ชาลส์ คิงส์ฟอร์ด สมิท

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ชาลส์ คิงส์ฟอร์ด สมิท
คิงส์ฟอร์ด สมิท ใน ค.ศ. 1932
เกิด9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1897(1897-02-09)
บริสเบน อาณานิคมควีนส์แลนด์
เสียชีวิต8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935(1935-11-08) (38 ปี)
ทะเลอันดามัน
สาเหตุเสียชีวิตเครื่องบินตกนอกชายฝั่งประเทศพม่า
สัญชาติจักรวรรดิบริติช[1][2]
ออสเตรเลีย
มีชื่อเสียงจากการบินข้ามแผ่นดินใหญ่ออสเตรเลียโดยไม่พัก
การบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก
การแข่งขันบินจากอังกฤษไปออสเตรเลีย
รางวัลKnight Bachelor
Military Cross
Air Force Cross
Segrave Trophy
Aviation career
ชื่อเต็มชาลส์ เอ็ดเวิร์ด คิงส์ฟอร์ด สมิท
กองทัพอากาศกองบินออสเตรเลีย
กองบินหลวงสหราชอาณาจักร
กองทัพอากาศสหราชอาณาจักร
สงครามที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ยศกัปตัน (ยศจริง)
พลอากาศจัตวา (ยศกิตติมศักดิ์)

เซอร์ชาลส์ เอ็ดเวิร์ด คิงส์ฟอร์ด สมิท MC, AFC (อังกฤษ: Charles Edward Kingsford Smith; ชื่อเล่น สมิทธี; 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1897 – 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935) เป็นนักบินและผู้บุกเบิกด้านการบินชาวออสเตรเลีย เขาเป็นคนแรกที่บินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกและบินระหว่างประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์

คิงส์ฟอร์ด สมิทเกิดที่บริสเบนและเติบโตในซิดนีย์ เขาออกจากโรงเรียนเมื่ออายุได้ 16 ปีและทำงานเป็นผู้ช่วยวิศวกร เขาเข้าร่วมกองทัพออสเตรเลียใน ค.ศ. 1915 และทำงานเป็นคนขับจักรยานยนต์ขนส่งของในช่วงการทัพกัลลิโพลีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จากนั้นเขาได้โอนย้ายไปยังกองบินหลวงสหราชอาณาจักร (แผนกการบินของกองทัพสหราชอาณาจักร) และได้รับ Military Cross ใน ค.ศ. 1917 หลังจากที่รอดชีวิตหลังเครื่องบินถูกยิงตก หลังสิ้นสุดสงครามเขาทำงานเป็นนักบินผาดโผนในอังกฤษและสหรัฐก่อนย้ายกลับออสเตรเลียใน ค.ศ. 1921 และเข้าทำงานเป็นนักบินพาณิชย์ให้กับเวสต์ออสเตรเลียนแอร์เวส์ในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นนักบินพาณิชย์รุ่นแรก ๆ ของประเทศด้วย

ใน ค.ศ. 1928 คิงส์ฟอร์ด สมิทบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นครั้งแรกระหว่างแคลิฟอร์เนียไปยังบริสเบนโดยจอดพักที่ฮาวายและฟีจี ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่ทำให้ตัวเขาเอง นักบินผู้ช่วยชาลส์ อูล์ม และลูกเรือสองคนได้แก่เจมส์ วอร์เนอร์และแฮร์รี ลียอนกลายเป็นคนดังหลังจากนั้น ในปีเดียวกันเขาและอูล์มบินข้ามประเทศจากเมลเบิร์นไปยังเพิร์ทโดยไม่จอดพักเป็นครั้งแรก และจากออสเตรเลียไปยังนิวซีแลนด์เป็นครั้งแรกเช่นกัน ทั้งคู่ร่วมกันก่อตั้งออสเตรเลียนแนชันนัลแอร์เวส์แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เขายังคงแข่งขันบินเร็วและพยายามทดลองทำสิ่งที่ท้าทายในวงการบินอีกหลายอย่าง

ใน ค.ศ. 1935 คิงส์ฟอร์ด สมิทและนักบินผู้ช่วยทอมมี เพทธีบริดจ์หายสบสูญเหนือทะเลอันดามันระหว่างพยายามทำลายสถิติบินระหว่างออสเตรเลียและอังกฤษโดยใช้เวลาน้อยที่สุด เขาได้รับยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งชาติระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และได้รับการยกย่องต่าง ๆ ในชั่วชีวิตของเขา ท่าอากาศยานซิดนีย์ตั้งชื่อตามเขา และเขายังปรากฏบนธนบัตร 20 ดอลลาร์ออสเตรเลียเป็นเวลาหลายทศวรรษ

วัยเด็กและชีวิตส่วนตัว[แก้]

คิงส์ฟอร์ด สมิท และภรรยาคนที่สอง แมรี ที่เวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์

ชาลส์ เอิดเวิร์ด คิงส์ฟอร์ด สมิทเกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987 ที่ริเวอร์วิวเทอร์เรซ ย่านแฮมิลทันในเมืองบริสเบน อาณานิคมควีนส์แลนด์ เขาเป็นบุตรของวิลเลียม ชาลส์ สมิท และแคทเธอรีน แมรี (นามสกุลก่อนสมรสว่าคิงส์ฟอร์ด ธิดาของริชาร์ด แอช คิงส์ฟอร์ด ซึ่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติควีนส์แลนด์และเคยเป็นนายกเทศมนตรีของทั้งเทศบาลบริสเบนและเทศบาลแคนส์) สูติบัตรและประกาศแจ้งเกิดในหนังสือพิมพ์ระบุนามสกุลของเขาว่า "สมิท" ซึ่งเป็นนามสกุลที่ครอบครัวใช้ในขณะนั้น[3][4] นามสกุล "คิงส์ฟอร์ด สมิท" ปรากฏครั้งแรกน่าจะมาจากพี่ชายของเขา ริชาร์ด แฮโรลด์ คิงส์ฟอร์ด สมิท ซึ่งใช้ชื่อดังกล่าวอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่ ค.ศ. 1901 แม้ว่าเขาจะสมรสในรัฐนิวเซาท์เวลส์โดยใช้นามสกุลสมิทใน ค.ศ. 1903 ก็ตาม[5][6]

