6. doi:10.1073/pnas.072090199. PMC 123709. PMID 11917125.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Zhao, GQ; Zhang, Y; Hoon, MA; Chandrashekar, J; Erlenbach, I; Ryba, NJ; Zuker, CS (2003-10). "The receptors for mammalian sweet and umami taste". Cell. 115 (3): 255–66. doi:10.1016/S0092-8674(03)00844-4. PMID 14636554.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Chandrashekar, J; Mueller, KL; Hoon, MA; Adler, E; Feng, L; Guo, W; Zuker, CS; Ryba, NJ (2000-03). "T2Rs function as bitter taste receptors". Cell. 100 (6): 703–11. doi:10.1016/S0092-8674(00)80706-0. PMID 10761935.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Wiener (2012). "BitterDB: a database of bitter compounds". Nucleic Acids Res. 40 (Database issue): D413-9. doi:10.1093/nar/gkr755. PMC 3245057. PMID 21940398.
- ↑ Kinnamon & Margolskee 2008, Figure 4 Transduction of bitter, sweet, and umami taste stimuli, p. 228
- ↑ 22.0 22.1 Frings, Stephan; Bradley, Jonathan (2004). Transduction channels in sensory cells. Wiley-VCH. p. 155.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ "Biologists Discover How We Detect Sour Taste", Science Daily, 2006-08-24, สืบค้นเมื่อ 2010-09-12
- ↑ Chang, Rui; Waters, Hang; Liman, Emily (2010). "A proton current drives action potentials in genetically identified sour taste cells". Proc Natl Acad Sci U S A. 107 (51): 22320–22325. doi:10.1073/pnas.1013664107. PMC 3009759. PMID 21098668.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) Full Article PDF (1.05 MB) - ↑ 25.0 25.1 DuBois, DeSimone & Lyall 2008, 4.02.5.1 Biochemistry of Sour Taste, pp. 59-62
- ↑ 26.0 26.1 Ye, W; Chang, RB; Bushman, JD; Tu, YH; Mulhall, EM; Wilson, CE; Cooper, AJ; Chick, WS; Hill-Eubanks, DC; Nelson, MT; Kinnamon, SC; Liman, ER (2016). "The K+ channel KIR2.1 functions in tandem with proton influx to mediate sour taste transduction". Proc Natl Acad Sci U S A. 113: E229-238. doi:10.1073/pnas.1514282112. PMC 4720319. PMID 26627720.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) Full Article PDF (3.88 MB) - ↑ Buck & Bargmann 2013a, Sour Taste, p. 732
- ↑ Buck & Bargmann 2013a, Salty Taste, pp. 730-731
- ↑ "Scientists Discover Protein Receptor for Carbonation Taste, October 15, 2009 News Release - National Institutes of Health (NIH)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-07-03. สืบค้นเมื่อ 2014-10-06.
- ↑ Laugerette, F; Passilly-Degrace, P; Patris, B; Niot, I; Febbraio, M; Montmayeur, JP; Besnard, P (2005-11). "CD36 involvement in orosensory detection of dietary lipids, spontaneous fat preference, and digestive secretions". The Journal of Clinical Investigation. 115 (11): 3177–84. doi:10.1172/JCI25299. PMC 1265871. PMID 16276419.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Simons, PJ; Kummer, JA; Luiken, JJ; Boon, L (2011-12). "Apical CD36 immunolocalization in human and porcine taste buds from circumvallate and foliate papillae". Acta Histochemica. 113 (8): 839–43. doi:10.1016/j.acthis.2010.08.006. PMID 20950842.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Baillie, AG; Coburn, CT; Abumrad, NA (1996-09). "Reversible binding of long-chain fatty acids to purified FAT, the adipose CD36 homolog". The Journal of Membrane Biology. 153 (1): 75–81. doi:10.1007/s002329900111. PMID 8694909.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Pepino, MY; Love-Gregory, L; Klein, S; Abumrad, NA (2012-03). "The fatty acid translocase gene CD36 and lingual lipase influence oral sensitivity to fat in obese subjects". Journal of Lipid Research. 53 (3): 561–6. doi:10.1194/jlr.M021873. PMC 3276480. PMID 22210925.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ DiPatrizio, NV (2014-09). "Is fat taste ready for primetime?". Physiology & Behavior. 136: 145–54. doi:10.1016/j.physbeh.2014.03.002. PMC 4162865. PMID 24631296.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Cartoni, C; Yasumatsu, K; Ohkuri, T; Shigemura, N; Yoshida, R; Godinot, N; J, le Coutre; Ninomiya, Y; Damak, S (2010-06). "Taste preference for fatty acids is mediated by GPR40 and GPR120". The Journal of Neuroscience. 30 (25): 8376–82. doi:10.1523/JNEUROSCI.0496-10.2010. PMID 20573884.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑
Mattes, RD (2011-09). "Accumulating evidence supports a taste component for free fatty acids in humans". Physiology & Behavior. 104 (4): 624–31. doi:10.1016/j.physbeh.2011.05.002. PMC 3139746. PMID 21557960.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑
Liu, P; Shah, BP; Croasdell, S; Gilbertson, TA (2011-06). "Transient receptor potential channel type M5 is essential for fat taste". The Journal of Neuroscience. 31 (23): 8634–42. doi:10.1523/JNEUROSCI.6273-10.2011. PMC 3125678. PMID 21653867.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- Adler E, Hoon MA, Mueller KL, และคณะ (2000). "A Novel Family of Mammalian Taste Receptors - An Investigative Review". Davidson College Biology Department. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
- taste receptors, type 1 ในหอสมุดแพทยศาสตร์แห่งชาติอเมริกัน สำหรับหัวข้อเนื้อหาทางการแพทย์ (MeSH)
- taste receptors, type 2 ในหอสมุดแพทยศาสตร์แห่งชาติอเมริกัน สำหรับหัวข้อเนื้อหาทางการแพทย์ (MeSH)