ภัยพิบัติแห่งอียิปต์
ภัยพิบัติแห่งอียิปต์ในหนังสืออพยพ เป็นภัยพิบัติ 10 ชนิดที่พระผู้เป็นเจ้าของชาวอิสราเอลส่งผลกระทบต่ออียิปต์เพื่อโน้มน้าวให้ฟาโรห์ปลดปล่อยวงศ์วานอิสราเอลที่ตกเป็นทาสไป ภัยพิบัติแต่ละครั้งส่งผลต่อฟาโรห์และหนึ่งในเทพเจ้าอียิปต์[1] ภัยพิบัติทำหน้าที่เป็น "หมายสำคัญ" ของพระผู้เป็นเจ้าต่อการเยาะเย้ยของฟาโรห์ที่ว่าพระองค์ไม่รู้จักพระยาห์เวห์: "ชาวอียิปต์จะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์"[2]: 117
มีการอ่านภัยพิบัติแห่งอียิปต์ในช่วงระเบียบปัสกา
ภัยพิบัติ
[แก้]น้ำที่กลายเป็นเลือด
[แก้]ด้วยองค์ฟาโรห์ ทรงไม่ใส่ใจต่อการเข้าเฝ้าครั้งแรกของโมเสสและอาโรน พระเจ้าจึงทรงให้ทั้งสองเข้าเฝ้าฟาโรห์อีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อสำแดงภัยพิบัติครั้งแรกแก่อียิปต์
เช้าวันรุ่งขึ้นโมเสสและอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าองค์ฟาโรห์ ณ ริมแม่น้ำไนล์ โดยอาโรนได้นำไม้เท้าไปด้วย โมเสส จึงแจ้งแก่ฟาโรห์ให้ปล่อยชนชาวอิสราเอล หากไม่เช่นนั้น พระเจ้าจะทรงกระทำให้แม่น้ำ ลำคลอง และบึงต่าง ๆ กลายเป็นโลหิต ปลาในแม่น้ำจะตาย และชาวอียิปต์จะดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์ไม่ได้ แต่ฟาโรห์ก็ไม่สนพระทัยต่อคำพูดของทั้งสอง
พระเจ้าทรงสั่งให้อาโรน ยกไม้เท้าขึ้นตีน้ำในแม่น้ำไนล์ ต่อพระพักตร์ฟาโรห์ และบรรดาข้าราชบริพาร น้ำในแม่น้ำไนล์ก็กลายเป็นโลหิต ปลาในแม่น้ำก็ตายสิ้น และน้ำนั้นก็ดื่มกินไม่ได้ แต่เหล่าบรรดาวิทยากลของอียิปต์ ก็สามารถกระทำกลเช่นนี้ได้เช่นกัน องค์ฟาโรห์จึงยังทรงไม่เชื่อทั้งสอง ดังนั้นชาวอียิปต์จึงต้องขุดบ่อเพื่อหาน้ำดื่ม เนื่องจากดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์ไม่ได้[3]
กบ
[แก้]หลังภัยพิบัติแรกผ่านไป 7 วัน พระเจ้าจึงทรงใช้ให้โมเสสและอาโรน ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์อีกครั้ง แจ้งแก่องค์ฟาโรห์ให้ปล่อยชาวอิสราเอลไปเสีย มิฉะนั้นพระเจ้าจะทรงให้ฝูงกบในแม่น้ำไนล์ ขึ้นมาจนเต็มแผ่นดินอียิปต์ แต่องค์ฟาโรห์ก็มิได้สนใจ พระเจ้าจึงให้อาโรนชูไม้เท้าเหนือแม่น้ำ ฝูงกบก็พากันขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์จนเต็มแผ่นดิน แต่เหล่านักแสดงกล ก็สามารถแสดงกลเรียกกบขึ้นมาจากแม่น้ำได้ด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อฝูงกบอยู่กันเต็มเมือง องค์ฟาโรห์จึงเรียกโมเสสและอาโรน เข้าพบ และให้สัญญาหากทั้งสองทูลต่อพระเจ้าให้ฝูงกบไปเสียจากแผ่นดินอียิปต์ องค์ฟาโรห์จะยอมให้ชาวอิสราเอลออกเดินทางได้ในวันรุ่งขึ้น โมเสส จึงร้องทูลพระเจ้า และฝูงกบก็พากันตายสิ้นทั้งแผ่นดิน[4]