ใน ค.ศ. 1903 ครอบครัวของเขาได้ย้ายไปอยู่ประเทศแคนาดาและได้ใช้นามสกุลคิงส์ฟอร์ด สมิทนับแต่นั้น ก่อนจะเดินทางกลับมาซิดนีย์ใน ค.ศ. 1907[7]

คิงส์ฟอร์ด สมิทเข้าโรงเรียนครั้งแรกที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ต่อมาระหว่าง ค.ศ. 1909 ถึง 1911 เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์แอนดรูส์คัทธีดรัลในซิดนีย์ ที่นั่นเขาเป็นสมาชิกคณะขับร้องในโบสถ์ของโรงเรียนด้วย[8]: 39–40, 48  จากนั้นได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเทคนิคซิดนีย์และเข้าฝึกงานเป็นวิศวกรที่โคโลเนียลชูการ์รีไฟนิงคอมพานีเมื่ออายุได้ 16 ปี[7]

คิงส์ฟอร์ด สมิทสมรสกับเทลมา ไอลีน โฮป คอร์บอยใน ค.ศ. 1923 ก่อนจะหย่าร้างกันใน ค.ศ. 1929 และสมรสอีกครั้งกับแมรี เพาเวลล์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1930[7]

หลังจากสมรสกับแมรี เขาได้เข้าร่วมขบวนการนิวการ์ด[7] ซึ่งเป็นกำลังกึ่งทหารที่นิยมกษัตริย์ ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และเป็นไปได้ว่าได้รับแรงบันดาลใจจากขบวนการฟาสซิสต์[9]

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและประสบการณ์การบิน[แก้]

คิงส์ฟอร์ด สมิท และชาลส์ อูล์มในเครื่องแบบกองทัพอากาศออสเตรเลีย
คิงส์ฟอร์ด สมิท ประมาณ ค.ศ. 1920

ค.ศ. 1915 คิงส์ฟอร์ด สมิทสมัครเข้ารับราชการทหารในกองกำลังจักรวรรดิออสเตรเลียที่หนึ่งและร่วมรบในการทัพกัลลิโพลี เดิมทีเดียวนั้นคิงส์ฟอร์ด สมิทได้รับมอบหมายให้ขับรถจักรยานยนต์รับส่งของ ก่อนที่จะย้ายไปประจำกองบินหลวงสหราชอาณาจักรโดยได้รับอนุญาตให้บินครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1917[7]

เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1917 ขณะรับราชการในฝูงบินที่ 23 เครื่องบินของคิงส์ฟอร์ด สมิทถูกยิงตกทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ[10] ซึ่งทำให้ต้องตัดนิ้วเท้าออกสองนิ้ว[11] เขาได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Military Cross ยกย่องความกล้าหาญในสงคราม[7]

วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1918 คิงส์ฟอร์ด สมิทและนักบินคนอื่น ๆ ในกองบินหลวงได้ย้ายไปประจำกองทัพอากาศสหราชอาณาจักรซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ หลังจากที่หมดหน้าที่ทางทหารหลังสิ้นสุดสงคราม เขาได้ก่อตั้งคิงส์ฟอร์ด สมิท แมดดอกส์ แอโรส์ จำกัดร่วมกับไซริล แมดดอกส์ ชาวรัฐแทสเมเนียช่วงต้น ค.ศ. 1919 เพื่อดำเนินกิจการการบินเพื่อความบันเทิงทางภาคเหนือของอังกฤษในช่วงฤดูร้อน โดยใช้เครื่องบินฝึกหัดแอร์โค ดีเอช.6 และรอยัลแอร์คราฟต์แฟกทอรี บี.อี.2 ที่เหลือมาจากสงคราม[12] ก่อนจะไปทำอาชีพนักบินผาดโผนในสหรัฐก่อนกลับออสเตรเลียใน ค.ศ. 1921[13] คิงส์ฟอร์ด สมิทยื่นขอรับใบอนุญาตขับเครื่องบินพาณิชย์เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1921 โดยใช้ชื่อว่า "ชาลส์ เอ็ดเวิร์ด คิงส์ฟอร์ด-สมิท"[14]

หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น คาวราฟรีเพรสส์ เล่าเรื่องว่าคิงส์ฟอร์ด สมิทเคยขับเครื่องบินลอดใต้สะพานข้ามแม่น้ำลัคลันในเมืองคาวรา รัฐนิวเซาท์เวลส์ ร่วมกับนักขับรถที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่น เคน ริชาดส์[15] ในบทความระบุต่อไปว่าคิงส์ฟอร์ด สมิทเตรียมที่จะขับเครื่องบินลอดใต้สะพานรถไฟที่อยู่ใกล้เคียง แต่ริชาดส์เตือนว่าใต้สะพานมีสายโทรเลขอยู่ บทความนั้นยังเล่าต่อไปว่าริชาดส์เป็นเพื่อนกับคิงส์ฟอร์ด สมิท และเคยขับเครื่องบินด้วยกันมาก่อนขณะอยู่ที่ฝรั่งเศส[16]

คิงส์ฟอร์ด สมิทที่วอลลาล

คิงส์ฟอร์ด สมิทกลายเป็นหนึ่งในนักบินพาณิชย์รุ่นแรกของประเทศออสเตรเลียเมื่อนอร์แมน เบรียร์ลีย์ได้คัดเลือกเขาเข้าเป็นนักบินประจำสายการบินเวสต์ออสเตรเลียนแอร์เวส์[7] โดยขับเครื่องบินบริสตอล ทัวเรอร์ ไทป์ 28 ทะเบียน G-AUDF บินรับส่งพัสดุให้กับนักดาราศาสตร์ในช่วงสุริยุปราคา ค.ศ. 1922 ที่วอลลาล รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย[17] ในช่วงเวลานั้นเขาเริ่มวางแผนที่จะบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก[18]

การบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ค.ศ. 1928[แก้]

เครื่องบินเซาเทิร์นครอสส์ ค.ศ. 1928
เครื่องบินเซาเทิร์นครอสส์ ที่ฐานทัพอากาศของกองทัพอากาศออสเตรเลียใกล้กรุงแคนเบอร์รา ค.ศ. 1943
ตำแหน่งสำคัญบนเส้นทางบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกของชาลส์ คิงส์ฟอร์ด สมิทและลูกเรือ ค.ศ. 1938
ภาพถ่ายที่ระลึกเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกเที่ยวแรก

ใน ค.ศ. 1928 คิงส์ฟอร์ด สมิท และชาลส์ อูล์มเดินทางมาถึงสหรัฐเพื่อหาเครื่องบินที่จะใช้บินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก เซอร์ฮิวเบิร์ต วิลคินส์ นักสำรวจขั้วโลกชาวออสเตรเลียได้ขายเครื่องบินฟอกเกอร์ F.VII/3m ให้กับคิงส์ฟอร์ด สมิทและอูล์ม พวกเขาตั้งชื่อเครื่องบินลำนี้ว่าเซาเทิร์นครอสส์[19]

เวลา 8:54 น. วันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1928[19] คิงส์ฟอร์ด สมิทและลูกเรือได้แก่ชาลส์ อูล์มชาวออสเตรเลียซึ่งเป็นนักบินสำรอง และลูกเรือชาวอเมริกันอีกสองคนได้แก่เจมส์ วอร์เนอร์ ผู้ควบคุมวิทยุ และกัปตันแฮร์รี ลียอน ผู้นำทางและวิศวกรประจำเที่ยวบิน[20] รวมสี่คนบินออกจากโอกแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อเริ่มบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นครั้งแรกไปยังออสเตรเลีย เส้นทางบินแบ่งเป็นสามระยะ ระยะแรกจากโอกแลนด์ไปยังฐานทัพอากาศวีลเลอร์ ใกล้เมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย[21] มีระยะทาง 3,870 กิโลเมตร (2,400 ไมล์) ใช้เวลาบิน 27 ชั่วโมง 25 นาทีโดยไม่มีอุบัติการณ์ใด ๆ ระยะที่สองต้องบินขึ้นจากบาร์กคิงแซนส์บนเกาะคาไวที่อยู่ใกล้เคียงแทนเนื่องจากทางวิ่งที่วีลเลอร์ยาวไม่พอ ปลายทางของระยะที่สองได้แก่กรุงซูวา ประเทศฟีจี ซึ่งอยู่ห่างออกไป 5,077 กิโลเมตร (3,155 ไมล์) ใช้เวลาบิน 34 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งเป็นระยะที่ยากลำบากที่สุดเนื่องจากพวกเขาบินฝ่าพายุฝนฟ้าคะนองใกล้กับเส้นศูนย์สูตร[22] ระยะที่สามนั้นสั้นที่สุด โดยมีระยะทาง 2,709 กิโลเมตร (1,683 ไมล์) ใช้เวลาบิน 20 ชั่วโมงเพื่อข้ามชายฝั่งออสเตรเลียใกล้กับเมืองแบลลินา รัฐนิวเซาท์เวลส์[23][24][25] ก่อนจะหักขึ้นไปทางเหนือต่อไปอีก 170 กิโลเมตร (110 ไมล์) ไปถึงบริสเบน พวกเขาลงจอดเมื่อเวลา 10.50 น. วันที่ 9 มิถุนายน ระยะทางบินโดยรวมประมาณ 11,566 กิโลเมตร (7,187 ไมล์) ที่ท่าอากาศยานอีเกิลฟาร์ม (ท่าอากาศยานแห่งเก่าซึ่งต่อมาถูกแทนที่โดยท่าอากาศยานบริสเบน) มีผู้คนมารอต้อนรับคิงส์ฟอร์ด สมิทและลูกเรือกว่า 26,000 คน พวกเขาได้รับการต้อนรับเฉกเช่นวีรบุรุษ[26][27][28][29]

หอภาพยนตร์และสื่อบันทึกเสียงแห่งชาติของประเทศออสเตรเลียมีภาพยนตร์ชีวประวัติของคิงส์ฟอร์ด สมิทชื่อ แอนแอร์แมนรีเมมเบอส์[30] และเทปบันทึกเสียงคิงส์ฟอร์ด สมิทและอูล์มเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางของพวกเขา[31]เก็บรักษาเอาไว้

ออสเตรเลียโพสต์ รัฐวิสาหกิจด้านไปรษณีย์ได้ออกแผ่นแสตมป์และแสตมป์ที่ระลึกซึ่งมีภาพของคิงส์ฟอร์ด สมิทและอูล์มใน ค.ศ. 1978 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของการบินครั้งนี้[32]

จีน แบตเทน หญิงสาวชาวนิวซีแลนด์เข้าร่วมงานเลี้ยงกับคิงส์ฟอร์ด สมิทหลังเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกและกล่าวกับเขาว่าเธออยากจะหัดขับเครื่องบินบ้าง คิงส์ฟอร์ด สมิทให้คำแนะนำเชิงติดตลกกับเธอว่า "อย่าพยายามทำลายสถิติของนักบินผู้ชาย และอย่าบินตอนกลางคืน" อย่างไรก็ตาม แบตเทนโน้มน้าวให้เขาพาเธอขึ้นเครื่องบินเซาเทิร์นครอสส์ และเธอได้กลายเป็นนักบินที่สร้างสถิติสำคัญต่าง ๆ อีกคนหนึ่ง [33]

การบินข้ามทะเลแทสมัน ค.ศ. 1928[แก้]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1928 คิงส์ฟอร์ด สมิทและอูล์มบินข้ามประเทศออสเตรเลียโดยไม่จอดพักจากพอยต์คุกใกล้เมืองเมลเบิร์นไปยังเพิร์ท รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียได้สำเร็จ พวกเขาต่อมาได้จดทะเบียนจัดตั้งสายการบินออสเตรเลียนแนชันนัลแอร์เวส์ และตัดสินใจที่จะพยายามบินข้ามทะเลแทสมันไปยังประเทศนิวซีแลนด์ เนื่องจากยังไม่มีใครเคยทำได้สำเร็จมาก่อน และพวกเขาคิดว่าถ้าทำได้สำเร็จจะสามารถต่อรองกับรัฐบาลออสเตรเลียทำสัญญาขนส่งพัสดุระหว่างสองประเทศนี้โดยมีเงินสนับสนุนได้[34] นักบินชาวนิวซีแลนด์สองคนได้แก่จอห์น มอนครีฟฟ์ และจอร์จ ฮุดได้พยายามบินข้ามช่องแคบนี้เมื่อเดือนมกราคมปีเดียวกันแต่พวกเขาหายสาบสูญโดยไม่มีใครพบอีกเลย[35]