ริ้น
[แก้]ครั้นเมื่อฝูงกบตายเสียสิ้น ความเดือดร้อนก็บรรเทาไปแล้ว องค์ฟาโรห์จึงทรงไม่ปฏิบัติตามคำสัญญาที่จะให้อิสราเอลออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าจึงให้โมเสสและอาโรน เข้าเฝ้า ฟาโรห์ และให้อาโรนเอาไม้เท้าตีฝุ่นดิน ให้กลายเป็นริ้นทั่วประเทศอียิปต์
ครั้งนี้เหล่านักแสดงกลของฟาโรห์ ไม่สามารถแสดงกลทำให้ฝุ่นกลายเป็นริ้นได้ จึงทูลต่อฟาโรห์ว่า "นี่เป็นกิจการแห่งนิ้วพระหัตถ์พระเจ้า" แต่ฟาโรห์ก็มิได้สนพระทัย[5]
เหลือบ
[แก้]วันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงให้โมเสสไปรอพบฟาโรห์ ที่ริมแม่น้ำไนล์ และทูลต่อพระองค์ว่า หากไม่ทรงอนุญาตให้อิสราเอลออกไปนมัสการพระเจ้า ณ ถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าก็จะทรงบันดาลให้ฝูงเหลือบอยู่เต็มประเทศอียิปต์ ยกเว้นแต่เมืองโกเชนที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ จะไม่มีเหลือบเข้าไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าของอิสราเอล
องค์ฟาโรห์ทรงไม่ยอมเช่นเดิม พระเจ้าจึงทรงให้ฝูงเหลือบบินเต็มทั่วเมืองอียิปต์ ยกเว้นแต่เมืองโกเชน ฟาโรห์จึงทรงให้เรียก โมเสส และอาโรน มาพบ และรับสั่งให้ อิสราเอล ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าในอียิปต์ มิให้ออกไปนอกเมือง แต่โมเสสทูลแย้งว่า การถวายเครื่องบูชาของอิสราเอลต้องฆ่าสัตว์ต้องห้ามของอียิปต์ จึงจำเป็นต้องไปกระทำในถิ่นทุรกันดาร
องค์ฟาโรห์จึงว่า "เราจะปล่อยพวกเจ้าไป เพื่อจะได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าของเจ้าในถิ่นทุรกันดาร แต่ว่าพวกเจ้าอย่าไปให้ไกลนัก จงวิงวอนเพื่อเราด้วย" โมเสสจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าให้ฝูงเหลือบไปจากแผ่นดินอียิปต์[6]
ฝูงสัตว์
[แก้]เมื่อสิ้นฝูงเหลือบ องค์ฟาโรห์ก็ทรงละเลยต่อสัญญาของพระองค์อีกครั้ง พระเจ้าจึงทรงให้โมเสสเข้าไปทูลต่อฟาโรห์ว่า หากพระองค์ไม่ยอมปล่อยคนของพระเจ้าไปนมัสการพระองค์ พระเจ้าจะทรงกระทำให้ฝูงสัตว์ของอียิปต์ ทั้งม้า ลา อูฐ โค แพะ และแกะ เป็นโรคระบาดร้ายแรง และยกเว้นฝูงสัตว์ของคนอิสราเอลที่จะไม่เป็นโรค โดยกำหนดโรคระบาด คือ วันถัดไป
แต่องค์ฟาโรห์ ก็มิได้สนพระทัย วันรุ่งขึ้นฝูงสัตว์ของอียิปต์ก็พากันตายหมด เหลือเพียงฝูงสัตว์ของอิสราเอล แต่ฟาโรห์ก็ยังไม่ทรงปล่อยชาวอิสราเอลออกไป[7]
ฝี