คิงส์ฟอร์ด สมิทวางแผนว่าจะบินจากริชมอนด์ใกล้กับซิดนีย์ในวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1928 และจะลงจอดเวลาประมาณ 9:00 น. ของวันที่ 3 กันยายนที่วิกรัมแอโรโดรม ใกล้กับไครสต์เชิร์ช เมืองสำคัญบนเกาะใต้ของประเทศนิวซีแลนด์ แผนการดังกล่าวทำให้บรรดาบาทหลวงในประเทศนิวซีแลนด์ไม่พอใจและประท้วงเนื่องจากเป็นการดูหมิ่นคุณค่าของวันสะบาโต[36]

ผู้คนยืนรอรับชาลส์ คิงส์ฟอร์ด สมิทบนถนนในบริสเบน ค.ศ. 1928

นายกเทศมนตรีของไครสต์เชิร์ชก็สนับสนุนการประท้วงของบรรดาบาทหลวงดังกล่าวและส่งข้อความทางโทรเลขไปยังคิงส์ฟอร์ด สมิท อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศเหนือทะเลแทสมันเลวร้ายลงและคิงส์ฟอร์ด สมิทตัดสินใจเลื่อนการเดินทางออกไป จึงไม่ทราบแน่ชัดว่าการประท้วงดังกล่าวมีผลต่อคิงส์ฟอร์ด สมิทหรือไม่[34]

คิงส์ฟอร์ด สมิทและลูกเรือได้แก่อูล์ม และลูกเรือชาวนิวซีแลนด์สองคนได้แก่แฮโรลด์ อาร์เทอร์ ลิตช์ฟีลด์ ผู้นำทาง และโทมัส เอช. แมกวิลเลียมส์ ผู้ควบคุมวิทยุ ซึ่งทางรัฐบาลนิวซีแลนด์ได้จัดหาให้ เดินทางออกจากริชมอนด์ตอนเย็นวันที่ 10 กันยายน และบินข้ามคืนเป็นเวลา 14 ชั่วโมงและลงจอดในตอนเช้า เส้นทางบิน 2,600 กิโลเมตร (1,600 ไมล์) ที่วางแผนไว้นั้นมีระยะประมาณครึ่งหนึ่งของระยะทางจากฮาวายและฟีจีเท่านั้น สภาพอากาศระหว่างทางไม่ดีนักซึ่งทำให้เกิดน้ำแข็งเกาะตัวเครื่องและทำให้การบินเป็นไปอย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศบริเวณช่องแคบคุกระหว่างเกาะเหนือและเกาะใต้นั้นดีกว่าระหว่างทางที่ผ่านมา เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากชายฝั่งประเทศนิวซีแลนด์ประมาณ 241 กิโลเมตร (150 ไมล์) พวกเขาได้ทิ้งพวงหรีดเพื่อระลึกถึงมอนครีฟฟ์และฮุดที่หายสาบสูญไประหว่างพยายามบินข้ามทะเลแทสมันเมื่อต้นปี[37]

เซาเทิร์นครอสส์ลงจอดที่ไครสต์เชิร์ชเมื่อเวลา 9:22 น. หลังบินเป็นระยะเวลา 14 ชั่วโมง 25 นาที ฝูงชนมารอต้อนรับคิงส์ฟอร์ด สมิทและลูกเรืออย่างล้นหลามกว่า 30,000 คน รวมทั้งนักเรียนจากโรงเรียนของรัฐบาลที่ประกาศปิดเป็นกรณีพิเศษ และข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้หยุดงานจนถึงเวลา 11 นาฬิกา[37] เหตุการณ์ดังกล่าวยังได้กระจายเสียงสดออกทางวิทยุด้วย[38]

กองทัพอากาศนิวซีแลนด์อาสาตรวจสภาพเครื่องบินเซาเทิร์นครอสส์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และพาคิงส์ฟอร์ด สมิทและอูล์มเที่ยวชมประเทศนิวซีแลนด์โดยใช้เครื่องบินบริสตอล เอฟ.2 ไฟเตอส์[34]

พวกเขาเดินทางกลับริชมอนด์โดยตั้งต้นจากเมืองเบลนิม เมืองเล็กทางตอนเหนือของเกาะใต้ การบินกลับประสบปัญหาเนื่องจากหมอก สภาพอากาศที่เลวร้าย และการนำทางที่ผิดพลาดเล็กน้อย ทำให้ต้องใช้เวลากว่า 23 ชั่วโมงจึงจะถึงริชมอนด์ และเมื่อลงจอดแล้วเครื่องบินเหลือเชื้อเพลิงมากพอที่จะให้บินต่อได้อีกเพียง 10 นาทีเท่านั้น[34]

ชาลส์ คิงส์ฟอร์ด สมิท (ขวา) ถ่ายคู่กับจอห์น ฮาเวิร์ด มาร์คัส สมิท ผู้ก่อตั้งเซาท์แลนด์แอโรโดรม (ซ้าย) ที่เมืองอินเวอร์คาร์กิลล์ ประเทศนิวซีแลนด์ (ประมาณ ค.ศ. 1930)

ออสเตรเลียนแนชันนัลแอร์เวส์[แก้]

คิงส์ฟอร์ด สมิทกับอูล์มร่วมกันก่อตั้งสายการบินออสเตรเลียนแนชันนัลแอร์เวส์ขึ้นใน ค.ศ. 1929 โดยเริ่มดำเนินกิจการรับส่งผู้โดยสาร พัสดุไปรษณีย์ และสินค้าระหว่างซิดนีย์ บริสเบน และเมลเบิร์นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1930 โดยมีเครื่องบินประจำฝูงบินห้าลำ แต่ปิดกิจการไปหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุในเดือนมีนาคมและพฤศจิกายนปีถัดมา[39]

เที่ยวบินสำคัญช่วงต้นทศวรรษ 1930[แก้]

หลังจากที่คิงส์ฟอร์ด สมิทส่งเครื่องบินเซาเทิร์นครอสส์คู่ใจไปเข้ารับการซ่อมบำรุงโดยบริษัทฟอกเกอร์ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1930 เขาได้บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในทิศทางตะวันออก–ตะวันตกจากไอร์แลนด์ไปยังนิวฟันด์แลนด์โดยใช้เวลา 31 1/2 ชั่วโมง ตั้งต้นจากหาดพอร์ทมาร์น็อกซึ่งอยู่เหนือกรุงดับลินเล็กน้อย พวกเขาได้บินต่อไปยังโอกแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย อันเป็นการบรรจบเส้นทางรอบโลกที่เริ่มต้นใน ค.ศ. 1928[40] ในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้เข้าแข่งขันบินจากอังกฤษไปยังออสเตรเลีย และชนะการแข่งขันโดยใช้เวลา 13 วัน และบินเพียงลำพัง เขาเดินทางถึงซิดนีย์เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1930[41]

ใน ค.ศ. 1931 เขาซื้อเครื่องบินแอฟโร เอเวียนและตั้งชื่อให้ว่า เซาเทิร์นครอสส์ไมเนอร์ เพื่อใช้บินแข่งขันจากออสเตรเลียไปอังกฤษ และได้ขายเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับกัปตันบิลล์ แลงคาสเตอร์ ผู้ซึ่งหายสาบสูญเมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1933 เหนือทะเลทรายสะฮารา ร่างของแลงคาสเตอร์ถูกพบใน ค.ศ. 1962 ส่วนซากเครื่องบิน เซาเทิร์นครอสส์ไมเนอร์ จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ควีนส์แลนด์[42] ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 คิงส์ฟอร์ด สมิทยังได้พัฒนารถยนต์รุ่นเซาเทิร์นครอสส์ควบคู่กันไปด้วย[43][44]

คิงส์ฟอร์ด สมิทใน ค.ศ. 1933

ใน ค.ศ. 1933 คิงส์ฟอร์ด สมิทเริ่มดำเนินกิจการเที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เป็นครั้งแรกโดยใช้หาดเซเวนไมล์ รัฐนิวเซาท์เวลส์เป็นทางวิ่ง[45] และใน ค.ศ. 1934 เขาได้ซื้อเครื่องบินล็อกฮีด อัลแทร์ชื่อ เลดีเซาเทิร์นครอสส์ เพื่อเข้าแข่งขันรายการแมกโรเบิร์ตสันแอร์เรซ[46]

การหายสาบสูญและการเสียชีวิต[แก้]

คิงส์ฟอร์ด สมิทและจอห์น ทอมป์สัน "ทอมมี" เพทธีบริดจ์ขับเครื่องบินเลดีเซาเทิร์นครอสส์ตอนกลางคืนจากอลาหาบาด อินเดียไปยังสิงคโปร์เพื่อพยายามที่จะทำลายสถิติการบินจากอังกฤษไปออสเตรเลียที่ซี. ดับเบิลยู. เอ. สกอตต์และทอม แคมป์เบลล์ แบล็กทำไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม คิงส์ฟอร์ด สมิทและเพทธีบริดจ์หายสาบสูญเหนือทะเลอันดามันในช่วงเช้ามืดของวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935 จิมมี เมลโรส นักบินผู้หนึ่งได้อ้างว่าเขาเห็นเลดีเซาเทิร์นครอสส์บินฝ่าพายุประมาณ 150 ไมล์ (240 กิโลเมตร) จากชายฝั่งที่ระดับความสูง 200 ฟุต (61 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเลโดยมีเปลวไฟพ่นออกมาจากเครื่อง[47] เอริก สแตนลีย์ กรีนวุด นักบินชาวบริติชพยายามบินค้นหาเหนืออ่าวเบงกอลกว่า 74 ชั่วโมงแต่ไม่พบร่างของพวกเขา[46]

สิบแปดเดือนต่อมา ชาวประมงชาวพม่าพบชิ้นส่วนขาล้อและล้อเครื่องบินซึ่งลมยางภายในยังคงเต็มอยู่ ชิ้นส่วนดังกล่าวถูกซัดมาเกยชายฝั่งเกาะโกกูนเย่ในอ่าวเมาะตะมะ ห่างจากชายฝั่งรัฐมอญ ประเทศพม่าประมาณ 3 กิโลเมตร (1.9 ไมล์) และห่างจากเมืองเมาะตะมะไปประมาณ 137 กิโลเมตร (85 ไมล์) ทางทิศใต้ ล็อกฮีดได้ยืนยันว่าชิ้นส่วนดังกล่าวเป็นของเลดีเซาเทิร์นครอสส์[48] นักพฤกษศาสตร์ได้ศึกษาพืชที่เกาะบนชิ้นส่วนและคาดการณ์ว่าเครื่องบินน่าจะตกไม่ห่างจากเกาะดังกล่าวนัก ที่ระดับความลึกประมาณ 15 ฟาทอม (90 ฟุต; 27 เมตร)[49] ชิ้นส่วนขาล้อนี้ได้จัดแสดงต่อสาธารณชนที่พิพิธภัณฑ์พาวเวอร์เฮาส์ในซิดนีย์[50]

สมาชิกของครอบครัวคิงส์ฟอร์ด สมิทที่เหลือได้แก่แมรีหรือเลดีคิงส์ฟอร์ด สมิทผู้เป็นภรรยา และบุตรชายวัยสามขวบได้แก่ชาลส์ จูเนียร์ หนังสืออัตชีวประวัติของคิงส์ฟอร์ด สมิทชื่อ มายฟลายอิงไลฟ์ ออกตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1937 หลังจากที่เขาเสียชีวิต และกลายเป็นหนังสือขายดีหัวเรื่องหนึ่ง[51]

ใน ค.ศ. 2009 เดเมียน เลย์ ผู้สร้างภาพยนตร์และนักสำรวจได้กล่าวว่าเขาแน่ใจว่าเขาค้นพบเลดีเซาเทิร์นครอสส์แล้ว[52] อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างของเลย์ยังคงเป็นที่ถกเถียงว่าเชื่อถือได้หรือไม่ ผู้โต้แย้งรายสำคัญได้แก่ดิก สมิท นักธุรกิจและนักบินผู้มีชื่อเสียงชาวออสเตรเลีย และเอียน แมกเคอร์ซีย์ นักเขียนชาวนิวซีแลนด์ผู้แต่งชีวประวัตินักบินคนสำคัญหลายคนรวมทั้งคิงส์ฟอร์ด สมิท โดยแมกเคอร์ซีย์บรรยายว่าคำกล่าวอ้างของเลย์นั้น "ไร้สาระสิ้นดี"[53]

เกียรติประวัติและสิ่งสืบเนื่อง[แก้]