[แก้]พระเจ้าทรงให้โมเสสกำเขม่าจากเตาไฟเต็มฝ่ามือ ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และเมื่ออยู่ต่อหน้าฟาโรห์ ก็ซัดเขม่านั้นออกไป เขม่านั้นก็กลายเป็นฝุ่นกระจายไปทั่วอียิปต์ ทำให้ชาวอียิปต์กลายเป็นฝีแตกลามทั้งตัว รวมไปถึงเหล่านักแสดงกลของฟาโรห์ ก็เป็นฝีทั่วตัวด้วยเช่นกัน แต่องค์ฟาโรห์ก็ไม่ยอมปล่อยอิสราเอลออกไป[8]
ลูกเห็บ
[แก้]พระเจ้าทรงให้โมเสสเข้าเฝ้าฟาโรห์แต่เช้า และทูลต่อพระองค์ว่า หากฟาโรห์ไม่ยินยอมปล่อยชาวอิสราเอลไป วันรุ่งขึ้น พระเจ้าจะให้มีลูกเห็บตกลงทั่วแผ่นดินอียิปต์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเตือนให้ผู้คนและสัตว์ทั้งหลายหลบอยู่ในที่กำบัง มิฉะนั้นจะโดนลูกเห็บเสียชีวิต
เหล่าข้าราชบริพารส่วนใหญ่ก็เกรงกลัว จึงได้นำฝูงสัตว์หลบในที่กำบัง และเมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้มีลูกเห็บ และฟ้าร้อง ลูกเห็บที่ตกลงในแผ่นดินอียิปต์ครั้งนั้นนับว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุด จึงทำลายพืชผลของอียิปต์ทั้งแผ่นดิน ยกเว้นแต่ในเมืองโกเชนที่อิสราเอลอาศัยอยู่ ไม่มีลูกเห็บตกเลย
ฟาโรห์จึงทรงให้คนไปตามโมเสสและอาโรนมา แจ้งว่า "ครั้งนี้เราทำบาปแน่แล้ว พระเจ้าเป็นฝ่ายถูก เราและชนชาติของเราผิด..." แต่โมเสสก็ทราบว่าที่ฟาโรห์กล่าวเช่นนั้นมิได้ยำเกรงพระเจ้าจริง แต่เมื่อโมเสสออกจากเข้าเฝ้าฟาโรห์ ก็ทูลขอต่อพระเจ้าให้ลูกเห็บหยุดตก ฟาโรห์ก็ยังคงแข็งขืน มิยอมให้อิสราเอลออกจากอียิปต์ไป[9]
ฝูงตั๊กแตน
[แก้]พระเจ้าก็ทรงให้ โมเสส และอาโรน เข้าเฝ้าฟาโรห์ อีกครั้ง แจ้งว่าครั้งนี้ พระเจ้าจะทรงให้เกิดฝูงตั๊กแตนเข้าทำลายพืชผลที่เหลือรอดจากลูกเห็บเสียสิ้น บรรดาข้าราชบริพารจึงพากันทูลขอให้ฟาโรห์ปล่อยพวกเขาไป
ฟาโรห์จึงให้โมเสสและอาโรน นำอิสราเอลไปนมัสการพระเจ้าได้ แต่ให้นำไปได้เฉพาะผู้ชาย แต่ผู้หญิงต้องอยู่ในอียิปต์ ดังนั้นเมื่อโมเสสกลับจากเข้าเฝ้า พระเจ้าจึงทรงให้มีฝูงตั๊กแตนจำนวนมากเข้าทำลายพืชผลทั่วแผ่นดินอียิปต์
ฟาโรห์จึงให้เรียกโมเสสและอาโรนมาเฝ้า และขอให้ทูลต่อพระเจ้าให้ไล่ฝูงตั๊กแตนไปเสีย โมเสสก็ทูลขอต่อพระเจ้า แต่ฟาโรห์ก็เปลี่ยนพระทัย ไม่ยอมให้อิสราเอลออกไปจากอียิปต์อีก[10]
ความมืด
[แก้]ต่อมาพระเจ้าจึงทรงทำให้ท้องฟ้าเหนือแผ่นดินอียิปต์มืดไป เป็นเวลา 3 วัน ชาวเมืองไม่สามารถไปไหนได้ เพราะมองไม่เห็น ยกเว้นแต่เมืองที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ที่มีแสงสว่าง ฟาโรห์จึงให้ตามต้ว โมเสส และอาโรน มา แจ้งว่าจะทรงอนุญาตให้นำผู้คนได้นนัสการพระเจ้าได้ทุกคน แต่ไม่ทรงอนุญาตให้นำฝูงสัตว์ไป โมเสสจึงแจ้งว่า "ต้องโปรดประทานให้มีเครื่องสัตวบูชา และเครื่องเผาบูชาติดมือไปด้วย...ข้าพระบาทต้องนำฝูงสัตว์ไปด้วย ขาดไม่ได้สักกีบเดียว..." องค์ฟาโรห์จึงทรงพิโรธ ขับไล่ทั้งสองออกไป และกล่าวว่า "อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีกเลย เพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราวันใด เจ้าจะต้องตายวันนั้น" [11]