คิงส์ฟอร์ด สมิทบนธนบัตรมูลค่า 20 ดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งใช้ระหว่าง ค.ศ. 1966 และ ค.ศ. 1994

ใน ค.ศ. 1930 คิงส์ฟอร์ด สมิทเป็นคนแรกที่ได้รับถ้วยซีเกรฟซึ่งเป็นรางวัลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อยกย่อง "ทักษะ ความกล้าหาญ และความริเริ่มที่ยอดเยี่ยมบนบก ในน้ำ [หรือ] ในอากาศ"[54]

คิงส์ฟอร์ด สมิทได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นอัศวินชั้น Knight Bachelor จากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักรเนื่องจากเป็นผู้สร้างคุณูปการต่อแวดวงการบิน[55] โดยได้รับการแตะบ่าจากเซอร์ไอแซก ไอแซกส์ ผู้สำเร็จราชการออสเตรเลียเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1932 และต่อมาเขาได้รับมอบยศพลอากาศจัตวากิตติมศักดิ์ประจำกองทัพอากาศออสเตรเลีย[56]

ใน ค.ศ. 1986 คิงส์ฟอร์ด สมิทได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศอากาศและอวกาศนานาชาติ พิพิธภัณฑ์อากาศและอวกาศแซนดีเอโก[57]

ท่าอากาศยานนานาชาติคิงส์ฟอร์ด สมิท
อนุสรณ์สถานคิงส์ฟอร์ด สมิท ซึ่งจัดแสดงเครื่องบินเซาเทิร์นครอสส์ที่ท่าอากาศยานบริสเบน

ท่าอากาศยานหลักของนครซิดนีย์ซึ่งตั้งอยู่ในย่านมาสคอตใช้ชื่อว่าท่าอากาศยานนานาชาติคิงส์ฟอร์ด สมิทเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา[58] เขตเลือกตั้งโดยรอบท่าอากาศยานใช้ชื่อว่าเขตคิงส์ฟอร์ด สมิทซึ่งครอบคลุมพื้นที่ย่านคิงส์ฟอร์ดด้วย[59]

เซาเทิร์นครอสส์ เครื่องบินที่โด่งดังที่สุดของเขาจัดแสดงอยู่ที่อาคารอนุสรณ์สถานใกล้กับอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศของท่าอากาศยานบริสเบน[60] เครื่องบินลำดังกล่าวนั้นคิงส์ฟอร์ด สมิทได้ขายให้รัฐบาลออสเตรเลียใน ค.ศ. 1935 ด้วยราคา 3000 ปอนด์เพื่อจัดแสดงต่อสาธารณชนเป็นการถาวร[61][62] และถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดีตั้งแต่ก่อนที่อนุสรณ์สถานปัจจุบันจะสร้างเสร็จ

ถนนสายหนึ่งที่ตัดผ่านย่านแฮมิลทันที่เขาเกิดได้ชื่อว่าคิงส์ฟอร์ด สมิทไดรฟ์[63] นอกจากนี้ยังมีคิงส์ฟอร์ด สมิทไดรฟ์อีกสายหนึ่งอยู่ในเขตเบลคอนนิน กรุงแคนเบอร์ราซึ่งตัดกับถนนอีกสายชื่อเซาเทิร์นครอสส์ไดรฟ์[64]

โรงเรียนสองแห่งตั้งชื่อตามคิงส์ฟอร์ด สมิท ได้แก่โรงเรียนคิงส์ฟอร์ด สมิทในย่านโฮลต์ กรุงแคนเบอร์ราซึ่งก่อตั้งใน ค.ศ. 2009[65] และโรงเรียนประถมศึกษาเซอร์ชาลส์ คิงส์ฟอร์ด-สมิทในเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา[66]

ภาพของคิงส์ฟอร์ด สมิทปรากฏบนธนบัตรมูลค่า 20 ดอลลาร์ออสเตรเลียซึ่งหมุนเวียนใช้ระหว่าง ค.ศ. 1966 ถึง ค.ศ. 1994 (เมื่อประเทศออสเตรเลียเปลี่ยนไปใช้ธนบัตรพลาสติกแทนธนบัตรกระดาษ) เพื่อยกย่องคุณูปการของเขาต่อวงการการบินและความสำเร็จตลอดชั่วชีวิตของเขา[67] นอกจากนี้ภาพของเขายังปรากฏบนเหรียญ 1 ดอลลาร์ออสเตรเลียที่ออกใน ค.ศ. 1997 เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 100 ปีชาตกาลของเขาด้วย[68]

ศาลาคิงส์ฟอร์ด สมิทสร้างขึ้นในอัลเบิร์ตพาร์กในกรุงซูวา ประเทศฟีจี ที่ซึ่งคิงส์ฟอร์ด สมิทจอดพักระหว่างเส้นทางบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก[69][70] และที่หาดเซเวนไมล์ที่ซึ่งคิงส์ฟอร์ด สมิทดำเนินกิจการเที่ยวบินพาณิชย์ไปยังนิวซีแลนด์เป็นครั้งแรกก็มีแผ่นป้ายอนุสรณ์อยู่ด้วยเช่นกัน[71]

เครื่องบินพาณิชย์สองลำตั้งชื่อตามคิงส์ฟอร์ด สมิทได้แก่เครื่องบินแอร์บัส เอ380 ของสายการบินควอนตัส ทะเบียน VH-OQF[72] และเครื่องบินโบอิง 747 ของสายการบินเคแอลเอ็ม ทะเบียน PH-BUM[73]

ดาวบริวารดวงเล็กดวงหนึ่งของดาวเสาร์ตั้งชื่อตามเขา[74]

ออสติน เบิร์น ผู้ชื่นชอบการบินชาวออสเตรเลียเป็นคนหนึ่งที่ไปรอรับเซาเทิร์นครอสส์และลูกเรือเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกกลับถึงออสเตรเลียใน ค.ศ. 1928 เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เบิร์นสร้างแบบจำลองของเซาเทิร์นครอสส์เพื่อมอบให้แก่คิงส์ฟอร์ด สมิท หลังจากที่คิงส์ฟอร์ด สมิทหายสาบสูญ เบิร์นได้สร้างสิ่งระลึกเพิ่มเติมเช่นภาพวาด ภาพถ่าย เอกสาร และงานศิลปะต่าง ๆ เบิร์นทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์และนำเที่ยวชมอนุสรณ์เซาเทิร์นครอสส์ของเขาตั้งแต่ ค.ศ. 1930 จนกระทั่งเบิร์นเสียชีวิตใน ค.ศ. 1993[75]

หมายเหตุ[แก้]

ก่อนหน้าที่คิงส์ฟอร์ด สมิทและลูกเรือจะบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกเคยมีเครื่องบินชื่อเบิร์ดออฟพาราไดซ์ของกองบินกองทัพบกสหรัฐซึ่งบินเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นครั้งแรก โดยบินจากแคลิฟอร์เนียไปยังฮาวายใน ค.ศ. 1927[76]

อ้างอิง[แก้]

  1. Citizenship in Australia เก็บถาวร 9 สิงหาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน — National Archives of Australia
  2. "Australian nationality law". Visaparaaustralia.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 April 2012.
  3. "1897/C9077 birth of Smith, Charles Edward Kingsford". Queensland birth index. Queensland Government. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 March 2011. สืบค้นเมื่อ 25 June 2017.
  4. "Family Notices". The Brisbane Courier. Vol. LIII no. 12, 196. Queensland, Australia. 13 February 1897. p. 4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 25 June 2017 – โดยทาง National Library of Australia.
  5. "Dramatic Art and Elocution Class". Morning Post (Cairns). Vol. 10 no. 47. Queensland, Australia. 15 January 1901. p. 2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 25 June 2017 – โดยทาง National Library of Australia.
  6. "3979/1903 Smith, Richard H K & Johnson, Elsie K St C". New South Wales Marriage Index. New South Wales Government. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 25 June 2017.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 Howard, Frederick. "Kingsford Smith, Sir Charles Edward (1897–1935)". Australian Dictionary of Biography. Canberra: National Centre of Biography, Australian National University. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2017. สืบค้นเมื่อ 14 April 2019.
  8. Newth, Melville C (1980). Serving a Great Cause. Sydney: M C Newth. ISBN 0959455000.
  9. Sparrow, Jeff (22 July 2015). "If you oppose Reclaim Australia, remember fascism wasn't always a freakshow". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 May 2020. สืบค้นเมื่อ 8 June 2020.
  10. "Lieutenant Charles Edward Kingsford-Smith". Australian War Memorial. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 9 June 2018.
  11. "Finding 'Smithy'" (PDF). National Museum of Australia. 2003. p. 6. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 10 September 2015. สืบค้นเมื่อ 9 June 2018.
  12. Aspin, Chris Dizzy Heights The Story of Lancashire's First Flying Men Helmshore Local History Society 1988 pp125-9 ISBN 0-906881-04-8
  13. "Fifty Australians". Awm.gov.au. 31 May 1928. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 December 2008.
  14. "Application for pilot's licence – Charles Edward Kingsford-Smith". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 March 2009 – โดยทาง National Archives of Australia.
  15. "Sydney to Cowra in Four Hours". Cowra Free Press. Vol. 48 no. 3294. New South Wales, Australia. 29 March 1927. p. 3. สืบค้นเมื่อ 26 August 2022 – โดยทาง National Library of Australia.
  16. "Trans-Pacific Flight". Cowra Free Press. Vol. 50 no. 3404. New South Wales, Australia. 5 June 1928. p. 2. สืบค้นเมื่อ 25 August 2022 – โดยทาง National Library of Australia.
  17. "Aviation". The West Australian. Perth, West Australia. 29 September 1922. p. 7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 October 2018. สืบค้นเมื่อ 12 January 2020 – โดยทาง National Library of Australia.
  18. "Charles Kingsford Smith biography Ace Pilots". Acepilots.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2011.
  19. 19.0 19.1 "7.30 report story about Charles Ulm". ABCnet.au. 31 May 1928. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2016. สืบค้นเมื่อ 21 September 2009.
  20. Lyon, Harry W. Captain; Kingsford-Smith, Charles Sir; Warner, James. (Interviewee); 2GB (Radio station : Sydney, N.S.W.) (1958), Reminiscences of flights in the "Southern Cross", เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022, สืบค้นเมื่อ 2 February 2017
  21. "Charles Kingsford-Smith – Hawaii Aviation". Hawaii.gov. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 October 2015.
  22. "The Great Pacific Flight". Flight. 20 (1016): 437. 14 June 1928. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 November 2013. สืบค้นเมื่อ 31 August 2013.
  23. Kingsford-Smith, Charles; C. T. P. Ulm (1928). Story of "Southern Cross" Trans-Pacific Flight, 1928. Sydney: Penlington and Somerville.
  24. "Ballina Aero Club". Ballina Aero Club. 9 June 1928. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 April 2013.
  25. "Far North Coaster". Far North Coaster. 23 May 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 November 2013. สืบค้นเมื่อ 17 March 2012.
  26. Aviators - Charles Kingsford-Smith เก็บถาวร 15 เมษายน 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - (includes photo of the plaque commemorating the flight across the Pacific and the landing at Brisbane on 9 June 1928)
  27. "Brisbane - Eagle Farm - History of Eagle Farm - ourbrisbane.com". 24 January 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 January 2004. สืบค้นเมื่อ 20 March 2018.
  28. Photo of Southern Cross, and welcoming crowd, at Eagle Farm on 9 June 1928 (National Archives of Australia)[ลิงก์เสีย]
  29. "Magnificent Machines – Home-grown Legends (Sydney Morning Herald)". Sydney Morning Herald. 17 December 2003. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 October 2012.
  30. National Film and Sound Archive of Australia: 'An Airman Remembers' เก็บถาวร 5 ธันวาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน on australianscreen online เก็บถาวร 2 มีนาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  31. National Film and Sound Archive of Australia: 'Our Heroes of the Air' เก็บถาวร 31 มกราคม 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  32. Australia Post. Stamps and Philatelic Branch (1978), [Australia Post covers], Australia Post, Stamps and Philatelic Branch, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022, สืบค้นเมื่อ 2 February 2017
  33. "NZEDGE Legends – Jean Batten, Pilot – Endurance". www.nzedge.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2009. สืบค้นเมื่อ 20 March 2018.
  34. 34.0 34.1 34.2 34.3 Davis, P., 1977, Charles Kingsford Smith: Smithy, the World's Greatest Aviator, Summit Books, ISBN 0-7271-0144-7
  35. Anderson, Charles (14 July 2013). "Lost in the long white cloud". Stuff.co.nz. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  36. "Tasman Sea Flight". The Argus (Melbourne). No. 25, 604. Victoria, Australia. 3 September 1928. p. 13. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018 – โดยทาง National Library of Australia.
  37. 37.0 37.1 "Today in History | NZHistory, New Zealand history online". Nzhistory.net.nz. 11 September 1928. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 January 2016.