มรณกรรมของบุตรหัวปี
[แก้]นี่เป็นภัยพิบัติสุดท้ายที่พระเจ้าทรงกระทำต่ออียิปต์ และเป็นภัยพิบัติที่เป็นเหตุให้องค์ฟาโรห์ต้องอนุญาตให้อิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ไปได้ และภัยพิบัตินี้ ก็เป็นที่มาของพิธีปัสกา หนึ่งในพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวมาจนทุกว้นนี้
ก่อนที่พระเจ้าจะทรงประทานภัยพิบัตินี้ พระเจ้าทรงให้โมเสสไปรวบรวมคนอิสราเอล จัดเก็บทรัพย์สิ่งของ และฝูงสัตว์เพื่อเตรียมเดินทางออกจากอียิปต์ และโมเสสก็แจ้งว่าในคืนนั้น พระเจ้าจะทรงออกไปท่ามกลางอียิปต์ และนำบุตรหัวปีของอียิปต์ ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ จนถึงบุตรหัวปีของเหล่าทาส สัตว์เลี้ยงไปเสียสิ้นทั้งแผ่นดินอียิปต์ แต่จะไม่ทรงแตะต้องคนอิสราเอลเลย[12]
ก่อนถึงเวลาเที่ยงคืน โมเสสให้อิสราเอลถือปัสกาเพื่อเป็นเครื่องหมายให้พระเจ้าทรงทราบว่าบ้านหลังใดเป็นของอิสราเอล จะได้ทรงผ่านไปเสีย และเมื่อเวลาเที่ยงคืน คืนนั้นก็เกิดภัยพิบัติสุดท้ายแก่อียิปต์ ทุกบ้านต่างเสียบุตรชายหัวปีไปเสียสิ้น ฟาโรห์และชาวอียิปต์ทั้งสิ้นจึงต่างเร่งรัดให้อิสราเอลทั้งผู้คน สัตว์เลี้ยง และทรัพย์สิ่งของออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ รวมเวลาที่อิสราเอลอยู่ในอียิปต์เป็นเวลา 430 ปี คนอิสราเอลที่ออกเดินทางจากอียิปต์มีจำนวนนับเฉพาะผู้ชาย ได้ประมาณ หกแสนคน เป็นอันจบภัยพิบัติที่มีต่ออียิปต์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของชนชาติอิสราเอล[13]
การประพันธ์และเทววิทยา
[แก้]นักวิชาการหลายคนมีความเห็นตรงกันกว้าง ๆ ว่า การตีพิมพ์คัมภีร์โทราห์เกิดขึ้นในสมัยเปอร์เซียตอนกลาง (ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล)[14] หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติที่เรียบเรียงในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 7 ถึง 6 ก่อนคริสตกาล กล่าวถึง "โรคร้ายทั้งปวงแห่งอียิปต์" (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:15 และ 28:60) แต่สื่ิอถึงสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อวงศ์วานอิสราเอล ไม่ใช่ชาวอียิปต์ และไม่ระบุว่าเป็นภัยพิบัติชนิดใด[15][16]
จำนวนภัยพิบัติ 10 ชนิดไม่ได้มีการระบุไว้ในหนังสืออพยพ และข้อมูลอื่น ๆ ก็ระบุจำนวนต่างกัน เช่น หนังสือสดุดี 78 และ 105 ระบุภัยพิบัติเพียง 7 หรือ 8 ชนิด และเรียงลำดับต่างกัน[1] คาดว่าเดิมมีเพียง 7 ชนิด โดยมีการเพิ่มภัยพิบัติที่ 3 6 และ 9 เพื่อทำให้ครบ 10 ชนิด[17]: 83–84
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
[แก้]นักวิชาการหลายคนยอมรับอย่างกว้างขวางว่า เรื่องราวการอพยพไม่ใช่บันทึกทางประวัติศาสตร์ โดยระบุว่าชาวอิสราเอลมีต้นตอจากคานาอันและจากชาวคานาอัน และในขณะที่กลุ่มชาวอิสราเอลดั้งเดิมขนาดเล็กอาจมีต้นตอจากอียิปต์ เรื่องราวอาจไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่พระคัมภีร์ระบุไว้[18][19]: 81 [20]: 6–7 พาไพรัสอีปูเวร์ที่เขียนขึ้นไม่เกินกว่าสมัยราชวงศ์ที่สิบสองแห่งอียิปต์ตอนปลาย (ป. 1991–1803 ปีก่อน ค.ศ.)[21] ถูกหยิบยกในวรรณกรรมร่วมสมัยว่ายืนยันรายงานจากพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่มาจากข้อความที่ว่า "แม่น้ำเป็นสีเลือด" และอ้างอิงถึงบริวารที่หนีไปบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งนี้ไม่ได้ระบุถึงจุดที่ขัดแย้งกับหนังสืออพยพหลายจุด เช่น กลุ่มชนเอเชียเดินทางเข้าอียิปต์ มากกว่าออกจากอียิปต์ และข้อเท็จจริงที่ว่าวลี "แม่น้ำเป็นสีเลือด" อาจสื่อถึงตะกอนสีแดงที่แม่น้ำไนล์ในช่วงที่เกิดน้ำท่วมร้ายแรง หรือเป็นเพียงภาพแห่งความวุ่นวายในบทกวี[22] ความพยายามในการค้นหาคำอธิบายตามธรรมชาติสำหรับภัยพิบัติต่าง ๆ (เช่น การปะทุของภูเขาไฟ เพื่ออธิบายถึงภัยพิบัติ "ความมืด") ถูกนักวิชาการพระคัมภีร์ปฏิเสธทั้งในด้านรูปแบบ ระยะเวลา การสืบต่ออย่างรวดเร็ว และการควบคุมโดยโมเสส ถือให้ภัยพิบัติเหล่านี้เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ[19]: 90 [2]: 117–118
ภาพ
[แก้]-
ภัยพิบัติสอง: ฝูงกบก็พากันขึ้นมาจนเต็มแผ่นดิน
-
ภัยพิบัติสาม
-
ภัยพิบัติสี่: ภัยพิบัติจากเหลือบ ภาพโดยเจมส์ ติโซ, Jewish Museum, นิวยอร์ก
-
ภัยพิบัติห้า: ภัยพิบัติที่เกิดกับฝูงสัตว์ โดยกุสตาฟว์ ดอเร
-
ภัยพิบัติเจ็ด ภาพโดยจอห์น มาร์ติน (ค.ศ. 1823)
-
ภัยพิบัติแปด: "ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน" ภาพในคำภีร์ไบเบิลฮอลแมน ค.ศ. 1890
-
ภัยพิบัติเก้า: ความมืด โดยกุสตาฟว์ ดอเร
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Greifenhagen, F.V. (2000). "Plagues of Egypt". ใน Freedman, David Noel; Myers, Allen C. (บ.ก.). Eerdmans Dictionary of the Bible. Amsterdam University Press. p. 1062. ISBN 9789053565032.