  38. "The first flight across the Tasman – National Library of New Zealand". Natlib.govt.nz. 11 September 1928. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 November 2012.
  39. "Australian Dictionary of Biography". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 July 2008. สืบค้นเมื่อ 13 September 2008.
  40. Gallagher, Desmond (1986). Shooting Suns and Things: Transatlantic Fliers at Portmarnock. Kingford Press. ISBN 0951156519.
  41. "Summary". The Sydney Morning Herald. No. 28, 955. New South Wales, Australia. 23 October 1930. p. 1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 9 June 2018 – โดยทาง National Library of Australia.
  42. "The Pioneers – Chubbie Miller". Ctie.monash.edu.au. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2011.
  43. "Australian-made Car". The Sydney Morning Herald. New South Wales, Australia. 15 June 1933. p. 6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 8 June 2020 – โดยทาง Trove.
  44. "At the Wheel Notes for Motorists". Morning Bulletin. Queensland, Australia. 29 March 1934. p. 5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 8 June 2020 – โดยทาง Trove.
  45. "Sir Charles Kingsford-Smith". monumentaustralia.org.au. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2020. สืบค้นเมื่อ 8 June 2020.
  46. 46.0 46.1 "A Great Pilot Passes". Flight: 525. 21 November 1935. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 April 2014. สืบค้นเมื่อ 30 August 2013.
  47. "Kingsford-Smith missing in storm". The Bend Bulletin. No. 132. 8 November 1935. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 22 September 2018.
  48. "VH-USB "Lady Southern Cross" (Part 4)". Adastron.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 December 2015.
  49. By Aye เก็บถาวร 17 กันยายน 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน TIME 6 June 1938
  50. "Aircraft undercarriage from the 'Lady Southern Cross', 1928 – 1938". Powerhousemuseum.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 January 2016.
  51. Frederick Howard. Australian Dictionary of Biography – Online Edition. Previously published in Australian Dictionary of Biography. Volume 9, Melbourne University Press, 1983.
  52. Justin, By (21 March 2009). "Sir Charles Kingsford Smith's final resting place found". News.com.au. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 March 2009.
  53. Gibson, Joel (21 March 2009). "Kingsford Smith? Not likely, says Dick Smith". The Sydney Morning Herald. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 March 2018. สืบค้นเมื่อ 20 March 2018.
  54. "Past Winners". Royal Automobile Club. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 9 June 2018.
  55. "1932 Birthday Honours". Flight. 24 (1224): 515. 10 June 1932. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 April 2014. สืบค้นเมื่อ 31 August 2013.
  56. "Honours". The Sydney Morning Herald. No. 29, 458. New South Wales, Australia. 3 June 1932. p. 9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 9 June 2018 – โดยทาง National Library of Australia.
  57. Sprekelmeyer, Linda, editor. These We Honor: The International Aerospace Hall of Fame. Donning Co. Publishers, 2006. ISBN 978-1-57864-397-4.
  58. "Kingsford-Smith". The Mercury. Vol. CXLV no. 20, 528. Tasmania, Australia. 14 August 1936. p. 11. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018 – โดยทาง National Library of Australia.
  59. "Profile of the electoral division of Kingsford Smith (NSW)". Australian Electoral Commission. 10 February 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  60. "Kingsford Smith Memorial". Brisbane Airport. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  61. "Southern Cross". The Sydney Morning Herald. No. 30, 434. New South Wales, Australia. 19 July 1935. p. 11. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018 – โดยทาง National Library of Australia.
  62. "Southern Cross". The Sydney Morning Herald. No. 30, 570. New South Wales, Australia. 25 December 1935. p. 5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018 – โดยทาง National Library of Australia.
  63. "Hamilton Road". The Courier-mail. Queensland, Australia. 3 July 1953. p. 3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 December 2020. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018 – โดยทาง National Library of Australia.
  64. "Roadwork tenders called". The Canberra Times. Vol. 44 no. 12, 557. Australian Capital Territory, Australia. 28 February 1970. p. 3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 9 June 2018 – โดยทาง National Library of Australia.
  65. "Kingsford Smith School - School Houses". ACT Education Directorate. January 2003. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  66. "Sir Charles Kingsford-Smith Elementary School". Vancouver School Board. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  67. "Other Banknotes Paper Series". Reserve Bank of Australia. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  68. "One Dollar". Royal Australian Mint. 8 January 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  69. Singh, Indra (21 May 2013). "SCC to renovate Albert Park". Fiji Broadcasting Corporation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  70. "30 May 2003 - 75th Anniversary of Smithy's Landing at Albert Park". Australian High Commission Fiji. 30 May 2003. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  71. "Sir Charles Kingsford Smith Memorial and Lookout". New South Wales Government Destination NSW. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 October 2017. สืบค้นเมื่อ 8 June 2018.
  72. Qantas's sixth A380 arrives เก็บถาวร 15 มีนาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีนAustralian Aviation Magazine
  73. "PH-BUM - Boeing 747-206B(M)(SUD) - KLM Royal Dutch Airlines - MDVS - JetPhotos". JetPhotos. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 March 2018. สืบค้นเมื่อ 15 April 2018.
  74. Tiscareno, Matthew S.; และคณะ (8 July 2010). "Physical Characteristics and Non-Keplerian Orbital Motion of "Propeller" moons embedded in Saturn's rings". The Astrophysical Journal Letters. 718 (2): 95. arXiv:1007.1008. Bibcode:2010ApJ...718L..92T. doi:10.1088/2041-8205/718/2/L92. S2CID 119236636.
  75. corporateName=National Museum of Australia; address=Lawson Crescent, Acton Peninsula. "National Museum of Australia - Southern Cross memorial". www.nma.gov.au. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 August 2013.{{cite web}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  76. Murphy, William B. (1977). "Bird of Paradise" (PDF). 15th Air Base Wing Office of Information, USAF. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 24 สิงหาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 2 สิงหาคม 2011.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]