- ↑ 2.0 2.1 Tigay, Jeffrey H. (2004). "Exodus". ใน Berlin, Adele; Brettler, Marc Zvi (บ.ก.). The Jewish Study Bible. Oxford University Press.
- ↑ พระธรรมอพยพ บทที่ 7 ข้อที่ 14-25
- ↑ พระธรรมอพยพ บทที่ 8 ข้อที่ 1-14
- ↑ พระธรรมอพยพ บทที่ 8 ข้อที่ 15-19
- ↑ พระธรรมอพยพ บทที่ 8 ข้อที่ 20-31
- ↑ พระธรรมอพยพ บทที่ 8 ข้อที่ 32 ถึง บทที่ 9 ข้อที่ 8
- ↑ พระธรรมอพยพ บทที่ 9 ข้อที่ 8-12
- ↑ พระธรรมอพยพ บทที่ 9 ข้อที่ 13-34
- ↑ พระธรรมอพยพ บทที่ 9 ข้อที่ 1-20
- ↑ พระธรรมอพยพ บทที่ 10 ข้อที่ 21-28
- ↑ พระธรรมอพยพบทที่ 11
- ↑ พระธรรมอพยพ บทที่ 12
- ↑ Römer, Thomas (2007). The so-called Deuteronomistic history : a sociological, historical, and literary introduction. London: T & T Clark. ISBN 978-0-567-03212-6. OCLC 80331961.
- ↑ Rogerson, John W. (2003b). "Deuteronomy". ใน Dunn, James D. G.; Rogerson, John William (บ.ก.). Eerdmans Commentary on the Bible. Eerdmans. p. 154. ISBN 9780802837110.
- ↑ Van Seters, John (2015). The Pentateuch: A Social Science Commentary. Bloomsbury. p. 124. ISBN 9780567658807.
- ↑ Johnstone, William D. (2003). "Exodus". ใน Dunn, James D. G.; Rogerson, John William (บ.ก.). Eerdmans Commentary on the Bible. Eerdmans. ISBN 9780802837110.
- ↑ Faust 2015, p.476: "While there is a consensus among scholars that the Exodus did not take place in the manner described in the Bible, surprisingly most scholars agree that the narrative has a historical core, and that some of the highland settlers came, one way or another, from Egypt..".
- ↑ 19.0 19.1 Moore, Megan Bishop; Kelle, Brad E. (2011). Biblical History and Israel's Past. Eerdmans. ISBN 9780802862600.
- ↑ Meyers, Carol (2005). Exodus. Cambridge University Press. ISBN 9780521002912.
- ↑ Willems 2010, p. 83.
- ↑ Enmarch, Roland (2011). "The Reception of a Middle Egyptian Poem: The Dialogue of Ipuwer and the Lord of All". ใน Collier, M.; Snape, S. (บ.ก.). Ramesside Studies in Honour of K. A. Kitchen (PDF). Rutherford. pp. 173–175. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ March 3, 2016. สืบค้นเมื่อ October 1, 2017.
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Collins, John J. (2005). The Bible After Babel: Historical Criticism in a Postmodern Age. Eerdmans. ISBN 9780802828927.
- Faust, Avraham (2015). "The Emergence of Iron Age Israel: On Origins and Habitus". ใน Thomas E. Levy; Thomas Schneider; William H. C. Propp (บ.ก.). Israel's Exodus in Transdisciplinary Perspective: Text, Archaeology, Culture, and Geoscience. Springer. ISBN 978-3-319-04768-3.
- Redmount, Carol A. (2001) [1998]. "Bitter Lives: Israel In And Out of Egypt". ใน Coogan, Michael D. (บ.ก.). The Oxford History of the Biblical World. Oxford University Press. ISBN 9780199881482.
- Rendsburg, Gary A. (2015). "Moses the Magician". ใน Thomas E. Levy; Thomas Schneider; William H. C. Propp (บ.ก.). Israel's Exodus in Transdisciplinary Perspective: Text, Archaeology, Culture, and Geoscience. Springer. ISBN 978-3-319-04768-3.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Plagues of Egypt